หัวข้อ: ต้นกำเนิด เทคโนโลยี ถุงลมนิรภัย (AIR bag) เริ่มหัวข้อโดย: toyotanon ที่ 08 พฤศจิกายน 2556 14:33:33 (http://www.toyotanon.com/article-images/toyota_2013-11-02-13-49-55.jpg)
คงต้องย้อนไปเมื่อ 30 กว่าปีก่อน รถยนต์ของเมอร์เซเดสเบนซ์ รุ่น S Class เป็นรุ่นแรก ที่ได้รับการติดตั้งระบบถุงลมนิรภัย จากโรงงาน ที่ Sindelfingen ประเทศเยอรมนี โดย บริษัท เมอร์เซเดสเบนซ์ ได้ใช้เวลาพัฒนาค้นคว้าทดลองอยู่ถึง 13 ปี ด้วยกัน และถือเป็นก้าวใหม่ของความปลอดภัยในรถยนต์เลยก็ว่าได้ สถิติข้อมูลจากหน่วยงานจราจรเพื่อความปลอดภัยของสหรัฐอเมริกา (NHTSA) ได้ระบุไว้ว่า ถุงลมนิรภัยได้ปกป้องชีวิตของผู้ขับรถยนต์ได้ 28,000 กว่ารายในอเมริกา และจนเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1992 ถุงลมนิรภัยจึงกลายเป็นอุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐานของรถยนต์ นับตั้งแต่นั้นมา ส่วนในเยอรมัน มีการบันทึกสถิติในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2010 เทียบกับ ครึ่งปีแรกของปี 2009 สามารถลดการเกิดการเกิดอุบัติเหตุที่ร้ายแรงลงได้จาก 1966 เป็น 1675 หรือ 15 % เลยทีเดียว และเมื่อไม่นาน หน่วยงานจราจรเพื่อความปลอดภัยของสหรัฐอเมริกา ได้ทำการศึกษาวิจัย การทำงานของเข็มขัดนิรภัยและถุงลมนิรภัย และได้ข้อสรุปผลว่า คนที่ใช้ถุงลมนิรภัย+เข็มขัดนิรภัยเมื่อไปเปรียบเทียบกับคนไม่คาดเข็มขัดนิรภัย โอกาสที่เมื่อเกิดอุบัติเหตุรุนแรงถึงขั้นเสียชิวิตได้ลดลงถึง 61 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ เมอร์เซเดสเบนซ์ ก็เป็นเจ้าแรก ที่คิดระบบความปลอดภัยต้นแบบต่างๆ เช่น โปรแกรมการควบคุมทรงตัวอัตโนมัติ EPS (Electronic Stability Program) ระบบ PRE- SAFE หรือเป็นภาษาไทยง่ายๆ ว่า การปกป้องก่อนเกิดอุบัติเหตุ โดยเริ่มติดตั้งครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2002 ระบบถุงลมด้านข้าง เมอร์เซเดสเบนซ์ได้คิดค้นเติมเข้าไปอีก ระบบถุงลมนิรภัยป้องกันศีรษะ ซึ่งผลสำรวจผลออกมาว่าความเสี่ยงต่อชีวิตลดลงกว่าครึ่งเลยทีเดียว ในปี1970 ได้เกิดมีคำถามถึงอันตรายที่เกิดขึ้นจากถุงลมนิรภัยกับผู้ใช้งาน จึงทำให้ค่ายรถหลายค่ายหยุดการพัฒนาถุงลมนิรภัย แต่ เมอร์เซเดสเบนซ์ ก็ยังคงพัฒนาอุปกรณ์นี้ต่อไป จนเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น และในปี 1980 รถยนต์ของค่ายเมอร์เซเดสเบนซ์ได้ประกาศใช้ถุงลมนิรภัยทุกรุ่นในสายการผลิต และตั้งแต่นั้นก็มีการค้นคว้าสำรวจการใช้ถุงลมนิรภัยอยู่ตลอด และในปี 2009 หน่วยงานจราจรเพื่อความปลอดภัยของสหรัฐอเมริกา ได้พูดถึงการใช้ถุงลมนิรภัย สามารถช่วยชีวิต คนขับได้ถึง 23,127 คน โดย 13,999 คนไม่ได้คาดเข็มนิรภัย และผู้โดยสารตอนหน้า 5,115 คน โดยเป็นผู้ไม่ได้คาดเข็มขัดถึง 2,883 คน และจากการสำรวจ ถุงลมนิรภัยจะทำงานได้มีประสิทธิภาพที่สุดเมื่อผู้ใช้คาดเข็มขัดนิรภัยควบคู่ไปด้วย ข้อมูลจาก ต้นกำเนิด เทคโนโลยี ถุงลมนิรภัย (AIR bag) (http://www.toyotanon.com/article_detail.php?article_id=224) http://www.toyotanon.com/ (http://www.toyotanon.com/) หัวข้อ: Re: ต้นกำเนิด เทคโนโลยี ถุงลมนิรภัย (AIR bag) เริ่มหัวข้อโดย: doraemonarak ที่ 09 พฤศจิกายน 2556 10:24:28 ป้องกันการกระแทกระหว่างร่างกาย กับตัวรถ
ถ้าสามารถยึดศีรษะได้ด้วย ก็จะช่วยให้ต้นคอไม่รับบาดเจ็บ ประโยชน์ดีครับ |