AE. Racing Club

AE Racing Club - ต่างจังหวัด => โซนชลบุรี => ข้อความที่เริ่มโดย: ~POOMZA~ ที่ 17 พฤศจิกายน 2007 08:49:11



หัวข้อ: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 17 พฤศจิกายน 2007 08:49:11
ว่ากันว่ามีหลายแห่งในเขตชลบุรี ที่เป็นที่อาถรรพ์ เพื่อนๆมีใครอยากไปลองของกันไหมคราบ  :emoty
อุปกรณ์
1.ไฟฉาย (เอาแบบหลอนๆเลย เทียนคนล่ะ 1 แท่ง ไฟแช็ก)
2.รองเท้าต้องหุ้มส้นเท่านั้น เผื่อเจอจะได้หนีทัน
3.น้ำเอาไว้ดื่มตอนเหนื่อยๆคราบ
4.กล้องถ่ายรูป

บทนำ
คุณเคยคิดไหมว่าผีไม่มีจริง แล้วคุณก็เกิดสงสัยว่ามันมี แต่ไอ้ที่คุณคิดอันแรกคุณเคยลองคิดไหมว่า ทุกสิ่งทุกอย่างวิทยาศาสตร์สามารถอธิบายได้ เพียงแต่มันยังไปไม่ถึงเท่านั้น แนวคิดที่ท่านจะได้เห็น ณ ต่อจากนี้ไปเป็นการรวบรวมโดย ผมเองคับ ลองดูแล้วกัน
1.ผีมักจะปรากฏตัวตามสถานที่ที่เคยมีคนตาย (ทุกแบบ) - ทำไมจึงต้องเห็นผีที่นั้น คำตอบ สถานที่นั้นๆจะถูกตีตราว่าผีดุ ผู้คนจะถ่อยห่างกลายเป็นสถานที่ที่ไม่มีคนเข้าไป กลายเป็นที่ที่ปลอดภัยสำหรับ อะไรก็ตามที่มีชีวิตโดยต้องซ่อนตัว แล้วไอ้เจ้าตัวเนี้ยๆ สามารถปล่อยสารบางสิ่งบางอย่าง ทำให้สัตว์(รวมทั้งคน) เห็นภาพหลอน
2.ผีโดยทั่วไปคนมักจะพบเห็นโปร่งแสง มีไฟ - ทำไมสิ่งไม่มีตัวตนจึงมีพลังงานแสง คำตอบ ผี(หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้เกิดผี)เป็นสิ่งที่มีอยู่ในโลกนี้และสามารถผลิตกระแสอิเลคตรอนแบบชั่วคราวได้
3.ผีตอนออกมาบรรยากาศจะแปลกๆเย็นๆ รู้สึกอึดอัด - ทำไมก่อนเห็นผีจึงรู้สึกเช่นนนั้น คำตอบ ไอ้เจ้าสิ่งนั้นมีพลังงานที่จะเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมได้ในช่วงเวลาเพียงนิดเดียว
 :emote

สถานที่ใน ชลบุรี
1.บ้านผีสิง ที่จ้างคนเอาข้าวปลาอาหารไปให้เดือนล่ะ 12,000 บาท(มีคนเคยไปทำคับ คือเปิดบ้านเช้า กลางวัน เย็นเอาอาหารไปว่างที่โต๊ะกินข้าว พอเย็นก็กลับบ้านตนเอง เขาไม่กล้านอน เพราะทุกครั้งที่เอาอาหารไปวาง ในเวลาเพียงแปปเดียวอาหารที่เคยมีก็อันตธานหายไป เขาทำได้ปีกว่าก็ลาออก บอกว่าไม่อยากทำนานเพราะกลัวเขาจะเอาไปอยู่ด้วย) ไม่แน่ใจว่าอยู่แถวไหน
2.เกาะผีกลางทะเล  อยู่ศรีราชา (ที่ฝั่งศพของอิสราม)
3.เขาสามมุข (ไม่ขออธิบายที่มา)
4.หอดำ หน้า เทคนิคสัตฮีบ
5.สุสานของคนจีนยามราตี เอาแถวไหนก็ได้

อีกหลายแห่งเพื่อนๆช่วยลงกันหน่อยคับ    แล้วเราจะไปทัวกัน  :emoa  :emog :emoty


กระทู้ต่อๆไป จะเป็นเรื่องราวลี้ลับมากมาย รวมเอามาให้อ่านกัน ครับ
ขอขอบคุณ THE SHOCK เป็นอย่างสูง


หัวข้อ: Re: กระทู้ผีผี ชลบุรี
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 17 พฤศจิกายน 2007 09:26:49
ใครสนใจลงชื่อไว้เลยจ้า มี 2 คนล่ะ
ท่าน ปิ่นคนแรกเลย
ท่านที่ 2 ท่านเอคราบ

มี 2 คนและ หุหุหุ


หัวข้อ: Re: กระทู้ผีผี ชลบุรี
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 17 พฤศจิกายน 2007 09:30:36
ออลืมไปที่ใกล้เราก็ เขาสามมุขคับ ด้านซ้ายและขวา ขึ้นไปเลย (เคยไปแล้วไม่เจอะไร ไปกัน 6 คนไฟฉาย 2 กระบอก)
ว่างเราไปทัวกันก็ได้คับ หากไม่กลัวเกินไปท่านจะพบกับความงามยามราตรีบนยอดเขาสามมุขเลย (สวยจริงๆนะ)


หัวข้อ: Re: กระทู้ผีผี ชลบุรี
เริ่มหัวข้อโดย: ยูคุง ที่ 17 พฤศจิกายน 2007 10:37:01
 :emote :emote :emote


หัวข้อ: Re: กระทู้ผีผี ชลบุรี
เริ่มหัวข้อโดย: cosy ที่ 17 พฤศจิกายน 2007 10:54:20
ต้องพกถุงป่าว :emots กลัวเจอผีผ้าห่ม :emoty

2 ถุงกันพลาดนะ อะคุง ปิ่น


หัวข้อ: Re: กระทู้ผีผี ชลบุรี
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 17 พฤศจิกายน 2007 11:09:12
มีคนลงรายชื่อหลายคนแล้ว เหอเหอเหอ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ยูคุง ที่ 17 พฤศจิกายน 2007 12:22:43
 :emote :emote :emote


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: บุคคลทั่วไป ที่ 17 พฤศจิกายน 2007 12:39:13
เขาสาม มุข ไป ทุก อาทิตย์ เลย ตอน กลาง คืน ด้วย

ไม่ เห็น มี อะไร เลยยยย

หลอก เด็ก..........


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: 1300 ก็แค่นั้น ที่ 17 พฤศจิกายน 2007 13:12:23
เขาสาม มุข ไป ทุก อาทิตย์ เลย ตอน กลาง คืน ด้วย

ไม่ เห็น มี อะไร เลยยยย

หลอก เด็ก..........
ไม่รู้จะหลอกเด็กหรือคนแก่นะดิ :emots


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 17 พฤศจิกายน 2007 15:18:52
เขาสาม มุข ไป ทุก อาทิตย์ เลย ตอน กลาง คืน ด้วย

ไม่ เห็น มี อะไร เลยยยย

หลอก เด็ก..........
ไม่รู้จะหลอกเด็กหรือคนแก่นะดิ :emots

มันจะมีทางขึ้นตรงร้านอาหารข้างบน อยู่ 2 บันไดคับ ขึ้นไปดูได้ เอาไฟฉายไปพอคับ ไม่ได้หลอกนะอันี้จริงๆ  ส่วนอีกทางจะไปไหว้พระพุทธรูป มันมืดวิวสวย ตอนนั้นผมไปกันไม่เจอผี นะคับ แต่ชุดก่อนเขาบอกพอไปถึงจุดหินก้อนใหญ่ๆเขาเจอ ผู้หญิงยืนอยู่ตรงนั้นแล้วก็หายไปคับ (จะเชื่อหรือไม่ก็ได้นะ) มันก็ไม่มีอะไรหรอก ลองอ่านข้านบนกันดูก่อนคับ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: duck ที่ 17 พฤศจิกายน 2007 15:58:25
ให้เด็กหลอกได้ปะ :emo6 :emoi


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: 1300 ก็แค่นั้น ที่ 19 พฤศจิกายน 2007 08:22:40
ตกลงเจอป่ะปูน :emots :emotx


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 20 พฤศจิกายน 2007 09:44:26
งาบงาบงาบ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 20 พฤศจิกายน 2007 09:47:18
... :emots.... [RATE]


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: 1300 ก็แค่นั้น ที่ 20 พฤศจิกายน 2007 11:00:57
ปูมติดเรทแล้วอันตรายนะอาจโดนแบน(หรือกลมดี) :emotr :emotr


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 20 พฤศจิกายน 2007 11:12:04
ปูมติดเรทแล้วอันตรายนะอาจโดนแบน(หรือกลมดี) :emotr :emotr

แก้ไขแล้วคราบ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: 1300 ก็แค่นั้น ที่ 20 พฤศจิกายน 2007 12:34:19
 :emo2


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ยูคุง ที่ 20 พฤศจิกายน 2007 15:07:40
 :emotp :emotp


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 20 พฤศจิกายน 2007 15:15:36
เพิ่งตื่นหรอยู


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ยูคุง ที่ 20 พฤศจิกายน 2007 15:58:22
 :emoi :emoi


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: numdang01 ที่ 21 พฤศจิกายน 2007 12:29:11
น่าสนใจ เดี๋ยววันไหนไปชลจะต้องให้ปูนพาทัว :emo5 :emo5


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 21 พฤศจิกายน 2007 15:02:48
ใครสนจายผีขนุน ผีมะพร้าว มีออกทุกๆเช้า และค่ำๆ ณ
1.เขาสามมุข
2.ตำหนักน้ำ

ราคาทัว.... ไม่ถึง 1 พันบาท :emo15


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: T@tUnGkuNg ที่ 23 พฤศจิกายน 2007 04:01:03
เปนป๋มอันดับ 1 เลยขอพระก่อน แขวนคอ ไว้ก่อนเลย อิอิ  :emoth


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ^^warriorball^^ ที่ 23 พฤศจิกายน 2007 09:11:38
เขาสามมุขจามีสาวป่าวน๊า


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: 1300 ก็แค่นั้น ที่ 23 พฤศจิกายน 2007 09:27:32
เขาสามมุขจามีสาวป่าวน๊า
บอลจะไปดูผีสาวไง :emott


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 23 พฤศจิกายน 2007 09:44:40
วันพรุ้งนี้ คนส่วนใหญ่จะเจอ ผีทะเล(คอยเก็บเหรียญ) ผีผ้าห่ม (หลังจากลอยกระทงเสร็จกลับบ้านตอนนอนจะเจอโดยทันที สำหรับคนมีแฟน หรือแต่งงานแล้ว) ผีสาว (ค่อนข้างเยอะตามงานและเทศกาลทั่วไป นิยมแต่งตัวรัดกุม นุ่งห่มน้อยชิ้น จนทำให้คนต้องเข้าไปใกล้ชิด)  :emoty


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ^^warriorball^^ ที่ 23 พฤศจิกายน 2007 21:32:51
พุ่งนี้หวานผีทะเลอีกแย้วววว...


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ยูคุง ที่ 24 พฤศจิกายน 2007 01:32:42
วันพรุ้งนี้ คนส่วนใหญ่จะเจอ ผีทะเล(คอยเก็บเหรียญ) ผีผ้าห่ม (หลังจากลอยกระทงเสร็จกลับบ้านตอนนอนจะเจอโดยทันที สำหรับคนมีแฟน หรือแต่งงานแล้ว) ผีสาว (ค่อนข้างเยอะตามงานและเทศกาลทั่วไป นิยมแต่งตัวรัดกุม นุ่งห่มน้อยชิ้น จนทำให้คนต้องเข้าไปใกล้ชิด)  :emoty
ไปดูผีสาวกัน :emoth :emota :emov :emol :emov :emow


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 24 พฤศจิกายน 2007 08:14:32
ไปดูผีสาวกัน <<<<< ระวังโดนหม่ำนะ หุหุหุ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ^^warriorball^^ ที่ 24 พฤศจิกายน 2007 09:09:38
ไปดูผีสาวกัน <<<<< ระวังโดนหม่ำนะ หุหุหุ
ขอให้เปงผีสาวสวยละกานนน..อิอิ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 27 พฤศจิกายน 2007 08:13:39
เค้ามาทวงของ
สวัสดีค่ะ ดิฉันมีประสบการณ์สยองที่อยากจะร่วมแชร์ด้วยเรื่องนึง ขอตั้งชื่อ เรื่องว่า เค้ามาทวงของ ขอเล่าเลยนะ คะ เมื่อประมาณ10 กว่าปี เมื่อก่อนจะอยู่ กับคุณน้า และคุณน้าจะเป็นคนชอบสะสมกำไรเพชรเป็นชีวิตจิตใจมากกก...วันหนึ่งคุณ น้าไปเที่ยวบ้านเพื่อนสนิทที่บ้านเพื่อน ก็คุยกันเรื่องกำไรเพชรกันจนน้องสาวของ เพื่อนคุณน้าก็เอามาอวดให้ดูมีกำไรอยู่วงหนึ่ง สวยมากซึ่งน้าสาวก็เล็งเอาไว้ว่า ถ้ามีงานเลี้ยงครั้งต่อไปจะขอยืมไปใส่บ้าง...จนวันหนึ่งมีงานเลี้ยงคุณน้าก็โทร หาเพื่อนคนนี้เลยว่าขอยืมกำไรวงที่น้องสาวเพื่อนคุณน้าเอามาอวด เนื่องจากเป็น เพื่อนสนิทกันเพื่อนคุณน้าก็เลยให้ยืม หลังจากนั้นไม่นานน้องสาวของเพื่อนคุณน้า ก็ประสบอุบัติเหตุรถคว่ำ และคุณน้าก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องกำไรเลยเพราะช่วงนั้น กำลังยุ่งเรื่องงานศพน้องสาวเพื่อนคุณน้า...จนมีอยู่คืนหนึ่งซึ่งปกติดิฉันจะ นอนอยู่ห้องตัวเองแต่วันนั้นนึกยังไงก็ไม่รู้อยากไปนอนกับน้า ซึ่งในห้องจะมีคุณ ยายนอนข้าง ๆ คุณน้า ดิฉันจึงนอนที่พื้นข้าง ๆ คุณน้า

เวลาประมาณเกือบตีสาม คุณน้าเป็นอะไรก็ไม่ทราบอยู่ ๆก็ร้องกรี๊ดขึ้นมาดัง ลั่นว่า "แม่" แต่ดิฉันนอนข้าง ๆ คุณน้าแท้ ๆ แต่ไม่ได้ยินอะไรเลย และคุณน้าก็ ไม่ได้พูดอะไรหลังจากนั้นไม่นาน ดิฉันรู้สึกว่าร้อน ร้อนแบบตับจะแตกเลยทั้ง ๆ ที่เปิดแอร์ก็เลยดันผ้าห่มมาไว้ที่ปลายขา พอเปิดผ้ามาปุ๊บสิ่งที่ดิฉันเห็นคือ อะไรก็ไม่รู้คลุมด้วยผ้าขาวทั้งตัวสูงเท่าตู้เสื้อผ้าซึ่งตู้เสื้อผ้าอยู่ปลาย เตียงพอดี ถ้าเป็นเสื้อก็จะต้องเห็นไม้แขวนและเสื้อคนไม่ยาวเท่าขอบตู้เสื้อผ้า ด้านบนจรดพื้นหรอก ดิฉันร้องไม่ออก รีบดึงผ้าขึ้นมาคลุมโปงแต่...ดิฉันหลับไม่ลง เพราะเมื่อหลับตาทีไรดิฉันเห็นสิ่งที่คลุมด้วยผ้าขาวอยู่นั้นเป็นผู้หญิงผมยาว ยิ้มปนหัวเราะด้วยใบหน้าที่ค่อนข้างดุ ดิฉันนอนตัวแข็งจนขยับตัวไปมาไม่ได้เลย อึดอัดมากจนเวลาประมาณตีห้า ดิฉันได้ยินเสียงกอกแก๊ก เลยตะโกนเรียกยาย ยายถาม ว่าเป็นอะไร ก็เลยถามว่ายายเห็นอะไรปลายเตียงไหม ยายบอกว่าไม่มีอะไรคิดไปเองและ ยายก็ไม่พูดอะไรอีก จนสายของวันถัดไปดิฉันก็เล่าให้น้าฟัง คุณน้าบอกว่า ช่วงที่ คุณน้าร้อง "แม่" คุณน้าเห็นผู้หญิงคนนั้นเค้ามาทวงกำไรเพชรคืน เค้ามายืนอยู่ ข้างเตียงตรงประมาณหัวดิฉันพอดี เค้าก้มหน้าลงมามองน้าดิฉัน เมื่อน้ามีความ รู้สึกเหมือนมีอะไรจ้องเค้าอยู่ ก็เลยลืมตาขึ้นและก็เห็นเธอคนนั้น และจึงร้อง ด้วยความตกใจซึ่งดิฉันไม่ได้ยินอะไรเลย และดิฉันก็เล่าให้น้าฟังด้วยว่าดิฉันก็ เห็นเธอคนนั้นที่ปลายเตียงหน้าตู้เสื้อผ้า ส่วนยายเล่าให้ฟังว่า ยายเห็นเธอผู้ นั้นกำลังลอยออกไปทางประตูระเบียงซึ่งดิฉันขอยืนยันได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่เกิด ขึ้นจริงที่เกิดพร้อมกันกับคุณน้า คุณยายและดิฉันแต่คนละเวลากัน ซึ่งดิฉันยังจำ ติดตาถึงผู้หญิงคนนั้น และก็ไม่อยากเจออีก หลังจากวันนั้นคุณน้าก็รีบเอากำไร เพชรไปคืนเพื่อนสนิทและก็เเร่องที่ประสบมาให้ฟัง ซึ่งขนลุกทีเดียว


จากคุณ น้องปู ผู้ชมส่งมา
ที่มารายการไนตี้ช็อค


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: O(><)BRABIE(><)O ที่ 27 พฤศจิกายน 2007 16:10:08
จิงป่าว หว่า....บ้านใกล้ด้วยเสะ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ยูคุง ที่ 28 พฤศจิกายน 2007 00:33:21
 :emotyขยันหาเรื่องผีมาเล่าจิงนะ......................


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 28 พฤศจิกายน 2007 08:24:01
Horror Diary
วันที่ 17 ธันวาคมเป็นวันเกิดของเพื่อนฉัน เราไปฉลองวันเกิดกันที่ร้านอาหารกึ่งผับในตัวเมือง หลังจากไปส่งเพื่อนที่บ้านแล้ว ฉันก็ขี่รถมอเตอร์ไซต์กลับบ้านตามปกติ ตอนนั้นน่าจะประมาณ 5 ทุ่มครึ่งได้ บ้านฉันอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง ก่อนจะถึงทางเข้าหมู่บ้าน ฉันจะต้องผ่านสวนสาธารณะขนาดย่อมๆ แห่งหนึ่งทุกครั้ง และใกล้กับสวนสาธารณะจะเป็นวัด ปกติฉันกลับบ้านค่อนข้างดึกอยู่แล้ว แต่เวลากลับจะพยายามเลี่ยงไม่ผ่านไปถนนที่ติดกับวัดเพราะมันค่อนข้างเปลี่ยว แต่วันนี้ ฉันเลี้ยวรถมาโดยไม่ได้ตั้งใจและอากาศก็หนาวเกินกว่าจะกลับไปอ้อมมาอีกทาง ฉันขี่รถมาเรื่อยๆ จนถึงโค้งวัด... หมาหลายตัวไม่รู้ว่ามาจากไหน วิ่งไล่กันออกมาจากข้างทาง ฉันบีบแตรไล่มัน บางตัวก็หลบแต่บางตัวไม่ หมา2-3ตัวหอนขึ้นมาพร้อมกัน ฉันไม่ได้สนใจพวกมันนัก แต่เพื่อความปลอดภัยฉันก็เตะขาเหยียบด้านหลังที่มีไว้สำหรับคนซ้อนขึ้น เหตุที่ต้องทำอย่างนี้ก็เพราะ ที่สวนสาธารณะแห่งนี้เป็นบึงเก่า พวกที่ชอบกินเหล้าแล้วเมาตกลงไปตายก็หลายคน มีอยู่วันนึงเด็กโรงเรียนประจำจังหวัดซึ่งเป็นรุ่นพี่ของฉัน ขี่มอเตอร์ไซต์กลับบ้านทางนี้เหมือนกัน แต่ตอนนั้นมันไม่ดึกเท่านี้หรอก น่าจะซักประมาณ 3 ทุ่มได้ พี่เค้าเล่าว่าขี่มอเตอร์ไซต์อ้อมบึงมาเรื่อยๆ ก็รู้สึกประหลาดใจว่าทำไมไม่หลุดจากถนนรอบบึงสักที แล้วรถที่แล่นมาค่อนข้างเร็วก็หนักขึ้นเรื่อยๆ..และมากขึ้นเรื่อยๆ... พี่คนนี้แกเป็นคนกลัวผี แกก็นึกไปว่ามีผีมานั่งกับแกรึเปล่า ด้วยความกลัว แกก็เลยลองเตะขาเหยียบด้านหลังขึ้น (พอถามแกว่าทำไมถึงคิดว่าวิธีนี้จะได้ผล..แกบอกว่าแกไม่รู้ รู้แต่ว่าแกรู้สึกว่าแกควรจะทำแบบนี้ในเวลานั้น) ทันทีทันใดนั้นแกบอกว่ารู้สึกวูบมองอะไรไม่เห็นไปชั่วอึดใจหนึ่ง แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองเปียก จากนั้นก็ได้ยินสียงคนโหวกเหวกโวยวายรอบตัวแก แล้วก็รู้สึกเหมือนถูกดึงขึ้นมา พอตั้งสติแล้วมองไปรอบๆ ก็เห็นชาวบ้านกำลังช่วยกันลากตัวแกขึ้นมาจากบึง อีกกลุ่มก็กำลังช่วยกันลากรถมอเตอร์ไซต์ของแกขึ้นมาด้วยเหมือนกัน พี่คนนี้แกทั้งงงทั้งตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ มีเสียงคนถามแกว่าแกนึกยังไงถึงขี่รถลงบึง เพราะมีชาวบ้านแถวนั้นตั้งวงกินเหล้ากันอยู่แล้วก็เห็นแกตั้งแต่แกขี่รถอ้อมบึงแล้วขี่ลงบึงไปนั่นแหละ เค้าถึงพากันลงไปช่วยแกทัน ตั้งแต่นั้นมาพวกเราที่ได้ฟังเรื่องนี้เวลากลับบ้านดึกๆ หรือจำต้องขี่รถผ่านพื้นที่เสี่ยง (...เสี่ยงต่อการถูกผีหลอก ฯลฯ) ก็จะพากันเตะขาเหยียบด้านหลังขึ้นโดยอัตโนมัติ....จบ เอ๊ยยย...ไม่ใช่ อันนั้นมันเรื่องที่ฉันนึกขึ้นได้ตอนที่กำลังผ่านสวนสาธารณะนี้ (ก็บึงเก่าที่ว่ามานั่นแหละ) ในคืนนี้ต่างหาก หลังจากหลบฝูงหมาประหลาดนั่นมาได้แล้วอย่างปลอดภัย ฉันก็โล่งใจเพราะทางข้างหน้ามีไฟสว่างไสวไม่น่ากลัว แต่ฉันคิดผิด... ใกล้จะถึงหมู่บ้านจัดสรรจะมีทางรถไฟอยู่ ถนนช่วงทางรถไฟนี้จะค่อนข้างขรุขระ รถทุกคันจะชะลอตรงนี้เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับตัวรถและอวัยวะภายในของคุณ ด้านข้างของถนนจะมีท่อปูนกลมๆอันใหญ่ คุณนึกออกไหม ที่เป็นท่อซีเมนต์น่ะ วางอยู่ข้างทาง 2-3 อัน ฉันขี่รถมาจนถึงทางรถไฟก็เลยชะลอรถให้ช้าลง ตาก็มองไปเรื่อยเปื่อยมองซ้ายมือเป็นท่อซีเมนต์ ทีแรกก็ไม่ได้สนใจ เพราะฉันเห็นเป็นวัตถุอะไรสักอย่างอยู่บนท่อซีเมนต์นี้ ฉันเข้าใจว่าเป็นขยะที่ชาวบ้านแถวนี้เอามากองทิ้งไว้รึเปล่า ตาเจ้ากรรมมันดันหาเรื่องน่ะสิ พอหันไปมองเต็มๆ มันไม่ใช่ขยะ... แต่ที่ฉันเห็นน่ะเป็นผู้ชายแก่ แล้วก็ผอมมากๆ อืมม..ผอมเหมือนพวกเอธิโอเปียที่คุณเคยเห็นในนิตยสารนั่นแหละ เนื้อตัวสกปรกมอมแมม และมีสีแดงๆเหลืองๆคล้ำๆดูเหนียวๆทั่วตัว ชายตนนี้นั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งและก้มหน้าอยู่บนท่อซีเมนต์นั่นแหละ ฉันรับรู้ด้วยสัญชาตญาณว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติ และนี่ไม่ใช่คน ฉันคิดว่าตับไตใส้พุงฉันคงจะอักเสบไปแล้วหลังจากที่บึ่งรถกลับบ้านแบบที่ถนนบนดวงจันทร์ก็หยุดฉันไม่ได้ น้ำตาฉันไหลออกมาตอนที่ฉันถึงบ้านแล้ว ใจหายวาบขนหัวลุกตลอดเวลา รู้สึกทั้งเศร้าและกลัวในขณะเดียวกัน มันเป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ได้ ฉันคิดว่าคนที่เคยเจอผีของจริงน่าจะรู้ว่ามันเป็นยังไง หรืออาจจะรู้สึกต่างออกไป แต่เวลาที่ฉันเจอ อาการเหล่านี้จะปรากฏออกมา และฉันไม่เคยชอบมันเลยจริงๆ ฉันอาบน้ำและเข้านอน พยายามปลอบใจตัวเองว่าฉันอาจจะตาฝาด พอตอนเช้าไปทำงานฉันผ่านทางเดิม ท่อปูนพวกนั้นยังตั้งอยู่ที่เดิม แต่มันตั้งอยู่น่ะ คุณนึกภาพออกไหม ท่อปูนที่ถูกตัดเป็นท่อน ถ้ามันอยู่ในแนวนอนคุณจะลอดเข้าไปนั่งเล่นได้ แต่ถ้ามันตั้งอยู่มันจะกลวงตรงกลาง และนอกจากว่าคุณจะเอาไม้มาพาดบนปากท่อคุณถึงจะนั่งอยู่บนนั้นได้...เมื่อคืนนี้ไม่มีอะไรพาดอยู่บนปากท่อ แต่ชายตนนั้นนั่งได้ !!!




จากคุณ สุดารัตน์ ผู้ชมส่งมา
ที่มารายการไนตี้ช็อค


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ยูคุง ที่ 28 พฤศจิกายน 2007 11:10:46
 :emotr :emotr :emotr


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 29 พฤศจิกายน 2007 08:03:47
ใครอยู่ในห้องพิเศษ?
สวัสดีคับผมมีเรื่องจะมาเล่าครับ เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมโดยตรงครับในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรีครับ มันเกิดขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ.2546 ซึ่งตอนนั้นพี่ของผมประสบอุบัติเหตุรถชนครับ อาการก็หนักพอดูคับ ต้องเข้ารับการผ่าตัดหลายรอบกว่าอาการจะดีขึ้น ช่วงนั้นผมเลยต้องนอนเฝ้าพี่ผมเกือบทุกวันครับ คนที่ไปเฝ้าก็จะมีเพื่อนผมและพี่อีกคนครับ โดยส่วนใหญ่พวกผมจะเฝ้ากันตอนกลางคืนครับ เพราะเหมือนได้นอนแอร์ไปในตัวด้วยครับเลยอาสากันว่าจะเฝ้าช่วงดึกกัน ในวันที่เกิดเหตุเพื่อนผมและพี่อีกคนชวนกันไปหาของกินกันข้างนอก จึงเหลือผมอยู่กับพี่ที่ป่วย ตอนที่เกิดเหตุเป็นเวลาประมาณซัก สองทุ่มกว่าถึงสามทุ่มกว่า ระหว่างพี่ผมที่ป่วยก็ดูทีวีอยู่ ส่วนผมว่าจะออกไปรับลมที่ระเบียงซักหน่อย เพราะว่าโรงพยาบาลมันอยู่ติดทะเลครับ ลมมันเย็นดี ผมก็ออกไปที่ระเบียง ระหว่างนั้นผมก็คิดไปเรื่อยเปื่อยดูวิวไปพลางๆ และด้วยความอยากรู้อยากเห็นของผม ผมเลยชะเง้อคอไปดูห้องข้างๆ ห้องที่ติดกันซึ่งเป็นห้องพิเศษที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและอยู่ติดทะเลที่สุด( ซี่งวิวจะสวยมากถ้ามองจากห้องพิเศษนี้) ผมเห็นไฟมันเปิดอยู่เลยอยากดูชัดๆว่าห้องมันใหญ่และสวยขนาดไหน ทันใดนั้นผมก็เห็นว่ามีคนป่วยพักอยู่ในห้องนี้ครับ เพราะผมเห็นเขากำลังนอนดูทีวีอยู่ ซึ่งผมจำได้แม่นเลยครับว่าเขาใส่ชุดคนไข้และกำลังดูละครของช่อง 7 อยู่ เพราะผมเห็นโลโก้ 3 ห่วง ของช่อง 7ในทีวีได้ชัดเจนมากครับ และทันใดนั้นผมก็ต้องตกใจถึงกับหันหน้ากับออกมาจากห้องนั้นทันทีครับ เพราะว่าคนใข้คนนั้นหันมามองผม ด้วยความที่กลัวเขาจะว่าเอาว่ามาแอบดูอะไร ผมเลยต้องรีบหลบหน้าหนีทันทีครับ หลังจากนั้นผมก็กลับเข้ามาที่ห้องครับ และก็มานั่งดูละครช่อง 7 ระหว่างที่ดูไปผมก็คุยกับพี่ผมที่ป่วยไปพลาง และผมก็บอกกับพี่ผมว่าเมื่อสักครู่ แอบไปดูห้องข้างๆมา เห็นมีคนนอนอยู่เลยหันหน้ากับมา ทันทีนั้นพี่ผมก็บอกว่า อ่าวมีคนนอนห้องพิเศษด้วยเหรอ มันไม่มีไม่ใช่เหรอ (พี่ผมจะรู้ครับเพราะว่าตอนที่เข้ามาใหม่ๆ ตอนแรกพี่ผมก็จะขอพักที่ห้องนั้น แต่พอดีทางโรงพยาบาลบอกว่ายังไม่สามารถพักได้เลยต้องมาพักห้องนี้แทน) ผมก็บอกว่า อ่าวก็เมื่อกี้ยังเห็นเขามองมาเลย ระหว่างนั้นพี่อีกคนกับเพื่อนผมก็กลับมาพอดี ผมเลยเล่าเรื่องให้เขาทั้งสองฟัง พอดีช่วงนั้นพยาบาลเข้ามาเช็ดตัวพี่ผมพอดี เพื่อนผมจึงเล่าเรื่องดังกล่าวให้พยาบาลฟัง ทันใดนั้นผมก็ต้องถึงกับตกใจเป็นอย่างมากครับ เมื่อพยาบาลบอกว่าห้องพิเศษปิดปรับปรุงอยู่ ไม่ได้ให้คนใข้เข้าพักมา 3 เดือนแล้ว ซึ่งผมก็แย้งกับทันทีเลยว่าผมเห็นมากับตาครับ ผมยังจำโลโก้ 7 สีได้ชัดเจนถนัดตากับสายตาที่เขาหันมามองผม พยาบาลได้ยินที่ผมเล่าจึงบอกว่าถ้าไม่เชื่อก็มาดูว่าห้องยังล๊อคกุญแจอยู่เลย แล้วเมื่อผมไปดูก็ปรากฏว่าห้องล๊อคจริงๆคับ ถึงยังไงก็ตามผมก็ยังยืนยันกับพยาบาลอยู่ครับว่าผมเห็นจริงๆ พยาบาลจึงตัดสินใจเปิดประตูห้องพิเศษและให้ผมเข้าไปดู ทันทีประตูเปิดออกก็จะเห็นว่าไฟปิดหมดทุกดวง ซึ่งต่างจากที่ผมเห็นเมื่อสักครู่ว่าไฟมันเปิด ผมขนลุกทันที และที่สำคัญผมยังโดนพยาบาลต่อว่าอีก ว่าอยากมาหลอกให้พี่กลัวนะ อย่าเป็นเด็กเลี้ยงแกะได้ไหม ห้องนี้เขาไม่ให้พักมา 3 เดือนแล้ว ผมได้ยินดังนั้นผมก็รู้สึกโมโหเป็นอย่างมากเพราะผมยังจำภาพที่ผมเห็นได้แม่น ไม่รู้ผมจะหลอกไปเพื่ออะไร โลโก้ 7 สี เห็นจ่ะๆกับสีหน้าที่หันมามองผม และผมสงสัยจริงๆว่าใครกันแน่ที่ในห้องพิเศษ ไม่มีใครบอกผมได้แม้กระทั่งพยาบาล เรื่องที่ผมจะเล่าก็มีเท่านี้ละครับ เป็นประสบการณ์ตรงที่เจอมากับตัวเอง




จากคุณ นิว


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 04 ธันวาคม 2007 08:44:35
ตัวตายตัวแทน
สวัสดีค่ะ พี่ ๆ ทีมงานทุกคน น้องชื่อต้าค่ะ อยู่ที่สมุทรสาคร วันนี้ต้ามี เรื่องหนึ่งจะมาเล่านสู่กันฟังค่ะ เรื่องนี้เกิดขึ้นกับต้าเมื่อวันที่ 24 พ.ย 2547 ค่ะ เรื่องก็มีอยู่ว่า ต้าเป็นนักเรียนเอกชนโรงเรียนหนึ่งใน จ. นครปฐม ค่ะ ต้ามีเพื่อนอยู่ 2 คนเป็นผู้ชายหนึ่งคน ผู้หญิงหนึ่งคน ทั้งคู่เขา เป็นแฟนกัน ก่อนวันเกิดเหตุนั้นต้าได้ไปทำการเเสดงที่พระปฐมเจดีไปกับเพื่อน ทั้งสองคนและก็มี รู่นน้องอีกคนหนึ่ง ในคืนนั้น เพื่อนชายของต้าเขาบอกว่า เขา เป็นอะไรไม่รู้อยากที่จะขึ้นไปไหว้พระบนองค์พระปฐมเจดี แต่เพื่อนหญิงของต้าที่ เป็นแฟนเขาบอกว่าพรุ้งนี้เเล้วกันเพราะพรุ้งนี้ก็มาอีก แต่พอเดิน ๆ ไป อยู่ ๆ สร้อยคอที่แขวงพระของเพื่อนชายต้าก็ขาดโดยไร้สาเหตุ แต่วันนี้นต้ารู้สึกง่วง นอนก็เลยขอตัวกลับบ้านพร้อมกับรุ่นน้องอีกคนหนึ่ง ปล่อยให้ทั้งคู่เดินเที่ยวต่อ แต่วันนี้นต้าเป็นอะไรไม่ทราบคือแบบว่ามันอยากจะโทรหาเพื่อนชายของต้ามาก เหมือนมีลางสังหรณ์ไม่ดีสักอย่าง แต่ต้าก็หยิบโทรศัพท์หลายครั้งแต่ก็ไม่โทร ด้วยความเหนื่อยต้าก็เลยอาบน้ำนอน พอเช้าขึ้นมานั้น ความรู้สึกกังวลนั้นก็ยัง ไม่หายไปต้าก็ยังอยากจะโทรหาเพื่อนชายและบอกว่าให้ไปโรงเรียนเช้า ๆ หน่อย แต่ ต้าโทรไปก็โทรไม่ติด ต้าก็เลยตัดสินใจไปเรียนพร้อมกับเพื่อนรู่นน้องอีกคนหนึ่ง พอถึงโรงเรียน ต้าก็จะนั้งรถเข้าโรงเรียนค่ะ เพราะทางเข้ากับตัวโรงเรียนไกล กันมาก แต่พอถึงโรงเรียนได้ไม่เท่าไรค่ะ เพื่อนของต้าโทรเข้ามาบอกว่าเพื่อนต้า ทั้งสองคนถูกรถชน ด้วยความตกใจต้าออกไปดูอาการเพื่อนทั้งสองของต้า ปรากฎว่า เพื่อนชายของต้าตายค่าที่ค่ะ ด้วยอาการก้านสมองหัก กระดูกหักทั้งตัวค่ะ แต่ ที่น่าแปลกทีสุดก็คือว่า วันนี้เป็นวันสถาปนาลูกเสือของโรงเรียนต้าค่ะ และที่ สำคัญ ก็คือว่า ตรงนั้น ทุกปีจะมีเด็กในโรงเรียนตายทุกปี และตายด้วย อุบัติเหตุเหมือนกันทุกคน และที่น่าแปลกไปกว่านั้น ก็คือ ตายในชุดลูกเสือ เหมือนกันด้วยค่ะ แต่ก่อนที่เพื่อนต้าคนนี้จะตาย ก็เหมือนมีลางบอกไว้ก่อนแล้ว ด้วยค่ะ เรื่องของต้าก็มีแค่นี้แหละค่ะ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 06 ธันวาคม 2007 16:58:02
เสียงเคาะปริศนา
สวัสดีค่ะ เรื่องที่ 2 ที่จะเล่านี้เจอมากับตัวเองเมื่อต้นปี 2548 ตอนนั้นไปทำงานรับเหมาค่ะ ก็ต้องไปทำงานในโรงงานผลิตชื่อดังแห่งหนึ่งย่านปทุมธานี ซึ่งฝั่งหนึ่งของโรงงานนี้ติดกับหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ก็จะมีบ้านเรียงรายติดกับรั้วโรงงาน ซึ่งออฟฟิศชั่วคราวของดิฉันก็จะเป็นเหมือนตู้คอนเทนเนอร์(น่าจะเคยเห็นนะคะ)แล้วก็ิติดแอร์ มีหน้าต่างเล็กๆ ส่วนห้องน้ำก็อยู่ด้านนอกข้างๆออฟฟิศ ออฟฟิศนี้ก็อยู่ห่างจากกำแพงหมู่บ้านนั้นเพียง 2-3 เมตร ส่วนไซท์งานห่างออกไปอีกฝั่งหนึ่ง ตรงกลางมีสนามฟุตบอลคั่นค่ะ ที่ต้องตั้งออฟฟิศห่างๆเพราะไซท์งานมีวัตถุไวไฟซึ่งอันตรายจึงไม่อยากให้มีคนและรถพลุกพล่าน ตรงนั้นจึงให้มีแต่คนงานเท่านั้น ส่วนใหญ่เราก็จะทำงานกันกลางคืนค่ะเพราะคนในโรงงานจะน้อย ทำงานสะดวกกว่า เย็นวันหนึ่งดิฉันก็อยู่ในออฟฟิศซึ่งก็ตรงกับบ้านหลังหนึ่งพอดี ก็มองผ่านหน้าต่างออกไปสังเกตว่ามีต้นไม้ใบหญ้าเยอะ มีไม้เลื้อยไปตามตัวบ้านและหน้าต่าง คิดว่าเป็นบ้านร้างค่ะ แต่ตัวบ้านก็ยังไม่เก่าเท่าไร ส่วนบ้่านหลังอื่นๆก็มีคนอยู่อาศัยปกติค่ะ ตอนนั้นไม่รู้อะไรดลใจให้ยืนมองบ้านหลังนี้อยู่นานประมาณ 10 นาทีค่ะ ผ่านไปจนเวลาค่ำ ดิฉันก็กลับเข้ามานั่งรอในออฟฟิศอีกครั้ง ไม่มีอะไรทำเลยนั่งเล่นเกมในมือถืิอฆ่าเวลาโดยหันหลังพิงผนัง ส่วนหน้าต่างก็จะอยู่ตรงหัวของดิฉันพอดี สักพักก็มีเสียงเคาะหน้าต่าง ก๊อกๆๆ ดิฉันก็หันไป แต่ด้วยความมืดก็มองไม่เห็นด้านนอกค่ะ มันก็จะเหมือนกระจกสะท้อนกลับจึงเห็นตัวเองและภายในออฟฟิศซึ่งเปิดไฟสว่างอยู่ ดิฉันก็ไม่ได้คิดอะไรก็หันกลับมานั่งเล่นเกมต่อ อีกแป๊บนึงก็มีเสียงเคาะที่หน้าต่างอีก ก๊อกๆๆ เหมือนเดิม ตอนนี้หันไปนิดนึงค่ะแต่ไม่ได้หันไปมองเต็มๆเหมือนครั้งแรกเพราะนึกขึ้นได้ว่าทีมงานคงมาแกล้ง เพราะการจะมาเคาะหน้าต่างได้ต้องเดินออ้มมาด้านหลังค่ะ ฝั่งตรงข้ามหน้าต่างจะเป็นประตูซึ่งเข้าสะดวกอยู่แล้ว ดิฉันก็เลยไปเปิดประตูมองหาว่าใครมาแกล้ง ก็ออกมาเจอคนงานยืนหน้าห้องน้ำอยู่ 1 คนและอีกคนกำลังเข้าห้องน้ำค่ะ แต่คนงานพวกนี้ไม่กล้าเล่นหัวกับดิฉันแน่นอนแล้วอีกอย่างเขาไม่มีทางวิ่งจากหน้าต่างไปยังห้องน้ำได้ทันก่อนที่ดิฉันจะเปิดประตู ดิฉันก็เลยมองหาคนอื่นๆรอบๆก็ไม่พบใคร ก็สำรวจว่าจะมีกิ่งไม้หรืออะไรบางอย่างที่อาจกระทบหน้าต่างให้เกิดเสียงได้ไหม มองดูก็ไม่มีอะไรเลยค่ะ แล้วตอนนี้ก็นึกถึงบ้านหลังนั้นขึ้นมาทำให้เริ่มใจไม่ดีแล้วค่ะ แต่ก็ยังปลอบตัวเองว่าคงบังเอิญแล้วก็กลับเข้าไปนั่งในออฟฟิศเหมือนเดิม แป๊บเดียวค่ะก็มีเสียงเคาะหน้าต่างอีก ก๊อกๆๆ เป็นครั้งที่ 3 ดิฉันก็อยู่ไม่ได้เลยค่ะเลยหนีเข้าไปในไซท์งานเพราะทุกคนอยู่ที่นั่นหมดค่ะ ตอนนั้นขนลุกซู่เลยค่ะ แต่ก็ไม่ได้บอกใครที่นั่น พอรุ่งขึ้นดิฉันก็รีบไปสำรวจหน้าต่างออฟฟิศแต่เช้าเลยค่ะ มาดูตอนกลางวันจะได้เห็นชัดๆว่าเสียงเกิดจากอะไรเพราะปลอบใจตัวเองว่าออกมามองตอนกลางคืนเราอาจมองไม่เห็นที่มาของเสียงก็ได้ แล้วปรากฎว่าก็ไม่มีอะไรที่จะมาทำให้เกิดเสียงได้เหมือนเดิมค่ะ ตอนนั้นเสียวสันหลังวาบเลยค่ะ แต่ก็คิดถึงบ้านหลังนั้นว่าอาจจะมีใครจากบ้านหลังนั้นมาทักทายเราก็ได้ดิฉันก็เลยระลึกในใจค่ะว่าดิฉันรับทราบแล้วค่ะ แล้วหลังจากนั้นก็ไม่เคยมีอะไรแปลกๆอีกเลยค่ะ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 07 ธันวาคม 2007 11:32:43
ผีที่โรงแรมชะอำ
ครับผมมีเรื่องเล่าจากประสบการณ์ที่ผมไปเที่ยวฟังแล้วอาจเหมือนเรื่องแต่งแต่มันคือเรื่องจริง

วันศุกร์ที่ 3 มีนาคม ศ.ศ.2000หรื พ.ศ.2543 ผมได้ไปเที่ยวกับเพื่อนๆที่ชะอำ ในช่วงปิดเทอม ป.6 ผมและเพื่อนๆได้นัดกันไปโดยบอกพ่อแม่ว่า"พ่อแม่เพื่อนเขาพาไปเที่ยวเดี๋ยววันอาทิตย์จะกลับตอนบ่ายๆ"

พอผมถึงที่นั้นก็ด้วยตามภาษาเด็กก็ต้องวิ่งไปหาทะเลอย่างแรกผมเล่นน้ำกับเพื่อนประมาณ6-7คนพอถึงบ่ายพวกผมก็ไดเข้าไปอาบน้ำที่โรงแรมที่หนึ่งตอนนี้ผมก็จำไม่ได้แล้วด้วยรู้แต่ว่าเป็นโรงแรม2ดาวเก่าแก่และดูโทรมมาก อันเนื่องมาจากพ่อแม่ของปอคนที่เป็นเจ้ามือนั้นมีงบประมาณไม่ค่อยมากเราจึงไม่กล้าที่จะเข้าโรงแรมที่มันหรูมากนัก

ในช่วงที่ผมนั้นกำลังอาบน้ำอยู่ผมรู้สึกว่าเหมือนมีใครมองผมตลอดเวลาทั้งๆที่ในห้องนั้นมีตัวผมอยู่คนเดียวห้องที่ผมกับหนึ่งเพื่อนที่รวมเดินทางมาด้วยอยู่ชั้น2จำได้ว่าห้อง204นี้แหละ พอผมอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยผมก็ลงมากินอาหารเย็นริมชายหาดกัน"หนึ่ง ตั้งแต่เรามาที่โรงแรมนี้เรารู้สึกแปลกๆว่ะ"ผมพูดกับหนึ่งในขณะที่มือมันก็ยังถือจานอาหารรวมถึงอาหารที่ปากมันอีกด้วย"อืมอ้าอ็อู้อึกเหอือนอัน"มันพูดในขณะที่อาหารเปฃต็มปากเต็มคำ แต่ผมก็ฟังมาเป็นศัพท์จับมากระเดียนว่า"อืมข้าก็รู้สึกเหมือนกัน" พอตกประมาณ3ทุ่มกว่าพวกผมก็ไปที่ห้องของตนเพื่อไปพักผ่อนด้วยความเหน็ดเหนื่อยผมจึงเผลอหลับไปในขณะที่นอนนั้นผมรู้สึกว่าเหมือนมีคนจับแขนข้างซ้ายของผม ตอนแรกผมก็นึกในใจว่าคงเป็นมือของหนึ่งมั่งผมจึงทำเป็นไม่สนใจแต่เช้าวันต่อมาหนึ่งบอกผมว่า"กั้ง แกเอาขามาพลาดที่ท้องข้าทำไมว่ะ""เฮ้ยเปล่าข้าไม่ได้ทำ แล้วแกทำไมต้องจับมือข้าตอนกลางคืนด้วยว่ะ"ผมพูด"เปล่าน่ะเว้ย"พอทะเลาะกันสักพักก็รู้สึกว่าต่างคนต่างก็ไม่โกหกหรอกเพราะเราซี้กันมานานคืนนั้นผมได้เอาหมอนข้างกั้นกลางไว้กันเพื่อว่าจะเอามือเอาเท้ามาพลาดกันอีกแต่ในขณะที่ผมนอนนั้นตอนประมาณต๊2ผมได้ยินเสีลงอาบน้ำที่ห้องอาบน้ำข้างๆผมก็คิดใจใจว่า"หนึ่งมันจะขยันมาอาบน้ำอะไรเอาตอนนี้ว่ะ"แต่พอผมมองที่ข้างหนึ่งยังนอนอยู่ข้างๆผมแล้วใครล่ะที่อยู่ในห้องน้ำผมพยายามใช้ห่งตามองไปที่ห้องน้ำตอนนั้นห้องน้ำยังเปิดไฟอยู่ผมก็เห็นเงาจากอีกที่กหนึ่งไปอีกที่หนึ่งผมรีบหันหน้ากลับและพยายามข่มตานอนจนเช้าผมขอกลับก่อนใครเพื่อนอันเนื่องมาจากความที่ผมเจอดีเข้าเมื่อคืนจึงไม่อย่างอยู่ต่อเช้าวันอาทิตย์ หนึ่งได้โทรมาหาผมและบอกว่ามันก็เจอดีเข้าแล้วเหมือนกันในขณะที่มันกำลังเก็บของะกลับบ้านนั้นมันได้ยินเสียงร้องไห้มาจากใต้เตียงมันจึงรีบวิ่งหนีออกไป

ตัวผมมาทราบตอนหลังว่าห้องนั้นเคยมาเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกผมตายในห้องนั้นส่วนสาเหตุการตายนั้นมาจากเด็กผู้ชายคนนั้นลื่นหัวฟัดกับน้ำในอ่างทำให้ตัวเด็กหมดสติลงไปในอ่างและจมน้ำตายในที่สุด




จากคุณ วรกร จ.กาญจนบุรี ผู้ชมส่งมา


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: 1300 ก็แค่นั้น ที่ 07 ธันวาคม 2007 13:21:19
เค้ากลัวจังเลย ผีกระชากหัว :emots (คงเจ็บน่าดู) :emota
(http://images.temppic.com/07-12-2007/images_vertis/1197009383_0.67616600.jpg) (http://www.temppic.com/img.php?07-12-2007:1197009383_0.67616600.jpg)


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 07 ธันวาคม 2007 16:18:01
ลองผวนสิ อืมอยากจะกระชากเหมือนกันนะ คริคริ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ^^warriorball^^ ที่ 07 ธันวาคม 2007 18:36:30
มีไรให้ลองอีกแว้วววว...


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 08 ธันวาคม 2007 13:26:38
ผีที่ค่าย
ผมพึ่งอายุ14ปีได้ไปเข้าค้ายที่จ.สระบุรีมา ผมได้พบกับประสบการณ์แปลกๆที่ค่าย วันแรกที่ไปพวกผมและเพื่อนๆสนุกกันมาก คืนแรกผ่านไปอย่างไม่มีเหตุการณ์ใดที่น่ากลัวเลย คืนวันต่อมามีการชุมนุมรอบกองไฟ รอบกองไฟก็จะมีต้นงิ้วต้นใหญ่อยู่ต้นหนึ่งซึ่งแปลกมาก เพราะต้นงิ้วนี้มีอยู่ต้นเดียวเท่านั้น ( ขอบอกก่อนว่าผมไม่เคยเห็นต้นงิ้วมาก่อนเคยเห็นแต่ในการ์ตูนที่เป็นต้นที่มีหนามเยอะๆ แต่ของจริงกับมีแต่กิ่งใหญ่และดอกสีแดง ) ผมได้สังเกตุเห็นอะไรบ้างอย่างเป็นเงาดำๆอยู่บนต้นไม้พาดอยู่บนกิ่งด้วยความที่ผมสายตาสั้นผมเลยคิดว่าผมเห็นเป็นใบไม่ทับกิ่งอยู่ผมเลยไม่คิดอะไร ผมเห้นอย่างนี้มาตลอดจนจบรอบกองไฟ พอจะแยกย้ายเข้าห้องนอนเพื่อนผมที่อยู่คนละห้องก็เล่าให้เพื่อนๆฟังว่า ก่อนจะจบพิธีรอบกองไฟเขาเห็นเด็กผู้หญิงนั่งจ้องหน้าเขา นั่งอยู่บนต้นไม้ และ ทำท่าว่าจาเอาหัวลงจากต้นไม้ ผมก็เลยคิดถึงสิ่งที่ผมเห็น ผมเลยถามเพื่อนผมว่า เห็นอยู่ตรงไหนของต้นไม้ บริเวณที่เพื่อนผมบอกทำให้ผมตกใจ เพราะเขาบอกในบริเวณที่ผมเห็นเลย ผมก็เลยเราเรื่องที่ผมเห้นให้เพื่อนๆฟัง เพื่อนๆเลยบอกว่าใหไปดูที่ต้นงิ้วต้นนี้ใหม่เพื่อนความแน่ใจว่าไม่ตาฝาดเห็นอย่างอื่นเป็นเด็ก พอไปดูปรากฏว่าไม่มีอะไร แล้วขอบอกอีกอย่างว่าต้นไม้ต้นนี้ไม่มีใบเลย แล้วที่ผมเห็นนั้นมันคืออะไรกันใน และในคืนนั้นห้องข้างๆ ของผมได้ประสบเหตุ คือ เพื่อนผมเขาไม่ยอมสวดมนต์ก่อนนอนแล้วเพื่อนผมก็หัวเราะกับเพื่อนอยู่ดีๆเขาก็ชอคไปเฉยๆ อาจารย์ที่มาดูก็เลยนำพระมาคล้องคอองค์แรกยังไม่หายเลยนำองค์ที่2มาคล้องเพื่อนผมก็สลบไปเลย วันต่อมาเขาก็ขอกลับบ้านเลยครับผมไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นทำให้ผมสงสัยเป็นอย่างมาก.............................




จากคุณ ณัฐไผท


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ^^warriorball^^ ที่ 08 ธันวาคม 2007 16:23:08
คืนนี้ไปหาผีไรดีน๊า


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 08 ธันวาคม 2007 16:32:22
คืนนี้ไปหาผีไรดีน๊า
ผีผ้าห่มก็ได้คราบ คริคริ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ^^warriorball^^ ที่ 09 ธันวาคม 2007 10:19:29
คืนนี้ไปหาผีไรดีน๊า
ผีผ้าห่มก็ได้คราบ คริคริ
เปงงายพี่ปูมไม่ไหวหรอเมื่อคืนนี้


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 11 ธันวาคม 2007 13:34:06
คืนนี้ไปหาผีไรดีน๊า
ผีผ้าห่มก็ได้คราบ คริคริ
เปงงายพี่ปูมไม่ไหวหรอเมื่อคืนนี้

วันนั้นร่วงจริงๆคับ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: 1300 ก็แค่นั้น ที่ 11 ธันวาคม 2007 13:40:56
อัพเข้าปูมจะเป็นมืออันดับ2แล้ว


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 11 ธันวาคม 2007 14:04:36
อัพเข้าปูมจะเป็นมืออันดับ2แล้ว


ใกล้และขยับบอร์ดหนักๆ ช่วงนี้


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี แบบสดๆ
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 11 ธันวาคม 2007 14:48:21
กองทัพผี
สวัสดีคะพี่ๆทีมงานเดอะชอคทุกๆคนหนูมีเรื่องจะเล่าให้พวกพี่ๆฟังกันคะ มันเป็นเรื่องของแม่หนูเอง เริ่มเลยละกันนะคะแม่เคยเล่าให้หนูฟังว่า ตอนที่แม่ยังเป็นสาวๆอยู่ อายุประมาณ20กว่าๆนั้น แม่หนูอยู่จังหวัดสุรินทร์ ทุกๆวันประมาณตี4กว่าๆแม่จะเอาควายไปที่ทุ่งนาทุกครั้งโดยมีสุนัขที่แม่เลี้ยงอยู่จะเห่าให้แม่ตื่นในเวลาประมาณนี้ เพราะสมัยก่อนที่บ้านยากจน ไม่มีนาฬิกา สุนัขของแม่ก็จะเห่าทุกๆวันเป็นชีวิตประจำวัน แต่มีอยู่คืนหนึ่งมันเห่าเสียงดัง เพราะว่าคุญตาเมากลับมาที่บ้าน แต่แม่ไม่รู้ นึกว่าถึงเวลาพาควายไปที่นา แม่ก็ไปควายเดินออกไปเรื่อยๆ แต่แม่ก็แปลกใจเหมือนกันว่า ทำไมตี4แล้วท้องฟ้ายังดูสว่างอยู่เลย สว่างมาจากพระจันทร์แหละคะ แม่ก็ไม่ได้คิดอะไร เดินไปเดินมา แม่บอกว่าเขาเห็นช้างตัวใหญ่มากๆยืนอยู่ทุ่งนายิ่งแม่เดินไปก็เหมือนยิ่งใกล้ช้างทุกที แต่ไม่ใช่ช้างตัวเดียว เหมือนมีคนอยู่บนหลังช้างด้วย จังหวะนั้น ควายของแม่ก็วิ่งไปใส่เงานั้นแล้วก็เหมือนอากาศ ไม่มีอะไร เขาก็ตกใจแม่พูดขึ้นว่า ไปๆเดินไป....เขาก็เดินไปเรื่อย แต่เขาบอกว่า มีเสียงสวบๆอยู่ใกล้ๆหูเขาเลยรู้ว่าเงานั้นมาอยู่ข้างหลังแม่แล้วแต่เหมือนว่ามีคนเดินหลังแม่เยอะมากเพราะเสียงนั้นเซ้งแซ่ไม่รู้ว่าพูดภาษาอะไรกัน เขาก็เดินไปโดยไล่ควายไปด้วย แล้วพอสักพักเสียงนั้นค่อยๆเบาจนจางหายไป แม่ก็เลยนั่งที่นาจนถึงเกือบเช้า แม่ก็เล่าให้คุณตาฟัง คุณตาบอกว่า สงสัยสมัยก่อนแถวนี้เคยพวกเขมรรบกันมั้ง แต่คุณตาก็ไม่เคยเจอ เรื่องก็มีอยู่เท่านี้แหละคะ หนูขอให้ทีมงานเดอะชอคมีความสุข เจริญกันทุกๆคนนะคะ




จากคุณ รัตนาพ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 11 ธันวาคม 2007 14:54:00
วิธีเล่นผีตระกร้า
คนจีนเรียกผีตระกร้าว่าอาโกวจะเล่นในช่วงหลังวันไหว้พระจันทร์จนถึงเทศกาลกินเจ
อุปกรณ์ 1. โต๊ะเตี้ย 1 ตัว
2. กระถางธูป หรือแก้วปักธูป และธูป
3.น้ำชา 1 ถ้วย ขนมเปี๊ยะ 1 ที่
4. ตระกร้าจีน ( ลักษณะกลมคล้ายปิ่นโตมีฝาปิด คนจีนเรียกว่า ฮวยน้า )
5. เสื้อผู้หญิงแบบมีกระดุมหน้า 1 ตัว (พอสำหรับสวมใส่ตระกร้าได้และเหลือชายไว้สำหรับผูก ปมได้)
6.ยอดทับทิม 2-3 ยอด
7.กระดาษทอง (คนจีนเรียกว่า ขอซี้ )
8. ถ้าต้องการให้ตระกร้าเขียนอะไรก็ให้เตรียมปากกาและกระดาษแผ่นใหญ่

วิธีการเล่น 1.สวมเสื้อให้ตระกร้าติดกระดุม ผูกชายเสื้อเป็นปม 2 ข้างสำหรับจับ นำยอดทับทิม 1 ยอดผูกไว้ ที่หูตระกร้าด้านบนสุด (ผุกปากกาไว้ด้วยถ้าต้องการให้ผีตระกร้าเขียน)
2.นำกระถางธูปใส่ทราย น้ำชา ขนมทับกระดาษทองไว้ ตั้งไว้บนโต๊ะ แและเตรียมน้ำแช่ยอดทับทิมไว้ต่างหาก
3.จุดธูป 5 ดอก บอกขออนุญาติเจ้าที่ให้ผีตระกร้าเข้าบ้านได้และหน้าบ้านซ้ายขวาอย่างละ 1 ดอก 3 ดอกปักที่กระถางธูปและอีก 1 ดอก ปักหรือผูกไว้ที่ตระกร้าด้านบนสุด ต่อธูปอย่าให้ดับตลอดในพิธี แล้วให้ผู้เล่น 2 คนยกเชิญที่ริมน้ำถ้าไม่มีริมน้ำให้เชิญที่ท่อน้ำหน้าบ้านหรือทางน้ำไหลห้ามเชิญในบ้าน ถ้าผีตระกร้ามาแล้วตระกร้าจะหนักและโยก ให้นำเข้าพิธีให้เรียกผีว่าอาโกว
4.ถึงพิธีแล้วห้ามวางตระกร้าให้ถือตลอดพิธีจะนั่ง ยืน หรือคุกเข่าก็ได้(ถ้าเปลี่ยนคนถือให้ถามก่อนจะให้เปลี่ยนหรือไม่ถ้าให้เปลี่ยนผงกกี่ทีและถ้าไม่เปลี่ยนให้ผงกกี่ที)
5.แล้วแต่ผู้เล่นจะถาม แต่ส่วนใหญ่จะถามอายุก่อน ตำตอบของอาโกวขึ้นอยู่กับการที่เราให้ผงกกี่ที
6.เมื่อเล่นเสร็จแล้วจะต้องเชิญอาโกวกลับไปยังจุดที่เชิญมา บอกเชิญอาโกวกลับ พักผ่อน (รอให้ตระกร้าสึกเบา)เสร๊จแล้วถอนธูป ยอดทับทิม เผากระดาษทอง ทิ้งยังจุดที่เชิญ แล้วนำน้ำแช่ ยอดทับทิมพรมศีรษะผู้เล่นทุกคน

-เล่นกี่คนก็ได้แต่ต้องมีคนถือ 2 คน


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 11 ธันวาคม 2007 14:55:15
ตำนาน: วิธีพิสูจน์ผี
วิธีพิสูจน์ผี 3 วิธี


วิธีที่1
วิธีนี้ง่ายมากครับได้ผล 60%-80%
เพียงแค่เวลาคุณนอนหลับในยามค่ำคืนแต่ขอให้เป็นคืนเดือนเพ็ญนะครับจะได้ผลดีเยี่ยม เวลาคุณนอนนั้นจากที่คุณเคยนอนหันศีรษะไปทางใดก็ตามให้คุณเปลี่ยนการนอนมาเป็นหันหัวไปทางทิศตะวันตก และที่สำคัญคุณต้องจุดธูป 1 ดอกไว้บริเวณหัวนอนของคุณ เท่านี้แหล่ะครับคุณก็จะเจอสิ่งที่คุณต้องการแล้ว...


วิธีที่2
ผมได้วิธีนี้มาจากคำบอกเล่าของเพื่อนคนนึงที่ได้รับข้อมูลมาจากสื่อๆหนึ่งที่เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ วิธีนี้ได้ทำการทดลองโดยไม่ตั้งใจจากเด็กวัยรุ่นชาวญี่ปุ่น
วิธีการก็มีอยู่ว่าคุณต้องหาสถานที่ซักที่นึงที่มีเสา 4 ต้น(โบสถ์วัดจะดีมาก)แต่ถ้าไม่สามารถที่จะหาได้ก็ให้ใช้บ้านคุณหรือบ้านใครก็ได้ที่มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมและมีเสา 4 ต้น โดยวิธีนี้
* ให้ใช้จำนวนคนได้เพียง 4 คนเท่านั้นห้ามเกินกว่านี้โดยเด็ดขาด
* ให้ทุกคนยืนประจำที่เสาทั้งสี่ต้นโดยไม่มีเครื่องลางใดๆติดตัวและปิดไฟให้มืดสนิท
* เริ่มวิธีให้คุณตั้งสมาธิให้มั่นอย่าวอกแวก แล้วให้คนแรกเริ่มวิ่งไปแตะคนที่ยืนอยู่ที่เสาต้นที่ 2 โดยคนที่หนึ่งจะยืนแทนที่คนที่สอง
* เมื่อคนที่สอง2แตะให้วิ่งไปแตะคนที่ยืนอยู่ที่เสาต้นที่ 3
* คนที่ 2 ที่วิ่งมาแตะจะยืนแทนที่คนที่ 3 คนที่ 3 ก็จะวิ่งไปแตะคนที่ยืนอยู่ที่เสาต้นที่ 4 และยืนแทนที่คนที่ 4
หากคุณนึกภาพตามคนที่ 4 จะไม่สามารถแตะใครได้ ให้เพียง แค่วิ่งไปแทนที่ที่คนที่ 1 ยืน และเริ่มให้คนที่ 1 วิ่งไปแตะคนที่ 2ใหม่ ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆคุณจะพบว่ามีอีกหนึ่งบุคคลลึกลับมา ร่วมวิ่ง กับคุณด้วยและทำให้คุณสับสนในการวิ่ง


วิธีที่3
วิธีนี้เป็นวิธีที่ค่อนข้างยากแต่รับรองได้ว่าเป็นวิธีที่ได้ผลถึง100% อย่างแน่นอนท่านผู้ใดอยากพิสูจน์อย่ารอช้ามาดูกันว่าต้องทำอย่างไร
สิ่งที่ต้องเตรียม
1.ขี้เถ้าจากเชิงตะกอนสักหนึ่งช้อนโต๊ะห่อด้วยผ้าสีดำ
2.ใบบอนดำ 1 ใบ
3.น้ำบ่อ 7 วัดเอาวัดละครึ่งช้อนโต๊ะ

สถานที่และเวลาที่ทำพิธี
1.สถานที่ทำพิธีต้องทำในวัดร้างหรือวัดที่มีอายุตั้งแต่ร้อยปีขึ้นไป
2.วันเวลาที่ทำพิธี ต้องทำวันขึ้นและแรม 8,14,15 ค่ำในเวลา 4 ทุ่มถึง ตี 2

ผู้เข้าพิธีการบวงสรวง
1.ผู้ทำพิธีหรือหัวหน้า
ต้องเป็นบุคคลที่เคยผ่านการเป็น พระภิกษุและสามเณรแล้วไม่ต่ำกว่า 3 พรรษา
2.ผู้เข้าพิธีไม่เกิน 3-6 คนให้ทุกคนใส่ชุดดำทั้งหมด จุดเริ่มต้นพิธีให้ดับไฟทุกดวงที่มีอยู่ในวัดทั้งหมดเปิดประตูในอุโบสถหรือวิหารจุดเธียนไว้หน้าพระประธานเพียง 1 เล่ม
3.จากนั้นมายืนอยู่หน้าวิหารแล้วทำการผสมให้หงายใบบอนขึ้นเทขี้เถ้าลงไปพอประมาณแล้วเอาน้ำผสมลง ไปพอประมาณ ว่าหรือเป่าคาถา มะๆมาๆ 3 จบพร้อมกันทุกคน
วิธีในการใช้
ให้ใช้นิ้วที่ถนัดแตะลงในน้ำที่ผสมไว้
แล้วป้ายไว้ที่หน้าผากหรือคิ้วตาทั้งสองข้างจากนั้นผู้ที่ทำพิธีเดินนำหน้าถือใบบอนไปด้วย
เดินเวียนรอบอุโบสถไปทางซ้าย 2 รอบมาหยุดตรงที่จุดเริ่มต้น หันหน้าเข้าอุโบสถ แล้วท่านจะเห็นผีปรากฏร่างตามปรารถนา
ข้อห้าม
1.เมื่อเห็นผีปรากฏร่างห้ามคนใดคนหนึ่งวิ่ง
2.ห้ามดื่มสุรา
3.ห้ามนำขี้เถ้าเข้าบ้านพักที่อยู่อาศัยจะเป็นภัยแก่ตนเองและคนในครอบครัวถึงเสียชีวิต หรือไม่ก็เป็นบ้า เสียสติไม่มีทางรักษาให้หายขาด
4.ห้ามบุคคลภายนอกเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับในขณะทำพิธีขอวิญาณให้ปรากฏร่าง
5.ในขณะที่ผีปรากฏร่างห้ามซักถามหรือพูดคุยกัน และห้ามเคลื่อนไหวตัวไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น ยกเว้นท่าน ไม่อยากดูให้ท่องคาถา วะวะวะตังวะวะวะนัง 3 จบ หลับตาลงท่านจะไม่เห็นผีแต่ห้ามหนี ออกจากที่เวลาเลิกดูให้ท่านใช้คาถาบทในข้อ 5 จากนั้นให้ผู้ที่พิสูจน์ผีถ่มน้ำลายลงพื้น 3 ครั้งและให้รีบไปล้างหน้าด้วยน้ำส้มป่อยจึงเสร็จพิธีและให้เก็บขี้เถ้าที่เหลือไว้ในบริเวณวัด





หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 11 ธันวาคม 2007 14:55:47
ตำนาน: บ่อปูนอาถรรพ์ ย่านดอนเมือง
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 10 - 15 ปีมาแล้วนั้น ประวัติ บ่อปูนนี้เป็นบ่อขุดเพื่อเอา โดยใช้แมคโคขุดเป็นกินบริเวณกว้างมาก และลึกสุดแมคโค อาจจะเรียกว่าทะเลสาบเล็กก็ว่าได้ เรื่องนี้มีอยู่ว่า
ตอนสมัยผมเด็กนั้น มีคนเล่าว่า
1. มีม้าที่เลี้ยงไว้ใกล้ ๆ บ่อ ได้โดดลงไปตายหลายตัว
2. มีสามีภรรยาตำรวจคู่หนึ่งได้ไปทำอะไรทานกันและ สามีอยู่ก็เกิดกระโดดน้ำลงไปตาย
3. ตอนสมัยผมเด็ก ๆ นั้น เด็กแถว ๆ บ้านผมก็ไปเล่นน้ำบริเวณนั้น ๆ ก็ได้ว่ายไปใกล้กับเรือลุงหาปลา ก็ได้คุยกับลุงว่าผมดำน้ำเก่ง ผมจะดำน้ำให้ดูน่ะ แล้วก็ดำหายลงไปชั่วชีวิตเลย ๆ กว่าจะหาศพเจอ ก็ได้เชิญคนทรงมาบอกตำแหน่งให้คนประดาน้ำ จนเจอศพ ตอนนั้นก็ดึกมากแล้ว
4. มีลุงคนหาปลาหว่านแหได้ หว่านแหลงไป หว่างที่เดินลงไปนั้น แหก็ออกห่าง ไปเรื่อย ก็นึกเสียดายแห หว่างนั้นก็นึกถึงอาถรรพ์ ก็เลยทิ้งแหไปและหนี้ไป
5. คนรู้จึก ได้ไปตกปลาตอนประมาณบ่าย ก็เกิดตะขอเบ็ดก็ติด ก็เลยตามสายเอ็นลงไปดูจนเจอ เมื่อเวลาขึ้นมาเกือบจะถึงเพือนอยู่แล้ว มีอะไรเหมือนมือมาดึงขาและร้องให้เพื่อนช่วย เพื่อนก็ดึงเพื่อนจนขึ้นมาได้ แล้วเมื่อถึงฝั่งก็ดูขา ปรากฏมีรอยแผลยาว มีเลือดไหลออกมา
6. พี่ชายเป็นคนชอบตกปลาตอนดึก ๆ ประมาณเที่ยงคืน ก็มีเสียงผู้หญิงร้องโหนหวน
7. พี่ชายเห็นเด็กผู้หญิงดมกาวอยู่บริเวณข้างบ่อก็โดดลงบ่อลงไปตาย

ความอาถรรพ์ของบ่อนั้น ทุก ๆ เดือนเมษายนจะมีคนตายอยู่ทุกปี ไม่น้อยกว่า 4 - 6 ราย หรือไม่ก็มากกว่านั้น

* มีชาวบ้านเล่าว่ามีการปรากฎของผีหัวโต หัวโตเท่าการะมังบ้าง มีชาวบ้านเคยเห็นอยู่บ่อย ๆ (แต่ผมก็ไม่เคยเห็น อยากเห็นเหมือนกัน)
* แต่ตอนนี้ บ่อได้ถูกล้อมรั้วไว้หมด รู้สึกว่าจะเป็นของศูนย์วิจัยฯ
* แต่มีช่องเดินเข้าไปได้อยู่ดี และก็มีคนตาย ! อยู่แบบเดิม ๆ อยู่อีก แต่น้อยลง

คุณเชื่อหรือไม่ ? แต่ผมเชื่อ

จาก คุณชลานันท์


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 11 ธันวาคม 2007 14:57:22
ประเภทของผี

1. ผีสิง ( Haunting Ghosts )
           ผีชนิดนี้ มีนิสัยชอบโชว์ตัววันละหลาย ๆ รอบ อย่างน้อย ๆ ก็ 3 เวลาหลังอาหาร และก่อนนอน แต่ชอบปรากฏตัว ในสถานที่เดียวซ้ำ ๆ ซาก ๆ เช่น บ้านร้าง ดูเผิน ๆ แล้วก็คล้าย ๆ กับว่า เป็นเจ้าของตึก ที่เดินไปเดินมาธรรมดาในบ้าน แต่คนเราดันผ่านเข้าไปเห็นเอง ผีชนิดนี้ เป็นผีชนิดที่ไม่ได้ตั้งใจจะมาหลอก มาหลอนใคร ๆ ซะหน่อย

2. ผีคนเป็น ( Ghosts of the Living )
           ผีรายนี้มาแปลก เพราะตามบันทึก ของคนหลาย ๆ รายแล้ว ผู้ประสบเหตุมักยืนยันว่า เห็นคนที่ตัวรู้จัก ซึ่งขณะนั้น เจ้าตัวอยู่ห่างออกไป หลายพันไมล์ มาปรากฏให้เห็น ส่วนมากผู้ที่มาปรากฏนี้ มักเป็นคนเจ็บใกล้ตาย หรือผู้ที่กำลัง ประสบปัญหาวิกฤตอยู่ เลยมาปรากฏตัว เพื่อขอความช่วยเหลือ อาจจะถือได้ว่า เป็นปรากฏการณ์ทางจิตอย่างหนึ่ง ผีคนเป็นนี้ มันมักจะมาปรากฏตัวเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

3. ผีมีห่วง ( Purposeful Ghosts )
           มักจะเป็นผีชนิดที่มี " ความในใจ " อยากจะบอกให้เพื่อน หรือญาติรับรู้ เรียกได้ว่า เป็นผีประเภท นอนตายตาไม่หลับ ก็ว่าได้ ผีแบบนี้ มักจะออกมาปรากฏตัวแบบเป็นใบ้ ไม่พูดไม่จา ชี้โน่นชี้นี่ลูกเดียว หรือบางที อาจจะมาชี้ขุมทรัพย์ ที่ซ่อนไว้ให้ทายาทได้รับรู้ ( ผีอย่างงี้ น่าจะมาหาเราบ้างเนอะ )

4. ผีหลอก ( Poltergeists )
           เป็นผีที่เล่น ที่ชอบออกมาหลอกมาหลอนคนเป็น ๆ ให้ตกใจเล่น บางทีก็เรียกได้ว่าเป็น ผีโรคจิต เพราะชอบขว้างปา ข้าวของให้ตกใจเล่น ผีประเภทนี้ นักวิเคราะห์ผีบางราย สันนิษฐานว่า อาจไม่ใช่ผี แต่ว่าเป็น ปรากฏการณ์ทางจิตชนิดหนึ่ง ของคนที่อยู่ในเหตุการณ์ เพราะจากการสังเกตแล้ว พบว่า ในเหตุการณ์ ผีอาละวาดแบบนี้ มักจะมีวันรุ่น อายุราว 12-16 ปีอยู่ในที่เกิดเหตุเสมอ จึงอาจเป็นไปได้ที่ จิตของวัยรุ่น ซึ่งมีอารมณ์รุนแรงนั้น จะสร้างพลังงานพิเศษขึ้นอย่างหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเรียกยาก ๆ ว่า Psychokinesis ( PK ) ซึ่งสามารถเคลื่อนที่วัตถุได้

หลังจากที่ได้ทำการรู้จักผีแต่ละประเภทไปแล้ว เห็นมั๊ยล่ะว่า ผีแต่ละตัวนั้น ก็มีจุดประสงค์ ในการแสดงตัว ที่แตกต่างกันออกไป แต่ว่า ทำยังไงดีล่ะ ผีแต่ละตัว ถึงจะออกมา วาดลวดไม้ลายมือ ให้คนได้ดูกันว่า ฉันก็เป็นผีกะเขาเหมือนกันนะ อยากรู้ต่อแล้วใช่มั๊ยล่ะ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 11 ธันวาคม 2007 14:58:54
สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ตอนที่.1ท้องทะเลมรณะ
เรือเดินทะเลที่หายสาบสูญไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้น ส่วนมากจะเกิดขึ้นในบริเวณที่เรียกว่า "ทะเล
ซากัสโซ" และสาเหตุที่ท้องมหาสมุทรแห่งนี้มีนามว่าทะเลซากัสโซ ก็เพราะอาณาเขตบริเวณแห่งนี้อุดม
สมบูรณ์ไปด้วย สาหร่ายทะเลชนิดหนึ่งซึ่งมีชื่อว่าสาหร่ายซากัสซั่ม สาหร่ายชนิดนี้เป็นอุปสรรคต่อการ
เดินเรืออย่างยิ่ง และ เหตุการณ์ประหลาดลึกลับทางทะเลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่โบราณกาล มักจะมีต้น
ตอมาจาก ทะเลซากัสโซเสียเป็นส่วนมาก ชาวฟีนีเชียนโบราณซึ่งเคยใช้เรือเดินทางผ่านท้องทะเลมหาภัย
แห่งนี้มา ตั้งแต่หลายพันปีก่อน ได้บันทึกปรากฏการณ์ประหลาดต่าง ๆ ไว้เป็นจำนวนมาก ท้องทะลซา
กัสโซ่ มีอาณาเขตบริเวณกว้างใหญ่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแอ๊ตแลนติค บริเวณแห่ง
นี้จะเต็มไปด้วย สาหร่ายทะเลลอยฟ่องเต็มไปหมด เมื่อตอนที่โคลัมบัสแล่นเรือผ่านท้องทะเลแห่งนี้เป็น
ครั้งแรก กลาสีเรือต่างตื่นเต้นที่คิดว่าเรือคงแล่นเข้าใกล้ฝั่งแห่งใดแห่งหนึ่งเข้าไปแล้ว แต่แม้จะแล่นเรือ
ต่อไปอีกนาน อาณาเขตของ สาหร่ายแห่งนี้ก็หาหมดลงไปไม่ อีกอย่างหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ประจำของทะ
เลซากัสโซ คือ ภูเขาทะเล ภูเขาทะเลคือภูเขาที่อยู่ใต้พื้นน้ำ แต่มีส่วนยอดแบนราบโผล่ขึ้นมาเหนือพื้นน้ำ
เล็กน้อย มองดูคล้ายเกาะ แต่ไม่มีพืชพันธ ์ใด ๆ นอกจากตระใคร่น้ำเกาะอยู่เท่านั้นทะเลซากัสโซไม่เพียง
แต่เป็นท้องทะเลที่เต็มไปด้วยสาหร่ายยากแก่การเดินเรือ เท่านั้น แต่กิตติศัพย์ในความน่าสะพรึงกลัวของ
มันได้ถูกกล่าวขานกันอยู่เสมอ บ้างก็ให้เชื่อว่าเป็นทะเลแห่งความหายนะ หรือสุสานของเรือเดินสมุทรบ้าง
ก็ว่าเป็นที่สิงสถิตของภูติผีปีศาจทะเล หรือสัตว์ร้ายดึกดำบรรพ์ เรื่องราวต่าง ๆ ที่พวกชาวเรือชอบนำมาเล่า
สู่กันฟังเกี่ยวกับท้องทะเลจำนวนนับไม่ถ้วน ถูกยึดนิ่งสงบรวมอยู่ในใจกลางของทะเลซากัสโซ่ ตั้งแต่สมัย
การการเดินทางโดยทะเลของพวกฟินีเชียน ไวกิ้ง โรมัน หรือแม้แต่เรือต่าง ๆ ในสมัยกลางของยุโรป พวก
เหล่านี้เชื่อว่าเรือเหล่านี้ลอยกองรวมกันพร้อมด้วยสมบัติมหาศาลที่บรรทุกอยู่เหตุที่ไม่จมเพราะมีสาหร่าย
จำนวนหนาแน่นรองรับอยู่ข้างใต้ มนุษย์ผู้พบท้องทะเลแห่งนี้เป็นพวกแรกเข้าใจว่าจะต้องเป็นพวกฟินี
เชียนและพวกคาร์ธายิเนียนโบราณ เพราะเป็นเวลา หลายพันปีแล้วที่พวกนี้เดินทางข้ามมหาสมุทรแอ๊ต
แลนติคสู่อเมริกาหลักฐานที่ปรากฏคือรอยแกะสลักบนแผ่นหินของ พวกฟินีเชียน ที่พบอยู่ในประเทศบรา
ซิลขณะนี้ และศิลาจารึกในสุสานฝังศพของ พวกคาร์ธายิเนียน เมื่อราว 500 ปี ก่อนคริศศักราชระบุว่า
                                   
(http://www.shockfmonline.com/open/sto202.jpg)
เรือกูดนิว ซึ่งเป็นเรือลากจูงเครื่องดีเซล ซึ่งได้ทำสงครามชักคะเยอ กับพลังลึกลับในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา และสามารถรอดพ้นอันตราย มาได้
เหนือท้องทะเลแห่งนี้มีแต่ความอ้างว้างเงียบเหงา คล้ายกับสุสานใหญ่ที่มองจรดขอบฟ้าไปทุกด้าน ไม่มี
แรงลม พอที่จะพัดพาเรือให้แล่นไปได้ ใต้พื้นน้ำเต็มไปด้วยสาหร่ายทะเลอย่างหนาทึบ ซึ่งยึดเรือ ทั้งหลาย
ให้หยุดนิ่งอย่างกับกำลังมหาศาลของหนวดปลาหมึกยักษ์
ท้องทะเลบางแห่งตื้นเขินซึ่งเป็นที่อาศัยของสัตว์ประหลาดมหึมาหลายสิบชนิด และบางครั้งมันก็ว่ายน้ำเข้า
มาทำลายเรือทั้งลำให้กลายเป็นผุยผงไปในพริบตา
 [:::ขอบคุณ loxinfo สำหรับข้อมูลภาพ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา:::]


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 11 ธันวาคม 2007 15:02:51
เอามาแจกให้อ่านกัน เด๋วจะหาว่า กระทู้ผี ไม่มีอะไรแจ่มๆ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 11 ธันวาคม 2007 15:03:10
อ่านใจจากภาพถ่าย
เอามือกอดอก
คนที่ถ่ายรูป แล้วชอบเอามือกอดอก มักจะเป็นคนชอบเสี่ยง ชอบความท้าทาย และใช้เงินฟุ่มเฟือย แต่ถ้ามีความรักและจะระมัดระวังตัวมาก จะพยายามทะนุถนอมความรักที่มี เป็นอย่างดี จึงทำให้สัมพันธภาพนั้นยืนยาว และมีความมั่นคง

นั่งไขว่ห้าง

คนคนนี้จะรักศักดิ์ศรีมากทีเดียว มีความซื่อสัตย์ และเป็นคนที่ค่อนข้างลึกลับ เอาใจใส่ และชอบช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา คุณจะมองหาคำแนะนำดี ๆ ได้จากคนแบบนี้

ทำหน้าทะเล้นเด๋อด๋า
คนที่ชอบแอ็คท่าขี้เล่น เวลาถ่ายรูปเป็นคนที่ ค่อนข้างอ่อนไหว ขี้อาย แต่ขณะเดียวกันก็มีอารมณ์ขัน ชอบทำให้ผู้อื่นหัวเราะอยู่เสมอ จะไม่ชอบอยู่ท่ามกลาง คนแปลกหน้ามาก ๆ ถ้าให้เลือกได้ จะเลือกสนทนาปาร์ตี้อย่างอบอุ่น กับเพื่อนสนิทไม่กี่คนมากกว่า

วางมือไว้ที่หลังศรีษะ
ท่าแอ็คชั่นท่าพิเศษนี้ เป็นของคนที่ชอบสนุกสนาน ไม่แคร์อะไรทั้งนั้น ไม่ชอบพิธีการ ใช้ชีวิตเรียบง่าย ชอบทำอะไรประหลาด ๆ ให้คนอื่นแปลกใจอยู่เสมอ เมื่อเวลามีทุกข์ หรือมีเรื่องไม่สบายใจ ก็จะขอคำแนะนำจากเพื่อน ยิ่งเป็นเพื่อนสนิทด้วยแล้ว จะปฎิบัติตามคำแนะนำนั้น อย่างเชื่ออกเชื่อใจทีเดียว

ชอบหันใบหน้าด้านข้าง เข้าหากล้อง
คนที่ชอบถ่ายรูป โดยเอาใบหน้าด้านข้างเข้าหากล้องนั้น เป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็ง หนักแน่น ไม่หวั่นที่จะแก้ปัญหาใด ๆ ที่เกิดขึ้น จะเผชิญหน้ากับอุปสรรคตลอดเวลา เก็บรักษาของเป็นอย่างดี และไม่ยอมเสียผลประโยชน์ ใช้จ่ายเงินอย่างคุ้มค่า ไม่ฟุ่มเฟือย

ยิ้มเห็นฟันนิดหน่อย
ถ้าชอบถ่ายรูปในลักษณะนี้ คือจะยิ้มกว้างอย่างเต็มที่ แต่จะโชว์ให้เห็นฟันเพียงเล็กน้อย แสดงว่าเป็นคนชอบเข้าสมาคม สังสรรค์กับผู้อื่น เข้ากับคนได้ง่าย เฉลียงฉลาดเฉียบแหลม และมักจะมีไอเดียดี ๆ ให้ผู้อื่นเสมอ

ถ่ายรูปทีไร เป็นได้ยิ้มกว้างทุกที
คนที่ถ่ายรูปแล้วชอบยิ้มโชว์ฟัน ทำท่าเริงร่าสุดขีดนั้น ที่จริงแล้ว เป็นคนที่ชอบเก็บงำความรู้สึก เมื่อมีปัญหาอะไร ก็ไม่อยากให้ใครมารับรู้ ช่วยแก้ปัญหาด้วย เรียกได้ว่าไม่อยากให้ผู้อื่นไม่สบายใจ ในเรื่องของตนเอง จะพยายามแก้ไขปัญหา อย่างสุดความสามารถด้วยตนเอง ถึงแม้ว่าจะรู้สึกแย่สักแค่ไหนก็ตาม แต่ในทางกลับกัน ถ้าเพื่อนต้องการความช่วยเหลือ ก็จะรีบเข้าไปช่วยทันที

เอามือจับที่คาง
ท่าแอ็คชั่นถ่ายรูปท่านี้ เป็นของคนที่มีอารมณ์ศิลปิน อ่อนไหว เมื่อชอบอะไรก็ตามจะทุ่มจนสุดตัว เมื่อรักใครก็รักสุดชีวิต และเมื่อเกลียดจะเกลียดแทบขาดใจ ถ้ามีเงินทองอยู่ในมือ ก็จะใช้จ่ายอย่างไม่เสียดาย ไม่มีการวางแผนไว้เผื่อวันข้างหน้า แต่ใช้ชีวิตวันนี้ให้คุ้มที่สุด


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 11 ธันวาคม 2007 15:04:00
ผีเกิดขึ้นสมัยไหน
โรคกลัวผี มีประวัติมายาวนาน ควบคู่กับประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเลยทีเดียว
     เริ่มจากในยุคหิน จากการขุดพบโครงกระดูกยุคหิน พบว่า พิธีกรรมฝังศพในยุคนั้น มีการผูกมัดมือ และเท้าของศพ เสร็จแล้วเอาหินทับซ้ำอีกครั้ง เรียกว่ากลัวศพจะลุกกลับขึ้นมาเดินโท่งๆ ใหม่
     บันทึกแรกเกี่ยวกับผีนี้ จารึกอยู่บนแผ่นดินเหนียว ในชื่อเรื่องมหากาพย์กิลกาเมซ ตั้งแต่ใมัยบาบิโลน 2,000 ปี ก่อน ค.ศ. โน่นแน่ะ ในเรื่องเล่าถึงผีของเพื่อนอัศวินกิลกาเมซ ซึ่งมาปรากฏตัวในสภาพโปร่งแสง
     ถัดมาในสมัยอียิปต์โบราณ มีการบันทึกถึงผีที่มีหัวเป็นนก ชื่อว่า "คู" (Khu) เขาว่าผีตัวนี้ จะนำโรคภัยมาแพร่ระบาด ในคนและสัตว์
     สมัยโรมัน ก็ไม่น้อยหน้า อุดมไปด้วยเรื่องปิศาจ อย่างเช่นเรื่องเล่าว่า นายพลบรูตุส สมคบกับสมุน ฆ่าจูเลียสซีซ่าร์ตาย ต่อมาผีของจูเลียส ซีซาร์ ก็มาปรากฏตัวในร่างผีโปร่งแสง สาปแช่งทำให้บรูตุสแพ้สงคราม และฆ่าตัวตายในที่สุด


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 11 ธันวาคม 2007 15:06:52
ผีเปรต
                                                               
ผีเปรตในตำนานผีไทยกล่าวไว้ว่า มีอยู่ 12 ตระกูลใหญ่ๆ ใครอยากจะทราบราย ละเอียดต้องไปดูในคัมภีร์ว่าด้วยเรื่องเปรตโดยเฉพาะ นิรยกถาอันเป็นคัมภีร์ว่าด้วยเรื่องเปรตโดยเฉพาะ หรือดูจากจารึกการเปรียญ ณ วัดพระเชตุพนฯ และห าอ่านได้จากประชุมศิลาจารึกวัดพระเชตุพนฯ เล่ม 1 ซึ่งคัดลอกและถ่ายทอดมาโดยย่อ ดังนี้
 
หิมวนตปปเทเส วิชาติเปโต นาม เปตวิสโย กาลครั้งหนึ่งยังมี ประเทศแห่งหนึ่งใ นป่าหิมพานต์ ชื่อว่าวิชาตประเทศ ตั้งอยู่เบื้องบนแห่งนรกขึ้นมา อันเป็นที่อยู่แห่งเปรตทั้งหลายมีมหิทธกาเปรตเป็นอธิบดีแก่เปรตทั้งปวง และตระกูลเปรตนั้นมีอยู่ 12 ตระกูล คือ
1. วันตาสาเปรตตระกูล
2. กูณปขาทเปรตตระกูล
3. คูถขาทเปรตตระกูล
4. อัคคิชาลมุขเปรตตระกูล
5. สุจิมุขเปรตตระกูล
6. ตัณหาชิตาเปรตตระกูล
7. นิชฌามกเปรตตระกูล
8. สัตตังคาเปรตตระกูล
9. ปัพพตังคาเปรตตระกูล
10. อัชครังคาเปรตตระกูล
11. เวมานิกเปรตตระกูล
12. มหิทธิกาเปรตตระกูล

นอกจากเปรต 12 ตระกูลนี้ ยังมีเปรตอีก 19 จำพวก ได้แก่
1. สุจิโลมา คือ เปรตผู้มีขนเป็นเข็ม
2. ขุรโลมา คือ เปรตผู้มีขนเป็นกรด
3. เอกปาทา คือ เปรตผู้มีเท้าข้างเดียว
4. อเนกปาทา คือ เปรตผู้เท้ามาก
5. เอกหตถา คือเปรตผู้มีมือข้างเดียว
6. อเนกหตถา คือ เปรตผู้มีมือมาก
7. เอกเจตตา คือ เปรตผู้มีจักษุข้างเดียว
8. อเนกเนตตา คือ เปรตผู้มีจักษุมาก
9. ได้แก่ เปรตจำพวกที่กินมลทินครรภ์เป็นอาหาร
10. ได้แก่ เปรตจำพวกขนหยักเยื่อทูลศีรษะไว้เป็นนิตย์
11. ได้แก่ เปรตจำพวกกายยาว 25 เส้น นอนกลิ้งอยู่ดุจแผ่นศิลา
12. ได้แก่ เปรตจำพวกตัวจมอยู่บนภูเขาเพียง สะเอว ไฟไหม้อยู่
13. ได้แก่ เปรตพวกไถนาอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน
14. ได้แก่ เปรตจำพวกมีกายสูง มีกลิ่นตัวเหม็นยิ่งนัก
15. ได้แก่ เปรตจำพวกมีพืชเป็นเหล็กเป็นเปลวเพลิงรัดศีรษะอยู่
16. ได้แก่ เปรตจำพวกมีร่างกายผอม และเปลือยกายอยู่ตลอดเวลา
17. ได้แก่ เปรตจำพวกรูปชั่วตัวผอม สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ศีรษะกลั้วไปด้วยฝุ่น
18. ได้แก่เปรตจำพวกดำดุจตอไฟไหม้ และ
19. ได้แก่ เปรตจำพวกสูงเท่าลำตาล มีแต่หนังหุ้มกระดูก

เปรตไม่สมประกอบ 4 ชนิด
1. ได้แก่ เปรตชนิดที่มีรูปร่างไม่สมประกอบ ร่างกายซูบผอมอดโซ
2. ได้แก่ เปรตชนิดที่มีรูปร่างพิการ เช่น กายเป็นอย่างร่างของมนุษย์ แต่ศีรษะ เป็นอย่างสัตว์ดิรัจฉาน เช่น ตัวเป็นคนหัวเป็นนกกาบ้าง...เป็นสุกรบ้าง...เป็นสุนัขบ้าง
3. ได้แก่ เปรตชนิดที่มีรูปร่างพิกล เสวยกรรมกรณ์ (รับกรรม รับอาญา) อยู่ตา มลำพังด้วยอำนาจบาปกรรมที่ได้กระทำเอาไว้สมัยเมื่อยังมีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์
4. ได้แก่ เปรตชนิดที่มีรูปร่างอย่างมนุษย์ปกติ แม้เป็นผู้เสวยก็มีวิมานอยู่ แต่ใน ราตรีต้องออกจากวิมานไปเสวยกรรมจนกว่าจะรุ่งเช้า เรียกว่าวิมานนิกเปรต

เปรตเป็นผีจำพวกหนึ่ง ซึ่งเคยทำบาปสร้างกรรมเอาไว้สมัยเมื่อยังมีชีวิตอยู่ครั้น ตายลงแล้วก็ต้องมารับผลกรรมตามที่ได้สร้างไว้ทำให้ต้องมีความเป็นอยู่อย่างอดอยาก ผอมโซ ชอบส่งเสียงร้องหรือปรากฏตัวให้ชาวบ้านเห็นเพื่อขอส่วนบุญให้ช่วยทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้บ้างเพราะอดอยากหิวโหยซะเหลือเกิน

โดยทั่วไปคนส่วนใหญ่เข้าใจว่า เปรตเป็นผีชนิดหนึ่งที่มีลำตัวสูง บ้างว่าสูงเท่าลำตาล สูงเท่าต้นตาลหรือยอดตาล บ้างว่าสูงเท่าเสาชิงช้าวัดสุทัศน์ บ้างว่าสูงเท่ายอ ดธง หากเป็นสมัยนี้คงต้องเปรียบเทียบให้เห็นภาพกันใหม่ว่า สูงกว่าตึกห้าชั้น หรือสูงเท่ากับคอนโดมิเดียมริมน้ำอะไรทำนองนี้ สรุปใจความก็คือ เปรตเป็นผีที่มี รูปร่างสูงมาก จนมีคำพูดติดปากล้อใครที่ตัวโย่งๆว่า ....สูงยังกับเปรต   แต่เนื่องจากกรรมหรือการกระทำในทางที่ชั่วร้ายมีแตกต่างกันไป เมื่อตายแล้วจึงได้เกิดเ ป็นเปรตชนิดต่างๆกัน เช่น คนที่ชอบดุด่าตบดีพ่อแม่ผู้มีพระคุณ จะต้องไปเกิดเป็นเปรตจำพวกที่มีปากเท่ารูเข็ม มือโตเท่าใบพายหรือใบตาล อดอยากและหิวโ หยอยู่เป็นนิตย์ ลองคิดดูว่าหากใครเกิดมามีปากเท่ารูเข็ม เวลาจะกินข้าวต้องเอายัดเข้าปากไปทีละเมล็ดมันจะทรมานทรกรรมขนาดไหน เป็นคำขู่หรือเตือนสติข องคนโบราณ ให้ลูกหลาน มีความกตัญญู ให้การเลี้ยงดูพ่อแม่ยามแก่ชราและไม่ทำร้ายทั้งร่างกายจิตใจใครขืนเป็นอย่างที่ว่ารวมทั้งพวกเกกมะเหรกเกเร ชาวบ้ านก็จะพากันด่าประณามว่า...ไอ้เปรต คนที่ชอบฆ่าเป็ดฆ่าไก่ ตีไก่ เชือดหมู เชือดวัว อยู่เป็นอาจิณ เวลาตายไปแล้วอาจต้องไปเกิดเป็นเปรตประเภท ตัวเป็นค นหัวเป็นไก่ หรือหัวเป็นหมู ตามแต่ผลกรรม ใครทำกรรมเอาไว้อย่างไรก็จะได้ผลกรรมอันนั้นตอบสนอง ฉะนั้นเปรตอาจมีอยู่หลายชนิดหลายจำพวก ใครอยากเห็นก็ลองดูรูปปั้นเปรตชนิดต่างๆ ได้ที่วัดไผ่โรงวัว จังหวัดสุพรรณบุรี

เปรตมีที่อยู่อาศัยแตกต่างกันไปตามประเภทและเผ่าพันธ์รวมทั้งคติความเชื่อที่บอกต่อหรือสืบทอดกันมา บางตำราว่าอาศัยอยู่ตามวัดคอยปรากฏตัวหลอกหลอ นหรือแสดงร่างให้เห็นเพื่อขอส่วนบุญ บ้างว่าอยู่ตามท้องทุ่งตามทางเปลี่ยวใครไปเที่ยวดึกๆ กลับบ้านคนเดียวเดินผ่านศาลาวัด หรือตามทางแยก อาจเจอเปรตเดิ นตามหลังมาส่งถึงบ้าน  หรือเดินเป็นเพื่อนมาตลอดทาง ซึ่งหากเจอเปรตก็ไม่ต้องตกอกตกใจอะไร วิ่งลูกเดียว หรือหากว่ามีเปรตและผีชนิดใดก็ตามขวางหน้าเรา อยู่  โบราณว่าอย่าวิ่งหันหลังกลับ เพราะจะโดนมันดักหน้า ให้วิ่งไปข้างหน้าหรือวิ่งฝ่าไปเลย แต่ถ้าจะให้ดีกลางค่ำกลางคืน นอนอยู่บ้านสบายที่สุด...ว่ามั๊ย...

เปรตกินอะไรเป็นอาหารคงไม่ต้องบอก เพราะไม่รู้เหมือนกันนอกจากมีความเชื่อกันว่า เวลาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว พวกเปรตก็จะมารับ ส่วนบุญจากลูกหลานได้กินอิ่มหมีพีมันไปมื้อหนึ่งคราวหนึ่ง ไม่อย่างนั้นก็อดอยากหิวโหย นอกจากพวกอาหารคาวหวานแล้ว บางทีลูกหลานจะถวายเสื้อผ้าเครื่ง อนุ่งห่มแก่พระสงฆ์ด้วย เพื่อให้ผีญาติๆ ของตนไม่ต้องโป๊หรือเปลือยกายล่อนจ้อน ใครจะศรัทธาแก่กล้าถึงขนาดถวาย ซาวด์อเบาท์ หรือโทรทัศน์ วีดีโอ ซีดี. ก็ ตามถนัดไม่ผิดกติกาอันใด หากไม่มีญาติหรือ ลูกหลานคอยทำอุทิศส่วนกุศลไปให้พวกเปรตเหล่านี้จะหิวโหย ร้องโหยหวล เสียงร้องของเปรตไม่มีใครยืนยันได้ว่ าไพเราะเพราะพริ้งขนาดไหน นอกจากในบางตำรา บอกไว้ว่า มันส่งเสียงร้องดังกรี๊ดๆ เป็นเสียงหวิวหวีดฟังแล้วชวนวังเวง วิเวกวิโหวเหว คนล่ะอย่างกับที่พวก วัยรุ่นกรี๊ดกร๊าดเวลาเจอดารายอดนิยมหรือตอนดูคอนเสิร์ตหลังหมอชิต ว่ากันว่าที่เสียงมันดังกรี๊ดๆ ก็เพราะเกิดจากแรงดันของลมจากท้องผ่านช่องปากที่เล็กเท่า รูเข็ม เลยกลายเป็นเสียงอย่างที่บอก แบบนี้พวกเปรตที่มีหัวเป็นไก่ก็อาจจะร้องเสียง เอก-อี้-เอ้ก-เอ้ก ก็ได้ล่ะมั้ง ถ้าใครทำบุญหากจะอุทิศก็ขอให้กล่าวหรือออกน ามพวกผีไม่มีญาติ หรือบรรดาผีๆ ทั้งหลายรวมทั้งคุณผีเปรตด้วย เพื่อที่จะได้ไม่หิวโหยร่างกายผอมโซจนน่าสงสาร

หลังจากที่ถูกพระพันวษาสั่งประหารชีวิต นางวันทองได้กลายเป็นผีเปรตที่ไม่มีหั วหรือเปรตหัวขาด วันหนึ่งนางทราบข่าวว่าพระไวยวรนาถลูกชาย กำลังจะไปรบกับผู้เป็นพ่อคือขุนแผน เปรตนางวันทองกลัวพ่อกับลูกจะต้องฆ่ากันเอง พลอยเป็นบาปกรรมติดตัวกันไปเปล่าๆ ก็เลยออกมาห้ามทัพ โดยแปลงกายเป็นสาวงาม นั่งเล่นอยู่บนชิงช้า เพราะรู้ว่าพระไวยฯ นั้นชีกอเหมือนพ่อนั่นแหละพระไวยฯ ไม่ทราบความนัย จีบสาวงามที่ได้พบ แม้เธอจะบอกว่าเป็นแม่ หรือนางวันทอง พระไวยฯ ก็ไม่ยอมเชื่อจนนางต้องแปลงเพศกลับเป็นเปรตอย่างเดิมเพื่อให้เห็นแจ้งประจักษ์ ว่ากันว่า เปรตนอกจากจะมีรูปร่างผอมโซจนเห็นโครงกระดูกทุก ซี่และมีความสูงชนิดผีฝรั่งอายแล้ว มันยังสามารถ แลบลิ้นได้ยาวเท่ากบความสูงของตัวเองอีกด้วย อะไรจะเว่อร์ปานนั้น

เปรตน่าจะเหมือนผีธรรมดาสามัญทั่วไปคือ กลัวพระ กลัวเครื่องรางของขลัง ลอ งเจอเข้าเป็นเผ่นกระเจิง เพราะผีกับพระไม่ถูกกัน เหมือนงูกบเชือกกล้วยยังไงยังงั้น แต่สำหรับ ผีเปรตมีท่านผู้รู้แนะนำว่า หากใครเจอระหว่างทางหรือเจอที่ไห นก็แล้วแต่ ให้รีบบอกว่า...ไปที่ชอบๆ...หรือไปผุดไปเกิดซะเถอะ แล้วจะอุทิศส่วนกุศลไปให้  เท่านี้ผีเปรตและผีทั้งหลาย ก็จะเลิกตอแย หายตัวแว๊บ..ไปเลย แ ล้วก็อย่าลืมทำตามสัญญา เพราะไม่อย่างนั้นอาจจะเจออีกเป็นรอบที่สอง เพราะคุณผีเขามาทวงส่วนกุศลนั่นแหละ

ผีเปรต หรือชาวอีสานเรียกว่า ผีเผด เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เอ๊ย..ไม่ใช่ เกิดหรื อถือกำเนิดขึ้นตามผลกรรมที่เคยได้กระทำเอาไว้ สมัยเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ตำราโบราณกล่าวว่า เวลาที่เปรตตัวเดิมจะพ้นจากกรรมได้ไปผุดไปเกิด จะมีเปรตตัวใหม่ มารับตำแหน่งแทนดังมีเค้ามาจากนิทานพระมาลัยเรื่องหนึ่ง ดังนี้

ยังมีมานพหนึ่งคนหนึ่งชื่อว่า มิตตวินทุ อยากจะไปเที่ยวทะเลกับพ่อค้าสำเภาจึงเ คี่ยวเข็ญเอาเงินทองจากมารดาซึ่งเป็นแม่ม่ายใจบุญ ด้วยความเป็นห่วงลูกชายมารดาก็ขัดขวาง มิตตวินทุปกติเป็นคนเกกมะเหรกเกเรอยู่แล้ว จึงโกรธจนลืมตัวถี บแม่จนล้มแล้วหนีไปเที่ยวทะเลจนได้ แต่ผลกรรมตามทันทำให้เรือแตก มิตตวินทุว่ายน้ำไปขึ้นฝั่งที่เกาะแห่งหนึ่งอันเป็นที่อยู่ของพวกเปรต แต่ชายหนุ่มกลับม องเห็นกงจักรที่หมุนคว้างผ่าศีรษะของพวกเปรตเหล่านั้นเป็นดอกบัวซึ่งประดิษฐ์เป็นมาลาสวมใส่ไว้อย่างสวยงาม..เห็นเลือดที่ไหลย้อยมาตามตัวเป็นสังวาลสาย สร้อย เห็นพวกเปรตที่กำลังร้องครวญครางยกมือยกไม้ชักดิ้นชักงอด้วยความเจ็บปวดเป็นการร้องรำทำเพลงอย่างมีความสุข  มิตตวินทุจึงเอ่ยปากขอพวกเปรตรู้ ว่ามีผู้มารับกรรมหรือรับช่วงต่อ แสดงว่าพวกตนได้พ้นจากกรรมที่เคยกระทำเอาไว้แล้วก็ดีใจ รีบยกให้อย่างไม่ลังเล จึงเป็นที่มาของคำพังเพยไทยที่ว่า   "เห็นก งจักรเป็นดอกบัว เห็นสองโพดำเป็นสเปโต..." อะไรทำนองนี้แหละ

ในพจนานุกรมฉบับต่างๆ กล่าวถึงเปรตพอรวมความได้ว่าเป็นสัตว์พวกหนึ่ง เกิ ดในอบายภูมิ แปลว่า  แดนแห่งความทุกข์เป็นผีเลวจำพวกหนึ่ง มีหลายชนิด รูปร่างสูงโย่งยังกับลำตาล ผมยาว คอยาว ผอมโซเพราะอดอยาก ปากเท่ารูเข็ม..... สงสัยจะหมายถึงเข็มเย็บผ้ามากกว่าเข็มเย็บกระสอบ มีมือโตเท่าใบตาล กินเลือดและหนองเป็นอาหาร ร้องเสียงดังกรี๊ดๆ ไม่ใช่กรี๊ดกร๊าด        ส่วนในหนังสือไ ตรภูมิพระร่วง พรรณนาเกี่ยวกับเปรตเอาไว้ว่า บางจำพวกอยู่ในมหาสมุทร  บนยอดเขา ตามไหล่เขา แต่บางจำพวกก็อยู่ในปราสาท มีช้างม้าเป็นข้าทาส บางจ ำพวกเวลาข้างแรม เป็นเปรต เวลาข้างขึ้นเป็นเทวดา ฯลฯ อันนี้แล้วแต่บุญกรรมที่ได้กระทำเอาไว้

ทางภาคใต้ มีผีอยู่ชนิดหนึ่ง เรียกว่า 'ผีหลังกลวง" เป็นผีที่มีรูปร่างลักษณะอย่างค น  แต่ข้างหลังเป็นรูกลวงสามารถมองเห็นเครื่องในประเภทตับไตใส้พุงได้หมด มีหนอนยั๊วเยี๊ย เวลาใครก่อไฟผิงอยู่กลางแจ้ง  ผีหลังกลวงจะทำทีเข้ามาขออาศัย ด้วย แล้วหลอกหลอนโดยการแสดงให้เห็นอวัยวะภายในจากหลังที่กลวง บางทีมันแกล้งวานเด็กๆ เกาหลังให้ แล้วหลอกให้เห็นอวัยวะภายในหรือหลังที่กลวงซึ่งมีกิ๊งกือเต็มไปหมดผีพวกนี้ไม่ทำร้ายใคร แต่จะหลอกหลอนให้ตกใจกลัว



หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 11 ธันวาคม 2007 15:08:52
วิธีเข้าฝัน

ให้แต่งชุดขาวทั้งตัวรวมทั้งกางเกงในด้วยนำธูป 1 ดอกมาจุดไว้บนหัวนอน ปากคาบใบพลู 9 ใบแล้วเอามือไว้ข้างหลังโดยที่จับมือประสานกัน แล้วท่องชื่อคนที่จะไปเข้าฝันคนนั้น 99 ครั้งรับรองวิธีนี้ได้ผล 90% เลยทีเดียว เพราะมีคนลองใช้มาแล้วหลายต่อหลายคน คิดดูแล้วกันถ้าคุณเข้าไปฝันคนอื่นได้แล้ว โดยที่คุณสามารถบอกหรือพูดคุยกับเข้าได้แบบมีสติคุณคิดว่ามันจะสนุกไหม
ข้อห้าม
1.ทำตอนเที่ยงคืนลงไป
2.ทำได้แค่คืนวันศุกร์
3.เวลาจะกลับให้นึกถึงแต่ตัวเราแล้าหลับตา
4.จงจำไว้ว่าเวลากลับพยายามนึกถึงแต่ตัวเราเท่านั้น ไม่อย่างนั้นหากกลับมาไม่ทันก่อนเช้า จะมีอันตรายต่อชีวิตสูงทีเดียว
5.หากในฝันมีคนชวนไปยังที่ที่คุณไม่เคยไป ห้ามไปโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะนรกหรือสวรรค์
6.อาทิตย์หนึ่งควรทำไม่เกิน 2 ครั่ง
7.หากทำเกิน 2 ครั้งครั้งต่อไปอายุคุณจะลดลง 99 วัน

จงจำไว้ว่าคิดให้ดีเสียก่อนก่อนที่จะทำทั้งหมดที่พูดมานี้เป็นการนำออกมาจาก คัมภีร์เขมรเล่มหนึ่งที่มีอายุสมัยอยุทยาเราโดยได้มีการแปลออกมาได้เมือไม่นานมานี้.
ของดีมักจะมีผลเสียเสมอจำเอาไว้

ปล.ปูมยังไม่เคยลองนะ แต่เพื่อนผมมันลองและมันบอกใช้ได้จริงๆ (เรายังไม่กล้าเสี่ยงเรื่องพวกนี้)


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 11 ธันวาคม 2007 15:09:29
ตำนานกุมารทอง
กุมารทองเป็นผีเด็กที่ตายในท้องพร้อมกับแม่ ผู้ที่มีคาถาอาคมจะใช้คาถาอาคมแหวะเด็กออกจากท้องของศพผู้เป็นแม่ แล้วนำไปประกอบพิธีย่างในโบสถ์ หน้าพระประธานในเวลากลางดึกพร้อมกับบริกรรมคาถาไปขณะย่างนั้น เมื่อย่างจนแห้งดีจะนำมาปิดทองให้ทั่วทั้งตัว จึงเรียกว่า กุมารทอง แล้วนำมาเก็บรักษาไว้ในที่อันควร ให้อาหารกุมารทองกินทุกวันอย่างคนปกติ ตามที่เล่ากันมานั้น วิญญาณกุมารทองจะสามารถปรากฏกายให้ผู้ที่สร้างกุมารทองเห็น และสามารถทำตามคำสั่งของผู้ที่สร้างกุมารทองได้ทุกอย่าง ความสามารถนั้นไม่ใช่ความสามารถของเด็กที่ยังไม่เกิด แต่จะสามารถทำได้เหมือนเด็กที่โตแล้ว ผู้มีคาถาอาคมจึงพยายามหากุมารทองไว้ใช้



หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 11 ธันวาคม 2007 15:10:02
บ้านที่ผีชอบอยู่
 
  เคยสงสัยมั้ยว่าทำไมบ้านบางหลังถึงมีคนเจอผีบางหลังไม่เคยเจอ  เป็นไปได้มั้ยว่าลักษณะของบ้านที่แตกต่างกันเป็นตัวกำหนด เหมือนกับคนเราบางคนชอบบรรยากาศแบบภูเขา บางคนชอบทะเล ผีเองก็เคยเป็นคนมาก่อนรสนิยมที่ว่าก็เลยติดตัวไป ทำให้ผีเลือกบ้านที่ตัวเองชอบ และนี่คือสุดยอดเคล็ดลับ ?จัดบ้านอย่างไรให้ผีชอบอยู่ หรือวิธีการสร้างบ้านผีสิง นั่นเอง?  พร้อมแล้วไปดูกันเลย

1.เลือกทำเลอาถรรพ์เช่น บ้านตรงกันข้ามโบสถ์ วิหาร วัด ศาลเจ้า โรงพยาบาล สุสาน เสา เครื่องหมายจราจร มีปล่องไฟ เป่าลมพุ่งมาหาบ้าน หรือที่เปลี่ยวๆห่างจากชุมชน  ถ้าบ้านใครอยู่ในที่ดังกล่าว เรียกได้ว่ามีชัยไปกว่าครึ่งในการเชิญผีมาอยู่เลยทีเดียวล่ะ

2.สร้างด้วยไม้เป็นหลัก สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเรื่องของความเป็นธรรมชาติ เพราะต้นไม้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่งเหมือนกัน  และในบ้านมีเสาเอกให้ด้วยก็แหล่มเลย

3.ทำบริเวณบ้านให้รกครึ้มไปด้วยแมกไม้พฤกษานานาพันธุ์ แถมด้วยต้นไม้ต้องห้ามประเภท ตะเคียน ไทร ซ่อนกลิ่น อะไรพวกนี้ยิ่งถูกใจสุดๆ

4. ฝืนหลักฮวงจุ้ยเท่าที่สามารถทำได้ ยิ่งเยอะยิ่งชอบอยู่ ในศาสตร์ทางวิชาฮวงจุ้ยได้กล่าวถึงลักษณะของบ้านที่มักจะมีผีหรือคนในบ้านมักจะเห็นผี ดังนี้

                - ประตูหน้าบ้านมีพลังอิมมาก หมายถึงมีความมืดมาก และทิศทางของหน้าบ้านหันไปทางทิศ   ตะวันตกเฉียงใต้ ตรงช่วง 210 องศา-240 องศา หรือหันไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตรงช่วง 30 องศา-60 องศา ซึ่งทางฮวงจุ้ยจะเรียก 2 ทิศทางนี้ว่า ประตูผี

 
                    - บ้านที่มีแสงสว่างไม่พอ ภายในบ้านมีบรรยากาศมืด ๆ สลัว ๆ โดยเฉพาะทิศ ตะวันตกเฉียงใต้และทิศ ตะวันออกเฉียงเหนือมีความมืดมาก ก็จะกระตุ้นให้เกิดพลังอิมมากขึ้น โอกาสเจอผีก็มีสูงตามไปด้วย

                 - บ้านที่มีรูปทรงของบ้านยาวกว่าปกติ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นบ้านธาตุไม้ อาทิเช่น บ้านห้องแถวมี               ทางเดินตรงกลางมืด ๆ ผีก็ชอบอยู่ด้วย

                 - การสร้างห้องพระตรงกับห้องน้ำ,  ประดับประดาด้วยของอัปมงคลต่างๆเช่น เขากระทิง นอแรด, การทำกำแพงให้เก่าสกปรกขึ้นราและทุกวิถีทางที่ทำให้บ้านโทรมที่สุด ฯลฯ

เป็นยังไงกันบ้างครับสำหรับ การจัดบ้านให้น่าอยู่(สำหรับผี) เป็น D.I.Y. ที่ใครก็ทำได้ ลองทำกันดูนะครับ อย่าลืมส่งต่อให้คนที่ท่าน(ไม่)รัก ขอให้มีความสนุกกับเพื่อนใหม่ในบ้านนะครับ........โบร๋ววววว
 


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 11 ธันวาคม 2007 15:10:32
10 สุดยอดคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญ
อันดับที่ 10 คดีฆ่าหั่นจู๋ พนักงาน รฟม. คดีเขย่าขวัญคนกรุงรับปี 2550 เมื่อมีคนพบศพนายพิชัย ทองใบ พนักงานช่างเทคนิคของ รฟม. ในสภาพถูกฟันที่ท้ายทอย คอถูกปาดลึกเกือบขาด รวมทั้งอวัยวะเพศของผู้ตายถูกคนร้ายใช้มีดตัดเกือบขาดเช่นกัน อีกทั้งยังใช้เลือดเขียนเป็นรูปหัวใจไว้ที่กลางหน้าอกของผู้ตาย สร้างความสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง จนในที่สุดนายกฤษฎาพร บรรพชาติ หรือนายเก่งรฟม.ผู้ที่ลงมือฆ่าก็ขอเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่เนื่องจากทนแรงกดดันไม่ไหว โดยนายเก่งสารภาพถึงมูลเหตุจูงใจมาจากเรื่องชู้สาว

อันดับที่ 9 คดีฆาตกรต่อเนื่อง คดีที่ 2 ของประเทศไทย หลังจากคดีซีอุยเมื่อ 40 กว่าปีก่อน โดยนายสมคิด พุ่มพวง ก่อเหตุฆ่าหมอนวดถึง 5 ศพ ในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน โดยคดีต่างๆ นายสมคิดจะทำการติดต่อเหยื่อมาร่วมหลับนอนด้วย เมื่อมีการร่วมประเวณีแล้วก็จะฆ่าเหยื่อถึงแก่ความตาย

อันดับที่ 8 คดีแม่ฆ่าลูกบูชาพระอินทร์ ด.ญ.ประภัสสร เจียมเจริญ อายุ 12 ปี ถูกคนในครอบครัวคือนางกาญจนา เจียมเจริญ ผู้เป็นแม่ ซึ่งอ้างว่าเป็นร่างทรงพระอินทร์ นางอนงค์ เจียมเจริญ มีศักดิ์เป็นป้า อ้างเป็นร่างทรงพระอาทิตย์ นางจรินทร์ เจียมเจริญ น้าสาว และนางบัว เจียมเจริญ ผู้เป็นยายร่วมกันฆ่า โดยใช้มีดปาดคอตายอย่างสยดสยองภายในบ้าน โดยนางกาญจนาอ้างว่าสาเหตุที่ฆ่าลูกสาวเพื่อต้องการปลดปล่อยวิญญาณไปให้พระอินทร์ จากนั้นตำรวจได้ส่งตัวทั้งหมดไปที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ เนื่องจากพบว่าทั้งหมดมีอาการทางประสาท

อันดับที่ 7 คดีห้างทอง ธรรมวัฒนะ ปริศนาการตายของ ห้างทอง ธรรมวัฒนะ อดีต ส.ส.พรรคประชาไทย ยังคงคาใจทุกฝ่ายอยู่ในขณะนี้ว่าเป็นการฆาตกรรมหรือฆ่าตัวตาย หลังจากมีผู้พบศพนายห้างทองเสียชีวิตอยู่ในคฤหาสน์หรู สภาพนั่งอยู่บนเก้าอี้ คอแหงนไปด้านหลังมีบาดแผลลูกกระสุนเจาะทะลวงที่ศรีษระ 1 นัด โดยเสียชีวิตภายในห้องนอนของนายนพดล ธรรมวัฒนะ ผู้ที่เป็นน้องชายนั่นเอง มีการผ่าพิสูจน์ศพหาสาเหตุการตายอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งปัจจุบัน ก็ยังไม่สามารถสรุปผลที่แท้จริงได้ จนกว่าจะมีคำสั่งของศาลเป็นที่สิ้นสุด

อันดับที่ 6 คดีหมอผัสพร แพทย์หญิงโรงพยาบาลรถไฟที่หายตัวไปนานร่วมเดือน นำไปสู่การสืบสวนสอบสวน น.พ.วิสุทธ์ บุญเกษมสันติ ผู้เป็นสามีซึ่งให้การปฎิเสธมาโดยตลอด จนเมื่อทีมสืบสวนเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจค้นอาคารวิทยนิเวศน์พบคราบเลือดและเส้นผมและหลักฐานสำคัญ ที่เป็นชิ้นส่วนของมนุษย์ในบ่อพักน้ำเสียของอาคาร ซึ่งตรงกับ DNA ของหมอผัสพร สอดคล้องกับพยานที่เห็น น.พ.วิสุทธิ์ อยู่กับหมอผัสพรเป็นคนสุดท้าย รวมถึงเรื่องการฟ้องหย่าที่มีปัญหาขัดแย้งกันมานานจนนำไปสู่มูลเหตุจูงใจฆ่า

อันดับที่ 5 คดีเสริม สาครราษฎ์ นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 2 ก่อเหตุฆ่าหั่นศพ น.ส.เจนจิรา พลอยองุ่นศรีแฟนสาว โดยนายเสริมให้การว่าใช้ปืนสังหารที่ขมับ น.ส.เจนจิรา เนื่องจากตกลงกันไม่ได้เรื่องมีชายอื่นมาพัวพันหลังจากนั้นได้ใช้มีดผ่าตัดเฉือนศพเป็นชิ้นๆ ทิ้งลงชักโครก จนมีผู้พบชิ้นเนื้อมนุษย์จนนำไปสู่การพิสูจน์ DNA ก็พบว่าตรงกับเจนจิรา

อันดับที่ 4 คดีศยามล อีกหนึ่งคดีที่สร้างความสลดหดหู่ยิ่งนัก เมื่อมีผู้พบศพพยาบาลสาวถูกฆ่าโดยอำพรางศพว่าเป็นการขมขื่นและทิ้งศพไว้ในรถโดยมีลูกสาววัย 2 ขวบ ร้องไห้กอดศพผู้เป็นแม่อยู่ทั้งคืน ซึ่งผู้ที่บงการสั่งฆ่าก็ไม่ใช่ใครอื่น นั่นก็คือสามีหมอของเธอนั่นเอง

อันดับที่ 3 คดีเชอร์รี่แอน ดันแคน เด็กสาววัยรุ่นลูกครึ่งเชื้อชาติ ไทย-อเมริกัน ถูกพบเป็นศพหลังจากมีผู้พบเห็นว่าถูกล่อลวงขึ้นรถแท็กซี่ไปจากหน้าโรงเรียน ฆาตกรใช้สายรัดคอจนขาดอากาศหายใจและนำศพไปทิ้งไว้บริเวณป่าแสมบางสำราญ และนำไปสู่การจับผู้ต้องหาถึง 5 คน ซึ่งในเวลา 6 ปีต่อมา ศาลจึงมีคำสั่งว่าพวกเค้าทั้ง 6 คนไม่มีความผิด จนเป็นคดีที่กล่าวขานในเรื่องของการจับแพะมากที่สุดคดีหนึ่ง

อันดับที่ 2 คดีซีอุย ซีอุย แซ่ตั้ง เป็นชื่อของฆาตกรที่ฆ่าเด็กและนำตับมาต้มกินโดยมีเด็กอย่างน้อย 6 คนที่ถูกนายซีอุยสังหาร ซีอุยเป็นชาวจีนโพ้นทะเลเข้ามาในเมืองไทยและขึ้นฝั่งที่ประจวบคีรีขันธ์ ชอบจับเด็กมาผ่าและควักเอาเครื่องในมากินโดยมีความเชื่อว่าเป็นยาอายุวัฒนะ โดยได้ทำการฆ่าเด็ก 3 รายแรกที่ประจวบคีรีขันธ์ และรายสุดท้ายจับได้หลังจากคดีฆาตกรรมที่จังหวัดระยอง ซี่งสุดท้ายโดนจับขังคุกและยิงเป้าประหารชีวิต

อันดับที่ 1 คดีนวลฉวี ย้อนหลังไปเมื่อ 40 กว่าปีก่อน เกิดคดีเขย่าขวัญคนกรุง เมื่อมีผู้พบศพพยาบาลสาวถูกฆ่าข่มขืนอย่างทารุณแล้วโยนศพทิ้งน้ำ บริเวณสะพานนนทบุรีซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักในชื่อ สะพานนวลฉวี ซึ่งผู้ที่บงการสั่งฆ่านั่นก็คือหมออุทิศผู้ที่เป็นสามีของเธอนั่นเอง สาเหตุมาจากความหวั่นวิตกของหมอว่าเธอจะเข้าไปทำลายครอบครัวของเขา เขาก็เลยสั่งให้ฆ่าทั้งๆ ที่ยังรักเธออยู่ และแม้ว่าต่อมาหมออุทิศจะสำนึกขึ้นได้และจะยกเลิกคำสั่งนั้น แต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว



[จาก ภาพยนตร์ บ้านผีสิง]


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 11 ธันวาคม 2007 15:11:34
คาถาภาวนาดูเนื้อคู่
คาถา
ปุพ-เพ-วะ
สัน-นิ-วา-เส-นะ
ปัจ-จุป-ปัน-นะ
หิ-เต-นะ วา
เอ-วัง-ตัง
ชา-ยะ-เต-เป-มัง
อุป-ปะ-ลัง
วะ-ยะ-โถ
ทะ-เก.
วิธีใช้
1. จุดธูปเทียน เทียน 2 เล่ม ธูป 3 ดอก ทำวันพระขึ้น 15 ค่ำ ยิ่งดี
2. ตักน้ำสะอาด 1 ขัน
3. ท่องคาถาเท่ากับจำนวน อายุ เช่น อายุ 25 ปี ก็ท่อง 25 รอบ
4. เมื่อท่องเสร็จแล้ว ให้นำน้ำในขันมาล้างหน้า แล้วเข้านอน
ท่านว่ากลางคืน จะฝันถึงคู่ครอง ถ้ามีวาสนาบารมี จะได้พบความรัก
เป็นคาถาที่เหมาะกับคนที่มีอายุมากแล้ว แล้วยังไม่มีความรัก

คาถานี้ อยู่ที่กำแพงวัด มหาธาตุอาจารย์ เมืองคำ ปภากโร

ปล.จะเชื่อหรือไม่อยู่ที่ตัวคุณ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 11 ธันวาคม 2007 15:11:56
ตำนาน สมิงพราย
เรื่องเล่านี้เป็นตำนานของจังหวัดแห่งหนึ่งใน ต.เขาสมิง ปู่กับหลาน
คู่หนึ่งเดิมเป็นคนพื้นเพในละแวกนี้ เดินทางเข้าไปในป่า เพื่อตัดไม้
มาเผาถ่านขาย หนทางเต็มไปด้วยเถาวัลย์และกิ่งไม้ละโยงละย้า เดิน
ไปพลางก็ฟันกิ่งไม้ไปพลาง อากาศเริ่มเย็นขึ้น ๆ เพราะตอนนี้สองคน
ปู่หลานเข้าป่ามาลึกมากแล้ว ซึ่งโดยทั่วไปจะค่อยมีคนเดินเข้ามาถึงที่นี่
"แกล้บ ๆ" เสียงเหยียบใบไม้แห้งดังมาจากที่ใดสักแห่งในป่า ปู่กับหลาน
หยุดเดิน แล้วเงื่ยหูฟัง แต่ก็ไม่ได้ยินอะไร ทั้งสองก็ไม่ได้คิดอะไรเดิน
ตัดไม้ต่อไป จนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ปู่กับหลานก็หลงป่า เพราะมอง
ไม่เห็นทาง หาทางออกจากป่าไม่เจอ จึงพยายามหาต้นไม้ที่สูงและกว้าง
พอที่จะนอนพักเอาแรงได้ เพื่อเดินทางกลับบ้านในวันรุ่งขึ้น คืนนั้นปู่กับ
หลานนอนอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ เพราะปู่รู้ดีว่าในกลางป่าอย่างนี้ต้องมีอันตราย
แน่นอน เวลาประมาณตีหนึ่งกว่า ๆ อากาศเย็นขึ้นกว่าเดิม วังเวงผิดปกติ
หลานก็หลับสนิท ปู่ก็ครึ่งหลับครึ่งตื่นได้ยินเสียงเหยียบใบไม้เหมือนเมื่อ
ตอนกลางวัน ปู่ก็สะดุ้งตื่นขึ้นแล้วปลุกหลาน หลานเหลือบไปเห็นหญิงคน
หนึ่งหน้าตาคล้ายแม่ของตนเองมาก แล้วพูดว่า "แม่มาตามหนูกลับบ้าน
หรือ" "จ้ะลูก" เสียงตอบจากหญิงคนนั้น "ลงมาหาแม่เร็ว" ขณะที่เด็กคนนั้น
กำลังจะลงไปหาหญิงคนนั้น ปู่ก็คว้ามือของเด็กเอาไว้ ห้ามไม่ให้ไป แล้วพูด
ว่า "นั่นไม่ใช่แม่แกหรอก" เด็กก็ยังอยากจะไปหาแม่ จึงร้องไห้เสียงดัง หญิง
คนนั้นก็เดินไปเดินมาแล้วเรียกเด็กคนนั้นต่อไป ปู่จึงหันไปกำใบไม้ข้างๆตัว
แล้วเสกคาถากว้างไปยังหญิงที่อยู่ข้างล่าง หญิงคนนั้นร้องเสียงดังอย่างโหย
หวน แล้วพยายามปืนขึ้นไปหาปู่กับหลานสองคน แต่ปู่ก็เสกใบไม้แล้วกว้างลง
ไปอีก หญิงคนนั้นกลับกลายร่างเป็นเสือตัวเมีย ร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด
แล้ววิ่งหนีหายไปในป่า... ตำนานนี้จึงเกิดมาเป็น ต.เขาสมิง ของจังหวัดแห่งหนึ่ง
ในภาคตะวันออก.


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 11 ธันวาคม 2007 15:12:39
เจ้าป่าเจ้าเขา
                                         
ขึ้นชื่อว่าผีย่อมมีอยู่ทุกหนทุกแห่งในโลก ไม่ว่าจะเป็นตามบ้านเรือนทุ่งหญ้าป่าเ ขาในห้วยหนองคลองบึง สำหรับเจ้าป่าเจ้าเขานั้นถือว่าเป็นผีระดับหัวหน้าหรือผีที่เป็นใหญ่กว่าผีป่าผีดงทั้งหมด เหมือนกับผีตามป่าช้าวัดต่างๆ ก็ต้องมีผีนายป่าช้ าเป็นหัวหน้า ผีที่อาศัยอยู่ตามป่าเขาก็มีเจ้าป่าเจ้าเขา (เป็นผู้ดูแลควบคุม มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "พระพนัสบดี" แปลว่า ผู้เป็นใหญ่แห่งป่า) ซึ่งน่าจะมีทั้งเพศ หญิงและเพศชายเหมือนมีเจ้าพ่อก็ต้องมีเจ้าแม่อะไรทำนองนี้

ประวัติความเป็นมา
ไม่มีข้อมูลอะไรให้ค้นคว้ามากนักสำหรับเจ้าป่าเจ้าเขา แต่น่าจะพอเชื่อได้ว่าบรร ดาผีป่าผีเขาทั้งปวง เมื่อรวมกันอยู่เป็นหมู่มาก ก็ย่อมต้องมีการคัดเลือกหัวหน้าหรือผู้ควบคุมความสงบเรียบร้อยเพื่อความเป็นระเบียบ คล้ายๆกับสังคมของคน เ พราะว่าผีส่วนใหญ่นั้นแต่เดิมส่วนใหญ่ก็เคยเป็นคนมาก่อน (ใส่คำว่า "ส่วนใหญ่" ไว้กันเหนียว เผื่อว่ามีผีบางตัวบางประเภทจู่ๆ ก็เกิดเป็นผีเลย โดยไม่ผ่านกา รเคยเป็นคนมาก่อน) ดังนั้นย่อมต้องนำวิธีการปกครองของสังคมมนุษย์ไปใช้บ้างไม่มากก็น้อย

อิทธิฤทธิ์ของเจ้าป่าเจ้าเขา
เจ้าป่าเจ้าเขานั้นสามารถให้คุณให้โทษกับผู้ที่ล่วงล้ำเข้าไปในอาณาเขตแห่งป่าได้ ฉะนั้นเวลาไปเที่ยวป่าพรานผู้นำทางหรือท่านผู้รู้ มักจะเตือนไม่ให้ทำอะไรเป็น การดูหมิ่นดูแคลนและให้ความเคารพเจ้าป่าเจ้าเขาซึ่งเปรียบเสมือนเจ้าของสถานที่ เช่น หากมีความจำเป็นจะต้องตัดไม้มาใช้ทำประโยชน์ก็ต้องบอกกล่าวเล่าสิ บเอ่ยปากขอต่อเจ้าป่าเจ้าเขาซะก่อน ยิ่งถ้าเป็นการตัดต้นไม้ใหญ่ๆ ที่มีอายุยืนล่ะก็ ต้องทำพิธีใหญ่กันเลยทีเดียว เพราะนอกจากจะต้องบอกกล่าวขออนุญาตจากเ จ้าป่าเจ้าเขาแล้ว ยังต้องบอกบรรดานางไม้หรือรุกขเทวดาให้ทราบเพื่อท่านจะได้อพยพย้ายไปหาที่สร้างวิมานใหม่ขืนไปทำอะไรส่งเดชตัดไม้ล่าสัตว์ตามอำเภ อใจอาจเจออาถรรพณ์ถึงขนาดหลงทางกลับออกมาจากป่าไม่ได้ หรือโดนภูติผีปีศาจบริวารของเจ้าป่าหลอกหลอน ทำให้เจ้าป่วยจนถึงแก่ชีวิตก็เป็นได้ ตอนเข้าป่ าถ้าเกิดอยากจะ "ยิงกระต่าย " "หรือเก็บดอกไม้" ก็อย่าลืมยกมือไหว้ขอขมาลาโทษเจ้าป่าเจ้าเขาซะก่อนค่อยทำธุระส่วนตัวแล้วก็ต้องไม่ลืมมองซ้ายขวาหน้าหลังด้วย เดี๋ยวจะว่าไม่เตือน

เครื่องเซ่นสังเวย
ตอนเดินป่า เมื่อเวลาหยุดพักรับประทานอาหาร จะต้องแบ่งอาหารส่วนหนึ่งใส่ใบไม้ถวายเจ้าป่าเจ้าเขาและบรรดาผีป่าผีดงทั้งหลาย เป็นการแสดงความคารวะต ามประสาผู้มาเยือนที่ดี  และช่วยให้เกิดความรู้สึกสบายใจเพราะได้กระทำถูกต้องตามทำนองคลองธรรมแล้ว มิได้ละเมิดหรือดูหมิ่นดูแคลนแต่อย่างใด หากมีอ ะไรผิดพลาดพลั้งไปบ้างเจ้าป่าเจ้าเขาท่านก็คงให้อภัยสำหรับผู้ที่มีความอ่อนน้อมและรู้กาละเทศะนอกจากนี้ หากมีการล่าสัตว์ พรานอาจจะตัดเนื้อสัตว์ที่ล่าได้ส่ วนหนึ่งวางไว้ในที่อันควรเพื่อเป็นการถวายแต่เจ้าป่าเจ้าเขาพรานสมัยก่อนจะล่าสัตว์และตัดไม้เท่าที่มีความจำเป็นสำหรับเลี้ยงชีพเท่านั้น ไม่ใช่ตัด..น่ารัก..นไปหมด ทั้งป่าหรือล่าจนสัตว์สูญพันธุ์เหมือนทุกวันนี้ สงสัยเจ้าป่าในปัจจุบันไม่ค่อยจะเฮี้ยนหรือเอาจริงเอาจังเหมือนเจ้าป่าในยุคก่อน

ป่าเมืองไทยจึงเหลือแต่ตอ เจ้าป่าเจ้าเขาที่มีชื่อเสียงโด่งดังในวรรคดีคือ " ปู่เจ้าสมิงพราย" ซึ่งกวีได้บรรยายรูปร่างของท่านตอนที่มีผู้ไปหาไว้ว่า "บผอม บพีทาง บ่หนุ่ม งามนา บ่แก่ผมผิวเนื้อ ปากคิ้วตาตรูฯ" แสดงว่าเป็นคนรูปหล่อหุ่นดีขนาดเป็นพระเอกหนังได้สบาย หรือ ใครอ่านแล้วลองหลับตานึกภาพเอาเองว่าผู้ที่ ไ ม่ผอมไม่อ้วน ไม่แก่และไม่หนุ่มนั้น จะมีรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง สำหรับอิทธิฤทธ์ด้านอื่นๆนั้น ลองไปอ่านในตอน "ปู่เจ้าสมิงพราย" กันเอาเอง



หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 11 ธันวาคม 2007 15:13:05
ผีกองกอย


กองกอยเป็นผีป่าชนิดหนึ่งซึ่งมีรูปร่างหน้าตาค่อนข้างแปลกประหลาด ผีชนิดนี้เวลาออกหากินหรือเดินทางไปไหนๆ ชอบร้อง กองกอย กองกอย  บอกเผ่าพันธุ์แ ละประเภทของผีตัวเองให้ชาวบ้าน ชาวเมือง เขารู้เสร็จ เพื่อจะได้ไม่เกิดอาการสับสนหรือคาดเดาให้เสียเวลา ว่าไอ้ตัวที่กำลังเขย่งโหยงๆ มานั้นเป็นผีชนิดใดกันแน่นับเป็นยอดผีนักประชาสัมพันธ์ตัวเองขนานเอกเลยทีเดียว

ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าผีกองกอยมีความเป็นมาอย่างไร และก็ยังไม่เคยมีใครบ้าเลือดบุกเข้าป่าไปขอสัมภาษณ์หรือซักประวัติอย่างเป็นผีป่าชนิดหนึ่งชอบอาศัยอ ยู่ในป่าลึกหรือป่าดงดิบ ซึ่งป่านนี้อาจจะสูญพันธุ์ไปพร้อมกับป่าเมืองไทยแล้วก็ได้     ยังมีท่านผู้รู้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมไว้อีกว่ากองกอย น่าจะเป็นสัตว์ป่าชนิดหนึ่ ง ซึ่งมีพฤติกรรมชอบดูดเลือดผู้อื่น (หมายถึงสัตว์อื่นหรือคนอื่นไม่ชอบดูดเลือดตัวเอง) กินเป็นอาหาร บ้างว่าเป็นพวกเดียวกับผีโป่งค่าง ซึ่งเจ้าผีชนิดนี้มีรูปร่างค ล้ายค่างแต่หางสั้นกว่าอาศัยอยู่ตามต้นไม้ใหญ่แล้วก็ชอบดูดเลือดกินเหมือนๆ กัน (ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม
ได้ในเรื่อง ฝีโป่งค่าง)

เนื่องจากกองกอยค่อนข้างจะเป็นผีแปลกประหลาด คือ มีเท้าอยู่เท้าเดียวแถมไม่มีสะบ้าหัวเข่า เวลาจะเดินทางไปไหนก็ต้องใช้วิธีเขย่งเกงกอยไป ฉะนั้นจึงพบร อยเท้าของมันเพียงรอยเดียว..ซึ่งก็เป็นของแน่อยู่แล้ว ...ขืนพบรอยเท้าทั้งสองข้างหรือสองเท้าแสดงว่าเป็น กองกอยตัวปลอมอย่างไม่ต้องสงสัยเรียกตำรวจจับไ ด้เลยหากขนานแท้และดั่งเดิมต้องมีีเท้าเดียวโปรดสังเกตเครื่องหมายการค้าอันนี้ไว้ให้ดี เพราะยากต่อการทำเทียมและเลียนแบบ (แถมเวลาซื้อรองเท้าน่าจะได้ล ดครึ่งราคาอีกต่างหาก)เรื่องรูปร่างของผีกองกอยผ่านไปแล้วคราวนี้มาว่าถึงด้านหน้าตาบ้าง ตามตำราบอกว่า ผีกองกอยนั้นหน้าตาเหมือนผีกองกอยยังไงยังงั้นเล ย คือ หัวกลมโตล้านเลี่ยนเตียนโล่งนัยน์ตากลมใหญ่สีแดงเหมือนไฟ ปากเหมือนแตรหรือเหมือนปากแมลงวัน...ตามตำราว่าอย่างนั้นไม่รู้เหมือนกันว่าแตรกับ ปากแมลงวันมันมาเกี่ยวข้องเป็นคนล่ะเรื่องเดียวกันได้ยังไง (ใครยังไม่หายข้องใจต้องลองไปจับแมลงวันมาพิจารณากันเอาเอง) ปากชนิดนี้มีไว้สำหรับดูดเลือ ดอย่างที่บอกแต่จะเอาไว้ใช้ดูดอย่างอื่นด้วยหรือไม่ก็ยากที่จะสรุปได้ ไว้เจอคุณกองกอยแล้วจะเค้นคอถามมาให้รวมหมดทั้งรูปร่างและหน้าตาแล้ว ผีกองกอยน อกจากจะไม่หล่อแล้วยังค่อนข้างตลกอีกต่างหาก แบบนี้หากใครจับได้ เอามาออกงานวัดคงได้หลายกะตังค์

ผู้สันทัดกรณีซึ่งไม่ประสงค์จะออกนามและไม่ประสงค์จะออกเงินทุกครั้งที่มีกา รเรี่ยไร หรือแจกซองกฐิน,ผ้าป่า บอกว่า...อาหารสุดโปรดของผีกองกอย ก็คือ...เลือด..ใช่แล้วเลือดสดๆ เพิ่งรีดเอ๊ย......ดูดออกจากนิ้วหัวแม่โป้งเท้าใหม่ๆ ร สชาติหอมหวานอย่าบอกใคร แถมอุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่ ใครที่ชอบเข้าไปค้างแรมในป่าทึบ ระวังเอาไว้ให้ดี หากเผลอนอนหลับ เจ้าผีกองกอยอาจจะเ ขย่งย่องมาดูดเลือดกินจนตัวซีดถึงแก่ความตายได้ เวลาออกหากินมันจะร้อง กองกอย...กองกอย ดังโหยหวลทั่วทั้งป่าฟังแล้วให้รู้สึกวังเวงวิเวกวิโหวเหว มันจะม าแอบซุ่มอยู่ในพุ่มไม้ บางตำราว่ามันไม่ได้ร้องกองกอย...กองกอย แต่จะร้อง  จุ๊...ดังมาแต่ไกล พอเราออกเสียงตะเพิด มันก็จะตกใจกระโจนออกจากพุ่มไม้ที่ซ่อนตัว แล้วก็เขย่งเกงกอยหนีไป

กองกอยคือผีประเภทชอบกินเลือดเป็นอาหาร แบบเดียวกับพวกแวมไพร์ (Vampire) ของฝรั่งซึ่งกล่าวกันว่ามีลักษณะเป็นค้างคาวตัวใหญ่หรืออาจจะเป็นเ ครือญาติกับท่านเค้าน์แดร็กคิวล่า ซึ่งมีเลือดเป็นอาหารจานโปรดเช่นกัน ผีชนิดนี้จะเขย่งเกงกอยมาแอบกินเลือดในเวลากลางคืนของคนที่ไปเที่ยวค้างคืนในป่าดง ดิบและนอนอย่างไม่ระมัดระวังตัว ยังไม่เคยมีข่าวว่าคุณกองกอยออกจากป่ามาอาละวาดหรือแจกลายเซ็นต์ในเมืองและไม่เคยมีรายงานว่ามันเล่นงานพรานป่ าแบบเผชิญหน้าแต่อย่างใด ปกติน่าจะเป็นผีรักสงบไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใครนัก ค่อนข้างหาตัวยาก หรืออาจจะสูญพันธุ์ไปพร้อมกับป่าเมืองไทยนานแล้ว

คงไม่ยากเย็นอะไรนัก เพราะหากสวมรองเท้านอนเวลาไปค้างคืนในป่า เจ้าผีกองกอยก็คงไม่กล้าลักลอบ...เอ๊ย..คงไม่กล้าเข้ามานั่งบรรจงแก้เชือกรองเท้าแล้วก็ กัดนิ้วดูดเลือดกินเป็นแน่ และถ้าได้ยินเสียงร้อง กองกอย...กองกอย หรือ จุ๊...ก็ให้ตะเพิดไปอย่างที่บอก รับรองคุณกองกอยไม่พักตร์ศิลาเหมือนคน...เอ๊ยผีบาง ตัวหรอก..ซิบอกให้ สำหรับการติดตามล่าผผีกองกอย  ต้องใช้วิธีตามรอยเท้าที่มันเขย่งเกงกอยหนีไป  มีอยู่ขาเดียวแถมไม่มีลูกสะบ้าหัวเข่า คงจะตามจับตัวมาอ อกงานวัดไม่ยากนักหรอก หากไม่พลาดท่าโดนเค้าจับดูดเลือดจนตัวซีดไปเสียก่อน

โดยมากพวกผีดูดเลือดทั่วไป อย่างแวมไพร์ หรือแด็กคิวล่า หากใครโดนดูดเลือ ดก็จะกลายเป็นผีแบบเดียวกัน และต้องหาเลือดกินเป็นการถ่ายทอดเผ่าพันธุ์ต่อๆ กันไปอย่างไม่รู้จบสิ้น แต่สำหรับเจ้าผีกองกอยนี่ไม่มีหลักฐานหรือข้อมูลว่าต้ องเป็นอย่างนั้น คือใครโดนดูดเลือดก็คงจะแค่แห้งตายไปนะแหละ ไม่มีการกลายเป็นผีกองกอยตัวใหม่ออกอาละวาดแต่อย่างใด

หลังจากที่ สิงหไกรภพ ได้อภิเศกสมรสกับ เจ้าหญิงสร้อยสุดาจนมีพระโอรสองค์ หนึ่งนามว่า เจ้าชายรามวงศ์ ต่อมาพระรามวงศ์ไปได้ เจ้าหญิงเทพกินรี ธิดา ท้าวเทพาอสูรจอมยักษ์เป็นชายาวันหนึ่งรามวงศ์ได้พาชายวาหนียักษ์พ่อตาไปหาสิ งหไกรภพผู้เป็นบิดาของตนที่เมืองโกญจา แต่ระหว่างทางได้แวะพักในป่าแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่อยู่ของปีศาจสาวผู้มีนามว่า อองออย ผีสาวซึ่งมีลำตัวเป็นผู้หญิงหัวเป็ นจระเข้เมื่อได้พบพระรามวงศ์นางปีศาจอองออยก็เกิดมีจิตคิดรักใคร่จึงแปลงร่างเป็นสาวโสภาโกหกว่าตัวเองคือ เจ้าหญิงศรีฟ้า ราชธิดาแห่งเมืองกุเวรพลัดกับพ วกทหารหลงทางอยู่ในป่าและรู้ทางไปเมืองโกญจาพระรามวงศ์จึงให้ร่วมทางไปด้วย พอตกกลางคืนนางปีศาจอองออยก็ทำร้ายเจ้าหญิงเทพกินรีจนจมหายไปในลำธารเข้าใจว่าคงไม่รอดแน่จึงแกล้งกลับไปปลุกเจ้าชายรามวงศ์ทูลว่าเจ้าหญิงแ ก้วกินรีหนีตามชายชู้ไปแล้วพระรามวงศ์ไม่เชื่อชักพระขรรค์ขู่นางปีศาจให้บอกความจริง  นางอองออยเห็นไม่ได้การรีบคืนร่างเป็นปีศาจเลยถูกเจ้าชายขว้างด้ว ยจักรขาขาดข้างหนึ่งกระโดดเหยงๆ หนีไป ซึ่งต่อมานางอองออยไปได้คู่ใหม่จนเกิดลูกหลานซึ่งมีตีนข้างเดียวเวลาจะเดินไปไหนก็ต้องใช้วิธีเขย่งเกงกอย ซึ่งเร ารู้จกักันดีในชื่อของ ผีกองกอยอันมีนางปีศาจอองออยเป็นต้นพันธุ์ของผีตระกูลนี้



หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 11 ธันวาคม 2007 15:17:28
ค่าย 50 รุ่นสยอง
ผมเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง แล้วก็มีโอกาสได้ร่วม กิจกรรมของมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นกิจกรรมค่ายที่จัดติดต่อกันมาเป็นเวลานานแล้ว โดยผมเป็นรุ่นที่ 33 ต่อมาผมก็เลื่อนขั้นขึ้นเป็นพี่เลี้ยง โดยค่ายนี้จะฝึกโดย ใช้ครูฝึกทหาร จากค่ายฝึกรบพิเศษค่ายหนึ่งทางภาคอีสาน

ทุกรุ่นที่ฝึกจะต้องมีเหตุการแปลกๆเสมอ แต่ครูฝึกกับพี่เลี้ยงจะ ไม่บอกกับพวกน้องๆเพราะกลัวว่าจะตกใจกันเพียงแต่จะบอกว่าให้ระวังอย่าทำอะไรที่ เป็นการลบหลู่ เพราะพื้นที่บริเวณนั้นเคยเป็นสนามรบเก่ามาก่อน จนมาถึงค่าย รุ่นที่ 50 พวกเราพี่เลี้ยงก็เริ่มรูสึกตะหงิดๆแล้วเพราะว่า รุ่นนี้เป็นรุ่น ที่ 50 มีน้องไปค่าย 123 คน มีพี่เลี้ยง 13 คนคือตัวเลขมันสวยเกินไปรึเปล่า แล้วแต่ก่อนนี้ในรุ่นที่ 25 มันเคยมีเรื่องวุ่นวายค่ายแตกกันมาแล้ว เนื่องจาก มีน้องถูกผีเข้าอาละวาดกันมาแล้ว เราก็พยายามระวังตัว วันแรกที่ไปถึงเราจะ ต้องมีการไหว้ศาลเจ้าพ่อที่นั่นซึ่งมีหลายศาลมาก ปรากฎว่าจุดธูปไม่ติดทำอย่าง ไรก็ไม่ติด แถมอาจารย์คนใหม่ที่เพิ่งจะมาคุมกิจกรรมนี้เป็นครั้งแรกยังประกาศยก เลิกพิธีบายศรีสู่ขวัญในคืนปิดค่ายเสียอีก เราก็เอาล่ะสิ... ระหว่างที่ทำพิธี เปิดค่ายกันอยู่น้องฝึกงาน(พี่เลี้ยงที่มา 13 คนจะเป็นพี่เลี้ยงฝึกงาน 4 คน)คน หนึ่งชื่อก้อย ก็เอาพวงมาลัยที่เราเตรียมเอาไว้ถวายศาลเจ้าแม่ตะเคียนที่หลัง ค่ายมาแกว่งเล่นพวกเราเห็นเข้าก็ตกใจ สุดท้ายเราก็เลยต้องเล่าเรื่องความแรงของ ค่ายนี้ให้ฟังแล้วก็พาไปขอขมาเจ้าแม่ พอตกกลางคืนเราก็มีการฝึกโดยจะแบ่งน้อง ออกเป็นกลุ่มแล้วปล่อยขึ้นเขา บนเขาจะมีฐานฝึกที่มีครูฝึกทหารควบคุมอยู การ เดินบนเขาจะไม่มีไฟฉายให้ ให้เดินงมกันไปเอง ส่วนพี่เลี้ยงจะจับคู่กันขึ้นเขา มีไฟฉายให้แต่ห้ามเปิดโดยไม่จำเป็น ผมจับคู่กับน้องผู้หญิงคนหนึ่งชื่อนุ่น ก็ เดินกันขึ้นไปเรื่อยๆเนื่องจากมาหลายรุ่นแล้วจึงคุ้นทาง เดินไปสักพักก็เห็นเงา ตะคุ่มๆของคนสักสิบกว่าคนนั่งเรียงแถวอยู่กลางทางเดินบนเขาซึ่งเป็นทางเดินในป่า ผมกับนุ่นก็เลยหยุดเพราะคิดว่าเป็นกลุ่มน้องที่หยุดรอเข้าฐานอยู่ แต่ก็รู้สึก แปลกใจอยู่เหมือนกันที่ทำไมน้องจึงนั่งกันเงียบนักไม่มีใครคุยกันเลย รออยู่สัก สิบนาทีพี่เลี้ยงอีกคู่ก็ตามขึ้นมา ชื่อหมีกับกี้แต่ผมน่ะเห็นว่ามากันสามคน อีก คนรูปร่างเหมือนน้องชื่อน้ำ(มันมืดจะเห็นแค่เงาดำๆเท่านั้น) ผมก็ถามไปว่าน้ำมา ด้วยเหรอ หมีก็ตอบว่าผมมากับกี้สองคน ผมก็งงแต่ก็ยังไม่คิดอะไรก็เลยเดินไปจับ หัวคนที่ผมคิดว่าเป็นน้ำเขย่า แล้วก็ถามว่านี่น้ำใช่ไหม แต่เขาก็ไม่ตอบได้แต่ ยืนก้มหน้า หมีก็ยังยืนยันว่ามากันแค่สองคน ตอนที่ผมหันไปพูดกับหมีพอหันกลับมา น้ำก็หายไปแล้ว พวกเราเริ่มรู้สึกว่ามันยังไงกันแล้ว ก็เลยหยิบไฟฉายขึ้นมาเปิด ปรากฎว่ามีกันอยู่แค่สี่คนนึกได้ก็ฉายไฟไปที่น้องที่นั่งกันอยู่ เท่านั้นแหละ เหงื่อแตกพลั่ก ไม่มีใครอยู่เลยสักคนทั้งๆที่ทางตรงนั้นเป็นทางตรงเกือบร้อย เมตร เป็นไปไม่ได้ที่คนเป็นสิบคนจะเดินไปโดยพวกเราสี่คนจะไม่เห็นหรือไม่ได้ยิน เลย พวกเราก็เลยเกาะกลุ่มกันวิ่งลงจากเขาให้เร็วที่สุด ลงจากเขามาได้ผมน่ะเล็บ เปิดเลยครับ

พอลงจากเขามาแล้วทั้งหมดก็มีน้องคนหนึ่งมาคุยกับผม เขาบอกว่าค่าย ตื่นเต้นดีมีครูฝึกทาหน้าขาวมานั่งสูบบุหรี่อยู่ข้างทาง ผมฟังก็ได้แต่ยิ้มจืดๆ ไปเพราะผมรู้ว่าครูฝึกจะทำอะไรบ้างเนื่องจากนัดแนะกับไว้แล้ว แต่ไอ้ที่จะมานั่ง ทาหน้าขาวน่ะไม่มีแน่นอน..แล้วที่น้องเจอน่ะใครล่ะ

พอตกดึกหลังจากที่น้องเข้านอนหมดแล้ว พี่เลี้ยงก็จะมานั่งประชุมกัน แล้วก็เข้านอน เข้านอนได้สักพักก็ได้ยินเสียงคนคุยกันจากเรือนนอนถัดไป คือเราจะ แยกนอนชายหญิง เรือนนอนก็จะเป็นอาคารไม้ติดดินอยู่ห่างกันประมาณสามเมตร ผมก็นึก โมโหฝั่งผู้หญฺงที่ไม่นอนกันสักทีก็เลยกดโทรศัพท์หาเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งว่าทำไม ไม่นอนกัน เขาก็ว่ากลับมาว่าฝั่งผู้ชายนั่นแหละที่ไม่นอนเสียงดังมาก พวกผู้หญิง น่ะหลับกันหมดแล้ว ผมก็ว่าผู้ชายก็หลับเกือบหมดแล้วพูดจบก็ต่างคนต่างเงียบเป็น ที่รู้กันว่า "อีกแล้ว"

วันรุ่งขึ้นน้องที่ชื่อก้อยก็มาเล่าให้ฟังว่าที่เขาเล่นพวงมาลัยแล้ว ไปขอขมาน่ะ เจ้าแม่มาหาเขาถึงที่นอนเลยเพราะว่าเขากังวลมากในใจก็เลยพรำขอโทษ อยู่ตลอดเวลา ตอนนอนเจ้าแม่ก็เลยมาบอกว่าไม่เป็นไรแต่มาลอยอยู่ตรงหน้าชนิดว่า หน้าชนหน้าเลย ที่แปลกอีกเรื่องก็คืออาจารย์ที่ประกาศไม่จัดพิธีบายศรีวันรุ่ง ขึ้นก็รีบขับรถเข้าเมืองไปซื้ออุปกรณ์ทำบายศรีแต่เช้าเลย คาดว่าคงจะเจอดีเข้า ให้

จนถึงวันกลับก็มีการให้น้องเข้ากลุ่มอีกครั้ง มีน้องกลุ่มหนึ่งแยก ตัวไปนั่งใกล้ๆศาลเจ้าแม่ตะเคียนซึ่งอยู่ใกล้ๆกับโรงเลี้ยงแล้วส่งเสียงดังมาก ครูฝึกก็เข้าไปเตือนน้องก็ยังไม่ฟัง สักพักผมก็เข้าไปเตือนน้องก็ยังไม่เบาเสียง ลงอีก พอผมหันหลังกำลังจะเดินออกมาก็ได้ยินเสียง "ตึก"เหมือนของหนักตกลงกระแทก ดิน พอหันไปก็เห็นว่าเป็นกิ่งตะเคียนขนาดใหญพอสมควรร่วงลงมาห่างจากตรงที่น้อง นั่งอยู่ไม่ถึงห้าเมตร ผมกับครูฝึกก็เข้าไปดู กิ่งตะเคียนไม่มีร่องรอยการฉีกจาก การถูกลมพัดแต่อย่างใด ลมในตอนนั้นก็ไม่แรง เหมือนกับทิ้งกิ่งลงมาเฉยๆ ผมกับครู ฝึกก็มองหน้าในเชิงรู้กันว่าเจ้าแม่ท่านคงเตือนแล้วล่ะก็เลยรีบไล่น้องให้ไปนั่ง กันที่อื่น

ที่จริงยังมีอีกหลายคนที่เจอดีที่ค่ายนี้แต่มันมากจนลงในเรื่องตอน นี้ไม่ไหว เพราะว่าเจอกันทุกคนก็ว่าได้ แล้วคราวหลังจะส่งมาให้อ่านกันใหม่นะ ครับ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 11 ธันวาคม 2007 15:17:48
ห้องสยอง
สวัสดีค่ะทีมงานเดอะช็อคทุกท่าน

หยามีเรื่องจะเล่าให้ฟังค่ะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งค่ะ เรื่องมีอยู่ว่าเพื่อนของหยาคนนี้เขาไปสัมมนาที่ต่างจังหวัดซึ่งเขาจะต้องอยู่สัมมนาถึง 3 วัน พอไปถึงเขาก็แจกกุญแจห้องให้ ของเพื่อนกับบัดดี้เขาได้ห้อง 509 ซึ่งเป็นห้องที่อยู่ด้านในสุดเลย ซึ่งในการสัมนาครั้งนี้มีผู้ร่วมทีมไปประมาณ 100 คนได้ ซึ่งผู้ที่เข้าสัมนาจะอยู่ชั้น 5 และ ชั้น 3 ขอเอ่ยนามเพื่อนหน่อยนะค่ะเพื่อนหยาชื่อเต้คะ เต้บอกว่าพอเปิดห้องเข้าไปเพื่อนเขาก็หันมามองหน้าแบบแปลก ๆ แต่เต้ไม่ได้เอะใจอะไรพอบัดดี้ของเต้วางกระเป๋าลงเขาก็เดินสำรวจห้องทันที ทั้งห้องน้ำ ตู้เสื้อผ้า ระเบียงห้องเสร็จเขาก็เดินมาถามเต้ว่าได้กลิ่นดอกไม้หรือเปล่าเต้ก็ส่ายหน้า เขาก็เลยเงียบแล้วก็ขอตัวไปอาบน้ำ ระหว่างนั้นเต้ก็จัดข้าวของเข้าตู้ เสร็จแล้วก็ว่างรองเท้าให้สลับข้างกันจังหวะนั้นเขาบอกว่าได้ยินเสียงเคาะห้องก็คิดว่าคนรู้จักกันมาเคาะก็เลยเปิดออกไปแต่ไม่มีใครอยู่หน้าห้อง สักพักก็ได้ยินเสียงบัดดี้ตะโกนบอกว่าเดี๋ยวก่อน เสร็จแล้ว เต้ก็งงว่าเขาตะโกนบอกใคร พอเขาออกมาก็ถามเต้ว่าแกจะเขย่าประตูทำไมว งงเลย เต้บอกว่าเขาเปล่าแล้วก็รีบเข้าไปอาบน้ำเพราะต้องลงไปทานข้าวกัน คืนนั้นเต้บอกว่าก็ไม่มีอะไรเขานอนหลับสบายดีแต่บัดดี้เขานอนครางทั้งคืนเขาก็คิดว่านอนละเมอ พอระหว่างพักทานข้าวเที่ยงพี่ที่ไปสัมนาด้วยก็เล่าให้ฟังว่าเมื่อคืนนอนไม่ค่อยจะหลับได้ยินเสียงเด็กวิ่งเล่นทั้งคืนจะลุกมาต่อว่าข้างห้องก็กะไรอยู่ เต้รีบบอกว่าพี่พักห้องใกล้ผมไม่ใช่เหรอชั้นที่เราอยู่มีแต่คนที่มาสัมนาด้วยกันทั้งนั้นไม่มีเด็กพี่คนนั้นเขาก็มองหน้าเต้งง ๆ แต่ก็ยืนยันว่าเธอได้ยินจริง ๆ สักพักบัดดี่ของเต้ก็เดินมาถามว่าช่วงบ่ายมีสัมมนายาวหรือเปล่า เต้ก็บอกว่าต่ออีก 2 ชม. เขาก็บอกว่างั้นขอขึ้นห้องก่อนรู้สึกเวียนหัวเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ จนเวลาผ่านไปนานพอสมควรบัดดี้ของเต้ไม่ลงมาจากห้องเต้ก็คิดว่าเขาคงป่วยจริงก็สัมมนาจนเสร็จ เต้กลับขึ้นห้องเคาะประตูอยู่นานมากบัดดี้ของเขาก็ไม่ลุกมาเปิดสักที จนพี่ที่ทานข้าวด้วยกันตอนกลางวันเดินเข้ามาถาม เต้จึงบอกว่าเพื่อนเขาเป็นอะไม่ทราบเรียกอยู่นานแล้วไม่ยอมเปิดประตูพี่คนนั้นบอกว่าท่าจะไม่ดีแล้วเดี๋ยวพี่เรียกเมตให้ สักพักเมตเอากุญแจสำรองไขเข้าไป ในห้องมืดมากบัดดี้เขาปิดหน้าต่างปิดม่านจนมืดหมดเลย พอเปิดไฟทุกคนตกใจมากเพราะบัดดี้ของเต้หน้าซีดขาวและนอนกระตุกพี่ผู้หญิงคนนั้นเธอรีบเอาพระที่อยู่ที่คอคล้องคอให้แล้วบอกว่าให้รีบพาไปหาหมอ เต้ก็ออกอาการงง ๆ พี่คนนั้นมาบอกทีหลังว่าเธอเห็นผู้หญิงอยู่บนตัวของบัดดี้เต้เธอไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเหมือนกำลังทำอะไรกันอยู่พอบัดดี้เต้รู้สึกตัวเขาก็เลยเล่าให้ฟังว่าตอนที่เขาขึ้นไปนอนนั้นขณะกำลังเคลิ้ม เขารู้สึกว่ามีคนมายืนที่ปลายเท้าพอลืมตาขึ้นมาก็เห็นผู้หญิงคนที่เขาเจอคืนแรกมายืนอยู่ เขาคุยด้วยสักพักเธอคนนั้นก็ขอนอนด้วยแล้วเขาก็ไม่รู้สึกอะไรเลยรู้แค่ว่ามันหวิว ๆ เหมือนมันจะหลุดออกมาจากร่างให้ได้ พอก่อนกลับพี่คนนั้นแกไปถามจนรู้ว่าห้องที่เต้กับบัดดี้อยู่เคยมีผู้หญิงคนหนึ่งมาพักและหัวใจวายตายเพราะมีอะไรกับแฟน ตำรวจลงความเห็นว่าเธออัพยาเกินขนาดในขณะมีเพศสัมพันธ์


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 11 ธันวาคม 2007 15:18:36
ผีหลอกหรือมาเตือน
สวัสดีค่ะพี่ๆทีมงานทุกคน หนูมีเรื่องที่เกิดขึ้นกับพี่ชายหนูมาเล่าให้ฟังค่ะ คือเรื่องนี้มันเกิดมาประมาณ 3-4 ปีแล้วค่ะ คือตอนนั้นพี่ชายหนูต้องเดินทางไปจับกุมคนขายยาเสพติดรายใหญ่รายหนึ่ง แต่ก่อนทำการค้นและจับกุมทางหัวหน้าพี่หนูเค้าให้ลูกน้องต้องทำทีไปเช่าห้องเช่าที่ผู้ค้ารายนี้เป็นเจ้าของโดยทำทีเป็นคนเซลล์ที่ต้องขายของให้ร้านอาหารตอนกลางคืน เพราะต้องขับรถออกไปตอนเย็นแล้วประมาณตี2-3จะขับรถเข้ามาในห้องเช่าแต่ต้องบอกก่อนนะคะว่าห้องเช่าที่นี่พี่หนูบอกว่าทางเข้าต้องผ่านทางเหมือนสวนถึงจะเข้าไปได้ แต่เวลาขับรถเข้ามาต้องปิดไฟหน้ารถแล้วปล่อยให้รถค่อยๆไหลตามเกียร์ไปเอง คืออาศัยเเสงจากดวงจันทร์เข้ามาน่ะค่ะ แต่ลูกน้องพี่หนูเค้าก็เช่าห้องเช่านี้มานานเกือบเดือนแล้วไม่เคยเจออะไรนะคะ เค้าก็ออกไปข้างนอกแล้วกลับเวลานี้ตลอด จนกระทั้งสีบแน่ชัดแล้วก็เลยนัดเวลาเข้าทำการจับกุมก็ให้ทางชุดรวมทั้งพี่หนูเข้าแสตนบายก่อนวันจับกุม 1 วันทำทีว่าเพื่อนเซลมากัน เนื่องจากตอนเช้าชุดขอหมายจะเข้าขอหมายแล้วจับกุม เหตุการณ์ก็ปกติดีแต่ตอนกลับมาสิคะ ในรถมีกันอยู่ 6 คน มีดาบตำรวจคนหนึ่งขับรถ สารวัตรนั่งข้างคนขับ พี่หนูนั่งด้านหลังคนขับ อยู่ๆดาบคนที่ขับรถก็เบรคกระทันหัน แล้วทุกคนในรถก็เห็นเหมือนกันหมดว่ามีชายคนหนึ่งเดินหันข้างแล้วยื่นมือออกมาห้ามไม่รถวิ่งในลักษณะหันข้าง แต่รูปร่างชายคนนั้นผอมมากคนธรรมดาคงไม่ผอมขนาดนั้น แต่ที่ทุกคนตะลึงก็คือรถโฟวิวยกสูงน่ะค่ะ สูงแค่เอวชายคนนั้นเองค่ะพี่ แล้วผิวชายคนนั้นขาวมากจนสามารถมองในทีมืดว่าขาวซีดมากค่ะพี่แล้วนายดาบคนนี่นตกใจเปิดไฟหน้ารถทันที พี่คะพี่ชายหนูพร้อมกับทุกคนแทบช็อคเพราะเหมือนในหนังทีวีน่ะค่ะ หายวับไปกับตาเลยค่ะ ดาบพร้อมทั้งคันรถไม่สนอะไรรีบเหยียบทันที แต่พอไปถึงห้องพักพี่หนูกินเบียร์หวังจะให้หลับแต่เรื่องไม่จบแค่นั้นสิคะพี่หนูตื่นมาตอนเช้าเพื่อนๆเค้าเล่าให้ฟังว่าพี่หนูเมาแล้วตะโกนด่าผีแถมท้าผีใหญ่เลยค่ะระวังนะพี่ แต่พี่หนูเค้าไม่ได้คิดอะไร แล้วเมื่ออีกชุดหนึ่งเข้ามาจับกุมพี่คะนายดาบคนที่เปิดไฟใส่ผีน่ะค่ะโดนยิงตายคาที่ส่วนพี่หนูโดนยิงเข้าที่เอวแต่ไม่ได้เป็นอะไรมากค่ะ เมือ่เสร็จภารกิจแล้วทุกคนมานั่งคุยกันว่าเค้าอาจจะมาเตอนหรืออะไรสักอย่างแต่คงโกรธที่ดาบไปเปิดไฟใส่เค้าแล้วพี่หนูอาจจะไปท้าทายเค้าก็ได้ค่ะ หนูอาจจะเล่าไม่ค่อยละเอียดนะคะเนื่องจากเวลาพิมพ์ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดีนค่ะถ้าเล่าจริงๆเล่าได้เข้าใจกว่านี้ค่ะ ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 11 ธันวาคม 2007 15:19:15
อะไรในบ้าน
สวัสดีครับพี่ป๋อง ผมชื่อแจ๊คนะครับ ผมเป็นคนนึงที่ชอบรายการพี่ป๋อง ฟังมาตั้งแต่ สมัย ไนน์ตี้ช๊อคละครับ เรื่องที่ผมส่งมาเล่าให้พี่ป๋องฟังเป็นเรื่องสั้นๆนะครับ เกิดเมื่อวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมานี้เอง คือเรื่องก็มีอยู่ว่า ผมเป็นคนๆนึง ที่ชอบเล่น Internet ครับ บางวันจะเล่น ถึงประมาณ เกือบๆเช้าเลย วันนี้ก็เหมือนวันก่อนๆครับ บ้านของผมอยุ่ในอ.สามพราน จ.นครปฐม (แถวๆตลาดดอนหวายน่ะครับ) ผมได้เล่น Internet จนถึง เวลา ประมาณ ตีสองได้ ผมเริ่มรู้สึกเพลียผม จึงไปปิด ไฟ แล้วหน้าจอ เพื่อไปนอนครับ เตียงผมจะเป็นเตียงเดี่ยวฅและผมเป็นคนชอบนอน กลับหัวจากเตียงครับ คือ จะหันเท้าให้หัวเตียง คือ ว่านอนๆหลับไปดีๆ ผมก็เปิดเพลงไว้แหละครับ แล้วเพลงก้ดับไป ผมก็ผลอยหลับไป ไม่นานผมก็ได้ยินเสียง กรีดร้องโหยหวน ของผู้ ญ ผมก้ไม่ได้ คิดไรมากครับ ผมคิดว่า เป็นเสียง ของ ลำโพง ผมจึง พลิกตัวหันไปอีกข้างของเก้าอี้ซึ่งอยุ่ด้านซ้าย ผมก็ได้ยินอีกผมก็ ไม่รู้สึกยังไงนะครับ เหมือน จะตื่นแต่มันโงหัว ไม่ขึ้น ผมเลยพลิกหันไปดูว่ามีอะไร

ปรากฏว่ามี ผู้ หญิง ปากกว้างมานั่งที่เก้าอี้ของผมครับ แล้วก็กรี๊ดร้องใส่ผม ผมไม่รู้จะทำยังไงครับ ผมจึงใช้เทคนิคเก่าๆที่ เคยโดนผีอำมาคือเอามือผลัก พื้นเพื่อดันศรีษะขึ้น แล้วผมก็ สามารถลุกขึ้นมาได้ครับ จากนั้นผมก็ หันไปดู ปรากฏว่าไม่มีอะไรแล้ว ผมไม่นอนแล้วครับ เลยนั่งเปิดเพลงแล้ว เล่น MSN จนถึงประมาณ 6 โมงเช้าเลยครับ ถึงนอน

แล้วพี่ป๋องคิดว่า เค้าคนนั้นเป็นไครล่ะครับ ทั้งๆ ที่บ้านก็อยู่กันมา 10ปีได้แล้ว .... และไม่เคยมีประวัติ คนเสียชีวิตเลย


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 11 ธันวาคม 2007 15:19:30
เรื่อง กลิ่นธูปและความรู้สึกเหมือนถูกจ้องมอง
สวัดดีค่ะ ดิฉันมีเรื่องจริงเมื่อประมาณหลายปีก่อนจะมาเล่าสู่กันฟังเป็น เรื่องที่เกิดขึ้นกับแฟนเก่าของดิฉันเอง คือเมื่อประมาณหลายปีที่แล้วเพื่อนสนิท ของแฟนเก่าเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ และแฟนเก่า (ชื่อหนุ่ม) ก็ไม่ได้ ว่างไปงานศพของเพื่อนของเขาเลย แต่ที่แปลกคือ ตอนที่ยังไม่ทราบแฟนเล่าให้ฟังว่า ได้กลิ่นธูป และ มีความรู้สึกเหมือนคนจ้องมองอยู่ตลอด ก็ไม่ได้เอะใจอะไร แต่ กลิ่นธูปนี้ก็ตามไปทุกทีตลอดเวลา ประมาณ5วันได้ คือได้กลิ่นตลอด แม้กระทั่งตอน นอน แล้วก็เหมือนมีอะไรมาดลใจไม่ทราบแฟนของดิฉัน็โทรไปที่เบอร์มือถือของเพื่อน คนนี้ ปรากฎว่าโทรเท่าไหร่ก็ไม่มีคนรับสาย ก็เลยโทรไปที่บ้าน ก็ไม่มีคนรับสาย อีก เลยตัดสินใจ เอาว่ะ..คงไปธุระกัน ดึกๆก็คงจะกลับ พอซัก 22.00 น.เห็นจะได้ แฟนได้โทรไปอีกครั้ง แม่ของเพื่อนเขาที่ตายก็เล่าให้ฟังว่า เออ..หนุ่มแม่ไม่รู้ เบอร์หนุ่ม ไม่รู้จะตต.กันยังไง จะบอกว่าเอ๋ เสียแล้วนะ เท่านั้นแหละแฟนดิฉันทำ อะไรไม่ถูกเลยก็อึ้งไปพักนึง ก็รีบบึ่งรถกลับมา และที่แปลกคือ พอทราบว่าเพื่อน คนนี้เสียแล้วกลิ่นธูปและความรู้สึกทั้งหมด ก็หายไป ไม่มีความรู้สึกว่าถูกจ้อง มองอีก พอถึงวันเผา แฟนดิฉันก็พูดต่อหน้าศพว่าเออ..ขอโทษนะโว้ย ที่ไม่ได้มา ขอบคุณมากที่มาบอก ซักพักกลิ่นธูปลอยมาอีก และแฟนก็ได้กลิ่นคนเดียวด้วย ตอนนั้น ยังไม่มีใครจุดธูปด้วยนะค่ะ แล้วกลิ่นธูปก็ติดจมูกแฟนอยู่จนถึงวันลอยอังคารที่ พัทยา ตอนแฟนเล่าให้ฟังตอนนั้นขนลุกเกรียวเลยค่ะ เพราะว่าไม่เคยเจอเรื่องเร้น ลับแบบนี้


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 12 ธันวาคม 2007 08:16:11
:emor


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ^^warriorball^^ ที่ 12 ธันวาคม 2007 19:06:08
เรื่อง กลิ่นธูปและความรู้สึกเหมือนถูกจ้องมอง
สวัดดีค่ะ ดิฉันมีเรื่องจริงเมื่อประมาณหลายปีก่อนจะมาเล่าสู่กันฟังเป็น เรื่องที่เกิดขึ้นกับแฟนเก่าของดิฉันเอง คือเมื่อประมาณหลายปีที่แล้วเพื่อนสนิท ของแฟนเก่าเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ และแฟนเก่า (ชื่อหนุ่ม) ก็ไม่ได้ ว่างไปงานศพของเพื่อนของเขาเลย แต่ที่แปลกคือ ตอนที่ยังไม่ทราบแฟนเล่าให้ฟังว่า ได้กลิ่นธูป และ มีความรู้สึกเหมือนคนจ้องมองอยู่ตลอด ก็ไม่ได้เอะใจอะไร แต่ กลิ่นธูปนี้ก็ตามไปทุกทีตลอดเวลา ประมาณ5วันได้ คือได้กลิ่นตลอด แม้กระทั่งตอน นอน แล้วก็เหมือนมีอะไรมาดลใจไม่ทราบแฟนของดิฉัน็โทรไปที่เบอร์มือถือของเพื่อน คนนี้ ปรากฎว่าโทรเท่าไหร่ก็ไม่มีคนรับสาย ก็เลยโทรไปที่บ้าน ก็ไม่มีคนรับสาย อีก เลยตัดสินใจ เอาว่ะ..คงไปธุระกัน ดึกๆก็คงจะกลับ พอซัก 22.00 น.เห็นจะได้ แฟนได้โทรไปอีกครั้ง แม่ของเพื่อนเขาที่ตายก็เล่าให้ฟังว่า เออ..หนุ่มแม่ไม่รู้ เบอร์หนุ่ม ไม่รู้จะตต.กันยังไง จะบอกว่าเอ๋ เสียแล้วนะ เท่านั้นแหละแฟนดิฉันทำ อะไรไม่ถูกเลยก็อึ้งไปพักนึง ก็รีบบึ่งรถกลับมา และที่แปลกคือ พอทราบว่าเพื่อน คนนี้เสียแล้วกลิ่นธูปและความรู้สึกทั้งหมด ก็หายไป ไม่มีความรู้สึกว่าถูกจ้อง มองอีก พอถึงวันเผา แฟนดิฉันก็พูดต่อหน้าศพว่าเออ..ขอโทษนะโว้ย ที่ไม่ได้มา ขอบคุณมากที่มาบอก ซักพักกลิ่นธูปลอยมาอีก และแฟนก็ได้กลิ่นคนเดียวด้วย ตอนนั้น ยังไม่มีใครจุดธูปด้วยนะค่ะ แล้วกลิ่นธูปก็ติดจมูกแฟนอยู่จนถึงวันลอยอังคารที่ พัทยา ตอนแฟนเล่าให้ฟังตอนนั้นขนลุกเกรียวเลยค่ะ เพราะว่าไม่เคยเจอเรื่องเร้น ลับแบบนี้

พี่ปูม..เอามาจากเรื่องจริง..หรือจากในหนังสือหยอออ..อิอิ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 13 ธันวาคม 2007 14:25:21
เอามาจาก THE SHOCK คับ (เรื่องจริงๆก็มีหลายเรื่องนะ)


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: 1300 ก็แค่นั้น ที่ 13 ธันวาคม 2007 14:28:53
ผีจับหัว
ผีจิ้มหัว
ผีกระจู๋
ผีไม่มีหัว
ผีๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :emoty


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 13 ธันวาคม 2007 14:45:03
ผีจับหัว
ผีจิ้มหัว
ผีกระจู๋
ผีไม่มีหัว
ผีๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :emoty


อ่านจนหลอนไปแระ - -"


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ^^warriorball^^ ที่ 13 ธันวาคม 2007 22:04:20
โอเค...จัดปายยยย...พี่ปูม


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 15 ธันวาคม 2007 13:15:11
มาขยับบอร์ดหน่อย


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: 1300 ก็แค่นั้น ที่ 15 ธันวาคม 2007 14:12:00
ผีจับหัว
ผีจิ้มหัว
ผีกระจู๋
ผีไม่มีหัว
ผีๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :emoty


อ่านจนหลอนไปแระ - -"
ผีกระหรั่ว
 :emov :emow :emoy :emota :emoty


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 15 ธันวาคม 2007 14:27:56
ผีจับหัว
ผีจิ้มหัว
ผีกระจู๋
ผีไม่มีหัว
ผีๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :emoty


อ่านจนหลอนไปแระ - -"
ผีกระหรั่ว
 :emov :emow :emoy :emota :emoty


มาอีกแระ หลอนอีกแว้ว เหรอคราบ คริคริ (คนน้อยวันนี้ บอร์ดเงียบน่าดูเลย)


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 17 ธันวาคม 2007 08:19:26
ผี ผี ผี ผี ผี ผี แล้วก็ ผี เรามาขยับสักนิด


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 18 ธันวาคม 2007 08:43:03
ขยับโลง อย่าให้ผีออก


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: 1300 ก็แค่นั้น ที่ 18 ธันวาคม 2007 09:42:16
ผีๆๆๆๆๆๆๆ ผีแดง 1-0 เป็ดแดง :emotd


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ^^warriorball^^ ที่ 19 ธันวาคม 2007 20:20:58
งานนี้มาเปงผีแดงซะงั้นนน


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 21 ธันวาคม 2007 08:23:14
กระทู้แจก ผีคราบ ไม่ใช่กระทู้ บอลฟรีเมียส์


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 22 ธันวาคม 2007 08:44:05
อัฟ บรู้วววววววววววววววววววว !!


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: P.K.FX101 ที่ 22 ธันวาคม 2007 19:36:25
 :emo5 :emo5 :emo5 :emo5 :emo5


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ^^warriorball^^ ที่ 23 ธันวาคม 2007 09:57:02
วันนี้ ! อย่าลืมไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งกันน๊ะคร๊าบบบ..พี่พี่โซนชลบุรีทั้งหลาย
หวังว่าวันนี้ไม่มีผี..มาเลือกตั้งน๊ะค๊าบบบ..อิอิ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 24 ธันวาคม 2007 11:20:04
วันนี้ ! อย่าลืมไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งกันน๊ะคร๊าบบบ..พี่พี่โซนชลบุรีทั้งหลาย
หวังว่าวันนี้ไม่มีผี..มาเลือกตั้งน๊ะค๊าบบบ..อิอิ

ไปมาเรียบร้อยคราบ กลับบ้าน วันเสาร์ ถึง ตี 3 กลับมาชลวันอาทิตย์ถึง 2 ทุ่ม ไปดูหนังต่อเสร็จ ดืมนม แล้วก็กลับบบ้านนอน ^^


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 24 ธันวาคม 2007 11:23:34
เปิดตำนานครุฑ
ครุฑ เทพพาหนะของพระนารายณ์ เป็นโอรสพระกัศยปมุนี (ฤษีตนหนึ่งในเจ็ดตนที่เรียกว่า สัปตฤษี หรือพระประชาบดี) และนางวินตาหรือนางทิติธิดาองค์หนึ่งของ พระทักษประชาบดี พระทักษประชาบดีนี้น เป็นโอรสของพระพรหม และเป็นผู้มีภริยามาก มีธิดาถึง 50 องค์ ยกให้เป็นชายาพระยมเสีย 10 องค์ ยกให้ พระจันทร์เสีย 27 องค์ (27 นักษัตร) และยกให้พระกัศยปเสีย 13 องค์ ในจำนวนธิดา 13 องค์นี้ที่เป็นชายาของพระกัศยปมีอยู่สององค์ คือนางวินตามารดาครุฑ และนางกทรูมารดาของพวกพญานาค นางวินตามีโอรสสององค์ คือครุฑและอรุณ ซึ่งต่อมาได้เป็นสารถีของ พระสุริยเทพ เมื่อนางวินตาคลอดครุฑโอรสองค์แรกออกมานั้น เป็นฟองไข่ ครุฑจึงได้มีลักษณะคล้ายนกไป ส่วนนางกทรูมีโอรสพันองค์ ล้วนเป็นพญานาคทั้งนั้น






ครุฑเมื่อแรกเกิด ร่างกายขยายตัวออกใหญ่โตจนจดฟ้า ดวงตาเมื่อกะพริบเหมือนฟ้าแลบ เวลาขยับปีกที่ใดบรรดาขุนเขา ก็ตกใจต้องปลาดหนีไปพร้อมกับพระพาย รัศมีที่พวยพุ่ง ออกจากกาย มีลักษณะดั่งไฟไหม้ทั่วทั่วสี่ทิศ กระทำให้ทวยเทพ ต้องตกใจสำคัญว่าเป็นพระอัคนี ต่างพากันมาบูชาครุฑ เพื่อขอความคุ้มครองจากครุฑ อีกตำราหนึ่งว่าครุฑนั้นมีรูปร่าง และลักษณะดังนี้ เศียรจงอยปากปีและเล็บเป็นอย่างนกอินทรี ท่อนกายตัวและแขนขาเป็นอย่างคน หน้าเป็นสีขาว ปีเป็นสีแดง (ของ จีนว่าปีกทอง) กายตัวเป็นสีทอง มีโอรสชื่อสัมปาติ (สัมพาที) และชฎายุ (แต่บางตำราว่า สัมปาติและชฎายุเป็นโอรสของพระอรุณ) มีชายาชื่ออุนนติหรือวินายกา





ครุฑเป็นศัตรูกับพญานาคอย่างรุนแรง เหตุเกิดขึ้นเพราะนางวินตามารดาครุฑทะเลาะกันขึ้น กับนางกทรูมารดาพวกพญานาค ด้วยเรื่องเถียงและพนันกันว่าสีม้าที่เกิดขึ้น เมื่อคราวทวยเทพ และอสูรกวนน้ำอมฤตนั้นเป็นสีอะไร นับแต่นั้นมาครุฑและพวกพญานาคก็ไม่ถูกกันต่างพยาบาท มาดร้ายกันอยู่ คราวเมื่อครุฑแต่งงาน พวกพญานาค เกรงว่าถ้าครุฑมีผู้สืบเชื้อสาย เมื่อใด ก็จะเป็นภัยแก่พวกพญานาคและพวกลูกหลานของตน จึงยกพวกหวังไปสังหารครุฑแต่ถูกครุฑ ฆ่าพวกพญานาคตายเกือบหมด คงเหลือรอดชีวิตอยู่เพียงตัวเดียว ซึ่งครุฑเอามาคล้องคอ เป็นสังวาล ชาวฮินดูที่ถือความขลังความศักดิ์สิทธิ์ เมื่อจะเข้านอนมักออกชื่อครุฑ เป็นอย่างบริกรรมมนต์ ว่าถ้าทำอย่างน้จะพ้นภัยจากงูอสรพิษกัด





ในมหากาพย์มหาภารตเล่าเรื่องต้นเหตุครุฑถ่ายโทษมารดาให้พ้นจากเป็นทาสีของนางกทรู และต้นเหตุที่มาเป็นเทพพาหนะของพระนารายณ์ดั่งนี้ เมื่อนางวินตามารดาครุฑ แพ้พนันเรื่องสีของม้าที่เกิดจากเกษียรสมุทรแล้ว ต้องตกเป็นทาสีของพี่สายคือนางกทรู พวกพญานาคปรารถนาจะเป็นอมร จึงทำความตกลงกับครุฑว่า ถ้าครุฑสามารถไปที่พระจันทร์ นำเอาน้ำอมฤตที่อยู่กับพระจันทร์ เพราะพระจันทร์มีแสงสว่างอยู่ได้ก็เพราะมีน้ำอมฤต ก็จะปลดปล่อยให้มารดาครุฑพ้นจากความเป็นทาส ครุฑเมื่อตกลงเรื่องนี้กับพญานาคแล้ว และก่อนที่จะไปได้ไปขออาหารจากมารดา มารดาแนะนำว่าให้ไปที่ชายฝั่งทะเล เมื่อพบอะไรก็ให้กินได้ แต่ขอร้องไว้อย่างหนักหนา ว่าให้ระวังเป็นที่สุด อย่างไปกินพราหมณ์เข้าไป ถ้าคราวใดรู้สึกว่า เหมือนมีอะไรไหม้อยู่ในกระเพาะรู้สึกปวดแสบปวดร้อน ก็จงรู้เถิดว่ากินพราหมณ์เข้าไป





เมื่อได้รับคำเตือนจากมารดาแล้ว ครุฑก็ออกเดินทางไป ขณะผ่านมายังประเทศแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่อยู่ของชาวประมง อารามหิวครุฑก็เขมือนกินคนเหล่านั้นตลอดจนวัวควาย และสัตว์อื่น ๆ และรวมทั้งบ้านเรือนและต้นไม้เข้าไปด้วยทั้งหมด แต่ในจำนวนคนที่ครุฑกลืนกินเข้าไป มีพราหมณ์ด้วยคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุทำให้ครุฑรู้สึกปวดแสบปวดร้อน ท้องเป็นกำลัง เมื่อไม่สามารถจะทนได้ต่อไป ก็ร้องตะโกนอย่างรีบร้อนให้พราหมณ์นั้นออกมา พราหมณ์ไม่ยอมออก เว้นแต่จะให้ภรรยาของตนซึ่งเป็นบุตรสาวคนหาปลา ตามออกมาด้วยครุฑก็ต้องยอมทำตาม





ถัดจากนั้นครุฑก็บินไปหาพระกัศยปผู้เป็นบิดา พระกัศยปแนะนำให้ครุฑระงับความหิว โดยไปที่ทะเลสาบแห่งหนึ่ง ซึ่ง ณ ที่นั้นมีช้างตัวหนึ่งและเต่าตัวหนึ่งกำลังต่อสู้กันอยู่ เต่าตัวนั้นมีขนาดยาวได้ 8 โยชน์ และช้างตัวนั้น มีขนาดยาว 16 โยชน์ ครุฑถลาลงไปจับเต่าไว้ในอุ้งเล็บหนึ่ง และจับช้างไว้ในอีกอุ้งเล็บหนึ่ง แล้วบินขึ้นไปจับบนต้นไม้ใหญ่ ต้นหนึ่งสูง 80 โยชน์ ต้นไม้ทานน้ำหนักไม่ไหว ก็ทำท่าจะหักโค่นลงมา ถ้าเป็นเช่นนั้น พวกพราหมณ์คนรู ซึ่งทำพิธีอยู่ที่กิ่งต้นไม้นั้น กิ่งหนึ่งก็จะต้องถูกต้นไม้ทับตายหมด ครุฑตกใจกลัวว่าพราหมณ์เหล่านั้นจะตาย จึงคว้าต้นไม้ต้นนั้นไว้ในกรงเล็บ พร้อมทั้งช้างและเต่ายักษ์บินไปยังภูเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ในที่ไม่มีคนจึงกินช้างและเต่าแก้ความหิวได้



ครั้นแล้วก็บินขึ้นสวรรค์ คว้าเอาพระจันทร์ซ่อนไว้ที่ใต้ปีก แต่ถูกพระอินทร์และทวยเทพติดตามมา เกิดสู้รบกัน ทวยเทพทั้งหมดแพ้ครุฑ เว้นแต่พระนารายณ์เท่านั้นที่ไม่แพ้ แม้กระนั้นก็เกือบแย่ ต้องทรงขอทำความตกลงอย่ารบกับครุฑทรงสัญญาจะให้ครุฑเป็นอมรและให้อยู่ในตำแหน่ง สูงกว่าพระองค์ ส่วนครุฑก็ถวายสัญญาขอเป็นพาหนะ ของพระนารายณ์ และเป็นธงครุฑพ่าห์ สำหรับปักอยู่บนรถศึกของพระนารายณ์



ครุฑมีชื่อเรียกอยู่มากมายหลายชื่อ เช่น กาศยปิและเวนไตย อันเป็นชื่อสืบมาจากกัศยปและวินตา สุบรรณและครุฑมาน คือเจ้าแห่งนก สิตามันมีหน้าขาว รักตปักษ์ มีปีกแดง เศวตโรหิต มีสีขาวและแดง สุวรรณกาย กายมีสีทอง คคเนศวร เป็นเจ้าแห่งอากาศ ขเคศวรผู้เป็นใหญ่แห่งนก นาคานตกและนาคนาศนะศัตรูแห่งนาค สรรปาราติ ศัตรูแห่งงู ตรสวินผู้เคลื่อนไปเร็ว รสายนะ ผู้เคลื่อนไปอย่างปรอท กามจารินผู้ไปตามอำเภอใจ กามายุส ผู้อยู่ด้วยความยินดีแห่งกาม จิราท ผู้กินนาน อมฤตาหรณ์และสุธาหร ผู้ลักน้ำ อมฤต สุเรนทรชิต ผู้ชนะพระอินทร์ วัชรชิต ผู้ปราบชนะสายฟ้า



ทางวรรณคดีพุทธศาสนากล่าวว่า ครุฑ มีขนาดใหญ่มาก วัดจากปีกข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่ง กว้างได้ 150 โยชน์ เวลากระพือปีก สามารถทำให้เกิดเป็นพายุใหญ่ เกิดมืดมน และทำลายบ้านเมืองให้หมดสิ้นได้ ขนปีกของครุฑหนามาก แม้จะมีใครเข้าไปซ่อนอยู่ในระหว่างขนครุฑ ก็ไม่สังเกตทราบได้ ครุฑแปลงกายเป็นมาณพไปเล่นสกากับพระเจ้าแผ่นดิน แล้วลักพามเหสี ของพระเจ้าแผ่นดินไป เช่นในเรื่องกากี สุสันธีชาดกและกาติชาดก ที่อยูของครุฑซึ่งเรียกว่า สุบรรณพิภพ เป็นวิมานอยู่บนต้นฉิมพลีหรือต้นงิ้ว ซึ่งอยู่ยังเชิง เขาพระสุเมรุ



เวลาผ่านไปตามอาคารสถานที่ราชการ จะเห็นว่ามีครุฑกางปีกประดับอยู่ด้านบนของอาคาร เช่นเดียวกับอาคารสำนักงานเอกชนบางแห่งก็มีเจ้าตัวนี้ประดับอยู่เช่นกัน แต่ต่างกันตรงที่ของเอกชนมีคำว่า "โดยได้รับพระบรมราชานุญาต" อยู่ด้านล่างด้วย

รูปครุฑเป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระมหากษัตริย์ ที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เนื่องจากเป็นความเชื่อในลัทธิสมมุติเทวราช ที่ถือว่ากษัตริย์คืออวตารของพระนารายณ์ ที่ลงมาปกครองบ้านเมือง และเมื่อพระนารายณ์มีครุฑเป็นพาหนะของพระองค์ ครุฑจึงกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญไปด้วย การใช้รูปครุฑเป็นตราแผ่นดินและเครื่องหมายของทางราชการ กำหนดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๖ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้รูป ครุฑรำ หรือเรียกว่า พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ นอกจากนี้ ยังใช้ตราครุฑเป็นตราหัวกระดาษของหนังสือ หรือแบบฟอร์มในราชการอีกด้วย สำหรับภาคธุรกิจเอกชนที่มีเครื่องหมายครุฑพ่าห์ประดับอาคารได้นั้น ต้องมีคุณสมบัติเหมาะสมตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติ จึงจะได้รับพระราชทานตราตั้ง หรือหนังสือรับรองการพระราชทานพระบรมราชานุญาต มีคำว่า "โดยได้รับพระบรมราชานุญาต" อยู่เบื้องล่างของตราครุฑนั้น เพื่อแสดงว่า เป็นผู้ได้รับพระราชทานให้ใช้ตราแผ่นดินในกิจการได้


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 24 ธันวาคม 2007 11:24:02
คำทำนายของนอสตราดามุส
....ชื่อของ นอสตราดามุส โหรผู้ยิ่งใหญ่ที่มีอายุเมื่อหลายร้อยปีก่อนหน้านี้ถูกยกขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเหตุการณ์ที่ ไม่น่าเป็นไปได้ อย่างเช่นการไฮแจ็คเครื่องบินพาณิชย์ที่บรรทุกผู้โดยสารร้อยกว่าชีวิต ก่อนจะพุ่งเข้า ชน อาคารธุรกิจชื่อดังของโลกอย่าง เวิล์ด เทรดเซนเตอร์ ในกรุงนิวยอร์ก

เหตุการณ์หลังจากการชนนั้น ถูกนำไปผูกกับคำทำนายของเขาอย่างช่วยไม่ได้ นอสตราดามุสเขียนเอา ไว้ที่ เซ็นจูรี่เล่ม 6 โคลงบทที่ 97 ว่า



? ท้องฟ้าจะถูกเผาผลาญ ณ องศาที่ 45
เพลิงจะพุ่งเข้าสู่เมืองใหม่า
ในบัดดล ดวงไฟใหญ่จะแตกกระจายทะลวงพุ่งขึ้นมา?

? มาบัส (MABUS ) จะตายในไม่ช้า
จะมีการฆ่าหมู่คนและสัตว์อย่างสยดสยอง่ง
ทันใดนั้นการแก้แค้นจะปรากฎขึ้นจากร้อยแผ่นดิน
ความกระหาย อดอยาก จะเกิดชึ้นเมื่อดาวหางโคจรผ่านมา.....?

? ศาสนาที่มีชื่อเหมือนทะเลจะมีชัย
การต่อต้านนิกายของอะดาลูนกาทิฟผู้บุตร
พวกหัวดื้อ พวกโศกเศร้าตำหนินิกายจะกลัวเกรง
อาลิฟ กับ อาลิฟ ที่ได้รับบาดเจ็บทั้งสอง....?


นั่นคือโคลงที่ว่ากันว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะตีความไปในทางเดียวกัน เพราะ นอสตราดามุสเขียนแบบไม่ค่อยจะติดต่อเป็นเรื่องเป็นราวเท่าใดนัก ที่สำคัญเขาไม่ได้พูดถึงเรื่องของ เวลาอย่างแน่ชัด แต่กระนั้นหลายคนตีความว่า ยามที่นอสตราดามุสมองเห็นเครื่องบินพุ่งเข้าใส่ตึกเวิล์ด เทรด ไม่แตกต่างไปจากหอกแหลมจากฟากฟ้าจะบินมาพร้อมกับลูกไฟ เพราะ หัวของเครื่องบินที่มีปีก นั้น ดูเผินๆก็ไม่แตกต่างกับหอกขนาดยักษ์เท่าใดนัก เช่นเดียวกับการชนก็เกิดการระเบิดทันทีจนเป็นลูก ไฟไปทั่วฟ้า ที่สำคัญเขาพูดถึงเมืองที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามว่าเป็น ดินแดนที่ 45 ตรงกับเส้นรุ้งที่ 45 อัน เป็นที่ตั้งของมหานครนิวยอร์กเหมือนกัน แต่สิ่งเหล่านั้นยังไม่น่ากลัวเท่ากับการที่นอสตราดามุสกล่าวต่อว่า จะเกิดสงคราม ผู้คนจะล้มตายเมื่อ มาบัสถูกฆ่าในเวลาไม่นานนับจากนี้ เพราะมีการตีความต่อว่า Mabus นั้น มาจากการย้อนชื่อต้นของ USaMA Bin laden (อุสมา บิน ลาเดน) ซึ่งเป็นคนที่สหรัฐมองว่าเป็นตัวการในการก่อวินาศกรรม ครั้งนี้ ยิ่งถ้ามองตามคำทำนายต่อ หลายคนเชื่อว่า การตายของบินลาเดน จะเป็นจุดสิ้นสุดของยุคสันติภาพ และจะเป็นสงครามที่ยิ่งใหญ่และยาวนานกว่าทุกครั้ง โดยการแก้แค้นของพวกร้อยแผ่นดิน (United State) ซึ่งก็คือ สหรัฐนั่นเอง ส่วนอาวุธลับที่สหรัฐจะใช้จัดการกับขบวนการก่อการร้ายจนกระทั่งเกิด การตายอย่างมากมายนั้น นอสตราดามุสใช้คำว่า ดาวหางมาเยือน จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า ดาวหางที่นอสตราดามุสเห็นจะเป็นระบบป้องกันภัยจากอวกาศที่สหรัฐภาคภูมิใจ นักหนา? เช่นเดียวกับเรื่องของความอดอยาก เพราะ เมื่อสหรัฐทราบว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง มาตรการแซงชั่น ป้องกันไม่ให้นำอาหารเข้าสู่ประเทศนั้นๆจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้มีคพยายามตีความว่า นอสตราดามุส มั่ว ฝันเฟื่อง คำทำนายของเขาดูจะไม่เป็นจริง ส่วน ใหญ่ที่คนเชื่อก็เพราะ เหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว แลไปทึกทักตามที่นอสตราดามุสเขียนเอาไว้เองง เชื่อว่า หลายคนก็ยังหวังว่า คำทำนายของโหรบรรลือโลกคนนี้จะผิดอีกครั้งหนึ่ง เพราะ คงไม่มีใคร อยากจะเจอกับสงครามโลกที่กินเวลายาวนานกว่า 50 ปีอย่างแน่นอน เนื่องจากเขกล่าวเอาไว้ในอีก โคลงว่าาร ยุคของสันติจะกลับมาอีกครั้งในปี 2055
ขออย่าให้คำทำนายเป็นจริงเลย!!


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 24 ธันวาคม 2007 11:25:58
ราศี กับ ลักษณธนิสัย
( 16 มกราคม- 15 กุมภาพันธ์ )
หนุ่มราศีมังกร
คุณเป็นคนเข้มแข็ง และอ่อนไหวในอารมณ์พร้อมๆกัน บางครั้งชีวิตในการทำงานจึงมักสับสนเสมอ ในการดำเนินชีวิต ของผู้ชายราศีมังกรอย่าง คุณจึงต้องระวัง เริ่มระวังจากการวางอนาคตในการเรียนเลยก็ ว่าได้ มีบ่อยมากที่ชายราศีมังกรมักเรียนจบ สำเร็จปริญญาด้านหนึ่ง แต่เวลาทำงาน สร้างอนาคตจริงๆ ในบั้นปลายคนละทางกันเลยที่เดียว คนแข็ง และห้าวอย่างคุณ เป็นจุดดี ที่มีความเป็นผู้นำ ไม่ใช่ชายสมัย นิยมยุคนี้ที่หวานเรียบติ๋ม ไปหมดและความเป็นผู้นำ จึงทำให้มาดในการทำงาน และการวางบุคลิกของคุณ มีลีลาประทับใจผู้พบเห็นเสมอ อิทธิพลของดวงงชะตาบ่งชัดมากกว่า ชายราศีมังกรจะได้ดี และสร้างตัว เอง จะลดทิฐิ และรู้จักคำว่าประนีประนอมมากกว่าที่เป็นอยู่ ชายราศีมังกรหากรับราชการก็ความตรงเผงของคุณ ทำให้คนรอบข้างหวั่นกลัว หรือเพราะว่า ความเป็น คนใจกว้าง ช่วยเหลือมากไป ทำให้ลูกน้องและบริวารสร้างปัญหาเสมอที่สำคัญจึงเน้นว่า คุณจะต้องเติม ความแกร่ง แข็งแรงของชีวิต ให้ลงตัว เป็นคน ที่สามารถปรับตัวในกระแสนําเชี่ยวได้ รู้จักกาลเทศะ แห่งชีวิต เพื่อการไต่ไปสู่ความสำเร็จ ในการทำงาน งานราชการก็เหมาะ งานบริหารก็เสริมชะตา เพราะว่าคุณเป็นคนที่ชอบมีคุณค่า และมีเกียรติ เขาเรียกว่าชอบย้ายงาน พอสมควรแม้ว่าจะเป็นคนโผง ผางและตรงเผงก็ตามี ชายราศีมังกรหากผันตัวเองมาเป็นนักธุรกิจ จะต้องจับงานที่เกี่ยวกับการตลาด และการประมูลเหมาจะ เหมาะสม เพราะเป็นงานที่มี รายละเอียดน้อย หากว่าเป็นงานที่มีความยืดยาว และละเอียดมากจนเกิน ไป ผู้ชายอย่างคุณ ชีวิตมันไม่เหมาะสม อย่างแน่นอน การทำงานหรือการลงทุนคุณเหมาะใน การบริหาร เชิงรุก ทางความคิด และการเข้าพบผู้ใหญ่ จะได้รับความเมตตา หากว่าให้คุณคุม ภาคปฏิบัติมักจะขาด ทุน เพราะว่าคุณเป็นคนหน้าใหญ่ใจโต เกินไปย อย่างไรก็ตาม ชายราศีมังกรผงาดฟ้า และก้าวหน้า ในเรื่องของ การลงทุนธุรกิจ และอุตสาหกรรมใหญ่ ข้ามชาติอย่างแน่นอนอย่าเถียงนะ เป็นลูกผู้ชายต้องยอมรับ และเป็นคนค่อนข้างเลือกมาก สำหรับคนที่จะ มาช่วยกัน สร้างทายาทสืบนามสกุล ผู้ชายราศีมังกรจึงมักจะมีแฟนควงกันตั้งแต่วัยเริ่มแตกพาน ไม่ ต้องช็อค เพราะว่าต่อมหัวใจของคุณมันฉีดเร็วเป็นพิเศษ จึงไม่ แปลกที่มักจะเห็นว่า ตอนวัยหนุ่มชายราศี มังกร มักจะมีคู่ควงซําหน้ากันยากมาก และมักจะทำให้ชีวิตของคุณตื่นเต้นเสมอๆ ผู้หญิงในอุดมการณ์และความฝันของชายราศีมังกรเนื่องจากเป็นคนเจ้าชู้จึงไม่ชอบผู้หญิงเฟิร์สมากเกินไป คุณชอบผู้หญิง ที่มีเอกลักษณ์ความ งดงามของตัวเอง เป็นคนอ่อนหวาน แต่ไม่โง่จนเซ่อ เป็นคนมีความ ฉลาด แต่ไม่จับผิดคุณ มากจนเกินไป มักชอบผู้หญิงสไตล์ไทยๆ แบบใจแม่พลอยแต่มีความ ทันสมัยและไม่จู้ จี้จุกจิก จึงต้องสเป็คชายอย่างคุณ คนราศีมังกร เกิดความรักง่าย และมักจะมีรักตั้งแต่ขาสั้นมัธยม จนมาเปรี้ยวขมตอนอุดมศึกษา หาใหม่ และมีความความอ่อนหวาน ช่วยค้น ทำให้คุณมีความรักที่ว่าแท้หลายหนหลายครา แต่รักแท้ แห่งชีวิต ใน ตำรา มักจะบอกว่า คนที่คุณพบและจบชีวิตโสดจะต้องเจอะกันอย่างบังเอิญ และแป๊บ เดียวคุณก็แต่งงาน กันแล้ว เพราะว่า คุณเป็นคนใจร้อนมาก ในเรื่องคู่ครอง และการค้นหาความรัก ไม่เคยปล่อยให้ใจ เหงาเลยในชีวิต หนุ่มราศีมังกรมักจะมีคู่ที่ อายุน้อยกว่ามากกว่าอายุเยอะ เพราะว่าเป็นคนชอบสวยๆ งามๆ ที่อยู่นานๆช่างติและนิยมวิจารณ์ระวังจะเจอดี อาย ุเกณฑ์คู่ดีสำหรับหนุ่มราศีมังกรตั้วแต่ 23-34 ปี แต่งงานในช่วงนี้ ชีวิตจะสร้างตัวได้ เพราะว่าไฟแรง บางคน อาจจะแต่งงานสองครั้ง ไม่เลิกราหย่า ร้างก็ภรรยาขอลาตาย ช่วงที่คุณราศีมังกรมีโอกาส แต่งงาน และเป็นช่วงพบ คู่แท้ของชีวิตอีกช่วง อายุ 38-42 ปี ใครว่าผู้ชายอายุมากราคาตก ขอเถียงชายราศีมังกรคอเอียงคนยังจ่อรอคิวเลย อักษรมงคล ของ คนเป็นคู่ชีวิตแล้วเกื้อกูลก็คือ อักษรตัว จ,ป,ล,ช,ส ผสมในชื่อของนางในฝันจึงจะดี


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 24 ธันวาคม 2007 11:26:17
( 16 มกราคม- 15 กุมภาพันธ์ )
สาวราศีมังกร
ใฝ่ฝันทะยานวาดอนาคตไกลเกินดาวห่างดวง ชีวิตเมื่อวัยเด็ก หากคุณเป็นชาวราศีน ี้คุณจะเป็นคนที่มีชีวิต ในครอบครัวค่อนข้างดูภายนอกอบอุ่น หากมองลึกภายใน จะอ้างว้างพอควร เพราะดวงชะตา เป็นดวงที่ ต้องต่อสู้ดิ้นรนช่วยตนเองมากกว่าสาวราศีอื่น ๆ หากทำงานมั่นคงที่เกี่ยวกับราชการซึ่งแน่นอนถึงซังกะตายบ้างก็ไม่มีวันอดตาย เด่นชัดมาก สำหรับการ เป็นนักคิด นักบัญชี ครูบาอาจารย์หรือเจ้าแห่งความคิดเพราะดวงชะตาของคุณ มันรุ่งอย่างงี้ หากใครที่ แฉลบไปทางอื่นๆ ดวงล้มเหลวอาจจะมีบ้าง ด้วยมาดนางพญาเกิน เหตุ บางทีอาจจะทำให้คุณ ถูกมอง เป็นของเล่นไร้ค่าได้ ฉะนั้นสาวสมัยหญิงไทยราศีนี้ ควรวางมาดอย่าง แม่พลอย ผสมเปรี้ยวจี๊ดจนเข็ดฟัน เพราะร้อยทั้งร้อย หากเป็นเช่นนี้ ดวงคู่พังยับเยินได้แน่นอน บางทีก็อาจจะคล้ายๆแรมโบ้ แต่ความเป็นจริงคุณมีดวงที่ได้ ชายคนรัก ที่เป็นหนุ่มนักการค้าแอปแฝงในใจ ดวงแข็งนอกอ่อนปวกเปียกข้างในอย่างแน่นอน ดวงคู่รักสาวราศีนี้ ส่วนมากกามเทพ มักจะกระชากลาก กามเทพมา ให้ปิ๊งกันโดยบังเอิญ ๆเหมือนกับเพลงที่กำลังฮิต มากกว่าที่ควงๆ กันมากกว่า 5 ปีขึ้นไป เตรียมเซย์กู๊ดบายได้เลยครับเพราะดวงคู่ กามเทพมักยิงแบบปุ๊บปํบ ไม่ค่อยตั้งตัวหรอกครับ สาวราศีนี้ หนุ่มในฝันจะอายุ มากกว่าหรือต้องเป็นชายที่อายุห่างกันกว่า 3 ปีขึ้นไป จึงใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างมีความ สุขในชีวิตได้ รูปร่าง ลักษณะผิวพรรณ หากเปรียบเทียบกับดวงของคุณ แล้ว ชายคนนั้นจะสูงใหญ่กว่า และลําดำกว่าผิวไม่ใช่เป็นนิโกรแม็กซิกัน แต่ไม่ขาวกว่าเจ็กแน่นอน อายุของคุณที่ควรเข้าสู่ประตูวิวาห์ ผ่านดวงรักได้นั้น ราว ๆ23-28 ปี หากแต่งงานในช่วงอายุนี้รับรองว่า จะอยู่กันได้อย่างสบายๆ อักษร รักชื่อของดวงคู่ควรมีตัวนำหน้าตัวอักษรเหล่านี้จึงเป็นคู่แท้ในดวงชะตา อักษรตัว ป,ช,ส,ก มีอยู่ในชื่อยิ่ง เฮง ว่าแน่นอนไม่ฟันแล้วทิ้งอย่าหวั่นใจ...


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 24 ธันวาคม 2007 11:26:32
(16 กุมภาพันธ์ -15 มีนาคม )
หนุ่มราศีกุมภ์
คุณเป็นคนมีความคิดสูงเกินอายุ จึงดูเหมือนเป็นคนแก่เกินไว และเป็นผู้ใหญ่เกินตัว ชายราศีนี้มักเกิดมา ชีวิตจะต้องดิ้นรนและต่อสู้ เพราะ ว่าชะตามันบ่งชัดมาก ดวงชีวิตของคุณ กว่าจะได้อะไรซักอย่างหืดขึ้น คอเสมอความเป็นคนช่างกังวลจึงวิตกจริตง่ายเสมอๆ และเมื่อเป็นคนกังวลจัด ชายราศีนี้จึงเครียดง่าย กว่าชายราศีอื่นๆ ต้องพยายามฝึกทางธรรมะหาสมาธิบ้างใจจะได้พักนะ ผู้ชายอย่างคุณ มักใหญ ่และคิด ถึงอนาคตได้อย่าง มองการณ์ไกลมาก คุณจึงเป็นคนที่มีการวางแผนเสมอในการดำเนินชีวิต เป็นคนเงียบ ก็ขรึมไปเลย แต่หากว่าจะจ้อละก็ก็จ้อไม่หยุดเลยเหมือนกัน ความเป็นคนช่างกังวลและคิดมาก จึงพลาด โอกาสทองของชีวิตหลายหน ไม่ว่า จะเป็นเรื่องของการงาน หรือการลงทุน และโชคลาภก็ตาม การแก้ ชีวิตก็ค้นหาว่าตัวเองบกพร่องตรงไหน และพยายามสานชีวิต ให้จิตใจปรับใหม่จะลงตัว เส้นทางชีวิตในโลกการงานของชายราศีกุมภ์ เพราะคว่ามเป็นคนที่ไม่กล้าหาญ และเป็นคนที่ไม่กล้าตัดสิน ใจ จึงไม่ได ้หัวใจลูกน้องมาภักดี คุณจะเป็นคนที่ทำงานตามรูปแบบยึดติดเกินไป ก็จะไม่ทันสถานการณ์ เมื่อชีวิตของคุณกำลังก้าวหน้า ผู้ชายราศีนี้มักจะเป็นคนกลัวเสียฟอร์ม หากว่าต้องเข้าพบง้อขอความช่วย เหลือจากใครเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง เพราะว่าการทำงานจะต้องมีผู้ใหญ่อุ้มชู เดินคนเดียวมันเหงาจะ ตาย จริงไหม ชีวิตการงานของคุณหากว่ารับราชการหรือว่ารับจ้างบริหารองค์กรก้าวหน้า และรุ่งเรือง แต่คุณจนหน่อยนะ เพราะเป็นคนรักษาผลประโยชน์ ให้คนอื่น รวยได้อย่างดีเลยทีเดียวงานในชีวิตราช การอย่างไรก็ตาม จะต้องสร้างบารมีช่วยอุดหนุนสนับสนุนลูกน้องบ้าง ชีวิตของคุณจึงจะก้าวหน้า อย่าจับ ผิดบริวารหรือคนร่วมหุ้นทำงานจนเกินไป เพราะว่ามันก็จะพบเรื่อยและเครียดตลอด ชายราศีกุมภ์หากว่าทำงานเกี่ยวกับธุรกิจการเงิน และการติดต่อต่างประเทศ การท่องเที่ยว โรงแรม หรือว่าอุตสาหกรรม เกี่ยวกับการบริการจะดีมาก เพราะว่าการลงทุนในดวงชะตาของคุณ ในธุรกิจดัง กล่าวจะมาแรงกว่าด้านอื่นๆ คุณเป็นหัวหน้า นักวางแผน หรืว่าคนจับเสือมือเปล่าขายความคิดได้เพราะ ว่า สมองดีมาก จะเห็นบ่อยๆ ว่าชายราศีกุมภ์ มักจะเป็นคนที่นิยมทำงาน ในแวดวงคนดัง นักการเมือง หรือว่าผู้มีชื่อเสียง แลัวคุณจะได้บารมีเพิ่มมาด้วย ด้วยว่าาคุณเป็นคนที่มีระเบียบจัดมากและเป็นคนที่ไม่ดูแลตัวเอง มุ่งแต่งาน คุณเป็นคนขรึม จึงมักจะชอบ คนหวาน และเจ๊าแจ๊ะ หรือว่าดูแลเอาใจเก่ง สาวใดจะคิดกระชากใจชายราศีนี้ จะต้องดูว่าตัวเองเป็น คนเอาใจเก่งหรือไม่ด้วย เดี๋ยวจะมีปัญหาครอบครัวเกิดขึ้น ภายหลังได้ คุณชอบผู้หญิงที่มีนําใจ และเป็น คนอาทรเก่ง เพราะคุณเอาแบบอย่างจากมารดาของคุณ มาเป็นแนวทางความคิดหาภรรยา ผู้ชายราศีนี้ ชอบ ผู้หญิงที่กล้าคิดกล้าแสดงออก และเป็นคนที่ไม่ซําเติมยามเขาล้มลงอย่างเด็ดขาด ใครที่เผลอไป ลำเลิกซําเติม ระวังจะเกิดปัญหาร้าวรานใจได้ เป็นคนผิวขาวมากกว่าดำตับเป็ดแน่นอนแต่ไม่ใช่ขาวแบบสาวงิ้วนะ และคุณมักชอบคนร่างเล็กกว่า และ มองความเสน่ห์ที่ดวงตากับริมฝีปากสวย เป็นคนกระฉับกระเฉง และเป็นกันเองกับคนรอบข้าง อายุมาก กว่า หรือน้อยกว่า ไม่เกี่ยวแต่ไม่ควรห่างกันเกิน 7 ปี จึงจะอยู่กันได้ดีแบบดวงเกื้อกูล เป็นคนวาดอนาคตมั่นคงจึงคิดแต่งงาน บางสาวอาจจะรำคาญ ว่านานจนเกินรอ เพราะว่าคุณเป็นคนชัด เจนเมื่อแต่งงาน ทุกอย่างที่เคยเที่ยวเล่นจะต้องหยุด หรือเบาลงเพื่อครอบครัว ผู้ชายราศีกุมภ์ จึงมีการ แต่งงานในช่วงอายุที่ดีดังนี้ อายุ 27- 32 ปี ช่วงนี้แต่งงานแล้ว ลูกหลานรํารวยในอนาคต อายุ 35-38 ปี แต่งงานแล้วบั้นปลายชีวิตสุขสบายและการงานมั่นคงรํารวยเห็นชัดเจน หากแต่งงานก่อนหน้าอายุ 27 ปี มักจะพบ ปัญหาบ่อยมากในชีวิตคุ่แลัวเหนื่อยใจเสมอ เพราะว่ามันมีความกดดันเกิดขึ้นภายหลังใช้ชีวิต ร่วมกัน ผู้หญิงที่เป็นคู่แท้ ของชายราศีกุมภ์ ลองดูนะตำราบอกว่ามักจะมีชื่ออักษรผสมด้วยพยัญชนะดังต่อไป นี้ คือ อ,พ,ร,ฉ,ส,ว เป็นดวงคู่ที่เสริมชะตากันอย่างมาก


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 24 ธันวาคม 2007 11:26:52
(16 กุมภาพันธ์ -15 มีนาคม )
สาวราศีกุมภ์
หากคุณเป็นสาวราศีนี้ คุณจะเป็นคนที่มีหัวใจเจ้าชู้ตั้งแต่แรกผลิวัยสาว หัวใจของคุณมีเสน่ห์ล้นทรวงมาก จนสามารถปักใจใคร ได้มากมาย ดวงชะตาชอบลองดี อย่าลองมากเพราะไม่ใช่รายการดูดีๆ มีรางวัล เดี๋ยวฝันสลายสูญหายไปได้อีก ถูๆ ไถๆ ไปได้บ้าง เพราะดวงชะตา หากตั้งใจ จะเป็นแม่ศรีเรือนจริง ๆ แล้วละก็ดวงคู่ก็พอเหมาะกับ ชะตาอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นสาวที่ชอบแบ่งเสี้ยวหัวใจ ให้ใครๆมาคลั่งไคล้ได้หลายๆคน จึงมักติชมเลือก มาก จนอาจจะพลาดพลั้งถลำเข้าตำรา ที่ว่า เลือกนักมักได้แร่ บัญชี หรือดาวพุ่งรุ่งเป็นอาเจ๊เถ้าแก่เนี้ย ก็เป็นได้มองดีๆ จะเห็นได้ว่าเส้นสาย เริ่มต้นของดวงชะตา หากเปลี่ยนชื่อหรือมีชื่อจีนซ้อนอยู่แล้ว ในดวงชื่อของคุณ ก็จะมีชีวิตเริมต้นที่สมบูรณ์ทางจิตใจอยู่แล้ว ความ ใจร้อนเป็นหมื่นฟาเรนไฮต์ อาจทำให้ดวงแตก แหลกเรื่องของงาน และคู่ได้ต้องใจเย็นไว้นั่นแหละโยม ถึงจะดี สาวราศีนี้ ดวงคู่ค่อนข้างตัวเอง อายุเลยเบญจเพสถึงจะไปตลอดรอดฝั่ง หรือหากมีก่อนหน้านั้น ร้อยทั้งร้อยมักจะต้องดวงคู่สองคน หรือแต่งงานสองครั้งทุกคนไป หรือคู่ครองในชีวิตพระเจ้าลิขิตให้คุณได้รับความรักจากคนใกล้ชิดเป็นส่วนใหญ่ ก็ที่คบๆกันนานๆ กลับมา หวานร่วมหัวใจกันเป็น ส่วนมากนั่นไง ลักษณะคู่ครองคนรัก อาจจะมีอายุมากกว่าเล็กน้อยไม่มากมาย อะไร หรือร่วมวัยเดียวกันมีบ้าง บางคนที่หนุ่มคนนั้นจะอ่อนกว่าตนด้วยซ้ำไป เป็นคนรูปร่างสันทัดไม่สูง เป็นยักษ์ ไม่เตี้ยเป็นแคระอย่างแน่นอน อาชีพส่วนมากเกี่ยวกับการช่างอย่างต่างๆ หรืองานที่เกี่ยวกับ โรงงาน หรือของหนักๆ เป็นส่วนใหญ่ หากใครมีดวงคู่เป็นของหนักเหมือนกันคือ เป็นคนในเครื่องแบบที่ ยศถาบรรดาศักดิ์มีแล้วละก็ ต้องทำใจให้ได้อย่าร้อนรน ก็จะกลายเป็นหญิง ไทยระดับบิ๊กได้ เพราะดวงคู่ มีดวงใหญ่โตมากๆ ในชะตาอักษรของคนรักควรมีตัว พ,ส,ว,ด,ป ผสมผสานกันบ้างก็จะดี เป็นคู่รักแท้ ของดวงจริง


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 24 ธันวาคม 2007 11:27:16
(16 มีนาคม-15 เมษายน )
หนุ่มราศีมีน
คุณเป็นคนใจแข็ง และใจดำเลือดเย็นจนเกินไปบางครั้งนะ น่ากลัวจังเพราะว่าาคุณเป็นคนที่ไม่พูดมาก แต่ชอบสะสม ความคิด จนทำนบแตก นําท่วมใจคุณจะร่ายเป็นกลอนยาว วิพากษ์วิจารณ์จนคนฟังร่วม สนทนา พากันสลบไปเลยล่ะ หนุ่มราศีนี้เป็นคนจริงจัง ต่อสู้ และเป็นคนเลือดร้อนมาก สู้คนเล็กพริกขี้หนู และเป็นคนที่เจรจาด้วยเสียงสะท้านแผ่นดิน มีคำคมบ่อย ๆ ปากจัดอย่าให้พูดดีที่สุด เข้มแข็ง แพ้ไม่เป็น ล้มจะลุกสู้อย่างองอาจ แหม..หายากจังพันธุ์แท้ราศีมีนอย่างคุณ ที่เห็น ๆ ยุคนี้มันผสมจนกลายพันธุ์เสีย แล้วล่ะ เส้นทางของชีวิตในการทำงานของชายราศีมีน คุณทำงานที่นั่งประจำอยู่กับที่ เขาเรียกว่าที่มีโต๊ะประจำ ไปไหนไม่ได้เลย จะไม่เจริญ เพราะว่าราศี ของคุณมันเคลื่อนที่เสมอ งานที่เกี่ยวกับการเดินทาง โยก ย้ายบ้าง หรือว่าพบปะผู้คนมากมาย จะชอบเป็นพิเศษ เป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีมาก คุณจึงมักจะได้เพื่อน ฝูง และคนร่วมงานช่วยเหลือเสมอๆ รับราชการ งานประจำ หากว่าต้องทำก็จะต้องเป็นคนที่แก้เคล็ดตัว เอง ด้วยการเดินไปโน่นไปนี่ ตอนทำงานควรแอ๊คทีฟเสมอ จะดีกับดวงตัวเอง คุณถูกกับธาตุนําและธาตุ เหล็ก งานรับเหมาก่อสร้าง งานประมูลเหมา และงานโรงงานที่เกี่ยวกับ การผลิตของหนัก ๆ เช่น วัสดุก่อสร้าง ข่ายไม้แปรรูป หรือว่าทำรถขนส่งอะไรประเภทนี้จะดียิ่ง ในความหมายของธาตุนํา ก็คง เป็นงานที่มีนํามาเกี่ยวข้อง เช่น ธุรกิจขายนํามัน หรือว่าเป็นการทำงาน ที่ไปผูกพันกับทะเล แม่นําจะดี มาก ชายราศีมีนหากคิดจะลงทุนเป็นนักธุรกิจ หรือว่าชีวิตสร้างตัวจากระดับศูนย์ไม่มีอะไรมาเลย จะก้าวหน้า มากและเป็นผู้นำด้านธุรกิจได้ จะมีเรื่องเสียเปรียบกับเพื่อนสนิทเพราะคุณชอบช่วยเหลือมากกว่าด้านอื่น แต่ในเรื่องการงานไม่ต้องห่วง คุณเป็นคนพัฒนาอยู่เสมอ แม้จะล้มเหลวบ้าง แต่ท้ายสุด ยืนได้ก็คงจะพอ ใจ ผู้หญิงในฝันของชายราศีมีน .. คุณเป็นคนที่ร้อนแรง และเป็นคนที่เจ้าอารมณ์ เพราะว่าธาตุแห่งชีวิตมัน เป็นธาตุลม จึงมีอารมณ์แปรปรวนง่าย ใครจะมาเป็นคู่ครองจะต้องเข้าใจชายราศีนี้ให้ดีนะ เพราะเขา ไม่คิดอะไรมาก แต่ว่าเป็นคนขี้งอน และเจ้าอารมณ์บ้างเท่านั้นเอง ก็เอาแต่พองามนะ มันจะได้สวยหล่อ ลงตัว ผู้หญิงที่ชายราศีมีน จะเลือกเป็นคู่ หล่อนจะต้องมีมนุษยสัมพันธ์ดี และเป็นคนใจนักเลง กว้างขวาง ไม่เรื่องมากเรียกร้องตลอด เขาจะเบื่อและจะต้องปรับตัวได้กับลูกน้องและเพื่อนฝูงมากมายของหนุ่มราศี มีน จึงชนะใจเขาได้อย่างดี อย่างไรก็ตามคุณก็มีความนิยมผู้หญิงที่มีระเบียบ และเป็นแม่บ้านจึงมักจะเห็น บ่อย ๆว่า หนุ่มราศีมีน จะด้อม ๆ มอง ๆ สาวพยาบาลหรือว่าสาวแอร์โอสเตส และคนทำงานสถาบัน การศึกษา อายุของสาวที่เป็นคู่ครอง ของคุณหนุ่มราศีมีน ควรจะไล่เลี่ยกันหรือว่าห่างกันไม่เกิน 5 ปี เพราะว่าเป็นช่วงอายุที่ดีและลงตัวตามดวง ผิวสองสีหรือว่าค่อนข้างขาว บางคนอาจจะได้คนต่างชาติ ก็ ได้นะ หนุ่มราศีมีนนี่น่ะ คุณจะพบความรักแบบป๊อปปี้เลิฟหลายหน แต่ว่าความรักที่คุณคิดจะเลือกเป็นเนื้อคู่ แรก ๆคุณจะลอบ สังเกตการณ์ก่อนจะตัดสินใจ เขารียกว่าเจอกันแล้ว แต่สาวเจ้าไม่รู้ตัวว่า คุณแอบขึ้นบัญชีหัวใจเอาไว ้ และเมื่อมั่นใจ คุณจะจู่โจมทันที อายุที่แต่งงานแล้ว ชีวิตคู่สมพงษ์ของหนุ่มราศีมีน อายุตั้งแต่ 24-29 ปี ช่วงนี้หลายคนเจอคู่แท้ แต่บางคนเจอคู่กรรม สุดแต่ว่ารายละเอียดเสริมของดวงชะตาและคนแต่แต่งงาน แล้วดีก็แล้วกัน และอีกช่วงอายุหนึ่งของหนุ่มราศีมีนคือ อายุ 32-36 ปี ช่วงนี้แต่งานแล้วดวงชะตาจะรวย มั่นคงสร้างตัวร่วมกันได้ มีทายาทวาสนาก้จะดีในอนาคต คู่แท้ของหนุ่มราศีมีน ควรเป็นสาว ที่มีชื่ออักษร พยัญชนะดังต่อไปนี้ จะดีกับดวงชะตา ป,ว,ก,ฉ และ ส ส่วนมากแล้วหลายคู่จากสถิติดวงคู่ของโหรจะ ครองเรือน เคียงข้างกัน จนชั่วนิรันดร.


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 24 ธันวาคม 2007 11:27:38
(16 มีนาคม-15 เมษายน )
สาวราศีมีน
ผู้หญิงราศีมีน มักเป็นคนสองอารมณ์ หญิงสองวิญญาณ ยามดีก็น่ารัก ลุ่มหลงจนชายต้องสยบกายถวายตัวให้ ยามโกรธเกรี้ยวกราด ยิ่งกว่าแม่พริ้งผสมทองเนื้อเก้าเสียอีก เป็นคนอ่อนไหวเชื่อคนง่าย และมักเชื่อคน นอกมากกว่าคนในครอบครัว ไม่ว่าเป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง ก็ตาม คุณฟังได้แต่ไม่ปักใจเท่าเพื่อนฝูงเพราะ ดวงเพื่อนฝูงของคุณหลอกคุณง่ายจะตายไป ยามเยาว์ก็เป็นเด็กดีที่ไม่ต้องสวยแต่มีเสน่ห์ได้ เพราะช่างจำนรรจาฉลาดเลิศลําเฉียด ๆกับคุณภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนกได้ เป็นสาวนักทำงานและชอบ เหตุผลคุณจึงมักจะมากด้วยตำรา และวิชาการที่จะสอบได้เก รดเอ แต่เวลาปฏิบัติ มักสอบตกได้นะ เพราะของจริงกับวิชาการมันต่างกันเยอะเลย ชอบด้านความสวย งามการค้าอิสระหรือภาษาเป็นหลัก ดวงของสาวคนไหนที่เรียนด้านนี้หรือทำมาค้าขายด้านนี้ให้มั่นใจ เพราะถุกกับดวงชะตาของคุณ แล้วละ อาจจะต้องพเนจรไปต่างจังหวัด แหล่งถิ่นกำเนิดก็ต้องเตลิดไป ต่างแดนก็ได้ เพราะสาวราศีนี้ มีดวงพเนจร ตั้งแต่เล็กจนกระทั่งเข้าสู่วัยขบเผาะ ที่เจอ ๆมักจะเป็นของเทียมก่อนได้ชิมของแท้ในชีวิต ประเภทเข้าตำราที่ว่า รักเองชําเอง นั่นเอง ฉะนั้นหากคุณจะรักใครและผิดหวังมาแล้วซักคนสองคน ให้ถือว่า ทำครบสูตรถูกดวงแล้วละ อย่ามานั่งท้อ แท้อยู่เลย ลุกขึ้นมาควานหาใหม่ ก็ได้แท้ๆไม่มีเทียมแล้วที่นี้.. ฉะนั้นสาวราศีนี้หากมองในทำเนียบแม่ม่าย อาจจะมากกว่าราศีอื่นๆ ได้อย่างแน่นอน เพราะดวงชะตา ของคุณ มันบอกอย่างนั้นคู่รักที่จะมาแนบชิดสนิทใจ ของคุณได้นั้น เป้นคนที่มีวัยสูงกว่ามากพอสมควรต้อง มากกว่า 5 ปีขึ้นไปจึงจะไม่ชอกถลอกชําหัวใจคุณได้ หากไม่เป็นเช่นนั้น ดวงผิดหวังหรือหย่าร้าง ก็เกิด ขึ้นได้มากเช่นกัน บางคนเคร่งยิ่งกว่าหมั่นปฏิบัติตนขึ้นคานทองเลยก็ว่าได้ ไม่ต้องอาบนําด้วยเลอเวียอย่างเดียวก็ได้นะ ต้องหมั่นเป็นคนฉลาดลํา แนะนำสามีได้บ้าง แต่ต้องแกล้ง ทำโง่เฉียบเฉยต่อสังคมรับรองว่าคนรักจะไม่ปันใจให้ใครแน่นอน นักการบ้านการเมือง หรือคนอื่นที่มีคนนับหน้าถือตา ลูกศิษย์ลูกหามากล้นเมืองจึงจะดี สาวราศีนี้แต่งงาน กันแล้วอยู่กันได้ดี อายุตั้งแต่ 23-31 ยังสวยแฉล้มแย้มย้อยอยู่รับรองว่ายังมีหวังได้คนดี คู่รักนั้น ควร เลือกประเภทที่รูปร่างท้วมกว่าคุณ และผิวค่อนข้างขาวหน่อยจึง จะดี เป็นคนที่ควรมีชื่อ อักษรนำหน้า ด้วยอักษรเหล่านี้ ถ,ณ,จ,ส,ก,พ นี้แหละดวงคู่ของคุณ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 24 ธันวาคม 2007 11:27:55
(16 เมษายน-15 พฤษภาคม )
หนุ่มราศีเมษ
ดวงตาคุณมีไฟปรารถนาจนกว่าจะหมดลมหายใจ ชายราศีเมษธาตุไฟลุกโชติช่วงเสมอ แม้ว่าจะเป็นคน เย็นแต่ข้างในร้อนระอุ เป็นผู้ดีได้เพราะว่า เก็บความรู้สึกเยี่ยม แต่เป็นลูกอีช่างเก็บกดมากไป เหมือน กันบางครั้งเครียด คุณจะเป็นชายที่เอาแต่ใจตัวเอง และมั่นใจตัวเองเกินไป ล้มเหลวแต่ไม่ยอมรับ ความพ่ายแพ้ ไม่ว่าจะเป็นงานหรือเกมส์ชีวิตแห่งความรักก็ตาม เส้นทางของโลกการงานของชายราศีเมษ จะเห็นกันเสมอว่าชายราศีเมษจะเป็นผู้นำของสังคม และมัก จะชอบเพลง เดอะฮีโร่ เพราะว่าชอบ การยอมรับและชอบมีคนล้อมหน้าล้อมหลังมากมาย คุณทำงานรับ ราชการก็มีบารมี ทำงานเป็นรั้วของชาติไม่ว่าจะสังกัดกองทัพไหนก็ไปไกลถึงดวงนายพลแน่นอน งานราช การ ที่สร้างสรรค ์จึงต้องโฉลกกับชีวิตของหนุ่มราศีเมษ สมองที่มองการณ์ไกลไปเร็ว ต้องหาลูกน้องที่รู้ ใจเดินตามจึงจะดี เป็นชายที่ชอบท้าทาย งานลุยๆ หรือว่าเสี่ยง ต้องโฉลกเป็นพิเศษเพราะใจชอบ หากหนุ่มราศีเมษเป็นนักธุรกิจ จะรวยเร็วเพราะกล้าได้กล้าเสีย และมองเกมส์เก่ง เป็นคนที่ทำอะไรจะ ไม่ยอมพ่ายแพ้ ชีวิตจึงมักจะต้องตื่นตัวเสมอ คุณไม่ทำงานวันไหนชีวิตฝ่อทันที เพราะว่าคุณรู้สึกตัวเองไม่มี คุณค่า งานเกี่ยวกับธนาคารการเล่นหุ้น การเก็งกำไรและการแข่งขันที่มีการเสี่ยง ชอบมากและตรง โฉลก บางคนทำงานขยายผลจนเป็นเจ้าพ่อวงการก็มี ชอบวางแผนในการบริหารเพราะสามารถอ่านใจ คนออกได้อย่างมหัศจรรย์จึงรู้ทางหนีทีไล่อย่างดี ส่วนมากอาชีพอิสระนักธุรกิจ จะถูกโฉลกกับชายราศีเมษ มากเป็นพิเศษจริงๆ ลําบึกแต่ว่าคารมเป็นต่อจริงๆ เป็นคนที่ต้องการ ได้ใครแล้ว ไม่เคยยอมแพ้เกมส์ความรัก จึงมักลุ้นเสมอ คุณชอบผู้หญิงสวย เก๋ๆ และแต่งตัวเปรี้ยวได้ มีสไตล์ตามยุคของคุณ เขาเรียกว่าจะต้องแต่งตัวเป็นจึง ตรงสเป็ค ไม่ชอบผู้หญิงบงการหรือว่าชอบเอาแต่ใจมากเกินไป คุณจะรำคาญง่าย ชอบคนเข้าใจ และ ห่วงใย สาวใดจะเป็นคู่ครองหนุ่มราศีนี้ จะต้องเป็นคนที่ฉลาด และเงียบมีแผนใช้ความเงียบสยบความ เคลื่อนไหว เขาจะเกรงใจมากกว่าพูดมากตามบ่อย เขาจะหนีทันที และที่สำคัญจะต้องมีความรู้ เพราะ คุณเป็นคนชอบเอาแฟนหรือภรรยา ออกโชว์ในงาน เพื่อบอกถึงความสำเร็จ ในชีวิตลูกผู้ชายของคุณ มักจะไม่แคร์ที่ผิวพรรณ แต่ชอบคนที่มีมาด แต่งตัวเป็นพองาม แต่เก๋ ออกงานผีไม่กลัวว่างั้นเถอะ และ เป็นคนที่เทคแคร์เก่ง รู้หน้าที่ยอมรับฟังความคิดเห็น หรือว่าให้หนุ่มเมษพร่ามความฝัน แล้วทนฟังได้จะดี ยิ่ง อายุน้อยกว่า คุณจะชอบเพราะว่าชอบคุ้มครองผู้อ่อนแอกว่า และเป็นชายที่นิสัยคนไทย แท้ ชอบ ภรรยาเป็นผู้ตาม แม้ว่าบางครั้งคุณต้องตาม ก็ตามอย่างมีเชิง โอ๊ย...เรื่องมากจังคุณจะเจอกับคู่แท้ของ คุณด้วยการชักนำของคนใกล้ชิด หรือว่าในแวดวง การทำงาน เจอะเจอกันอย่างรวดเร็ว แต่ถูกใจมาก ดวงความรักคู่แท้ของชายราศีเมษ หากคุณจะแต่งงานตามตำรา เขากล่าวว่าชายราศีเมษแต่งงานมักสอง ครั้งเสมอ อย่าเพิ่งตกใจนะ แก้เคล็ดให้สบายใจได้หากคิดจะแต่งงานกัน ด้วยการหมั้นแล้วเว้นสองสาม เดือน มาแต่งเป็นพิธีก็ถือว่าเป็นการแต่งงานตามดวงสองครั้งเช่นกัน หนุ่มราศีเมษดวงคู่จะเจอกันในช่วง อายุ 22-29 ปี แต่งงานแล้วจะดีมาก หากว่าพ้นเวลานี้ไปแล้ว ไม่ต้องกลัวผู้ชายราคาไม่ตก อายุในช่วง 30-37 ปี ช่วงนี้ดวงการแต่งงานทำนายได้ว่าชีวิตคู่ยืนยงมากเช่นกัน ผู้หญิงที่เป็นคู่แท้ของหนุ่มราศีเมษ จะมีพยัญชนะอักษรดังนี้ ก,ส,บ,จ,อ,ว และ ด จะเป็นอักษรอยู่ในชื่อของเจ้าสาว ของคุณแล้วนั้นก็คือ ชีวิตคู่ที่ต้องดวงชะตานะ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 24 ธันวาคม 2007 11:28:19
(16 เมษายน-15 พฤษภาคม )
สาวราศีเมษ
ราศีเมษ ถือว่าเป็นราศีแห่งการเริ่มต้นของดวงดาว ก็อาจจะกล่าวเป็นภาษาโหราศาสตร์ได้ว่า ดวง ชะตาโดยส่วนมาก หญิงสาวราศีเมษนี้ เป็นดาวที่ร้อนแรง และเย็นฉําได้ทุกเวลานาที เป็นคนที่มีสอง อารมณ์พร้อมกันในเวลาเดียวเสมอ ดวงชะตาของคุณ มักจะเป็นสาวที่ทันสมัย แต่ไม่ค่อยทันคน เพราะว่า คุณเป็นคนหูเบา ต้องพยายามใส่ต่างหูสวยๆถ่วงไว้บ้างก็จะดียิ่งทีเดียว สาวราศีเมษนี้จะเป็นคนที่ช่างคิดช่างออกความเห็นคันปาก หากไม่ได้พูดหรือเจรจาจำนรรจาออกมาเป็น ภาษากับเพื่อน หรืออาจจะกระเทือนถึงครอบครัวได้ชอบยั่วยวนพูดกวนใจพอสมควรแต่ก็ไม่ร้าย จนน่า หวาดกลัว หากผู้ใดได้ใกล้ชิด นิสัยใจดีแต่ช่างพูด จึงเป็นรายการแจกแต่ลำเลิกเป็นส่วนใหญ่ในความคิด ของคนใกล้ชิด ชอบชีวิตที่เปลี่ยนแปลง ตลอดเวลาจึงไม่ชอบที่จะอยู่กับที่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับงาน หรือความสวยที่ชอบเปลี่ยนแปลง ฉะนั้นไม่แปลกเลย ที่บางวันคุณจะกลายเป็นสาว ผมบ๊อบสวยนิ๊ง หรือ บางวันคุณจะกลายเป็นสาวผมยาวสลวยได้ เพราะชอบรักสวยรวยความงามเป็นส่วนใหญ่ งามวิไลพอสมควรไม่ชอกชําผิดหวังในเรื่องของการงาน เพราะเป็นคนท ี่มีความงามเป็นสะพาน ผ่าน สังคมอยู่แล้วคุณจึงมักดวงไม่ร่วงหรือตกดินในเรื่องของการงาน หากเป็นงานที่จับ เกี่ยวกับด้านเลขา หรือตัวเลข มีให้คิดค้นแก้ฟุ้งซ่านได้บ้างรับรองว่าแจ๋วจริงๆ สำหรับดวงชะตาของคุณ ดวงดาวของการลง ทุนที่จะทำกิจการใดๆก็ตามของสาวราศีนี้ ดูเหมือนว่าจะมีคนอุ้มชูเชิดช่วยเหลืออยู่เสมอ ดวงคนอุปถัมภ์ ดี มาก หากเกี่ยวกับเรื่องความสวยงามแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการส่งออก หรือออเดอร์เข้ามา ขายจำหน่าย ออกสู่ตลาดก็ตาม จะไม่มีวันที่ฝันสลายได้เลย ต้องเป็นหนุ่มที่โดยส่วนมาก ดวงพบรักด้วยบุพเพสันนิวาสในระยะสั้นๆ ปุ๊บปั๊บแต่งงานกันเลยประเภทที่ควง เกิน 5ปี มักจะเลิกราแยกทางหมางเมินกันไปความรักที่ยิ่งพบในต่างแดนแคว้นของเพื่อนบ้านแล้ว ยิ่งดี ใหญ่ดวงจะไม่ได้คนบ้านเดียวเคียงกัน หรือคนที่พูด ภาษาไทยพื้นภาคเดียวกันหรอก หากคุณเป็นเอื้องสาว ชาวเหนือ ก็อาจจะกระชากหัวใจหนุ่มน้อยชาวภาคกลางได้ เป็นคุ่ดีกว่าคนเหนือด้วยกันหรือคุณจะเป็นสาว เปรี้ยวชาว ปักษ์ใต้ แต่สามารถลากเอาหัวใจของหนุ่มทั้งอีสานเขียวมาครองได้ก็แล้วกัน รับรองว่ารักนั้น จะหวานมันไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได ้แต่หากคุณพบรักกับคนที่เคย ถูกเซ็งลี้ของที่ใช้มาแล้ว พ่อม่ายเรือพ่วง บ้าง ไม่พ่วงบ้างก็ตาม จะอยู่กันอย่างคนที่เข้าใจ และรักกันแบบทะนุถนอมกันอย่างมากรักใดก็ตามของ ชาวราศีนี้ หากเกิดอยากร้องเพลง " ฉันรักผัวเขา " ของสินจัยแล้วละก็ เตรียมหัวใจที่ชอกชําไว้รับ รองความปวดร้าวได้เลย... ไม่ไฝหรือปานที่เป็นสัญลักษณ์ ที่บ่งบอกได้ว่านั่นไง คุณเจอแล้วคู่แท้แต่ปางก่อนของคุณ แต่ต้องเด่นเห็นได้ ชัดนะ ไม่ใช่ประเภทขี้แมลงวันก็โมเมว่าชัดแจ๋วเสียแล้ว อายุของคนรัก หากห่างกันเกินครึ่งรอบขึ้นไป รับรองได้ว่าชีวิตน ี้ไม่มีคำว่าต้องเซ็นใบหย่าได้ แต่ไร่เรี่ยเรียงอายุใกล้กันมากก็แน่ใจว่า หม้อข้าวยังไม่ ทันจะเริ่มดำรักนั้นจะเริ่มจางได้ หากแต่งงานหรือเลือกคนที่จะร่วมหอลงโลงคู่เคียงด้วยกัน อยากให้เลือกตอนอายุราวๆ23-24 ปี คุณจะ เจอของดีที่ยังไม่เคย โดนสกรีนมาจากใครแต่หากคุณเจอความรักที่ย้อนหลังวัยอันพึงสมดวงคู่ดาว แล้ว เตรียมใจไว้ก่อนนะว่ารักร้อนๆ นั้นจะเผาไหม้ผลาญหัวใจของคุณได้ อยากจะให้เป็นคนที่มีตัวอักษรนี้อยู่ในชื่อ ชัดเจนมากๆ มีตัว พ,ธ,ด, ช,จ,ป ในชื่อของชายคนรักไม่ว่า จะสูงใหญ่ร่างคลําดำลํา หรือจะแคระแกรน ร่างกายเล็กซักเท่าไร ก็ไม่ต้องหวั่นเกรงหัวใจจะไร้คน ครอง ผู้หญิงราศีนี้ดวงจะเป็นแม่ ม่ายกระดังงาที่ร้อนลุกลนไฟนั้น นับว่าน้อยกว่าราศีอื่นๆ เพราะดวง ความรักมักเจาะดวงทะลวงได้เร็วมาก และค่อนข้างนานเป็นอมตะ แต่ประเภทไม่ยอม ให้ใครเจาะหัว ใจก็ต้องพาพรหมจรรย์ไปเฝ้ายมบาล จนวันสิ้นสลายตายจากแผ่นดินได้เช่นกัน


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 24 ธันวาคม 2007 11:28:37
(16 พฤษภาคม - 15 มิถุนายน)
หนุ่มราศีพฤษภ
ตำราว่าหากคุณเกิดในช่วงวันดังกล่าวชายราศีอย่างคุณ จะเป็นคนสู้คน และเป็นคนที่มีชีวิตลำบากมากใน วัยเด็ก ทระนง สร้างตัว ด้วยตัวเอง และมักจะเป็นคน ที่มีชีวิตลำบากมากในวัยเด็กทระนงสร้างตัวด้วย ตัวเอง และมักจะเป็น คนที่ประสบความสำเร็จ ในการสร้างตัวได้อย่างดีเลยทีเดียว มีการวางแผนใน การทำงาน ได้อย่างเป็นระบบ และสามารถเดินทาง สู่บั้นปลายแห่งความฝันได้ ใจชอบชีวิตเรียบง่ายใน บั้นปลาย จึงจะอยู่อย่างสมถะ และชอบชีวิตเดินทาง และท่องเที่ยว ศึกษาธรรมะ หรือว่าอยู่กับธรรมชาติ ได้อย่างดีทีเดียว คุณจะเป็นคนชอบงานที่ต้องออกแรงแบบแรมโบ้ หรือว่าจะต้องคุมคน อาทิ เป็นหัวหน้า ฝ่ายบุคคล หรือว่าเป็นคนที่ ควบคุม การบริหารจะเยี่ยม งานค้นคว้าหรือว่าวิจัยก็นิยมมากกว่าหนุ่มราศี อื่นๆ คุณจะเป็นคนที่มี ความเป็นผู้นำ ทางสร้างสรรค์ เพราะว่าดวงของคุณมีพลังแห่ง ความคิดใหม่ๆอยู่เสมอๆ และเห็นกันบ่อยๆ ว่าคุณเป็นคนที่มี การปรับปรุงกิจการงาน หรือว่ารูปแบบที่ทันสมัยเสมอ ชอบเทคโนโลยี มีหัวคิดทันสมัย และเป็นคนท่กล้าในการยอมรับความผิดพลาดของการตัดสินใจ เป็นคนมีน้ำใจนักกีฬา หากว่าเป็นทหารหรือว่านักกีฬาจะรุ่งเรืองมาก เป็นนักการเมืองไม่ว่าระดับไหนคนก็ยอรับเพราะต่อสู้เก่ง ชัดเจนในอุดมการณ์ หนุ่มราศีพฤษก หากว่าลงทุนธุรกิจการค้าขาย มักจะต้องเจอะเจอปัญหาให้แก้ไขตลอดเวลา และมักจะ เป็นปัญหาที่บางทีไร้สาระ แต่กลายเป็นเรื่องใหญ่เสมอ คุณจะต้องทำงานอย่างติดตาม หากปล่อยเมื่อไร เคว้งทันที งานที่ตัวเองเป็นคนคิดโครงการจะสร้างหลักฐานให้กับชีวิตดีมาก ติดต่อต่างประเทศหรือว่างา นที่เผยแพร่ข่าวสารงานเทคโนโลยี ก็เยี่ยมยุทธ์ หลายคน มักจะเป็นนักบริหารที่สามารถปกครองคนที่มี สมองที่ใครปกครองไม่ไหวได้อย่างดี เพราะว่าคุณมีเทคนิคดี ลงทุนธุรกิจ การงานในวงการค้าขายที่ เกี่ยวกับธาตุเหล็ก อาทิเช่น รถยนต์ หรือว่าจะเป็นอาวุธดี และธาตุดิน เช่น พัฒนาที่ดิน หรือว่า หา อุตสาหกรรมจากทรัพย์ในดินได้อย่างดียิ่ง ผู้หญิงในฝันของหนุ่มราศีพฤษก...ต้องเป็นคนฉลาดเฉลียว และเป็นคนที่มีความอ่อนโยนในตัวเอง มีใจ เมตตากรุณา หากก้าวร้าวมากหนุ่มราศีพฤษกเผ่นแน่ คุณต้องเป็นคนไม่พูดมากแต่มใดเนี้ยบ พูดน้อยแต่ชัด เจน เขาเกรงใจจะเป็น คนที่สวยแบบสง่า หลังคร่อมไหล่ห่อรับรองว่ายากที่จะเป็นสเป็คหนุ่มราศีนี้ อายุ ของสาวที่เนื้อคู่แท้ ไม่ควรมาก หรือน้อยเกินกว่า 8 ปี เพราะว่าโฉลกมันบอกอย่างนั้น ใครที่เป็นนักบัญชี หรืออาจารย์ แพทย์ พยาบาล หรือว่า คนทำงานแบงก์ จะได้รับการพิจารณาก่อนเสมอ 20 ปี ที่คุณคิดว่าเป็นผู้หยิงในอุดมการณ์ แต่หากว่าคบกันไม่เกินสามปีร่วง หรือว่าแยกทาง ก็เพราะว่าคุณ เป็นคนทะเยอทะยานมากไปนั้นเอง การแต่งงาน เป็นสิ่งที่คุณคิดว่าจะกระทำก็ต่อเมื่อ คุณมั่นใจว่าสร้าง ครอบครัวได้ อายุของหนุ่มราศีพฤษก ในการแต่งงาน จะต้องมองดูโฉลกของการสร้างตัว แต่งงานใน ช่วงอายุ 25-32 ปี ดีมากสร้างตัวได้ และธุรกิจร่ำรวย แต่งงานในช่วงอายุ 35-38 ปี จะมีปัญหาใน เรื่องของการครองเรือนและธุรกิจเกิดขึ้น หากว่าแต่งงานก่อนอายุ 25 ปี ร้อยคนจะมีแปดสิบคนที่เลิกกัน ในสถิติโหราศาสตร์ แต่ก้ใจเย็นไว้ก่อนหากว่าเป็นดวงคู่อย่างนั้น เขาว่าสมัยนี้แก้เคล็ดได้ หย่าแล้วจด ใหม่ เป็นการแก้ดวงให้ลงโฉลกได้เหมือนกัน แต่ย้ำว่าต้องคนเดิมนะ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 24 ธันวาคม 2007 11:28:53
(16 พฤษภาคม - 15 มิถุนายน)
สาวราศีพฤษภ
สาวสวยหรือคนงามคนใดก็ตามที่เกิดราศีนี้ คุณเป็นคนที่มั่นใจในความเป็นคุณมากเป็นพิเศษ และเชื่อว่าไม่ มีใครจะเลอเลิศ วิเศษล้ำเท่ากับตัวคุณ ไปได้ในบางเวลา เป็นชีวิตของลูกผู้หญิงที่ทะเยอทะยาน และ วาดวิมานในฝันสวรรค์แห่งดวงดาวไว้สวยหรู งานนิ้งมากเป็นที่สุด เมื่อเยาว์อาจเป็นเด็กที่ชอบซุกซน แก่นและไม่ยอมคน ชีวิตจึงต้องใช้การตัดสินใจของตนเองเป็นหลักแทบทุกเรื่อง ทำงานใดก็ตาม ยามบ้า คลั่งก็จะทำอย่างเป็นบ้าเป็นประสาทได้ แต่ยามไร้อารมรณ์ ก็ขมขื่นหาเรี่ยวแรงมากระชากเฉกเช่นใช้ แรงช้าง ก็ไม่มีวันจะทำเดินเหินทางมากเหมือนกันในชีวิต โดยส่วนมากเป็นสาวราศีนี้ชอบนักในเรื่องผจญ ภัย หรือได้บู๊ผสมการออกความคิดเชิงบุ๋นบ้าง วาทะอาจจะไม่อ่อนหวานปานน้ำผึ้ง แต่ความจริงมีเพียบ แล้วกัน ปุ๋ย อย่างคุณเชื่อได้ว่าชอบวางมาดเป็นนางพญา เป็นเจ้านายคน มากกว่าเดินแบกถุงปูนแบบกรรมกรสาว ราศีนี้หากได้เป็นเจ้าของกิจการเอง ก็นับได้ว่าทำงานได้รวยอย่างรวดเร็ว เพราะสมองดี แต่หากว่า เป็นลูกน้องหรือบริวารก็เชื่อได้ว่าเจอนายแทบจะต้องกราบเพราะ ความสามารถปน ความบ้าคลั่งของคุณ ที่ไม่ยอมสยบให้กับใครง่ายๆ หากว่าคุณไม่มั่นใจว่าเค้าถูกจริง จึงมักเป็นผู้หญิง มีวาสนาพอสมควรได้เป็น นางพญานั่งห้าง หรือเจ้านายตำแหน่งใหญ่โต เกิดหลุดไปเป็นราชการ ก็ต้องเชื่อได้ว่าอนาคตไม่หดจู๋แน่ เพราะดวงคุณเป็นคุณนายหรือเจ้านายคนเป็นส่วนมาก งานใดก็ตามหากเกี่ยวกับ ทางด้านศิลปะแล้วด้วย คุณเป็นคนหัวคิดที่มีทฤษฎีช่วยเพียบ แต่หากออกปฏิบัติการณ์เองก็รับรองว่า "เจ๊ง" เช่นกัน เป็นคนช่างติ ช่างเลือก ช่างเฟ้น จนน่าหมั่นไส้ จึงทำให้ดวงชีวิตคู่มักจะเจอของจริงช้า หรือดวงต้องนั่ง รอเข้าสู่ "คาน" เป็นส่วนใหญ่ แต่หากคุณหลับหูหลับตาเลือกที่ดีพอสมควรถึงจะไม่สมกับที่ฝันเลยทีเดียว เมื่ออายุไม่มากนักราวๆช่วงอายุซัก 17-29 ปี รับรองว่าพอจะมีดวงได้ของดี อยู่ชั่วดินฟ้าสลายกันจริงๆ หากเลยล่ว งอายุสามสิบยังแจ๋วไปแล้ว คุณเขียนใบสมัตรเข้าคาน หรือหากแต่งงานก็จะเป็นม่ายพราว เสน่ห์ กระดังงาลนไฟได้อย่าง ร้อยเปอร์เซนต์เลยทีเดียว ความรักหากเลยอายุนี้เข้าไปแล้ว ขอแนะนำ ให้ทำใจหรือจะมันส์คันได้บ้างบางเวลา แต่อย่าเป็นจริงถือจังมากจะผิดหวังพังได้ คุณมักจะชอบชายรูปร่างสูงใหญ่ ดูล่ำสันไว้ก่อนเป็นหลัก มักมองชายคนที่ประทับใจ ที่ดวงตากับใบหน้าเป็น หลัก ละการงานของชายคนรักที่คุณคลั้งไคล้ ต้องมีเกียรติยศที่จะให้คุณสามารถเป็นคุณนาย หรือมีบริวาร ได้จึงพึงพอใจ เพราะคุณชอบที่จะวางมาดเป็นมาดาม คุณนายค้างดวง อยู่เสมอๆ หากเป็นคนสั้นป้อมร่าง เตี้ยแคระแกน รับรองว่าถึงดินกลบหน้าก็ไม่ชอบที่จะจดจำไว ้ในหัวใจของคุณ อักษรคนรักที่คุณจะเป็นดวงคู่ครอง หรือดวงช่วคราว แต่มีความจริงใจคบได้ควรมีตัว ช,ก,ส,ภ,พ,ป ผสมอยู่ในชื่อหรือนำหน้ายิ่งปิ๊งใหญ่ อย่าลืมนะหากจะลองรักใครสักหน หรือหาคู่สักคน ดูลักษณะที่ถูกกับดวง และเสริมส่งกับชะตาไว้เป็นหลักรับรองว่าจะดีมาก และเลิศสมฝันได้จริง


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 24 ธันวาคม 2007 11:29:10
(16 มิถุนายน - 15 กรกฎาคม)
หนุ่มราศีเมถุน
ปากเจรจาเก่ง หวานออดอ้อนมากจนหลงไหล ชายอย่างคุณเป็นคนที่มีไฟตัณหาลุกโชนมาก ระวังร่างกาย จะย่ำแย่ ความคิด ในการทำงานดี และมีใจรักในสิ่งที่ตัวเองทุ่มเทอย่างเต็มตัว ในการสร้างงานทุก อย่าง เป็นคนที่มีเหตุผล และเป็นคนที่ แก้ปัญหาได้ทุกอย่าง เพราะเข้าใจคนดี ใจเย็น ไม่วู่วามโชคดี มาก แต่ตระหนี่ไปหน่อยจนรอบข้างบอกว่าตืด หากใจกว้าง จะเสริมบารมีในถนนชีวิตที่ดีมากเลยทีเดียว โลกการงานของหนุ่มราศีเมถุน...หากคุณรับราชการหรือว่าทำงานมียศถาบรรดาสักดิ์ ชีวิตการงานของ คุณ จะต้องได้รับความไว้วางใจอยู่ใกล้ผู้ใหญ่ หรือว่าผู้ใหญ่อุปถัมภ์เสมอ ชีวิตการทำงานมักจะได้รับความ สำเร็จด้วย ความพยายามทุ่มเทมาก ตั่งแต่เริ่มชีวิตการงาน งานรับราชการและการปกครองบริหารคุณ เป็น คนกระจาย อำนาจดีมากจึงเป็รฃนที่ยอมรับในการร่วมงาน บั้นปลายของงานราชการของหนุ่มราศีนี้ ตำราบอกว่า ไปได้ครึ่งทางเบื่ออาจจะลาออกมาป็น นักธุรกิจหรือเจ้าของเองแน่นอน หากว่าคุณเป็นนักธุรกิจ เล่นหุ้นลงทุน หรือว่าจะคิดสร้างกิจการมีโรงงานอะไรก็ตาม จำไว้ว่าดวงชะตา ของคุณ ถูกโฉลกกับฮวงจุ้ย ใกล้น้ำ หากไม่มีสร้างให้มี ชีวิตการลงทุนจึงผ่านอุปสรรคจุกจิก ซึ่งบางทีเป็น เรื่องไร้สาระ แต่ว่ามันรำคาญใจตลอด คุณถูกโฉลกกับธาตุทอง และธาตุไฟ การทำงานเกี่ยวกับการค้า ขายต่างประทศ การเล่นหุ้น หรือว่ามีกิจการเชื้อเพลิงจะดีมาก การทำเหมืองแร่ หรือว่าค้าอัญมณีก็ดีไม่ น้อย หากว่าเป็นนักเดินทางและการพัฒนาที่ดินให้เป็นแหล่งพักผ่อนได้ ชีวิตก็ลงทุนด้านนี้ได้ อย่างลงทุน บริหารธุรกิจการเงินได้เช่นกัน เพราะว่าถูกโฉลกกับดวงชะตาของคุณ และเป็นคนชอบเปลี่ยนแปลงสีสันชีวิตเสมอ จึงค้นหาอะไรแปลก มาให้ชีวิตตื่นเต้นตลอดเวลา ใครเป็นคู่ ครองอย่าปล่อยตัวด็ดขาด เ..เซนเซอร์..่ยวเฉาแล้วจะไร้ความหมายแน่ คุณมักจะชอบผู้หญิง ที่เข้าใจคุณทุกด้านไม่ ต้องอธิบายมาก เพราะคุณชอบต่อยมากกว่าพร่ามพรรณนา ดวงชีวิตของหนุ่มราศีนี้ จะพบสาวต่างถิ่น ต่าง จังหวัดที่เกิดกัน การเดินทางหรือว่าการงานจะทำให้คุณพบเจอ บางคนรักกันในวัยเรียน ก็มีพาให้ชีวิตมา ถึงฝั่งได้ ผู้หญิงผิวดำแดง หรือว่าสีค่อนข้างขาวตรงโฉลก อายุไล่เลี่ยหรือว่าห่างกันไม่มากเกิน 3 ปี มี ปัญหามากพอสมควรตำราบอกว่าหนุ่มราศีนี้ เป็รคนมั่นคงในการแต่งงาน แต่คู่ชีวิตจะต้องทันสมัย และเป็ร คนดูแลตัวเองให้สวยผ่องเสมอ อย่าโทรมเขาเบื่อและบ่นแน่ ทำงานด้านค้าขายหหรือว่าสวยงามบ้างยิ่ง ถูกโฉลก ครูบาอาจารย์ และงานที่รับราชการเป็นดวงคู่ของราศีนี้ ชีวิตคู่ของคุณแต่งงานในช่วงอายุ 24-33 ปี จะดีมาก ก่อนหรือว่าหลังจากนั้นไม่ควรจัดพิธีใหญ่ในการแต่งงาน เพราะว่าดวงมันเลิกราหย่า ร้างง่ายมากจริงๆ และเป็นคนที่รู้ทันแต่แกล้งโง่ คุณจะรู้สึกอยู่ร่วมกัน อย่างไม่ต้องหวาดระแวง หนุ่มอย่างคุณหากแต่งงาน แล้วไม่สุขใจ คุณตัดสินใจเลิกง่ายมากจริง เพราะว่าคุณใจเด็ดมาก พยัญชนะอักษรคู่ชีวิตที่ต้องโฉลกของ หนุ่มราศีเมถุนมีดังนี้ จ,ก,ป,ศ,ส,ห,ย


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 24 ธันวาคม 2007 11:29:27
(16 มิถุนายน - 15 กรกฎาคม)
สาวราศีเมถุน
ด้วยหน้าตาที่อ่อนกว่าวัยและใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่จำเป็นต้องสวยงามดุจดาวเจิดจรัสฟ้า แต่เสน่ห์ของคุณอยู่ที่ ยิ้มพิมพ์ใจของคุณนั่นแหละ สาวราศีเมถุนมักจะเป็นคนที่มากรัก และหลากหลายใจพอควรทำหน้าตาซื่อ บริสุทธิ์ เรียกร้องความรักได้เฉียบขาด แต่เวลาอาละวาดก็รักเสียหลายคนหลายใจ เลือกกันไม่ค่อยถูก จะรักพี่คุณอาจจะเหล่เสียดายน้อง จะรักทั้งสอง กลัวเป็นนางวันทองถูกประหารหัวใจ อยากให้คุณหยุดทำ งายหัวใจชายที่รู้เดียงสาแต่โง่ในรัก หรือไร้เดียงสา แต่ทำเป็นแก่เกินวัยก็ตามเสียเถิด จะไม่บังเกิดมี กรรมในหัวใจ สาวเสน่ห์ล้นดวงอย่างคุณมีความมั่นใจในตนเอง โดยไม่จำเป็นที่จะเป็นวันเบาหรือวันไม่ เบาก็ตาม เพราะคุณเรียนพอที่จะสู้เขาได้ งานก็ชนได้ทุกรูปแบบ และเรื่องของรักก็ตัดใจได้เร็วยิ่งกว่า รถไฟเสียอีก จึงนับว่าเป็นสาวที่ใจเด็ด และเชิดใส่ผู้ชายได้อย่างร้ายกาจคนหนึ่งเหมือนกัน เป็นที่เสน่หาของคนทั้งปวงไม่ว่าพ่อแม่หรือพวกพ้องญาติ ก็จะหลงไหลในคำคมคารมของคุณได้อยู่เสมอ จึง มักจะมีญาติช่วยอุปถัมภ์ค้ำชูพอสมควรดวงจึงตกสะเก็ดแหวกวงโคจรของดวงดาวมากนัก เมื่อเริ่มบานสะ พรั่ง ยังไม่ทันได้ใช้คำว่านางสาวได้เต็มปาก ก็เริ่มมีหมู่ภมร มาดม ดอมตอม ขอจองแล้ว จึงเป็นคนที่หัว ใจไม่เคยหยุดรัก หรือรักษาหลบเลียแผลแหวะของหัวใจเหมือนใครๆ สาวราศีอื่นๆเค้าเลยบนถนนสายคู่ ครองของชีวิตคุณนั้น มีให้คุณเลือกหรือคนมากดวงด้วยกัน แต่ชอบใฝ่ไม่รักดีเท่าที่ควรถึงบางทีแต่งงานมีรัก กับใครซักคน ไม่ค่อยได้หัวใจที่แท้จริงของเค้ามา อาจจะเป็นเพราะว่าคุณร้อนแรง และแผดเผลาญเค้า จนเกินไปก็ได้ ให้หมั่นระวังชีวิตครอบครัวของสาวราศีนี้ จึงไม่ค่อยสมดุลหรือหวานฉ่ำยามร่วมเรียงเคียง ชีวิตกันมากนัก เพราะก่อนจะรักกฟ็เลือกมากนักจนไม่ค่อยจะได้ดี หรือเลือกที่คอยให้เลือกน้อยเกินไป แล้วจึงต้องคว้าไว้ก่อน ดวงของสาวราศีนี้ หากใจลดความร้อนที่เป็นดั่งเช่นหมื่นฟาเรนไฮต์ลงบ้าง จึงจะ มัดใจสามีได้เป็นอย่างดี แต่ประเภทชอบกรี๊ดแบบทองประกาย หรือร้าย อย่าหวังว่ารักนั้นจะหวานฉ่ำใจ สาวราศีนี้มีบุตรชายยากมาก หรือมีก็มีน้อยเต็มที ส่วนมากสาวราศีน ี้จึงมักจะเจอคนรัก ที่เป็นชายในเครื่องแบบ หรือราชการเป็นส่วนใหญ่ และดวงชะตา ก็จะนำพาให้เจิดจรัสได้ในไม่นานเกินรอ และส่วนมากแล้วละก็จะเจอคู่ในช่วงอายุไม่เกิน 23-34 ปี เป็นส่วนมาก เพราะดวงแต่งงานโดยทั่วไปของสาวราศีนี้เร็วและแรงมาก หากคนรักของคุณเป็นชายที่มี อักษรนำหน้า หรือผสมตัว ว,ป,ฟ,ภ,ณ,ท, จึงเสริงดวงเด่นดาวมากกว่าอักษรอื่นใดในหล้านี้ คุณควรเริ่มให้ความรักที่มั่นคงกับเค้าก่อน ส่วนมากสาวราศีนี้มักไม่ค่อยให้เกียรติผู้ชาย และใช้อารมณ์ ทำลายความรักของตนเองให้พังทลายย่อยยับได้ อย่าใช้มากเกินลิมิตและอัตราก็เพราะว่า คุณจะไร้ชายที่อยู่เรียงเคียงใกล้คู่ทุกข์คู่ยากได้นั่นเอง



หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 24 ธันวาคม 2007 11:29:41
(16 กรกฎาคม - 15 สิงหาคม)
หนุ่มราศีกรกฎ
หนุ่มราศีกรกฎอย่างคุณเป็นผู้ชายธาตุน้ำ ดิ้นรนต่อสู่ไขว่คว้าหาอนาคตด้วยตนเอง ในฐานะเริ่มต้นไม่ค่อย จะดีนัก น่าสงสารดิ้นรน และสร้างด้วยมัน 2 สองมือ ทะเยอทะยานไปสู่ความสำเร็จ เป็นอาจารย์ เป็น นักวิศวะ เป็นนักคิด เป็นโปรแกรมเมอร์ หรือเป็นนักครีเอทิฟ ดีมากเพราะเป็นคนกระตือรือร้นอยู่เสมอ ชอบของสวยงาม ดัดจริตเดี๋ยวจะออกไปทางตุดซี่ ขณะเดียวกันชอบคนอ่อนหวานเอาอกเอาใจ ชอบคน ละเมียดละไม เป็นคนที่ดูรายละเอียดมาก แต่เป็นคนที่ไม่ ชอบเอามาใส่ใจมาก ไม่เหมือนผู้ชาย ราศีพฤษกที่เอามาใส่ใจมาก และค่อนข้างที่จะวิพากวิจารณ์กัน ในขณะเดียวกันหนุ่มราศีกรกฎ เป็นคนที่มัก จะทำให้ผู้หญิงช้ำใจหลายครั้ง เพราะเป็นคนที่ คิดจะเลิกก็เลิกเลย น่ากลัวนะอันนี้ ผู้ชายอย่างคุณมี ลักษณะเป็นปู คือเดินก็ไม่ตรงกับที่ จึงมีบาดแผลในความรักมาก่อน มักจะล้มเหลว ในความรักมาสักครั้ง หนึ่ง ครั้งเดียวไม่เคยพอ ขอเบิ้ล คุณจะก้าวต่ออย่างทรนงองอาจ ไปสู่ความสำเร็จของตัวเองได้อย่าง มั่นใจ พลังอันสมองและความคิดของคุณ เมื่อคุณเป็นคนที่เลือกคู่ได้อย่างชัดเจน หนุ่มราศีกรกฎ...ชอบผู้หญิงที่ค่อนข้างจะเป็นผู้ดี สวยสง่า ใจเย็น เป็นคนพึ่งพาอาศัยได้ พูดจาอะไรอย่า เอะอะโวยวาย ถ้าใครก็ตามแต่ ถ้าเกิดกลับไปบ้านแล้วโวยวาย ล่ะรับรองคุณจะต้องนับ 1 ถึง 10 เพราะครบ 10 เมื่อไหร่คุณจะไม่พูดด้วย ครบ 10 ครั้ง เมื่อไหร่คุณเลิกเลย โอ๊ะ...อะไรจะเร็วขนาด นั้น คุณเป็นคนที่ไม่ชอบให้ใครมาเผด็จการคุณเป็นคนที่มัธยัสถ์ ชอบผู้หญิงที่รู้จักมัธยัสถ์ด้วยและรักบ้าน ถ้า ใครจะคิดเป็นคู่ครองของหนุ่มราศีกรกฎ ต้องเป็นแม่บ้านที่ดี สอดส่อง ดูแลบ้าน ให้เค้าได้ ดูแลเครื่องใช้ ตอนเช้าก็ตั้งว่านี่ถุงเท้า พ่อจ๋านี่นะจ๊ะ พ่อจ๊า... คุณต้องใช้ความอดทนหน่อยนึง พราะหนุ่มราศีกรกฎ ชอบผู้หญิงที่รู้จักหน้าที่ของตนเอง ซ้ำในสมัยนี้ผู้หญิงหลายนหาได้ยากที่จะทำได้อย่างนี้ ฉะนั้นคู่รักที่เหมาะ สมกับหนุ่มราศีกรกฎอย่างคุณ ต้องเป็นคู่รักที่เข้าใจ ปรับตัวเองได้ เยือกเย็นบ้างบางครั้ง และชัดเจนใน คำพูด มีเหตุผล เพราะคุณเป็นคนที่เปิดอารมณ์ตัวเองได้ คุณชอบผู้หญิงที่ไม่จืด แต่ไม่เปรี้ยวจี๊ดจนเกินไป แต่เป็นคนที่ปรับตัวกับสังคม และไม่จู้จี้จุกจิก ห้าวพูกก้าวร้าวคุณต่อหน้าคน ว่าคุณลับหลัง หรือลุยกันเลย เมื่อเปิดประตูบ้านแล้ว ผู้หญิงราศีมีนดีมาก ผู้หญิงราศีพิจิก ราศีกันย์ ราศีกรกฎก็ใช้ได้ ราศีเมถุนก้พอทน เช่นกัน คู่ครองของคุณจะต้องเป็นคนที่หึงคุณบ้าง และรู้สึกว่าการหึงคุณนั้นจะมีค่า เพราะคุณเป็น คนที่ชอบ เรียกร้อง คุณค่าของคุณแปลกพิลึกนะคุณนี่ ขณะเดียวกันเค้าบอกว่า หนุ่มราศีกรกฎถ้าจะไปรักใครสักคน ผู้ หญิงของคุณ ต้องไม่เป็นคนที่เจ้าอารมณ์มากนัก เพราะคุณเป็นคนที่เจ้าอารมณ์เยอะอยู่แล้ว มีเสน่ห์ไม่วิตก จริต


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 24 ธันวาคม 2007 11:29:53
(16 กรกฎาคม - 15 สิงหาคม)
สาวราศีกรกฎ
เพราะคุณเป็นผู้หญิง ที่ฉลาดและแหลมลึกคม ในความเลิศล้ำของสมอง มีความสามารถในการทำงานสูง พอสมควรเช่นกัน แต่เรื่องของความรัก หากตัดสินเลือกเองพังทุกที เป็นเพราะดวงชะตาชี้นำให้เป็น อย่างนั้น จึงอยากแนะนำว่าจะรักจะชอบ จะเลือกจะควรใครก็ตาม ให้ปรึกษาหาข้อความถามญาติสนิทไว้ ก่อน เพราะจะไม่โดนน้ำร้อนลวงตัวเอาเปล่าๆ วัยเด็กยามเล็กเป็นคนที่ช่างฝัน และดิ้นรนต่อสู้ไปสู่จุดมุ่ง หมายปลายทางอย่างดี จึงชอบทำงานหรือได้รับการมอบหมายให้ทำมากๆ จะพออกพอใจ และพึงใจเป็นที่ สุด ดวงดอกรักจะมิมีวันร่วงโรยราได้ หากว่าเลือกข้ามรุ่นหรือประเภทแก่แต่วัย แต่ใจยังซิ่งอยู่นั่นแหละดี สำหรับคุณ... หรือต้องเยือกเย็นจะเหมาะสมกว่า เพราะเป็นคนที่อ่อนหวาน รักสวยรวยความงามมากจริงๆ ร้าน อาหารที่เลิสเลอหรือร้านขายเสื้อผ้าบูติคที่สวยหรูเป็นงานในความฝันของคุณ ชอบงานที่มีการประดิษฐ์ หากได้งานที่ใช้ความคิดมากกว่าวาจาหรือปากพูดหละก็ รับรองว่า ได้วืดหายดวงตก อย่างแน่นอน งาน เกี่ยวกับนักประชาสัมพันธ์ เจ้าของอนุบาล หรือร้านขายเบเกอร์รี่ดีกว่างานใดๆในโลกนี้ สำหรับคุณจะมี ฐานะมั่นคง เมื่อวัยล่วงเลยเข้าเลข 3 จะดีมาก ยิ่งเข้าเลข 4 จะเข้าขั้นเถ้าแก่เนี้ย หรือรวยอย่างไม่ รู้เรื่องได้ กระชากสอดใส่คานหามมาถึงประตูใจ พบรักด้วยการแนะนำจากเครือญาติหรือเพื่อนฝูง หรือมีอีกประเภท พ่อแม่ดันเป็นคนที่อยู่วงการเดียวเป็นส่วนใหญ่ ชายในฝันที่จะสมดวงของคุณได้นั้น เป็นคนที่สมถะและมีวิชา ความรู้ดีพอสมควรไม่ได้ทางการเรียน ประเภทโต มาจากกงสีที่มีประสบการณ์เพียบ เลี้ยงคุณได้ก็แล้วกัน อย่าดันไปรักใครที่มีเจ้าของแล้วอย่างไม่รู้จักหักห้ามใจตนเองเสียละ เพราะจะทำให้รักนั้นพังทลายพินาศ ได้ ดวงคู่ของคุณควรเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างขาว หรือขาวไปเลยเมื่อเทียบกับคุณแล้ว และอายุของคุณที่ควร ร่อนการ์ดสีชมพู บอกประกาศความโสดได้นั้นควรจะอยู่ในวัยอายุอานามในราว 14-19 ปีเท่านั้น หาก ล่วงเลยไปแล้วนั้น ให้แก้ดวงด้วยการแต่งงานได้แต่ไม่จดทะเบียนเปลี่ยนนามสกุลไว้ดีกว่า เพราะหลังวัย นี้ไปแล้ว เป็นดวงชะตาที่มีความรักได้แต่เป็นม่ายเยอะมาก จึงไม่ค่อยคิดสนับสนุนมากนักเท่าไหร่ จะเป็นชายที่เป็นคนรั้นและทระนง ฉะนั้นต้องหวานเย็นเข้าใส่ จะดีมากสำหรับคุณ ดวงความรักของชายคู่ แท้นั้น คุณจะสามารถประคองหัวใจเขา ได้อย่างมีชีวิตร่วมไปด้วยกัน อย่างตลอดรอดฝั่งก็ต่อเมื่อ ยาม เขาร้อนคุณขอเย็น หรือยามคุณคิดแก้เซ็งด้วยการร้อน เขาเยือกเย็นลบโลมใจคุณได้ ดวงบุตรวันข้างหน้า จะพึ่งพาอาศัยได้ทุกคนอย่าหวั่นใจ คนรักของคุณเป็นชายร่างเล็ก หรือจะสูงก็เข้าขั้นโย่งกว่ามาก จึงเป็น ลักษณะคู่แท้ อายุไร่เรี่ยกันหรือห่างกันไม่เกิน 8 ปีดีที่สุด อักษรคู่แท้ที่จะมอบใจร่วมกันได้มีตัว พ,ธ,ป,ท, ก นำหน้าหรือผสมในชื่อ ดีเด่นเฮงสมที่คุณจะใช้นามสกุลร่วมด้วยอย่างแน่นอน



หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 24 ธันวาคม 2007 11:30:10
(16 สิงหาคม - 15 กันยายน)
หนุ่มราศีสิงห์
เป็นคนกร้าวกระด้างมีความคิดเป็นของตัวเอง โผงผางตรงไปตรงมา เป็นผู้ชาย 100% เต็ม เป็นผู้ชาย มีเอกลักษณ์เป็นของตนเองชอบเป็นผู้นำ แสดงความเนี้ยบแต่ว่าอาฆาต เป็นคนที่ดูเหมือนเยือกเย็น แต่ ข้างใน ร้อนระอุเหมือนภูเขาไฟ ฉะฉานชัดเจนในคำพูด ไม่เกรงกลัวใครถ้าถูกล่ะก็คุณจะลุยหัวชนฝาที เดียว คุณเป็นคนที่ชอบวางฟอร์ม และอวดดีมาก ต้องปรับปรุง แต่ขณะเดียวกันคุณเป็นคนที่มีดีให้อวด มี ความมั่นใจในตัวเองและก้าวทุกก้าวของคุณจะสง่างาม เค้าบอกว่าบุคลิกภาพของคุณนั้นจะเป็น ผู้ชายที่ เชื่อมั่นในตัวเองสูง ท่าทีของการเดิน หรือการปกครองคนของคุณ จะมีมาดเป็นของตัวเองที่เป็นเสน่ห์ มาก บุคลิกภายนอกของหนุ่มราศีสิงห์ เค้าบอกว่าดูเหมือนใจดี แต่จริงๆแล้ว ชอบเผด็จการ เป็นผู้ยิ่งใหญ่ ได้ด้วยอารมณ์ร้อรแรงแบบจุดเยือกแข็ง ในขณะเดียวกันคุณเป็นผู้ชายที่มีจิตใจกว้างขวาง พร้อมที่จะโอบ อุ้มคนได้ ให้อภัยคนได้ แต้คุณเป็นคนที่ชอบคนที่รู้จักสำนึก กี่ครั้งกี่หนจึงจะพอ คุณเป็นผู้ชายประเภทเจ้าบุญทุ่ม กล้าได้กล้าเสียในเรื่องความรัก ถ้าคุณจะพิชิตใครแล้วหละก็ คุณจะวาง แผนอย่างแยบยลเลยทีเดียว เค้าเรียกว่า ส่งดอกไม้เช้าเย็นรับ ส่งดอกไม้เย็นเช้ารับ และคุณเป็น ประเภทขยันขันแข็ง พร้อมจะไปหาคนรักของคุณที่ว่า ช่วงนั้นหลั่งไหลมากเหมือนโดนของโดนเสน่ห์ ที่จริง ไม่ใช่หรอก อยากจะได้เค้ามาเป็นเจ้าของ อยากที่จะเอาชนะ ยิ่งถ้าคุณมีคู่แข่งล่ะก็คุณจะไม่ยอมแพ้ ฉะนั้นผู้หญิง ที่จะมาเคียงข้างคุณต้องเป็นผู้หญิงที่มีพลัง มีการวางตัวที่ทำให้คุณค้นหาอยู่ตลอดเวลา คุณชอบที่จะทายใจว่า เอ๊ะ...เค้าคิดอะไรอยู่น้า เค้าคิดอะไรอยู่ คุณเป็นคนที่ชอบให้ใคร ทิ้งปริศนาหัว ใจ ไว้ตลอดเวลา อย่าง เช่น เมื่อคืนนี้ไม่รู้ใครโทรมาหาฉัน เพราะต้องการแสดงให้เห็นว่า คนนี้มีใคร เป็นคู่แข่งคุณหรือไม่ ฉะนั้นถ้าเป็นผู้หญิง ประเภทไหนก็ตาม แต่ถ้าเป็นคู่รักของหนุ่มราศีสิงห์ พยายามเล่น สงครามจิตวิทยาอยู่เรื่อยๆ เค้าจะอยู่ในอุ้งมือคุณ ในขณะเดียวกันหนุ่มราศีสิงห์ที่จะล่าเหยื่อเลี้ยงเด็ก สาวๆ หรูหรา ใบหน้าคมคาย เป็นคนที่ชอบคุ้มครองปกป้องคนได้ และก็มีความเชื่อว่าผู้ชายหลายใจไม่ เป็นอะไรแต่ผู้หญิงหลายใจไม่ได้ เอ๊ะ...มันไม่ยุติธรรม ขณะเดียวกันใครก็ตามแต่ที่จะเป็นคนรักของหนุ่มราศีสิงห์จะต้องมีความมั่นใจว่าคุณสามารถให้สิ่งนั้นราบ คาบคุณได้ ด้วยการแสดงบทรัก หรือการเอาอกเอาใจ ผู้หญิงที่สามารถมีอำนาจและมีพลังให้หนุ่มราศีสิงห์ สยบได้นั้น ต้องเป็นผู้หญิงที่เก่ง และมีความคิด มันสมอง วาจา การพูดจาเยือกเย็นเชือดเฉือน และใช้ อารมณ์ของตนเองที่ไม่ร้อนนัก เมื่อเค้าร้อน แต่ว่าคุณสามารถสยบเค้าได้ด้วยพลังและความมั่นใจในตัว เอง คุณจะต้องเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างขาว ถ้าดำมืดแบบข้าวนอกนา เอาเป็นว่าค่อยๆมาค่อนๆทางขาวหน่อย แล้วกัน ชอบโรแมนติก กินอาหารได้ จำได้ว่าเค้าเกิดวันไหน คุณจึงเป็นผู้หญิงที่ต้องโฉลก ชะตากับหนุ่ม ราศีสิงห์



หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 24 ธันวาคม 2007 11:30:31
(16 สิงหาคม - 15 กันยายน)
สาวราศีสิงห์
คุณจะเป็นผู้หญิงที่แข็งแรงและมีพลังในดวงตาที่จะทำให้ผู้ชายมาสยบแสนเชื่อง และเชื่อฟัง ถ้าเขาจะรั้น เมื่อคุณใส่ร้ายเขาก็ต้องยอมคุณทุกครั้งไป พราะดวงชะตาของผู้หญิงราศีนี้ มีดวงอำนาจอยู่เป็นพลังล้นใน ใจ คุณจึงมีดวงเด่นมากไม่ว่าจะเป็นชีวิตด้านการงานก็ต้องรับรองว่าจะก้าวหน้า หรือมีพลังรุดหน้าไปไกล นิสัยไม่ชอบอยู่นิ่งเฉย ขวนขวายมากเป็นพิเศษ จึงมีความเด่นที่จะเป็นลูกน้องใครเขาก็รัก และชอบคุณ มากในฝีมือและความสามารถ จะอยู่ร่วม กับเจ้านายได้นั้นต้องวัดกันที่ฝีมือและความชำนาญ และความฮึด เป็นหลัก อาจจะท้อทอยบ่อยครั้ง ต่างมีพลังทิฐิที่จะเอาชนะอยู่ลึกๆ คุณจึงกำชัยได้ อย่าคิดมากประสาทกิน ให้ถือว่างานดีพลังดวงแรงเสริมอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของงานและความรักก็ตามรับรองได้ว่า ดวง ชะตาไม่มีวันที่จะตกต่ำได้เหมือนกัน เส้นทางของชีวิตจะเป็นผู้นำด้านความคิด ที่คนสนในบ้านให้ความเชื่อ ถืออยู่เสมอ โดยส่วนมากสาวราศีนี้มักจะเด่นด้านการงานที่เกี่ยวกับงานด้านศิลปะ หรืองานที่เกี่ยวกับเชิงศิลป์เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นวรรณกรรม หรือนักเขียนก็มีวันดังได้ หรือสาวที่ทำงาน เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ หรือ การได้แสดงความคิดเห้นของงานได้อย่างเต็มที่จะดีมาก ดวงดาวด้านการงานนั้นไม่มีดวงที่จะได้เป็น ราชสีห์นางสิงห์ ที่ต้องเดินวิจัยฝุ่นนานหรอก เพราะดวงการงานของคุณนั้นมั่นคงมาก และต่อไปข้างหน้าก็ มีดวงเป็นนักลงทุนได้เช่นกันสำหรับคุณ เสมือนดอกรักที่บานฉ่ำชื่นตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นคนวัยไหนความรักไม่เคนร่วงโรยรา มีแต่แน่นแฟ้น ตลอด สาวราศีนี้มีความรักที่ทรงพลัง และมั่นคงไม่มักมากหลายใจ แต่กำใจได้ หรือเป็นซูสีไทเฮาเหนือ สามีได ้จึงเลือกชายคนรักนั้นเป็นคู่ หนุ่มคนรักหรือชายที่พึงพอใจมักจะมีความคิดและเสน่ห์แรง แต่มาแพ้ ดวงอย่างคุณ น่ากลุ้มใจแทนหนุ่มคนนั้น เพราะความพ่ายแพ้ที่หาทางเอาชนะสาวเปรี้ยว ร่วมสมัยไม่นับวัย อย่างคุณได้ สาวราศีนี้ หากจะรักใครสักคนมาก จึงทำให้ชายในฝันของคนที่คุณรักอยู่ในลักษณะตัวเลือก ที่ มีคนหมายปองหลายคน แต่คุณสามารถกำชัยเขาได้ และสาวใดก็ตามที่เป็นนัมเบอร์ทูของหนุ่มใด หากเป็น ราศีนี้แปลกแต่จริง ไม่ต้องเชิญใคร มาท้าพิสูจน์รับรองได้ว่า เขารักคุณมาก แต่ปากแข็งยอมรับกับใครว่า คุณมีเสน่ห์ล้นจนเข่พ่ายแพ้ลงได้ ฉะนั้นจงอยู่เฉยๆ และหยุดนิ่งๆ จะเชือดคะแนนได้อย่างสบาย เป็นคนที่ชอบคนร้อนแรงและท้าทาย เป็นคนที่ตุณจะชอบลองดีเอาชนะเขาให้ได้ เพราะหากคุณคิดว่ าเขา จะต้องการคุณได้เสมอ หนุ่มในฝันของคุณเป็นหนุ่มที่ดูบางทีก็เฉื่อยเชื่องกับคุณ แต่เหลียวหลังโม้เป็นไฟ เหมือนกัน หากทำงานที่เกี่ยวกับด้านความคิดจึงจะเหมาะจะมีดวงไปไกลมาก อายุของสาวราศีสิงห์อย่าง คุณ หากหัวใจไม่ถูกซื้อไปเสียก่อนจากหนุ่มแฟนต่างชาติแล้วละก็ ไม่เกินสาวเกินอายุในช่วง 21-29 ปี คุณจะมีดวงได้คู่ตกอยู่ในห้วงรัด ที่ไม่มีวันถอดสลักออกได้อย่างแน่นอน และหากเลยวันที่กำหนดแล้ว คุณยัง ไม่มีดวงแต่งงาน นอกเสียจากรักกันมั่นคงเข้าใจ เป็นชู้ทางสายตาและหัวใจเท่านั้นพอ อักษรคนรักที่ เสริมดวงเฟื่องดาวมาก คือ ก,อ,ด,ช,พ,ป,ณ รับรองว่าเจ๋งจริงๆ



หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 24 ธันวาคม 2007 11:30:54
(16 กันยายน - 15 ตุลาคม)
หนุ่มราศีกันย์
ผู้ชายราศีกันย์อย่างคุณเป็นผู้ชายธาตุดิน เป็นเจ้าแห่งวิชาการข้อมูลและตั้งบบทัดฐานที่ถูกต้อง คุณเป็นคน หัวสูงมาก ในขณะเดียวกันทั้งสูงและเป็นคนที่มีรสนิยมในตัวเองที่ละเอียดรอบคอบมาก ฉะนั้นการทำงาน อะไรก็ตามแต่ของคุณ จะต้องวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบตั่งแต่เล็กๆ มักมองโลกด้วยสายตาแห่งความ จริง ไม่ใช่หนุ่มนักฝันเลยสักนิดเดียว เป็นคนคิดเล็กคิดน้อน บางครั้งดูเหมือนว่าเป็นคนเห็นแก่ตัว นัก อนุรักษ์นิยมตัวยง ประหยัดไปหมดทุกเรื่อง จิตใจของคุณ มีความละเอียดซับซ้อน ภายใต้ท่าทางเข้มงวด ของคุรและเจ้าระเบียบเกินไป บางครั้งทำให้คนรอบข้างเบื่อหน่าย น่ารำคาญ หลายคนมองว่าคุณมีจิตใต คับแคบ แต่จริงๆแล้วคุณเป็นคนรู้จักใช้ รู้จักสร้างเนื้อสร้างตัว และไม่ชอบรบกวนใจใครเลย ขณะเดียว กันคุณเป็นคนที่จะรักใครก็ตาม แต่เชื่อว่าคุณต้องพร้อมที่จะเข้าสู่ชีวิตในความรัก คุณจึงตัดสินใจ ถ้าคุณไม่ พร้อม คุณจะรู้สึกว่าคุรจะไม่สร้างพันธะให้เกิดควมกลุ้มอกกลุ้มใจตัวเองอย่างเด็ดขาด คุณจะรักความ สะอาด และชอบความละเมียดละไม ชอบคนที่พูดจาอะไรต่างๆก็ตามแต่อย่ากระโชกโฮกฮากด้วย คุณเป็นคนที่ไปเรื่อยๆ และจะชอบใครก็ตาม แต่ก็ไว้ฟอร์มมากจนเกินไป จนผู้หญิงยังสงสัยว่าเอ๊ะคบมา 3 ปีแล้ว เมื่อไหร่จะขอแต่งงาน หรือบอกรักซักที คุณคิดว่าคำว่ารักเนี่ยบอกได้เป็นพันครั้ง ถ้าไม่จริงใจล่ะก็ ไม่หลุดออกจากปากอย่างแน่นอน เพราะคุณเป็นคนจริงจัง เพราะคำว่ารักมีความหมาย คุณเป็นคนเจ้า ระเบียบจึงมีผู้หญิงมากมาย ผู้หญิงที่อยู่ในรสนิยมของคุณ ต้องเป็นผู้หญิงที่ไม่กร้าวร้าวต่อผู้ชายที่เป็นคู่ครอง ให้เกียรติ และประนีประนอมยอมได้กับคำว่าให้อภัย?และเป็นพลังในความคิด ความอ่านในเรื่องต่างๆได้ เป็นแม่บ้านที่ดีได้ เป็นแม่ที่ดีของลุกได้ ไม่ชอบผู้หญิงช่างเที่ยวเตร่ ผู้หญิงช่างเพ้อฝัน ฟุ่มเฟือยมากเกินไป ที่คิดว่าคุณคงจะซัพพอร์ทเค้าไม่ไหวม่ คุณชอบผู้หญิงที่รักธรรมชาติ และปลูกต้นไม้ ดูแลตัวเองตั่งแต่ปลายเส้นผมจนถึงปลายเท้า ชอบผู้หญิงสะ อากสะอ้าน ดวงชะตาของใครก็ตาม ที่จะมาเป็นคู่ของผู้ชายราศีกันย์นั้น จะต้องหมั่นจำวันสำคัญๆของผู้ ชายคนนี้ให้ดีว่ าเป็นวันเกิดหรือวันแรกพบกันครั้งแรก หรือวันวาเลนไทน์ วันปีใหม่ วันสำคัญเหล่านี้ผู้ชาย ราศีกันย์ช่างจดช่างจำ ผู้ชายราศีกันย์เป็นผู้ชายที่นิ่ง บางทีเราไม่รู้ว่าเค้าปรารถนา ถ้าคุณจะรักกับผู้ชายราศีกันย์ล่ะก็คุณจะต้อง ไปเซ้าซี้เค้า จะต้องดูอารมณ์ ผู้หญิงที่มีความสะอาดอยู่และให้กำลังใจดี ทำตัวให้เป็นที่ไว้ใจได้ จึงเป็นผู้ หญิงที่เกื้อกูลผู้ชายราศีกันย์กับราศีมังกรดี ราศีพฤษก ราศีกันย์ ราศีมีน ราศีกรกฎ นี่คือ ผู้หญิงที่เป็นคู่แท้ ของผู้ชายราศีกันย์


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 24 ธันวาคม 2007 11:31:12
(16 กันยายน - 15 ตุลาคม)
สาวราศีกันย์
คุณเป็นคนที่ออดอ้อนอ่อนหวาน และน่ารักน่าชังเป็นที่สุด มีความเข้มแข็ง และพลังอำนาจเจือปนในสายตา ที่เยิ้ม แต่แฝงความเด็ดขาดไว้ ในดวงตาอย่างมั่นคง สาวราศีนี้เป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในเรื่องของการ งานมาก และชอบต่อสู้ทุกรูปแบบ เพื่อการเรียนรู้สู่จุดหมายที่แอบวาด นึกเนรมิตจะฝันไว้แล้วในใจคุณ คุณ จึงเป็นคนที่มีขั้นตอนในการก้าวไปสู่ความสำเร็จ ในชีวิตอย่างมีจุดหมายและปลายทาง ค่อนข้างชัดเจน และแน่นอน เป็นผู้หญิงที่มีจุดเด่น ไม่ใช่คนสวยหรือจีดชืดไปหมดเลยทีเดียว แต่เป็นคนที่เด่นและมีความ เก่งในตัวมันเอง อย่างน่าหลงใหล สาวราศีนี้หากไม่ชอบพอกหน้าทาปากจนเกินงาม แต่ชอบสวยอย่าง ธรรมชาติ แต่สะะดุดตาเป็นหลัก มีวิะมัดใจชายคนรักได้อย่างที่ชายหลุดจากห้วงเสน่ห์ยากมากเช่นกัน หรือมอดง่ายหรอก คุณเป็นคนที่ไฟสุมทั้งดวง อยู่ตลอดเวลา จึงมั่นใจได้ว่าเป็นคนที่มีความสำเร็จในดวง ชะตาด้านการงาน อย่างรวดเร็วคนหนึ่ง หรือจะมีโอกาสเติบโตได้เร็วมาก หากรับราชการก็เอาตัวรอด และก้าวหน้าอย่างไม่อืดอาดยือยาด หากรับจ้างทำงานเป็นสาวออฟฟิศ ก็เป็นคนที่มีไฟแรงมากคนหนึ่ง เหมือนกันในขบวนคนร่วมงานด้วยกัน และสวรรค์แห่งดวงดาของคุณนั้น จะเป็นคนที่ทดลองจิตใจ อยู่ทั้งใกล้และไกลกันจนมั่นใจแล้ว คุณจึงยอม มอบถอดหัวใจให้เขาไป มิฉะนั้นไม่มีวันที่จะให้หัวใจใครไปครองง่าย ชอบผู้ชายที่เป็นผู้นำการงานนอก บ้าน แต่ยอมอยู่ในบ้านให้เชื่อฟังและรับฟังคุณ คุณจึงจะสมใจนึกที่ปรารถนาไว้ ดวงของคุณคนรักไม่ค่อยจะ นอกใจคุณง่ายๆ แต่พอเผลอไม่ได้ชอบหยอกหลอกเขาเล่นอยู่เรื่อยร่ำไปเหมือนกัน หนุ่มคู่ควงคนรักที่จะกำ หัวใจคู่กัน ควรจะเป็นคนที่มีลักษณะ ผิวสองสีค่อนข้างคล้ำกว่าคุณ รูปร่างสูงหรือสันทัด แต่หากเตี้ยกว่าคุณ หมดสิทธิ์กำหัวใจคุณอย่างแน่นอน อายุจะมากกว่าคุณตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป และห่างกันไม่เกินรอบ จะอยู่กันได้ ตลอดชีวิตจนกว่ายมบาลจะมาลากพรากจากกันไป 24-32 ปี เป็นช่วงที่มีคู่แต่งงานแล้ว ไม่มีดวงหย่าร้าง หากแต่งก่อนหรือหลังนี้มากไป ก็เข้าสู่คานทอง คะนองเดช หรือเข้าสู่ทำเนียบกระดังงาลนไฟ ต่อไปอีกแน่นอน ผ่าดวงชีวิตคู่ของสาวราศีกันย์แล้วจะพบ ว่า เป็นคนที่มีความอ่อนหวาน และคารมชนะ กำหัวใจผู้ชายได้อย่างเก่งมาก และหากจะถามถึงอักษร ดวงคู่ หรือคู่ครองที่เหมาะสมกับ ชะตารักของสาวราศีนี้ คิดว่าควรจะมีตัวอักษรพ,ค,จ,ส,ก,ร, หรือ น ผสมในชื่อหรือนำหน้าดีมากและจะอยู่กันได้ ด้วยความมั่นคงด้วยอารมณ์ที่โรแมนติกตลอดห้วงลมหายใจของ คุณ



หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 24 ธันวาคม 2007 11:31:36
(16 ตุลาคม - 15 พฤศจิกายน)
หนุ่มราศีตุลย์
ผู้ชายราศีตุลย์เป็นผู้ชายธาตุลม มีความเปลี่ยนแปลงในตัวเองสูงบางคนก็เจ้าอารมณ์หลงตัวเองสูง และ เป็นคนที่เชื่อมั่นว่า คุณเป็นผู้นำที่ได้รับการยอมรับจากสังคมคนรอบข้าง แต่ในบางทีในเรื่องของความรัก คุณต้องยอมรับว่า คนรักของคุณไม่ใช่เพื่อน ฉะนั้นเค้าต้องการการประนีประนอม การยอมรับ การเทค แคร์เอาใจใส่ ผู้ชายราศีตุลย์อย่างคุณเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์มาก รักจะชอบใครสักคน ก็จะทุ่มเทเอาอกเอา ใจมาก เป็นคนขี้เหงา ในขณะเดียวกันผู้ชายราศีตุลย์อย่างคุณนั้นบอบบางด้านอารมณ์ เจ้าคิดเจ้าแค้น และเป็นคนที่จำได้ว่า ใครพูดอะไรกับคุณไว้ ทำให้คุณเจ็บ คุณจะต้องพยายามเอาชนะได้ เที่ยงตรง ยุติ ธรรม และเป็นคนที่ชัดเจนในตัวเอง เป็นคนที่มีหัวศิลปะ ไม่ชอบใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย แต่มีรสนิยมที่ชัดเจน อยากจะซื้ออะไรขึ้นมาชิ้นหนึ่ง คุณต้องคิดว่าใช้ได้ดี ใช้ได้ตลอด ถึงแพงก็ยอมซื้อ แต่ถ้าใช้ได้ไม่ดี แบบว่า ทันยุคทันสมัย หรือเป็นคนตามแฟชั่น ไม่ใช่ลักษณะของผู้ชายราศีตลย์ เที่ยงตรงและชอบความเป็นสัดส่วน ของตัวเองอย่างลงตัว สุภาพ เรียบร้อย อ่อนน้อม บุคลิกที่ชัดเจนของตัวเอง ลังเลที่จะจีบใครสักคนหนึ่ง ก็กลัวว่าจะพ่ายแพ้อย่างคุณ คุณเป็นผู้ชายที่สับสน ในเรื่องของความรัก บางที ความรักกับความใคร่และความเมตตา 3 แบบ 3 อารมณ์ คุณก็ยังแยกไม่ออก ทำให้คุณสับสน แม้จะมีคู่ ครองแล้ว ลูกออกม 2 คนแล้ว ก้ยังคิดว่าเราหลงทางมาแต่งกับคนนี้ได้ยังไง เพราะคุณเป็นคนที่ไม่รู้จัก ตัวเอง ไม่ค้นหาตัวเองได้อย่างชัดเจน แม้ว่าจะมีความรับผิดชอบ แต่คุณก็มีทำนบที่ชัดเจนว่าแค่ไหน อันตรายนะ อย่าทะเลาะ เบาะแว้งกัน เอะอะอาละวาดขึ้นมาล่ะ ก็ความแตกแยกหย่าร้างจึงเกิดขึ้นมา ได้ง่าย คุณชอบผู้หญิงที่พูดจาไพเราะน่าฟัง มีหัวศิลปะเหมือนคุณ และชอบรำพึงรำพัน และรับฟังความคิด เห็นของคุณได้เพราะว่าความคิดเห็นของคุณ บางครั้งนั้นผิด คุณไม่ชอบใครที่มาแย้งคุณทันที เพราะคุณคิด ว่านั่นไม่ใช่ผู้หญิงที่จะอยู่เคียงข้างคุณ


(16 ตุลาคม - 15 พฤศจิกายน)
สาวราสีตุลย์
ผู้หญิงที่เกิดราศีนี้จะเป็นคนที่ชอบความยุติธรรม และเป็นคนที่ใจคอกว้างขวาง จิตใจไม่แคบมีเพื่อนฝูง เยอะ มีสมาคม สังสรรค์อยู่เนืองนิจ ดวงชะตาชีวิตของคุณ ส่วนมากสาวราศีนี้ ดวงครอบครัวที่คุณเติบโต มาค่อนข้างแตกแยกกัน หรือ มีปัญหาให้คุณหวาดกลัวในการใช้ชีวิตคู่เป็นอย่างมาก เพราะดวงชะตาของผู้ หญิงราศีนี้ เป็นคนที่ชอบคาดมองการณ์ไกลซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่บางทีก็เกินไป เป็นคนที่ทรนงเย่อหยิ่ง มักจะ เลิกกับสามี เพราะศักดิ์ศรีที่เกินขอบเขตและมากเกินไปเช่นกัน ดวงชะตาของคุณ หากไม่ปรับโวลล์ของ กระแสไฟทิฐิลงบ้าง จะเข้ากับชีวิตคู่ยากมาก หรือมีดวงคู่แท้ ที่คิดว่าจะมอบรักปักไว้อย่างแน่นเหนียวนาน ได้ยากเหมือนกัน กล่าวได้ว่าหากใครเป็นสาวราศีนี้ ด้านอื่นๆดีหมดเหมาะกับดวงชีวิตและชะตาอยู่แล้ว แต่ด้านที่หวาดกลัว และห่วงใยเป็นอย่างมาก ก็คงจะเป็นเรื่องของด้านแรงทิฐิ หรืออาฆาตทางใจของคุณ นั่นเอง มีดวงเป็นเจ้าของกิจการหรือทำงานอย่างอิสระ ได้รับมอบความไว้วางใจ เป็นอย่างมากจากเจ้านาย เป็นหลัก หากทำธุรกิจเองเกี่ยวกับโรงงานหรือของหนักๆ และที่ดินไว้จะดีมาก และเสริมดวงเด่นดาว ชะตาราศีของคุณมากเหมือนกัน บนเส้นทางของผู้หญิงราศีตุลย์นี้ หากเป็นนักแสดงและศิลปิน ดวงความดัง จะมาแรงและดับเร็ว เพราะอารมณ์ต้องระวังเป็นที่สุด ฉะนั้นช่วงน้ำขึ้นต้องรีบตักเอาไว้เป็นดี เนื่องจาก เป็นคนที่จริงใจและจริงจัง จึงมีบ่อยครั้งที่มักจะเจอะเจอปํญหาในหน้าที่การงานให้หนักอกหนักใจ เพราะ คนริษยา แต่ไม่สามารถทำลายให้คุณล้มเหลวลงได้อย่าหวั่นใจ หากคุณไม่มีไฟอารมณ์มาเผาผลาญมาก จน กลายเป็นสงครามอารมณ์ไปได้ และมีปริญญาเป็นใบค้ำประกัน คุณจึงจะหันไปเหลียวมอง เนื่องมาจากว่า คุณเป็นคนที่มีความเชื่อมั่น ใน เรื่องของหน้าตาและศักดิ์ศรีเป็นสำคัญ บางทีคุณไม่สามารถที่จะเลือกชายในฝัน หรือคู่แท้คนแรก ได้เลยที เดียว จึงมักกล่าวได้ว่า โดยส่วนมากแล้วคู่แท้ ดวงคนรักของหญิงราศีตุลย์นี้ จะเป็นคนที่คุณเลือกแต่งงาน ครั้งที่ 2 ขึ้นไป จึงเป็นดวงคู่แท้ของชีวิตคุณจริงๆ ยิ่งเป็นคนที่แต่งงานอยู่ร่วมกัน เพราะดวงเป็นม่าย เหมือนกัน ซึ่งคู่แล้วยิ่งดูเสริมกันยิ่งใหญ่ สำหรับผู้หญิงราศีตุลย์นี้หากสาวราสีตุลย์วัยยังไม่ตกกระ หรือยังมี ความสดใสของหยดน้ำค้างอยู่มาก ก็สามารถ จะเล่นกับไฟอารมณ์ชีวิตคุณได้ แต่หากเขี้ยวหลุดหรือลากลง เมื่อไหรแล้วละก็ คุณจะต้องใช้ความเยือกเย็น และมัดใจ เขาคนที่คุณรักด้วยความเข้าที่เหมือนกัน จึงไม่ ใช่เรื่องแปลกที่สาวราสีตุลย์อย่างคุณ จะอกหักสักครั้งเมื่อเข้าสู่วัยสาวและได้คู่แท้ เมื่อเข้าสู่วัยกำลังบาน หรือสะพรั่งหอมกรุ่น หรือรักอย่างปักใจมอบถวายตัวได้อยู่ในช่วงอายุ 18-27 ปี ช่วงนี้สาวราสีตุลย ์จะต้องตกอยู่ในภวังค์ของ ความรักที่ฉ่ำหวาน และอกหักแยกทางเป็นส่วนมาก หรือถูกขอตัวไปชั่วคราว จากไม่ผู้ประสงค์ออกนามมา แย่งไป และหลังจากนั้นฟ้าจะสาง สำหรับอักษรของคู่ครอง ที่เสริมดวงรักของคุณ เป็นอย่างมากมีตัว ว, ป,ก,ถ,ณ,ช,ส นำหน้าหรือผสมชีวิตคู่จะไม่ยอมทุกข์แน่นอน


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 24 ธันวาคม 2007 11:31:51
(16 พฤศจิกายน - 15 ธันวาคม)
หนุ่มราศีพิจิก
ผู้ชายราศีพิจิก เป็นผู้ชายธาตุน้ำ เขาบอกว่าชีวิตพเนจรดิ้นรนต่อสู้ตั่งแต่วัยเยาว์ สร้างตัวเองด้วยความ สามารถ จึงมี ความเชื่อมั่นในตนเอง และมีความมั่นใจในการตัดสินใจ ในบางครั้งมันเป็นความมั่นใจใน การเผด็จการฉะนั้นต้องแยกอารมณ์ว่า เรื่องของการงาน การปกครอง ก็อาจจะใช้บารมีและอิทธิพลได้ ในเรื่องของความรัก ต้องใช้เหตุผลอันนี้สำคัญมาก ผู้ชายราศีพิจิก บางครั้งไร้เหตุผล เจ้าอารมณ์ และ ขณะเดียวกันเป็นคนื่ดี ใจกว้าง โกรธง่าย หายเร็ว แม้ฉุนอะไรก็ตามแต่ คุณเป็นคนที่ รับผิดชอบชีวิตส่วน ตัว การมีครอบครัว และการงานชอบพูดชอบที่จะบอกคนอื่น มากกว่าที่จะให้ใครมาสั่งสอนคุณ คุณเป็นคนที่ เชื่ออะไรก็ตาม จะฝังใจรักใครรักจริง เอาจริงเอาจัง เวลาโกรธขึ้นมาละก็ ลุยจริงเหมือนกัน เสน่ห์ ของคุณ คุณจะไม่แคร์สายตาใครทั้งสิ้น เขาเรียกว่าคุณเป็นคนที่เรียกร้องความต้องการสูง การเอาอก เอาใจคุณ การสนใจสูง คุณเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตนเองว่า พลังและความคิด มันสมองของคุณนั้น สามารถสะกดให้คนรอบข้างสยบคุณได้ จิตใจของคุณและพลังวิญญาณของคุณมีลางสังหรณ์ที่ดี ฉะนั้นคู่ครอง ของคุณจึงต้องสอดคล้องกันด้วย มีความชอบในสิ่งที่คล้ายกัน ชอบการพักผ่อนท่องเที่ยวเป็นอารมร์ กิจการ ของตัวเองคุณทำได้ดี เพราะคุณเป็นคนที่มีความคิดวางแผน แม้ว่าบางครั้งคุณเป็น คนที่ชอบพูดจาอะไรก็ ตาม โผงผาง จิตใจของคุณพิสูจน์ได้ คุณเป็นที่ใครก็ตาม จะหึงอย่างร้ายกาจน่ากลัว เห็นแฟนเดินมากับใครก็ตามแต่ คุณจะพุ่งเข้าไปทันทีเลย เข้าใจผิดว่า เขาเริ่มปันใจให้คนอื่น ตรงนี้ต้องระวัง เพราะถ้าเป็นแฟนเขาก็มีสิทธิที่จะคบเพื่อนบ้าง หรือมีสิทธิที่จะมีคนมา เปรียบเทียบบ้าง ถ้าคุณแน่จริงละก็ คุณจะต้องไม่ใช้อารมณ์ ต้องพยายามคิดว่า ความสุขของคุณนั้น ต้องยอม เสียสละบ้างบางส่วนเพื่อให้แฟนของคุณ หรือคนรักของคุณว่าคุณแฟร์สำหรับ การใช้ชีวิตที่เป็นคนรัก หรือคู่รักกันย พลังของความคิดของคุณนั้นเป็นคนที่มีตาที่ว่องไวมาก เสน่ห์เจ้าชู้จัด แต่เป็นคนที่เจ้าชู้ ที่ใช้ตาเป็นลูกล่อ ลูกชน เขาว่าดวงตาของผู้ชายราศีพิจิก เป็นดวงตาที่ซุกซนมาก และเป็นดวงตาที่เจ้าเล่ห์ และก็มักมาก ทางกามารมณ์ในบางครั้ง พูดจาอะไรก็ตามแต่คุณมีความคิดของคุณว่าชอบยั่วยวน บางครั้งปั่นอารมณ์ของ คนอื่นให้เขาขั้นแล้ว คุณก็อยู่เฉยๆ อย่างนี้น่ากลัว เขาบอกว่ามันอันตราย พูดจาตรงไปตรงมาและมีเหตุ ผลชัดเจน ผู้หญิงสมัยนี้จึงชอบคุณว่าเป็นคนที่คบได้ โผงผางเอาจริงเอาจัง เป็นมนุษย์พิเศษที่คุณเข้าไป เกี่ยวข้องผูกพันกับใครก็ตามแต่ คุณจะรู้สึกว่าผู้หญิงจะชอบ และจะรักคุณหลงใหลในความเป็นคนเจ้าเสน่ห์ ของคุณอย่างน่ามหัศจรรย์ ผู้หญิงที่จะเป็นคู่ครองกับคุณได้ และเป็นราศีแห่งเสน่ห์ที่เกื้อกูลและสร้างฐานะ ได้ คนรักที่ดีนั้นผู้หญิงที่ห้าวหาญ ทำงานได้ดีมีเหตุผลและเกื้อกูลกันได้ เขาเรียกว่า ยามคุณร้ออน เขา เย็น ยามคุณเย็นเขาก็กระตุ้น ผู้หญิงราศีมีน ราศีกรกฎ ราศีพิจิก ราศีมังกรราศีพฤษภ คุณชอบมาก และผู้หญิงที่คุณคิดว่า ต้องโฉลกกับคุณ มากและ นี่คือทำนายของผู้ชายราศีพิจิก แมงป่อง


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 24 ธันวาคม 2007 11:32:38
(16 พฤศจิกายน - 15 ธันวาคม)
สาวราศีพิจิก
หากเกิดมามีบุญผู้หญิงราศีพิจิกนี้ละก็ จะเป็นผู้หญิงที่มีอำนาจและพลัง เสน่ห์เป็นอย่างมาก มีความสามารถ เก่งกาจ และเสริมดวงคู่อย่างชัดเจนคนรักไม่สามารถขาดคุณได้มากกว่าอื่นใด สาวราศีพิจิกนี้เป็นผู้หญิงที่ มีอารมณ์ร้อนแรง แต่ล้นเสน่ห์หมายความว่าคุณเป็นคนที่มีเสน่ห์ และความสามารถที่เป็นคู่ทุกข์คู่ยากกับสามี ได้ อย่างไม่มีวันทิ้งคุณ นอกเสียจากคุณจะเชิดใส่ สาวราศีนี้มักเป็นคนไม่ค่อยแคร์เรื่องความรัก เพราะ เป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์แรงล้นดวงเป็นอย่างมาก จึงอาจกล่าวได้ว่าหากผู้หญิงราศีใดก็ตามมาท้าพนันแย่งผู้ชาย มาครองกับสาวรานี้แล้วละก็รับรองว่า ผู้หญิงราศีอื่นๆ จะพ่ายแพ้อย่างคุณแน่นอน เพราะดวงชะตาของผู้ หญิงราศีนี้ใครก็ตามที่อยู่ใกล้จะพากันหลงรัก และหลงใหลอย่างมากเลยทีเดียว และมีดวงชะตาที่ก้าวหน้า ไม่มีวันตกต่ำทั้งเรื่องฐานะและชีวิตรักด้วยห คุณจึงมักเป็นคนที่ชอบผู้ชายที่บ้างานเพียงอย่างเดียว แต่ไม่มีความอ่อนหวาน เอาใจคุณเลย หากสาวราศี นี้จะหย่าร้างกับสามี ก้คงจะเป็นเรื่องความอบอุ่นที่ได้รับไม่คงที่ เสียจนคุณเซ็งเขาไปเอง ผู้หญิงสาวราศี นี้จึงมักเป็นคนที่มีความเชื่อมั่น ดื้อรั้น ชอบเอาชนะคู่ครองเสมอ และมีพลังเสน่ห์อย่างหนึ่งในกายที่จะทำ ให้ผู้ชายสยบไว้กับชีวิตคุณ ดวงเกณฑ์คู่ครองของสาวราศีนี้ หากอายุของคุณตุ่งแต่ 26-35 ปี คุณจะแต่ง งานหรือมีครอบครัวเป็นช่วงดวงดีและถาวรมากสำหรับชีวิตคุณ สาวราศีนี้เป็นผู้หญิงที่มีความเด่น และชอบ ตัดสินใจเองอะไรยิ่งใครห้ามมากๆจะยิ่งกลายเป็นเรื่องยุใหญ่สำหรับคุณ จึงเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์ และ เชื่อมั่นเก่งกาจกับความรัก และชีวิตคู่มาก และมักจะเป็นคนที่มีความสามารถ ในด้านการงานเกี่ยวกับเครื่องใช้ของสวยงาม หรืองานเกี่ยวกับเพชร พลอย ออกแบบเป็นหลักจะดีมาก หากเป็นดาราก็จะแจ่มฟ้ามาก ก็จะเป็นคนที่มีเสน่ห์ที่คนติดใจและประทับ ใจมากอยู่แล้ว ดวงชะตาของผู้หญิงราศีนี้ในเรื่องการงานต้องพัวพันเกี่ยวกับสิ่งสวยงาม หรือการออกแบบ จะดีมาก ชายที่คุณคิดว่าเป็นคู่แท้ของสาวราศีนี้ที่จะอยู่ร่มกันอย่างไม่มีวันเลิกรา หากมีกิจการของตัวเอง หรือใน อาชีพ สายงานเดียวกัน จึงจะเป็นที่ชื่นชอบ ชอบผู้ชายที่มีพลังอำนาจ มีกิจการตนเอง หรือในเครื่องแบบ เป็นหลัก รูปร่างดูแล้วอบอุ่นคุ้มครองคุณได้ คุณจะหลงใหลมากเป็นพิเศษ อายุมากกว่าคุณอย่างแน่นอน เพราะสาวราศีนี้ไม่ชอบประเภทอ่อนหัดหรือกว่าจะรู้เดียงสา ชอบประเภทดูดวงตา แล้วเข้าใจ ถึงหน้า ต่างของหัวใจเสียมากกว่า อักษรของชายคู่ดวงแท้คนรักควรจะมีตัว ส,ช,ฐ,ณ,ถ,อ,ก ไว้ในชื่อหรือนำ หน้า


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 24 ธันวาคม 2007 11:32:59
(16 ธันวาคม - 15 มกราคม)
หนุ่มราศีธนู
ผู้ชายราศีธนูเป็นผู้ชายธาตุไฟ อย่างคุณเป็นคนที่มีเสน่ห์ คบง่าย เข้ากับคนได้ทุกระดับทุกชั้น เป็นคนช่าง พูดช่างคุยเฮฮา บางทีสนุกสนานไปได้ทั้งวัน เป็นหนุ่มโจ๊กเรียกหัวเราะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า มาแต่ไกล เป็นนัก สันทนาการชอบที่จะเทคแคร์เอาใจ และดูแลมาก เป็นสจ๊วตดี เป็นมัคคุเทศน์ ดีมาก จริงใจในการที่จะดู แลเอาใจใส่ใครก็ตาม แต่ที่ยากลำบาก เสียสละบางครั้ง มากจนเกินไป ทำให้ครอบครัวพินาศได้ เพราะว่ารักเพื่อนมากกว่ารักภรรยานะ อันนี้อันตราย ในขณะเดียวกันคุณเป็นคนที่มีความชัดเจนในการ กีฬา รู้แพ้รู้ชนะรู้อภัย ไม่เว้นแม้แต่เรื่องรักนะ ถ้าพิสูจน์กับใครแล้วว่า คุณไม่ชนะเขาคุณจะยอมหลีกทาง ให้ทันที เขาเรียกว่าไม่เสียดาย ที่จะบายมือให้คนต่อไป เขามาแข่งขันต่อ คุณเบื่อคนที่พูดมาก ช่าง วิจารณ์ขณะเดียวกันก็ถนอมน้ำใจ ให้เวลาเขาในการปรับตัว มีโลกทัศน์ชัดเจนเป็นของตนเองว่า คนทั่ว ไปไม่มีใครอยากจะเลว คุณจึงให้โอกาสคนอยู่เสมอ ชอบเลี้ยงเพื่อนฝูงอยู่ตลอดเวลา อันนี้อันตรยเหมืน กัน ถ้ามีแฟนแล้วต้องอธิบายให้เขาเข้าใจ หรือดึงเขาไปร่วมสรวลเสเฮฮา ให้เขารู้สึกว่าเป็นธรรมชาติ ธรรมดาของคุณนะ เขาจึงปรับตัวได้ คุณเป็นคนกระตือรือร้น ใจจดใจจ่อในการทำงานอะไรก็ได้พลัง ทรหด เบิกบาน สำราญ อยู่ตลอดเวลา ตรงไปตรงมา วาจาคำพูดของคุณบางที บอกว่า เอ๊ะ...นี่พูด จริงรึเปล่านะ เขาจับไม่ได้ว่าตรงไหนจริงตรงไหนเล่น มีลางสังหรณ์ที่แม่นมาก เป็นผู้นำของคนก็ได้ ปก ครองคนได้ด้วยบารมี และความใจดีของคุณ เขาบอกว่าผู้หญิงที่จะมาชอบผูชายธนู ต้องเป็นผู้หญิงที่คุณคิดว่าเขามีพลังและมันสมอง ความคิด ไม่จำเป็น จะต้องมีดีกรีมากมาย เป็นถึงด็อกเตอร์ หรือปริญญาโทแต่มีความคิดความอ่านให้ใจอ่อนโยน เข้าอกเข้า ใจคนได้ มีความเมตตา คุณชอบผู้หญิงที่มีน้ำใจ ถ้าคุณเห็นว่าผู้หญิงมีน้ำใจกับคนนั้นคนนี้ โดยไม่หวังอะไร ล่ะก็ นั่นล่ะเสน่ห์ ที่จะมัดใจคุณให้ตรึงตาตรึงใจ คุณชอบคนที่มีความชัดเจนในตัวเอง คนที่เอาอกเอาใจ ในตัวเอง คนที่เอาอก เอาใจได้แต่ต้องมีเหตุผล ไม่ใช่ฉอเลาะจนน่ารำคาญ คุณไม่ชอบใครมาจู้จี้จุกจิก แต่ขณะเดียวกัน คุณก็ชอบ แลกเปลี่ยนความคิดสนทนาอารมณ์ได้ ผู้หญิงทั่วไปต้องรูปร่างบาง ถ้ากลมอ้วน ล่ะก็เขาจะเบื่อทันที คุณชอบความสวยที่มีลีลา ไม่ว่าเราจะอวบอั๋นอย่างไรก็ตามแต่ ถ้าคุณมีแฟนเป็นชาว ราศีธนูล่ะก็ คุณจะต้องรักษาลีลาตัวเอง เช่น แต่งตัว หรือทำอะไรก็ตามแต่ที่มันลงตัว และมีเสน่ห์เป็น ของตัวเองอย่างชัดเจน มิฉะนั้นแล้วเขาจะรำคาญ กับการอืดอาดของคุณ ความรักของผู้ชายราศีธนู ชอบผู้หญิงที่มีความคิดอ่านในเรื่องของธรรมชาติ และมีความเมตตา ต่อสังคม คนรอบข้าง คนด้อนโอกาศกว่า ใครก็ตามที่ชอบดูถูกคน หรือทะเยอทะยานมากเกินไป ผู้หญิงแบบนี้แหละที่ จะอยู่ร่วมกันได้ เพราะคุณเป็นคนที่ชอบผู้หญิงที่รู้จักมีเหตุผล ให้อภัย ซื่อสัตย์ เปิดเผย เป็นผู้ใหญ่ตามอายุ ไม่วิตกจริตมากเกินไป และนี่ก็คือคู่แท้ของผู้ชายราศีธนู


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 24 ธันวาคม 2007 11:33:11
(16 ธันวาคม - 15 มกราคม)
สาวราศีธนู
ผู้หญิงที่เกิดราศีธนูนี้ มักจะเป็นคนที่ค่อนข้างเฉยนิ่งและดูเฉื่อนเงียบ แต่มีความสามารถที่รู้เท่าทันคนทุก อย่าง เพียงแต่ว่า เป็นคนที่ไม่ช่างพูดช่างจำนรรจาเท่านั้นเอง โดยทั่วไปกล่าวไว้ว่าคุณเป็นคนที่มักจะ ชอบงานที่เกี่ยวกับตัวเลข หรืองาน ทางด้านทางวิชาการเป็นหลัก หากจะคิดลงทุนทำกิจการอะไรก็ตาม คุณจะเป็นคนที่ค่อนข้างปอดแหกพอสมควรผู้หญิงราศีนี้เป็นคนที่ชอบงานทรงเกียรติหรือมีคุณค่าในการสร้าง สรรค์พัฒนาสังคมได้เป็นส่วนใหญ่ จึงเหมาะมาก ในการที่จะทำงานเกี่ยวกับด้านนักประชาสงเคาระห์หรือ งานที่เกี่ยวกับทางด้านการได้อยู่หรือช่วยเหลือคน เช่น ครูบาอาจารย์ หรือหมอ พยาบาลถึงจะดีกับดวง ชะตาของคุณมากเป็นพิเศษ ซุกซนจะตายไป แต่ไม่แสดงออกอย่างเด่นชัดเหมือนคนอื่นๆ ผู้หญิงที่เกิดราศีนี้ จึงมักจะแอบชอบผู้ชายอยู่ ในใจ จนกระทั่งขอให้ฉัตรชัยช่วยร้องเพลงสิ่งที่อยู่ในใจบอกให้เขาทราบ เขาจึงจะทราบว่า หัวใจคุณ เริ่มรักใครเข้าแล้ว ดวงดาวของความรักเป็นความรักที่อยู่ในช่วงความหลงใหลในขั้นตอน ของวัยกำลัง ผลิบานสาวสวย และเริ่มเข้าใจในความรักในช่วงอายุคู่ครองเข้ามาซ้อนดวงชะตาของคุณ หากคุณเป็นผู้ หญิงราศีนี้ ดวงชีวิตคู่และดวงแต่งงานที่เหมาะสมกับดวงชะตาและวัยเสริมดวงของคุณ ควรแต่งงานใน ช่วงอายุตั่งแต่ 22-31 ปี เพราะในช่วงนี้ดวงคู่ครองคนรักที่เข้ามาแฉลบในหัวใจเป็นดวงคนรักที่แท้จริง และคุณสามารถมอบหัวใจของคุณให้เขาได้เท่านั้นเอง เหมือนข้าวเหนียวทุเรียนแห้งขึ้นอืด ทำให้คุณพลาดโอกาสที่จะได้ผู้ชายดีๆมาครอง เพราะดวงอาจจะไม่ ใช่คู่ครองแท้ก็เป็นได้ ขอให้ปลงเสียแหละดี ชายคู่ครองที่เหมาะสมเคียงฝันกับคุณ เป็นหนุ่มที่ ทะเยอทะยาน ขยันขันแข็ง และทำงานได้อย่างเฉียบเป็นที่ยอมรับของคุณ และสายตาอันชื่นชมของคนรอบ ข้าง คุณจึงมักชอบคนเก่ง และคนที่เป็นผู้นำทางด้านความคิด หรือประเภทเทพบุตรยอดนักสู้อะไรทำนอง นั้นแหละ สำหรับดวงชะตาของคุณจะเจอคนที่เข็มแข็ง แม้ว่าร่างกายจะบอบบางบ้างสำหรับบางคน แต่ เป็นคนที่เป็นยอดคนยอดนักสู้ชิงโอลิมปิกเหรียญทองคล้องหัวใจรักคุณ อายุส่วนมากแล้วจะมากกว่าและแก่ กว่าคุณเสมอจึงร่วมกันตลอดรอดฝั่ง ประเภทเด็กหนุ่มวัยเอ๊าะๆ ยังอ่อนๆ คุณก็แค่ปลื้มเท่านั้น สวรรค์ไม่มี ในหัวใจเจอแต่สวรรค์ล่มกามเทพเบี่ยงทั้งนั้น ส่วนมากจะทำงานที่มีบริวารหรือเป็นหัวหน้าเซลล์ เจ้าของกิจการ ที่เกี่ยวกับการลงระบบที่ดิน หรือต่าง ประเทศเป็นหลัก เป็นดวงคู่ที่ผลักคนเสริมดวงในราศีผู้หญิงราศีธนู ได้ก้าวไปสู้ตำแหน่งมาดาม หรือคุณ นายระดับบิ๊กได้ในไม่ช้าแน่นอน อักษรของคู่ครองที่เด่นชัดในดวงชะตา ควรมีตัว ศ,จ,ภ,ก,ป,ช,อ นำ หน้าชื่อหรือผสมอยู่ในชื่อของชายคนรัก หรือคนที่คุณคิดจะเลือกเป็นคู่ครองแท้จะดีมาก และออยู่ร่วมกันได้ ผู้หญิงราศีธนูเป็นม่ายน้อยกว่าราศีอื่น แต่ขึ้นคานนำหน้ากว่าราศีอื่นๆมากจริงๆ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 24 ธันวาคม 2007 13:04:52
 Crop Circles วงกลมปริศนาที่บอกไม่ได้ว่าใครสร้าง
Crop circles คือรูปแบบพิมพ์ที่มีลวดลายมีหลายลักษณะ เช่น วงกลม , รูปสัญลักษณ์ที่แปลกประหลาดที่เป็นรูปแบบที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่า เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ใครเป็นผู้สร้างและออกแบบรูปแบบพิมพ์นี้ ซึ่งรูปแบบพิมพ์นี้มักจะเกิดขึ้นในตอนกลางคืน ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดขึ้นในไร่ข้าวและไร่ข้าวโพด แต่อย่างไรก็ตามมักจะเกิดในไร่ข้าวบาร์เลย์ , ไร่ข้าวโอ๊ด , ทุ่งหญ้า , บริเวณที่มีต้นไม้อยู่หนาแน่น และในบริเวณที่มีหิมะราบเรียบ หรือในบางครั้งก็อาจจะปรากฏอยู่ที่วัตถุตามธรรมชาติอื่นๆที่สามารถทำให้เกิดรูปแบบพิมพ์หรือลวดลายได้ รูปแบบพิมพ์นี้มักจะปรากฏในไร่ที่ทำการเพาะปลูกระหว่างฤดูใบไม้ร่วงและฤดูร้อน ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ในทั่วทุกพื้นที่ในโลก ตัวอย่างเช่นที่ สหรัฐ , แคนาดา , ยุโรป , อเมริกาใต้ และออสเตรเลีย ความจริงแล้วมีสองประเทศใหญ่คือ จีน และแอฟริกาใต้ เท่านั้นที่รูปแบบพิมพ์นี้ไม่เคยปรากฏอยู่เลยมีการรายงานถึงการพบรูปแบบพิมพ์นี้นับเป็นพันๆครั้งในแต่ละปี ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการรายงานว่าพบรูปแบบพิมพ์ที่ได้มีการสร้างเสร็จแล้ว ซึ่งทำให้ไม่สามารถที่จะสืบค้นหาว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ส่วนใหญ่ แล้วรูปแบบพิมพ์ที่มีรูปแบบที่ซับซ้อนจะปรากฏอยู่ในเครือจักรภพอังกฤษ และรูปแบบพิมพ์จะมีการพบเห็นได้ง่ายเนื่องจากประเทศเหล่านั้นเป็นประเทศที่มีพื้นที่การเกษตรเล็กๆ ดังนั้นพวกนักวิจัยส่วนใหญ่จึงมุ่งหน้า
ไปที่ประเทศอังกฤษในทุกๆฤดูร้อน พวกนักวิจัยเหล่านี้จะทำการค้นคว้าเกี่ยวกับรูปแบบพิมพ์อย่างเป็นอิสระแต่ก็ได้มีนักวิจัยอิสระที่ทำการค้นคว้ารูปแบบพิมพ์นี้อยู่ทั่วโลกรวมทั้งสหรัฐอเมริกาด้วย ได้มีการบันทึกการปรากฏขึ้นมาของรูปแบบการสร้างของรูปแบบพิมพ์ในแต่ละประเทศ เพื่อพยายามที่จะทำการเรียนรู้ให้มากขึ้นเกี่ยวกับลักษณะของความลึกลับของรูปแบบพิมพ์นี้

เริ่มแรกรูปแบบพิมพ์ถูกค้นพบครั้งแรกที่ประเทศอังกฤษ ในปี 1647 รูปแบบพิมพ์ที่พบเหมือนกับว่าได้มีการสลัก(ลงไปในไร่ข้าว)ที่เป็นเครื่องหมายรูปวงกลมธรรมดาที่มีจำนวนมาก โดยในแต่ละวงกลมจะมีรูปแบบของการหมุนและทำการสลัก ในสองรูปแบบคือ ตามเข็มนาฬิกา หรือไม่ก็ทวนเข็มนาฬิกา อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น (ดูรูปด้านล่างประกอบ)

                             

รูป Crop Circle ที่พบในปี 1647

ในปี 1990 จะปรากฏว่ารูปแบบพิมพ์ส่วนใหญ่เกิดการเปลี่ยนแปลง จากรูปแบ บที่เป็นวงกลมธรรมดากลายมาเป็นรูปแบบที่ซับซ้อนขึ้น ประกอบไปด้วย เส้นตรง , รูปเหลี่ยม และวงแหวนรูปขดเป็นวง (ดูรูปด้านล่างประกอบ)

                             

รูป Crop Circle ที่พบในปี 1990

ได้มีการพยายามที่จะอธิบายว่ารูปแบบพิมพ์ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ใครเป็นผู้สร้ างและออกแบบ แต่
ดูเหมือนว่าเรื่องลึกลับนี้ยากเกินกว่าที่จะหาคำตอบได้ มีคนจำนวนมากที่ยังไม่เคยเห็น หรือยังไม่เคยศึกษาถึงเรื่องรูปแบบพิมพ์นี้มาก่อนว่าสิ่งนี้ประกอบไปด้วย ส่วนต่างๆที่มีลักษณะพิเศษอย่างไรบ้าง จะเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องหลอกลวง หรือเชื่อว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์ และยังมีกลุ่มคนที่เชื่อเรื่องจานบินให้ควา มเห็นว่ารูปแบบพิมพ์นี้เป็นปัญหาเดียวกันกับมนุษย์ต่างดาวซึ่งยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่ทางที่ดีที่สุดที่คุณจะพิสูจน์เพื่อหาอธิบายของรูปแบบพิมพ์ คุณต้องเข้าไปสัมผัส หรือเข้าไปเห็นสิ่งเหล่านี้ด้วยตาคุณเอง

ในเว็บเพจนี้คุณจะพบกับสิ่งต่างๆและรูปแบบอันหลากหลายของ Crop Circle ที่ได้ปรากฏมาแล้วทั่วโลก และพบกับหลายเหตุผลที่พยายามทำการอธิบายว่าป รากฏการณ์ Crop Circle ที่ปรากฏให้เห็นนั้นไม่ใช่เป็นการหลอกลวง หรือเป็นสิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าสิ่งทั้งหมดในเว็บเ พจนี้จะมีหลักฐานทั้งหมดที่เกี่ยวกับ Crop Circle เพียงเพื่อที่จะเป็นการจุดประกายให้กับคนที่มีความอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องลึกลับที่มีอยู่ในโลกใบนี้

 
 


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ^^warriorball^^ ที่ 24 ธันวาคม 2007 13:10:46
มีไรมาให้อ่านอีกแล้ววว


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: 1300 ก็แค่นั้น ที่ 24 ธันวาคม 2007 13:13:13
กลายเป็นหมอดูไปซะงั้น :emotib


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 24 ธันวาคม 2007 13:51:42
กลายเป็นหมอดูไปซะงั้น :emotib

จับผีมาให้ดูกันเยอะและเอาคำทำนายทายทักมาให้อ่านกันบ้าง


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: 1300 ก็แค่นั้น ที่ 24 ธันวาคม 2007 14:07:44
พ่อหมอปีหน้าผมจะรวยป่าวครับ
อยากได้กิ๊กหลายๆคนจะได้ป่าว :emots
 :emos :emoi วานพ่อหมอด้วยนะครับ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 24 ธันวาคม 2007 14:49:16
พ่อหมอปีหน้าผมจะรวยป่าวครับ
อยากได้กิ๊กหลายๆคนจะได้ป่าว :emots
 :emos :emoi วานพ่อหมอด้วยนะครับ

ไม่ยากเลยหลานเอ๋ย (กรุณาทำเสียงแก่ๆ) ควักแบงค์เทาๆมาสักใบ 2 ใบ กิ๊กหลานจะมาเพียบเลย พ่อบอกได้แค่นี้แหละ ที่เหลือคิดเอาเองแล้วกันนะ แจบ แจบ
- -"


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 24 ธันวาคม 2007 15:07:12
บันทึก 2สาวชุดดำ ณ.วัดเสมียณนารี (http://www.shockfmonline.com/live/bgirl.ram)

เปิดฟังนะ  :emoty


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 24 ธันวาคม 2007 15:08:46
บันทึก แบะแส 2สาวชุดดำ ณ.วัดเสมียณนารี
 (http://www.shockfmonline.com/live/bgirl3.ram)
 :emoty


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 24 ธันวาคม 2007 15:10:04
บันทึก บทสรุป 2สาวชุดดำ ณ.วัดเสมียณนารี
 (http://www.shockfmonline.com/live/bgirl2.ram)
 :emoty


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 24 ธันวาคม 2007 15:10:54
บันทึก ทารกน้ำสยองขวัญ
 (http://www.shockfmonline.com/live/baby.ram)
:emoty


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 24 ธันวาคม 2007 15:11:22
เอาไปฟังกัน 3-4เรื่องก่อน คริคริ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: GonG_101 ที่ 24 ธันวาคม 2007 20:40:33
 :emo5


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 25 ธันวาคม 2007 09:10:12
:emo5
หลอนเลยหรอคราบ เอาน่าเอาไวอ่านคลายเครียด (หรือจะเครียดกว่าเก่า)


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 25 ธันวาคม 2007 11:17:33
บรู้วววววววววววววววววววววววว!!!!


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ^^warriorball^^ ที่ 25 ธันวาคม 2007 21:39:48
มาอีกแระ..เรื่องผีผี เนี่ย อย่าลทมเอาไปเล่าในวันที่ไปเขาใหญ่ฯพี่ปูม..กลางคืนจขะได้สนุกมากขึ้น..555+++


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 26 ธันวาคม 2007 10:47:43
มาอีกแระ..เรื่องผีผี เนี่ย อย่าลทมเอาไปเล่าในวันที่ไปเขาใหญ่ฯพี่ปูม..กลางคืนจขะได้สนุกมากขึ้น..555+++

สงสัยจะอดแล้วล่ะ น้องบอล T_T


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: เฉื้อง...คุ...มิ... ที่ 26 ธันวาคม 2007 20:12:45
อยากไปจังเรยยยย    ชอบๆ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 27 ธันวาคม 2007 08:57:46
อยากไปจังเรยยยย    ชอบๆ
 

ยินดีตอนรับคราบ เอามาให้อ่านกันแก้เซ็ง


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ^^warriorball^^ ที่ 27 ธันวาคม 2007 19:43:44
มาอีกแระ..เรื่องผีผี เนี่ย อย่าลทมเอาไปเล่าในวันที่ไปเขาใหญ่ฯพี่ปูม..กลางคืนจขะได้สนุกมากขึ้น..555+++

สงสัยจะอดแล้วล่ะ น้องบอล T_T
ซ๊ะงั้น...อิอิ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 11 มกราคม 2008 20:44:57
อัพหน่อย  ตังแต่กลับมาอยู่บ้านเนี่ย งานศพเพียบเลย - -"


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 27 มกราคม 2008 03:01:40
Up หน่อยๆ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ^^warriorball^^ ที่ 27 มกราคม 2008 08:42:40
ดัน ดัน กาน ปายยย


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: anu_101 ที่ 28 มกราคม 2008 21:19:55
โอ้ย ว่าจะไปเป็นน้องใหม่สะหน่อยม่ะเอาแว้ว กลัวผีสุดตรีนนนนนนนน เลยครับ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 28 มกราคม 2008 22:00:10
โอ้ย ว่าจะไปเป็นน้องใหม่สะหน่อยม่ะเอาแว้ว กลัวผีสุดตรีนนนนนนนน เลยครับ

มาเถอะคับ ผีดุไม่กลัวหรอก เปิดเครื่องเสียง ผีก็นีหมดแล้ว


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2008 21:10:01
UP UP UP เด๋วหมดอายุ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: aibua ที่ 02 มีนาคม 2008 17:05:05
น่าสนุกดีนะครับ

อยากแจมด้วยจัง


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ^^warriorball^^ ที่ 02 มีนาคม 2008 18:38:30
น่าสนุกดีนะครับ

อยากแจมด้วยจัง
ว่าจะแจมด้วยเหมือนกาน..รอพี่ปูมเค้ากลับมาก่อน...


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 17 มิถุนายน 2008 22:38:10
ขุดกระทู้หน่อยหายลับตาไปนาน เด๋วเอาอะไรใหม่ๆมาลงครับ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: Center Racing ที่ 20 มิถุนายน 2008 22:06:21
เอาด้วยโคนนนนนนนะกับน่าหนุกหนาน


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ^^warriorball^^ ที่ 21 มิถุนายน 2008 09:43:29
up กระทู้ซ๊ะหน่อยก๊าบบบ...


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: gtoism ที่ 27 มิถุนายน 2008 01:40:19
ดีๆๆ เคยเล่นแบบนี้สมัยยังเรียนมอบู ขึ้นไปบนยอด น่ากัวโคด ไประลึกความหลังกันนนนนนนนคับบบบบบ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: Pencom.CZ 49 ที่ 27 มิถุนายน 2008 09:10:30
โซนนี้น่ากลังจิง มีไปดูผีกันด้วย เง่ออออ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: aibua ที่ 02 กรกฎาคม 2008 11:41:54
อะหน้ากลัว

แต่อยากไป

เดี๋ยวจะหิ้ว สาวๆ ไป กอด แก้กลัว

สัก  สอง สาม คน


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: โน่ SRC ™ ที่ 02 กรกฎาคม 2008 13:55:41
ผมขอแนะนำบ้านผีสิง อยู่ที่สัตฮีบคับ เคยออกรายการของ ดีเจป๋องด้วยนะคับ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: 1300 ก็แค่นั้น ที่ 02 กรกฎาคม 2008 19:56:04
ผมขอแนะนำบ้านผีสิง อยู่ที่สัตฮีบคับ เคยออกรายการของ ดีเจป๋องด้วยนะคับ
บ้าน3หลังป่ะ อิอิ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: โน่ SRC ™ ที่ 03 กรกฎาคม 2008 10:57:12
ผมขอแนะนำบ้านผีสิง อยู่ที่สัตฮีบคับ เคยออกรายการของ ดีเจป๋องด้วยนะคับ
บ้าน3หลังป่ะ อิอิ




หลังเดียวคับ แต่อยู่หลังเดียวโดดๆ ห่างจากชุมชนมาก เคยมีคนโดนมาเยอะมากเลยคับ ขนาดผมขี่รถผ่านยังขนลุกเลยคับ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: 1300 ก็แค่นั้น ที่ 03 กรกฎาคม 2008 12:19:35
ผมขอแนะนำบ้านผีสิง อยู่ที่สัตฮีบคับ เคยออกรายการของ ดีเจป๋องด้วยนะคับ
บ้าน3หลังป่ะ อิอิ




หลังเดียวคับ แต่อยู่หลังเดียวโดดๆ ห่างจากชุมชนมาก เคยมีคนโดนมาเยอะมากเลยคับ ขนาดผมขี่รถผ่านยังขนลุกเลยคับ
ไปกันป่ะพี่ อิอิ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: โน่ SRC ™ ที่ 03 กรกฎาคม 2008 16:42:03
ผมขอแนะนำบ้านผีสิง อยู่ที่สัตฮีบคับ เคยออกรายการของ ดีเจป๋องด้วยนะคับ
บ้าน3หลังป่ะ อิอิ




หลังเดียวคับ แต่อยู่หลังเดียวโดดๆ ห่างจากชุมชนมาก เคยมีคนโดนมาเยอะมากเลยคับ ขนาดผมขี่รถผ่านยังขนลุกเลยคับ
ไปกันป่ะพี่ อิอิ



มาลองพิสูจน์ดูก็ได้คับ แต่ผมเป็นคนชี้เป้าใหเฉยๆ  ผมไม่เข้าไปนะ ผมกลัวววว....................


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: aibua ที่ 03 กรกฎาคม 2008 16:57:55
โหยพี่แนะนำ กันดีดีจริงๆ

ไม่กลัวกันหรอก๊าบบบบบ


หัวข้อ: Re: ชลบุรีเรลลิตี้ผี พร้อมของฝากจาก The Shock
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 03 กรกฎาคม 2008 20:18:20
 :emots อัฟหน่อยๆครับ
อีกที่ หอดำ เด็กเทคดสัตฮีบ รู้ตักทุกคน ฮับ  :emots


หัวข้อ: Re: >>>-Chonburi Shock Story-<<<
เริ่มหัวข้อโดย: YaSeN ที่ 04 กรกฎาคม 2008 19:40:00
จัดไปน้อง เรื่องราว ดีๆๆ มาเล่นสู่กันฟัง รอฟังด้วยคน


หัวข้อ: Re: >>>-Chonburi Shock Story-<<<
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 20 กรกฎาคม 2008 11:23:56
ผี : ความเชื่อของชาวอีสาน



คติความเชื่อเรื่องผีเป็นคติความเชื่อที่มีอยู่ในปัจเจกชนแต่ละคน ซึ่งพยายามหาคำตอบในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ผีเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจเหนืธรรชาติ ที่อยู่เหนืออำนาจการควบคุมของมนุษย์ เมื่อมนุษย์มาอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มนุษย์มีความผูกพันกันและได้แสดงพฤติกรรมร่วมกันเกิดเป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวกับความเชื่อเรื่องผี

ผี ในทัศนคติของชาวบ้านเป็นผีที่มีความสำคัญต่อวิถีการดำเนินชีวิตของคนในชุมชน ผีเป็นผู้ให้ความหมายหรืออาจกล่าวได้ว่า ผีเป็นผู้วางกฎเกณฑ์ในการดำเนินชีวิตของชาวบ้าน ผีเป็นสิ่งที่รู้สึกสัมผัสได้ อาจจะไม่ใช่ด้วยระบบประสาททั้งห้า หากมันเกิดขึ้นด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธา ที่ทำให้เกิดดุลยภาพในสังคมระดับชาวบ้าน แม้แต่ในราชสำนักไทยแต่เดิมพิธีกรรมต่าง ๆ ก็มีความเชื่อเรื่องผีเข้าไปปะปนอยู่มาก ความเชื่อเรื่องภูติผีนั้นฝังแน่นอยู่กับคตินิยมของคนไทยอย่างแน่นแฟ้นตั้งแต่สมัยอดีต แม้แต่ทางบ้านเมืองก็ยังมีพระราชพิธีเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องภูติผีอยู่ไม่น้อย ในรอบปีหนึ่ง ๆ เช่น การเซ่นสรวงพระเสื้อเมือง พระทรงเมืองและหลักเมือง รวมทั้งพิธีสอบสวนคดีความสมัยอดีตโดยใช้พิธีลุยไฟ ดำน้ำ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของจำเลย ซึ่งพิธีกรรมดังกล่าวเป็นความเชื่อในภูติผีวิญญาณทั้งสิ้น แม้แต่สมัยกรุงสุโขทัยซึ่งศาสนาพุทธกำลังเจริญรุ่งเรือง การนับถือผีสางก็ยังนิยมกันอยู่ ปัจจุบันในท้องถิ่นอีสานบางแห่งความเชื่อเรื่องผีก็ยังมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของชุมชนอยู่มาก

สำหรับคนอีสาน ผีคือวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว หรือที่มีอยู่แล้วโดยไม่ทราบว่ามีมาแต่เมื่อใดหรือมีมาอย่างไร ผีเหล่านี้ประกอบด้วยผีประเภทต่าง ๆ เช่น ผีนา ผีป่า ผีเขา ผีบ้าน ผีหมู่บ้าน ผีปู่ย่าตายาย ผีฟ้า ผีแถน และผีอื่น ๆ หรือแม้กระทั่งผีที่เกิดจากการกระทำของบุคคล เช่น ผีปอบ ความเชื่อเรื่องผีอันเป็นความเชื่อที่มีมาแต่เดิม ผสมผสานกับความเชื่อในพระพุทธศาสนา จนแทบจะแยกกันไม่ออกว่าพิธีกรรมใดเกิดจากความเชื่อในพระพุทธศาสนา หรือพิธีกรรมใดเกิดจากความเชื่อเรื่องผี

ความเชื่อเรื่องผีของชาวอีสานเข้ามาผูกพันในการประกอบอาชีพ ซึ่งว่ามีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของชาวอีสาน การทำนาอันเป็นอาชีพที่ขึ้นอยู่กับสภาพของธรรมชาติดินฟ้าอากาศ จะได้ผลหรือไม่ได้ผลขึ้นอยู่กับธรรมชาติ และสิ่งที่นับว่ามีความสำคัญต่อการทำนาก็คือน้ำ น้ำที่ได้จากน้ำฝน ซึ่งชาวอีสานเชื่อว่ามีผีเป็นผู้คอยบันดาลให้ฝนตก ฝนจะตกต้องตามฤดูกาลหรือไม่ มีน้ำเพียงพอหรือไม่ ขึ้นอยู่กับอำนาจดลบันดาลของผีแถน ก่อนลงมือทำนาเมื่อย่างเข้าฤดูฝนจึงต้องมีพิธีกรรมขอฝนจากผีแถน เพื่อให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล มีน้ำมากพอที่จะได้ทำนา เมื่อได้น้ำฝนแล้ว ก่อนลงมือหว่านข้าวกล้าก็จะมีพิธีไหว้ผีระจำที่นา หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าผีตาแฮก เพื่อข้าวกล้าจะได้เจริญงอกงามไม่ถูกรบกวนจากศัตรูข้าว ได้ข้าวเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพื่อความอยู่รอดในการดำเนินชีวิต เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวก็มีพิธีสู่ขวัญลานนวดข้าว สู่ขวัญข้าวเพื่อเป็นสิริมงคลมีข้าวได้พอกินตลอดปี ก่อนที่จะถึงฤดูกาลทำนาในปีต่อไป ซึ่งล้วนแต่เป็นความเชื่อที่เกี่ยวกับผีทั้งสิ้น

ผีเป็นสัญลักษณ์แทนอำนาจเหนือธรรมชาติที่ชาวอีสานให้ความสำคัญมาก เพราะผีผูกพันอยู่กับการดำเนินชีวิต พอแรกเกิดชีวิตก็ผูกพันกับผีทันที คือมีพิธีการสู่ขวัญเด็กแรกเกิด เพื่อให้ผีที่เชื่อว่าเป็นผีร้ายไม่ให้มาทำลายชีวิตที่จะเติบโตต่อไปในวันข้างหน้า และให้ผีที่ดีมาคุ้มครองปกปักรักษาให้เป็นคนดีมีความเจริญ มีวิถีทางในการดำเนินชีวิตที่ดีในภายภาคหน้า เมื่อเจริญวัยขึ้นการดำเนินชีวิตตามฮีตตามคอง อันเป็นหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิตของชาวอีสานแต่อดีต ความเชื่อเรื่องผีก็เข้าไปมีบทบาทอยู่มาก ในหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิตเมื่อถึงวัยอันควรที่จะมีชีวิตคู่เข้าสู่พิธีแต่งงาน พ่อแม่ฝ่ายหญิงก็จะดูว่าชายที่จะมาเป็นลูกเขย มีความประพฤติเป็นอย่างไร ตามฮีตตามคองหรือไม่ ประพฤติตัวผิดผีหรือไม่ เมื่อพ่อแม่ฝ่ายหญิงพิจารณาเป็นที่พอใจแล้วก็จะจัดให้มีพิธีแต่งงาน ในพิธีแต่งงานนั้นช่วงหนึ่งจะมีพิธีบอกกล่าวผีบรรพบุรุษให้ทราบว่าชายหญิงคู่นี้จะใช้ชีวิตร่วมกัน ขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผีปู่ย่าตายายจงมารับรู้ มาปกปักรักษาให้ชีวิตคู่ของคนทั้งสองมีการครองเรือนที่มีแต่ความสุข อย่าให้ความทุกข์มากล้ำกราย แม้ถึงคราวเจ็บป่วยความเชื่อเรื่องผีก็เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยชาวอีสานจะพิจารณาจากอาการ จากลักษณะของโรคที่เป็นแยกออกเป็นสองลักษณะคือ โรคที่เกิดจากพยาธิหรือเชื้อโรคนั่นหมายถึงเป็นโรคที่เกิดจากธรรมชาติ ต้องหายามารักษาซึ่งอาจได้จากสมุนไพรที่มีอยู่ทั่วไปหรือยาจากสาธารณสุข และถ้าไม่ใช่โรคที่เกิดจากธรรมชาติก็เกิดจากการกระทำของภูติผี หรือว่าคนป่วยไปกระทำการอันใดอันหนึ่งที่เป็นการผิดผีมา ก็จะมีวิธีการรักษาอีกแบบหนึ่ง คือใช้นางเทียม (ผู้ทรงผีฟ้า) เข้าประทับทรงติดต่อกับผีสอบถามว่าผู้ป่วยได้กระทำการอันใดที่เป็นการผิดผีหรือไม่ ถึงได้สำแดงให้ต้องเป็นไปเช่นนั้น เมื่อทราบจากนางเทียมว่าผู้ป่วยไปกระทำการอันใดที่เป็นการผิดผี ก็ให้ผู้ป่วยไปแก้ไขตรงจุดนั้น ด้วยการแต่งพิธีกรรมเพื่อขอขมาบูชาเซ่นสรวง ซึ่งบางรายก็หายจากการเจ็บป่วยจริง ๆ ก็มี อาจเป็นเพราะความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติที่ทำให้เกิดกำลังใจในการต่อสู้กับโรคภัยก็เป็นได้

อำนาจเหนือธรรมชาติที่เกี่ยวกับความเชื่อเรื่องผียังเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตของชาวอีสานแม้กระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต เมื่อมีคนตายชาวอีสานจะมีพิธีกรรมเกี่ยวกับการส่งวิญญาณของผู้ที่จากไปให้ไปสู่ภพที่มีแต่ความสงบสุข ดินแดนที่ชาวอีสานเชื่อว่ามีความสงบสุขก็คือสวรรค์ จากความเชื่อที่ว่าถ้าได้ทำบุญให้ผู้ตายแล้ว ผู้ตายจะไปมีสุขอยู่บนสวรรค์น่าจะส่งผลมายังญาติพี่น้องที่อยู่ข้างหลัง คือช่วยให้คลายทุกข์โศกจากการจากไปของญาติที่เสียชีวิต ถึงแม้เขาจะจากไปแต่ก็ไปพบกับความสุขอยู่บนสวรรค์ ซึ่งเป็นดินแดนที่มีแต่ความสุข สงบ สบาย แม้ผู้ตายจะตายไปนานแล้วก็ตาม ชาวอีสานก็ยังมีความเอื้ออาทรต่อผู้ตาย คือยังมีพิธีกรรมในฮีตเดือนเก้า การทำบุญข้าวประดับดินเพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว ให้ยังคงได้รับความสุขอยู่บนสวรรค์ โดยเชื่อว่าผีผู้ตายสามารถที่จะรับเอาส่วนบุญนี้ได้

ความเชื่อเรื่องผีของชาวอีสานยังมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับอีกหลายสิ่งหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น ป่า เขา ไร่ นา และหมู่บ้าน สังเกตได้จากการมีพิธีกรรมทำบุญให้ผีอย่างสม่ำเสมอเกือบตลอดทั้งปี หรือเมื่อมีเหตุการณ์ที่ผิดปกติเกิดขึ้น เป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้าก็จะมีการบนบานขอขมาต่อภูติผีวิญญาณ เพื่อเป็นการเรียกขวัญและกำลังใจของตนกลับคืนมา เปรียบเสมือนผีคืออำนาจเหนือธรรมชาติ ชาวอีสานมีจิตสำนึกอยู่เสมอว่าธรรมชาติรอบ ๆ ตัว ไม่ว่าจะเป็น ป่า เขา มีภูติผีวิญญาณสิงสถิตอยู่ซึ่งมองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ด้วยความรู้สึกที่มีอยู่ ในทัศนะเช่นนี้เป็นการเอื้อต่อการดำเนินชีวิตให้มีความสมดุลย์ในสังคมอีสาน ไม่เอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน ความเชื่อเรื่องผีในสังคมอีสานคล้ายกับกฎหมายในปัจจุบัน คนอีสานจึงยึดถือปฏิบัติตามฮีตสอบสองคองสิบสี่ ซึ่งหมายถึงบรรทัดฐานแห่งการดำเนินชีวิตของคนในชุมชน อันมีความเชื่อเรื่องผีเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่มาก

ความเชื่อเรื่องผีมีความผูกพันกับชีวิตของคนอีสานตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย เกี่ยวข้องกับชีวิตตลอดเวลา อำนาจเหนือธรรมชาติซึ่งมีผีเป็นตัวแทน จึงเป็นพื้นฐานสำคัญของวิถีชีวิตชาวอีสานมาตั้งแต่ครั้งอดีต ผีทำให้ชาวอีสานดำรงชีวิตอยู่ในสังคมเดี่ยวกันด้วยความราบรื่น สงบสุข โดยไม่ต้องมีกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร มีศาลมาคอยตัดสินคดีถึงสิ่งถูกผิด ความเชื่อเรื่องผีและฮีตคองในท้องถิ่นจะเป็นสิ่งที่ชี้ว่า อย่างนั้นดีอย่างนี้ไม่ดี ความเชื่อเรื่องผีความสำคัญอาจจะไม่อยู่ที่ผี แต่อยู่ที่ ? จิตสำนึกของมนุษย์ ? ก็เป็นได้


หัวข้อ: Re: >>>-Chonburi Shock Story-<<<
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 20 กรกฎาคม 2008 11:26:31
พิธีกรรมผูกสายสัมพันธ์คนใต้

   วันนี้บ้านนางหนูพัน คงเชื้อ หญิงวัยกลางคนในหมู่บ้านบ่ออิฐ อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา จะมีพิธีกรรมโนราโรงครู หรือ โนราลงครู ซึ่งเป็นพิธีกรรมสำคัญของตระกูล พวกญาติ ๆ และเพื่อนบ้านผู้หญิงมาช่วยกันเตรียมอาหารตั้งแต่เช้า ส่วนพวกผู้ชายเตรียมสถานที่อยู่ที่หน้าบ้าน ตกบ่ายบรรดาญาติพี่น้องที่ไปทำงานต่างถิ่นทยอยกันกลับมาถึงบ้าน..ใคร?..าน ส่งเสียงทักทายกันดังขรม 
 
     ในวัฒนธรรมถิ่นใต้ นอกจากงานบุญเดือนสิบแล้ว ก็มีงานโนราโรงครูนี่แหละ ที่ญาติพี่น้องจะได้กลับมาไหว้ผีบรรพบุรุษ แบบพร้อมหน้าพร้อมตา แต่งานนี้จำกัดวงผู้ร่วมพิธี เฉพาะลูกหลานของโนราเท่านั้น
   ความพิเศษของพิธีกรรมนี้ก็คือ ลูกหลานจะได้พบปะพูดคุย กับบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วหลายชั่วคน ผ่านร่างทรงประจำตระกูล โดยมีโนราผู้เชี่ยวชาญทางการร่ายรำ และไสยศาสตร์เป็นผู้ประกอบพิธี
   จุดมุ่งหมายหลักของการแสดงโนราในงานนี้ จึงมิได้อยู่ที่การให้ความบันเทิง เฉกเช่นมหรสพทั่วไป หากทำหน้าที่เชื่อมสายใย และผูกสัมพันธ์คนใต้ในโลกนี้ และโลกหน้าให้เป็นหนึ่งเดียว   
(http://www.sarakadee.com/feature/2001/01/images/nohra_08.jpg)


หัวข้อ: Re: >>>-Chonburi Shock Story-<<<
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 20 กรกฎาคม 2008 11:26:46
(http://www.sarakadee.com/feature/2001/01/images/nohra_01.jpg)
๑. เหตุแห่งโรงครู
   ล่วงเข้าบ่ายแก่ รถบรรทุกพร้อมคณะโนรากว่า ๒๐ ชีวิตค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาจอดใกล้โรงโนราหน้าบ้านนางหนูพัน หญิงเจ้าของบ้านรีบถือขันหมากออกมาต้อนรับตามธรรมเนียมโบราณ ด้วยถือกันว่าหากเจ้าบ้านไม่นำขันหมากมาต้อนรับ โนราจะเข้าไปประกอบพิธีข้างในโรงไม่ได้ โนราพนมศิลป์ นายโรงหัวหน้าคณะ เดินมารับขันหมาก และทักทายเจ้าของบ้าน ด้วยความคุ้นเคย เพราะรับขันหมากโรงครูครอบครัวนี้มานานหลายปี
   คณะโนราทยอยขนเครื่องแต่งกาย เครื่องดนตรี และอุปกรณ์ต่าง ๆ ไปวางบนเสื่อน้ำมันกลางโรงโนราเพื่อประกอบพิธีตั้งเครื่อง ขอความเป็นสิริมงคลให้พิธีกรรมนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดี หลังจากนั้นนายโรงจึงเรียกสมาชิกในตระกูล ของเจ้าภาพทุกคนเข้ามานั่งรวมกันในโรง เพื่อทำพิธีชุมนุมครู เชิญ "ตายาย" หรือผีบรรพบุรุษมาสิงสถิตบนสาดคล้าที่ปูไว้กลางโรง โนราร้องเชิญตายายตามรายชื่อที่เจ้าภาพเขียนมา โดยมิให้ตกหล่น เพราะหากเอ่ยชื่อไม่ครบ ตายายจะโกรธ และมาลงโทษลูกหลานในภายหลัง
(http://www.sarakadee.com/feature/2001/01/images/nohra_04.jpg)
   ในวัฒนธรรมโนรา ตายายมีทั้งที่ปรากฏในตำนาน และตายายที่เคยมีตัวตนจริงในโลกมนุษย์ ตายายที่ปรากฏในตำนานหรือที่เรียกกันว่าครูหมอโนรา เป็นตายายที่ปรากฏชื่ออยู่ในตำนานกำเนิดโนรา ซึ่งลูกหลานโนราแต่ละตระกูล อาจนับถือครูหมอโนรา ต่างกันไปตามชุดตำนานที่สืบทอดกันมาในท้องถิ่นนั้น อาทิ ตำนานนางนวลทองสำลี ตำนานตายายพราหมจันทร์ ตำนานเจ้าแม่อยู่หัว เป็นต้น
   แม้ว่าตำนานโนราจะมีหลายชุดหลายสำนวน  แต่นักวิชาการผู้สำรวจตำนานโนรา ต่างลงความเห็นว่า ตำนานทั้งหมดมีโครงเรื่องหลักเหมือนกัน แตกต่างกันเพียงชื่อบุคคล สถานที่ และเหตุการณ์บางเหตุการณ์เท่านั้น เรื่องมีอยู่ว่า กษัตริย์เมืองหนึ่งมีพระธิดาที่โปรดการร่ายรำ ซึ่งเป็นของแปลกในสมัยนั้นมากเป็นพิเศษ วันหนึ่งพระธิดาตั้งครรภ์โดยไม่รู้สาเหตุ (บางตำนานว่าตั้งครรภ์ หลังจากกินดอกบัวทิพย์ของเทวดา) กษัตริย์ทรงอับอายจึงรับสั่งให้นำพระธิดาไปลอยแพ พระธิดาไปติดอยู่ที่เกาะแห่งหนึ่ง และให้กำเนิดบุตรชาย ต่อมาเทวดาได้ถ่ายทอดท่ารำให้แก่บุตรพระธิดา ฝีมือการร่ายรำของบุตรพระธิดา เลื่องลือไปถึงในวัง เมื่อกษัตริย์ทอดพระเนตรเห็นก็รู้ว่าเป็นหลาน จึงพระราชทานเครื่องทรงกษัตริย์ มาให้หลานแต่งตัวและรับกลับวัง   
     ครูหมอโนราที่ลูกหลานเชิญมาร่วมพิธีมักมี ๑๒ องค์ ได้แก่ พระเทพสิงหรหรือพ่อเทพสิงหร ขุนศรีศรัทธาหรือขุนศรัทธา พระม่วงทองหรือตาม่วงทอง หม่อมรอง พระยาสายฟ้าฟาด พรานบุญ แม่ศรีมาลา แม่นวลทองสำลี แม่แขนอ่อนฝ่ายขวา แม่แขนอ่อนฝ่ายซ้าย แม่ศรีดอกไม้ และแม่คิ้วเหิน
   ส่วนตายายอีกประเภทหนึ่งคือ ตายายที่เคยมีตัวตนจริง ๆ โดยผู้ที่จะเป็นตายาย และมีอำนาจให้คุณให้โทษแก่ลูกหลานได้ เมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ จะต้องมีสถานภาพเป็นตายายโดยสมบูรณ์ ถ้าเสียชีวิตในขณะที่ยังไม่ทันมีหลานก็ไม่นับว่าเป็น "ตายาย"
   มีผู้สันนิษฐานว่า แต่เดิมชาวบ้านน่าจะนับถือเฉพาะตายาย ที่เคยมีตัวตนในโลกมนุษย์ และทำพิธีไหว้ผี เข้าทรงตายายกันมาแต่โบร่ำโบราณ จนกระทั่งการร่ายรำโนรา- -นาฏศาสตร์สายอินเดีย เข้ามาถึงคาบสมุทรสทิงพระ เมืองท่าสำคัญของภาคใต้ในยุคอดีต จึงเกิดการผสมผสาน ระหว่างความเชื่อเรื่องครูหมอโนรา และตายาย เนื่องจากโนราเองก็ต้องไหว้ครูหมอโนรา ส่วนชาวบ้านก็ต้องไหว้ตายาย เมื่อชาวบ้านหัดรำโนรา ก็เลยต้องไหว้ทั้งครูหมอ และตายาย ความเชื่อทั้งสองจึงผสมผสานกันเป็นพิธีโนราโรงครู ด้วยเหตุนี้เราจะเห็นพิธีกรรมนี้มากเป็นพิเศษ
   แถวหมู่บ้านรอบทะเลสาบสงขลา ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดโนรา และมีคณะโนราอยู่หนาแน่นที่สุด
(http://www.sarakadee.com/feature/2001/01/images/nohra_06.jpg)
   ตายายและครูหมอโนรา ในความรับรู้ของชาวบ้าน เป็นสิ่งที่มีพลังอำนาจมาก มีฤทธิ์ทั้งให้คุณและโทษแก่ลูกหลาน สามารถติดต่อกับลูกหลานได้ โดยผ่านร่างกายของลูกหลานคนนั้น ถ้าลูกหลานประพฤติตัวดี ตายายก็จะดลบันดาลให้พบแต่สิ่งดี ๆ แต่ถ้าประพฤติตัวออกนอกลู่นอกทาง เช่น คบชู้สู่ชาย หรือมีนิสัยลักขโมย รวมทั้งกรณีที่ตายาย ต้องการให้ลูกหลานคนไหนสืบทอดเป็นโนรา หรือร่างทรง ลูกหลานคนนั้นก็จะมีอาการผิดปรกติ ขึ้นมาในร่างกาย เรียกเป็นภาษาชาวบ้านว่า "ครูหมอย่าง" เช่น เมื่อได้ยินเสียงปี่เสียงกลอง จะต้องลุกขึ้นไปรำทันที ห้ามตัวเองไม่ได้ ต้องเป็นโนราถึงจะหาย หรือมีอาการจับไข้ไม่หาย จนกว่าจะยอมรับเป็นร่างทรงให้ตายาย เป็นต้น 
     ในวัฒนธรรมโนรา ลูกหลานจะต้องจัดพิธีโนราโรงครู เพื่อขอบคุณตายายที่ช่วยดูแลลูกหลาน ให้อยู่เย็นเป็นสุข โดยพิธีจะมีขึ้นตามกำหนดเวลาที่ตกลงกับตายาย ผ่านร่างทรงในการตั้งโรงครูครั้งก่อน เช่น อีกสามปีหรือห้าปีถัดไป หรือถ้าใครบนบานศาลกล่าวเอาไว้แล้วได้ดังปรารถนา ก็จะต้องรีบแก้บนในทันที ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงกำหนดที่ตกลงกันไว้ อย่างเช่นพิธีโรงครูครั้งนี้ เกิดขึ้นเพราะตายายไปเข้าฝันน้องสาวนางหนูพัน ที่ไปแต่งงานกับพ่อค้าชาวระยอง แล้วร้านค้าของเธอขายดีผิดหูผิดตา เธอจึงอยากจัดพิธีโรงครูเพื่อขอบคุณตายาย โดยให้นางหนูพันพี่สาว ช่วยติดต่อคณะโนรา และจัดเตรียมงานให้
   ตามปรกติ พิธีโรงครูจะมีทั้งหมดสามหรือสี่วัน แต่เนื่องจากการตั้งโรงครูแต่ละครั้ง ต้องใช้เวลาเตรียมการนาน และใช้เงินมาก ทั้งในการปลูกสร้างโรง จ้างคณะโนรา เตรียมเครื่องเซ่นไหว้ และอาหารเลี้ยงแขกที่มาร่วมงาน บางครั้งเมื่อถึงกำหนดเวลา ที่ตกลงกันไว้กับตายายแล้วยังไม่พร้อม ลูกหลานจะตั้งโรงครูเล็กหรือพิธีค้ำครู (เป็นพิธีแบบย่นย่อโดยใช้เวลาเพียงหนึ่งคืนกับหนึ่งวัน) ให้ก่อน เพื่อไม่เป็นการผิดสัญญา อันเป็นเหตุให้ถูกตายายลงโทษ หลังจากนั้น พร้อมเมื่อไรจึงประกอบพิธีโนราโรงครูใหญ่
   ทั้งโรงครูใหญ่และโรงครูเล็กมีลำดับพิธีกรรมเหมือนกัน ต่างกันตรงที่โรงครูใหญ่ จะประกอบพิธีกรรมทุกขั้นตอนอย่างละเอียด แต่โรงครูเล็กจะประกอบอย่างย่นย่อ คือ โนราเข้าโรงหรือเหยียบโรงในตอนบ่ายวันพุธ ทำพิธีชุมนุมครู เชิญตายายมาชุมนุมภายในโรง ตกกลางคืนมีการร่ายรำโนราให้ตายายชม เช้ารุ่งขึ้น ทำพิธีไหว้ครู ตกบ่ายจึงเชิญตายายมาเข้าทรงพบปะลูกหลาน และรับเครื่องเซ่น หากเป็นโรงครูเล็ก จะส่งครูในบ่ายวันพฤหัสบดี ส่วนโรงครูใหญ่จะส่งครูในวันศุกร์ หรือเสาร์ แต่ถ้าวันส่งครูตรงกับวันพระพอดี ต้องเลื่อนไปอีกหนึ่งวัน เพราะเชื่อกันว่าตายายจะต้องไปวัด มาร่วมพิธีส่งครูไม่ได้ 
     นอกจากโรงครูที่จัดขึ้นเพื่อไหว้ตายายแล้ว ยังมีโรงครูอีกแบบหนึ่งที่จัดขึ้น เพื่อเปลี่ยนสถานภาพโนรารุ่นใหม่ ให้เป็นโนราเต็มตัว คือ พิธีครอบเทริด หรือพิธีผูกผ้าใหญ่
   พิธีกรรมนี้จะมีขึ้นหลังจากโนราฝึกร่ายรำจนชำนาญ ครูโนราจะทำพิธีครอบเทริด- -เครื่องประดับศีรษะ ซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายที่มีความสำคัญที่สุด ให้แก่โนราใหม่ หากโนรายังไม่ผ่านพิธีกรรมนี้ จะถือว่าเป็นโนราที่ไม่สมบูรณ์ หรือโนราดิบ หรือถ้าโนราคนไหนชิงแต่งงานก่อนเข้าร่วมพิธีนี้ ก็จะถูกเรียกว่า โนราราชิก หรือ โนราปราชิก โนราทั้งสองแบบจะไม่สามารถประกอบพิธีกรรมสำคัญ ๆ อย่างพิธีโนราโรงครูของชาวบ้านได้
   ด้วยเหตุที่เทริดเป็นสัญลักษณ์สำคัญ ที่บ่งบอกสถานภาพโนรา ขั้นตอนการสวมเทริดในพิธีโรงครูจึง "ไม่ธรรมดา" และกลายเป็นจุดสำคัญของงานเลยก็ว่าได้ โดยโนราใหม่ จะต้องนั่งบนก้นขันเงินใบโต ซึ่งคว่ำอยู่กลางโรง ตรงกับเทริดที่ถูกผูกเชือก และชักขึ้นไปติดบนเพดาน หลังจากนั้นจึงมีคนค่อย ๆ ผ่อนเชือกให้เทริดลงครอบศีรษะโนราพอดิบพอดี เมื่อเสร็จขั้นตอน โนราใหม่ต้องร่ายรำด้วยท่าทางต่าง ๆ ที่ร่ำเรียนมาต่อหน้าครูโนราอย่างน้อยเจ็ดคน คล้ายกับเป็นการแสดงความสามารถ เพื่อขอจบหลักสูตร
   นอกจากพิธีครอบเทริด จะทำให้โนรารู้สึกว่า ตนเป็นโนราที่สมบูรณ์แล้ว พิธีกรรมนี้ยังมีผลต่อความรู้สึกของชาวบ้าน ที่ต้องการเชิญโนรามาประกอบพิธีโรงครู ให้แก่ครอบครัวของตนด้วย เพราะชาวบ้านเชื่อว่าร่างโนรา ที่ผ่านพิธีครอบเทริด เป็นร่างพิเศษเหนือมนุษย์ทั่วไป สามารถสื่อสารกับโลกวิญญาณได้ เพราะการร่ายรำโนรา เป็นความรู้ของเทพยดา ที่มาบังเกิดในร่างมนุษย์ เห็นได้จาก
   ตำนานกำเนิดโนรา ราชธิดาตั้งครรภ์ด้วยเทพยดา และเด็กน้อยที่เกิดมาก็ร่ายรำโนรา ได้อย่างสวยงาม กระบวนการหัดเป็นโนรา ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนความเชื่อนี้ เพราะท่ารำโนราต้องอาศัยพละกำลัง และความยืดหยุ่นของร่างกายสูงมาก
     ดร. ปริตตา เฉลิมเผ่า กออนันตกูล กล่าวถึงเรื่องนี้ในบทความ "ร่างในละครชาวบ้าน" ว่า
   "...กระบวนการเป็นโนรา คือการรับเอาร่างของครูหมอโนรา เข้ามาไว้ในร่างของลูกหลาน ในเมื่อครูหมอโนรา เป็นร่างที่ยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์ทั่วไป โนราจึงสามารถทำสิ่งที่มนุษย์อื่นทำไม่ได้ เช่น สามารถขดตัวลงในถาด หรือแอ่นตัวไปด้านหลังม้วนเป็นวงกลม จนศีรษะที่สวมเทริด โผล่ออกมาระหว่างขาได้ นอกจากนั้นโนราในร่างครูหมอ หรือครูหมอในร่างโนรา ยังมีพลังที่จะสามารถจัดการ ให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อร่างกายอื่นได้"
   ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านจึงเกิดความไว้วางใจให้โนรา ที่ผ่านพิธีครอบเทริด ประกอบพิธีโรงครูให้ตน เพราะหากโนรา ยังไม่ผ่านกระบวนการทำให้ร่างกายมีลักษณะพิเศษ มีความสามารถในการร่ายรำท่ายาก ๆ และมีความรู้เชิงไสยศาสตร์ สำหรับเชิญวิญญาณฝ่ายดี กำจัดวิญญาณฝ่ายร้าย การแก้บนจะไม่ขาด ครอบครัวเจ้าภาพที่เชิญโนรามาประกอบพิธี จะได้รับความเดือดร้อนในภายหลัง และต้องเชิญโนราคณะอื่น ที่มีความสามารถมากกว่ามาทำพิธีให้อีกครั้ง การเลือกโนรามาประกอบพิธี จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะค่าใช้จ่ายในการตั้งโรงครูทุกวันนี้ราคาสูงมาก โรงครูเล็กต้องใช้เงินประมาณหมื่นกว่าบาท ส่วนโรงครูใหญ่ใช้เงินประมาณ ๓ หมื่นบาท
   พิธีโรงครูครั้งนี้ นางหนูพันเลือกคณะโนราพนมศิลป์ ซึ่งเชิญมาประกอบพิธีแล้วหลายครั้ง ด้วยเป็นโนรารุ่นเก่า ที่มีความรู้ในการประกอบพิธีกรรมแบบดั้งเดิม หลังจากได้รับโทรศัพท์จากน้องสาวว่า ต้องการตั้งโรงครู นางหนูพันจึงนำขันหมากไปเชิญโนราพนมศิลป์ ที่บ้านในอำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เมื่อโนราพนมศิลป์รับขันหมากแล้ว นางหนูพันจึงตกลงค่าใช้จ่ายกับทางคณะ ซึ่งราคาจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับระยะทาง จำนวนลูกคู่และนางรำ รวมทั้งการปลูกโรง หากต้องการให้คณะโนราปลูกโรงให้ ค่าใช้จ่ายก็จะเพิ่มขึ้น โรงครูครั้งนี้ฝ่ายเจ้าภาพต้องการจัดโรงครูใหญ่ ใช้เวลาสามคืนสี่วัน โดยเจ้าภาพจะปลูกโรงเอง คณะโนราพนมศิลป์ จึงเรียกค่าทำพิธีเป็นเงิน ๓ หมื่นบาท เมื่อกำหนดวันเวลาเรียบร้อย นางหนูพันก็แจ้งข่าวไปยังเครือญาติทั้งที่อยู่ใกล้และไกลจนครบ ด้วยถือกันว่าตายาย อาจไม่พอใจ หากลูกหลานไม่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา
   ก่อนถึงวันงานสองสามวัน นางหนูพันขอแรงพวกผู้ชายในหมู่บ้าน ช่วยกันหาไม้ไผ่มาปลูกโรงโนราบนลานดินหน้าบ้านของเธอ ซึ่งใช้เป็นที่ตั้งโรงครูมาหลายสิบปี นับตั้งแต่นางได้รับเลือกเป็นร่างทรงประจำตระกูล บนลานดินไม่กี่ตารางเมตรแห่งนี้ ไม่เคยมีสิ่งปลูกสร้างถาวรใด ๆ ปรากฏเลย ยกเว้นโรงโนราที่ถูกสร้างขึ้นชั่วคราว เมื่อมีพิธีกรรมโรงครู ด้วยถือกันมาแต่โบราณว่า ผืนดินที่เคยผ่านการตั้งโรงครู คือพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่ลูกหลานจะปลูกสร้างสิ่งใดทับลงไปไม่ได้ นอกจากโรงโนราเท่านั้น   


หัวข้อ: Re: >>>-Chonburi Shock Story-<<<
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 20 กรกฎาคม 2008 11:26:58
(http://www.sarakadee.com/feature/2001/01/images/nohra_07.jpg)
๒. พื้นที่และความหมายในโรงโนรา
   อาจกล่าวได้ว่า ในพิธีโนราโรงครู พื้นที่ไม่กี่ตารางเมตร ภายในโรงโนราจัดเป็นพื้นที่ที่สำคัญมากที่สุด เพราะเป็นพื้นที่ที่วิญญาณบรรพบุรุษ จากโลกหน้ากับลูกหลานในโลกนี้มาพบปะพูดคุยกันได้ ขั้นตอนต่าง ๆ ในการปลูกสร้างและตกแต่งโรง เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ข้อบังคับ ที่สื่อความหมายถึงการเชื่อมต่อระหว่างโลกทั้งสอง
   เริ่มจากที่ตั้งโรงจะต้องอยู่ใกล้บ้านเจ้าภาพ เพื่อเชื่อมสายสิญจน์จากหิ้งบูชาภายในบ้าน มายังโรงโนรา หน้าโรงควรหันไปทางทิศที่ไม่ใช่ทิศตะวันตก และต้องมีพื้นที่ว่างสำหรับให้ญาติพี่น้อง และเพื่อนบ้านได้นั่งชม หากไม่มีพื้นที่ตามลักษณะดังกล่าว อาจขออาศัยพื้นที่ของเพื่อนบ้านใกล้เคียงก็ได้
   แม้ว่าปัจจุบันการปลูกโรงสำหรับแสดง เพื่อความบันเทิง จะวิวัฒนาการรูปแบบจากโรงติดพื้น เป็นยกพื้นสูง เพื่อให้คนดูมองเห็นผู้รำได้ในระยะไกล แต่สำหรับพิธีโรงครู การปลูกโรงยังคงมีรูปแบบและเนื้อหาแบบดั้งเดิม คือ เป็นโรงหลังคาหน้าจั่ว กว้าง ๔ คูณ ๕ เมตร ปลูกแบบไม่ยกพื้น ปูพื้นโรงด้วยเสื่อกระจูด หันหน้าไปทางทิศตะวันออก พื้นที่โรงแบ่งเป็นสองส่วน คือพื้นที่ด้านหน้าสำหรับประกอบพิธีกรรม และแสดง พื้นที่ด้านหลังใช้เป็นที่พักและแต่งตัว มีฉากท้องพระโรงเป็นม่านกั้นอาณาเขต
   พื้นที่ด้านหน้านั้น ด้านขวามือเป็นที่ตั้งของ "พาไล" หรือหิ้งยาวสูงระดับสายตา สานด้วยไม้ไผ่หรือปูด้วยไม้กระดานสำหรับวางเครื่องเซ่น ด้านซ้ายมือซึ่งอยู่ตรงข้ามกับพาไล มี "นัก" หรือ "พนัก" ทำจากเสาไม้ปักดิน ความสูงเหนือเข่าเล็กน้อย มีราวพาดด้านบนสำหรับให้ตัวแสดงนั่ง ความกว้างขนาดนั่งพร้อมกันได้ไม่เกินสองคน หันหน้าไปทางพาไลให้ตายายได้ชม
   ส่วนด้านหลังม่านซึ่งเป็นที่พักผู้แสดง จะยกพื้นสูงขึ้นมาประมาณ ๒ ศอกสำหรับให้ผู้แสดงเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว และนอนพักในตอนกลางคืน ตามคติดั้งเดิม ถือกันว่าโรงโนราเปรียบเสมือนบ้านของโนรา หากไปแสดงโรงครูที่ไหน โนราทุกคนจะต้องนอนในโรง และนายโรงคือผู้มีอำนาจสูงสุด ในการควบคุมไม่ให้สมาชิก ในคณะทำอะไรผิดธรรมเนียม และกำจัดผีอื่น ไม่ให้เข้ามาสร้างความวุ่นวายตลอดพิธีกรรมนี้   
     นอกจากนี้ ภายในโรงยังต้องมีสัญลักษณ์อีกมากมาย ที่ช่วยเชื่อมโลกมนุษย์กับโลกวิญญาณเข้าด้วยกัน ซึ่งจะขาดไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว อาทิ "เพดาน" ผ้าขาวสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่กว่าผ้าเช็ดหน้าเล็กน้อย ห้อยลงมาจากเพดานจริง แล้วผูกสายสิญจน์โยงเข้าสู่หิ้งบูชาบรรพบุรุษบนบ้าน เพื่อให้วิญญาณบรรพบุรุษ ไต่ลงมาร่วมพิธีภายในโรง หรือ "สาดคล้า" ทำหน้าที่แทนแผ่นดินของโลกวิญญาณ ซึ่งโนราจะทำพิธีเชิญมาชุมนุมในวันแรกและส่งกลับในวันสุดท้าย โนราจะต้องระมัดระวังไม่ให้สาดคล้าผืนนี้พลิกเปิดขึ้นมาเพราะจะทำให้วิญญาณตายายไม่มีที่อยู่ แม้ว่าปัจจุบันชาวบ้านจะนำเสื่อกระจูด มาใช้แทนสาดคล้าของจริง ที่สานจากต้นคล้า เนื่องจากต้นคล้าหายากขึ้น  แต่ถ้าเป็นไปได้ชาวบ้านก็ยังนิยมใช้ "สาดคล้า" เพื่อสื่อถึงความหมายเดิม เช่นเดียวกับ "กระแชง" ซึ่งนำต้นเตยมาเย็บติดกันเป็นผืนเล็ก ๆ สื่อความหมายถึงเรื่องราวในตำนานโนราฉากพระธิดาถูกลอยแพออกจากวัง ระหว่างล่องแพนางต้องใช้กระแชงบังแดด ชาวบ้านจึงนำกระแชง มาวางบนจั่วหลังคาเพื่อแสดงเรื่องราวในตำนาน ปัจจุบันกระแชงของแท้ที่เย็บจากต้นเตยหายาก ชาวบ้านจึงนำผ้าพลาสติกมาวางบนจั่วแทน  แต่ยังคงเรียกกระแชงเหมือนเดิม เหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้กาลเวลาและสภาพแวดล้อมจะเปลี่ยนแปลงไปเพียงใด แต่ตำนานโนรา ความเชื่อเรื่องตายาย ยังคงถูกถ่ายทอด ผลิตซ้ำ สู่คนรุ่นใหม่ในความหมายเดิม
   นอกจากพื้นที่ภายในโรงโนรา จะถูกใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรม ในเวลากลางวันแล้ว ตกกลางคืนพื้นที่ไม่กี่ตารางเมตรแห่งนี้ ยังถูกเนรมิตเป็นเวทีเปิดตัวโนรารุ่นใหม่ และเป็นเวทีเผยแพร่ศิลปะการแสดง ของโนรารุ่นใหญ่ให้เลื่องลือไกล
   จวบจนพระจันทร์ลอยข้ามฟ้าล่วงเข้าวันใหม่ เสียงปี่ กลอง โหม่ง ทับ จึงราเสียง คณะโนราบอกลาคนดูและตายายไปพักผ่อน ก่อนจะตื่นขึ้นมาประกอบพิธีกรรมที่สำคัญ ในเช้าวันถัดไป   


หัวข้อ: Re: >>>-Chonburi Shock Story-<<<
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 20 กรกฎาคม 2008 11:27:10
๓. แต่งพอกไปเชิญตายาย
   รุ่งเช้า โนราพนมศิลป์รีบตื่นขึ้นมา "แต่งพอก" หรือ "แทงพอก" เพื่อไปเชิญตายายมาร่วมพิธี เครื่องแต่งกายโนราในวันนี้มีมากขึ้นกว่าที่ใช้ในการแสดงทั่วไป คือ หลังจากสวมผ้านุ่งธรรมดาแล้ว จะต้องมีผ้าพับและพอกไว้นอกผ้านุ่งธรรมดาอีกหนึ่งผืน และมี "ห่อพอก" ซึ่งทำจากผ้าสีหรือผ้ามีลวดลายขมวดปมสองข้างผูกไว้ข้างเอว ขนาดเท่ากับห่อทุเรียนกวน สว่าง สุวรรณโร สันนิษฐานไว้ใน
(http://www.sarakadee.com/feature/2001/01/images/nohra_09.jpg)
   สารานุกรมภาคใต้ ว่า "ห่อพอกน่าจะเป็นเครื่องแต่งตัว หรือที่เก็บเครื่องแต่งตัวสมัยก่อน แล้วจำลองลงมาให้เล็กลง เพื่อสะดวกในการผูกไว้กับเอว เพราะตามธรรมดาโนรา เมื่อออกโรงแสดงแล้วก็มักมี "ห่อพาย" เพราะเดินทางไป ณ ที่ไกล ๆ และต้องเดินทางไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับการแต่งตัวพราน ซึ่งจะมีย่ามที่เรียกว่า "ห่อพาย" ในห่อพายนั้นมีกะปิ ขมิ้น พริกขี้หนู ข้าวสาร และเงินไปด้วย"
   ประมาณแปดโมงเช้า คณะดนตรีจึงเริ่มบรรเลงเพลงไหว้ครู นายโรง และโนราชายอีกสามคน ออกมารำไหว้ครูร่วมกัน
      "คุณเอ๋ยคุณครู เหมือนฝั่งแม่น้ำพระคงคา คิ่นคิ่นจะแห้งไหลมา ยังไม่รู้สิ้นรู้สุด สิบนิ้วลูกยกขึ้นตำเหนิน สรรเสริญถึงคุณพระพุทธ พ่อจำศีลอยู่ยังไม่รู้สิ้นสุด ไหว้พระเสียก่อนต่อสวดมนต์..."
   หลังจากนั้นจึงรำบทครูสอนด้วยการจำลองการสอนท่ารำพื้นฐาน ๑๒ ท่าให้ชม โดยนายโรงเป็นผู้รำก่อน มีโนราอีกคนรำตาม เพื่อรำลึกคุณครูและถือเป็นการถ่ายทอดการร่ายรำโนราสู่เด็กรุ่นใหม่อย่างแนบเนียน เพราะเด็ก ๆ ที่ยืนดูอยู่รอบ ๆ มักทำมือตามไปด้วยอย่างสนุกสนาน หากใครรักชอบการร่ายรำก็จะเข้ารับการฝึกฝนกลายเป็นโนรารุ่นใหม่ต่อไป
(http://www.sarakadee.com/feature/2001/01/images/nohra_10.jpg)
   ล่วงเข้าสายของวัน ผู้คนเริ่มหนาตามากขึ้น โดยเฉพาะคนเฒ่าคนแก่พากันจับจองเก้าอี้หน้าโรงจนเต็ม เพราะใกล้ถึงเวลาจับบทออกพราน การแสดงละคร ๑๒ เรื่องที่โนราตัดตอนมาให้ดูสั้น ๆ เน้นแก่นความคิดของแต่ละเรื่อง ซึ่งเกี่ยวข้องกับบทบาทหน้าที่สำคัญในสังคม
   เช่นเรื่องพระรถเมรี สอนให้เห็นแม่สำคัญกว่าเมีย เรื่องไกรทอง สอนให้รู้คุณครูบาอาจารย์ เรื่องพลายงาม สอนเรื่องบุญ-กรรมว่า ชีวิตเป็นผลจากกรรมแต่ชาติก่อน เรื่องที่นิยมเล่นคือ มโนห์รา พระรถเมรี ลักษณวงศ์ โคบุตร สังข์ทอง คาวี พระอภัยมณี จันทโครบ สินนุราช สังข์ศิลป์ไชย มณีพิชัย หรือ ยอพระกลิ่น และไกรทอง   
     ละครแต่ละเรื่องใช้เวลาแสดงประมาณ ๑๕ นาที ถ้าเด็กคนไหนอยากรู้เรื่องราวต่อไปก็จะวิ่งไปถามตายายของตน หรือบรรดาผู้เฒ่าผู้แก่ที่นั่งชมอยู่แถวหน้า ยายเสี้ยง วัดชฤทธิ์ วัย ๗๒ ปี จากหมู่บ้านใกล้เคียง เป็นคนหนึ่งที่ดูละครทั้ง ๑๒ เรื่องมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่ว่าจะดูละครครั้งใด ความรู้สึกสนุกตื่นเต้น เพลิดเพลินใจ ก็ปรากฏในแววตาเสมอ เมื่อมีเด็กคนไหนวิ่งมาถามรายละเอียดของเรื่อง แกก็จะเล่าให้ฟังด้วยความกระตือรือร้น เฉกเช่นเดียวกับที่แกเคยได้ยินได้ฟังมาจากคนรุ่นก่อน วัฒนธรรมโนราจึงค่อย ๆ ซึมซับเข้าสู่ความทรงจำของหนูน้อยรุ่นใหม่ทีละน้อย
   แม้ว่าหลายคนจะดูละครจนจำเรื่องราวได้ทุกบททุกตอน แต่ช่วงจับบทออกพรานก็ยังเป็นตอนที่มีผู้ชมแน่นขนัดอยู่เสมอ เพราะตัวพรานซึ่งเป็นตัวตลกของคณะจะคอยแทรกมุขตลกโดยเฉพาะบทพูดสองแง่สองง่าม เรียกเสียงฮาจากคนดูได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ท่ารำของพรานยังมีเอกลักษณ์ คือ เน้นการเคลื่อนไหวส่วนอก หลัง ไหล่ และหน้าท้อง ให้เข้ากับลีลาจังหวะของดนตรีที่กระชับหนักแน่น เช่น ย่อตัวงอไหล่ เล่นแขนชี้นิ้ว โยกหน้าท้องขึ้นลง หรือเวลาเดินจะต้องก้าวไปข้างหน้าสองก้าว แล้วถอยหลังหนึ่งก้าว และเนื่องจากชุดของพรานนั้นเปลือยอก นุ่งโจงกระเบนสีแดง จึงมองเห็นการเคลื่อนไหวบริเวณส่วนพุงได้ชัดเจน เรียกเสียงหัวเราะจากคนดูได้มาก
เวลาพรานออกรำจะสวมหน้ากากที่เรียกว่า "หน้าพราน" หรือ "หัวพราน" เป็นหน้ากากครึ่งหน้า ไม่มีส่วนคาง จมูกยื่นยาว ปลายงุ้มเล็กน้อย เจาะรูตรงส่วนที่เป็นตาดำให้ผู้สวมมองเห็นได้ถนัด หน้าผากทาสีแดงทั้งหมด แต่ถ้าเป็นตัวตลกหญิงจะทาสีขาวหรือสีเนื้อ เรียกว่า "หน้าทาสี"
   หน้าพรานมีความสำคัญและอำนาจในทางศักดิ์สิทธิ์ไม่น้อยไปกว่าเทริดของโนรา เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นสิริมงคล เห็นได้จากในช่วงเข้าทรงตายาย มักเรียกลูกหลานให้เข้ามารำพรานเพื่อความโชคดี มีผู้สันนิษฐานว่า สาเหตุที่หน้าพรานมีความสำคัญเทียบเท่ากับเทริดของโนรา ก็เนื่องมาจากในอดีต "พราน" เป็นผู้มีบทบาทสำคัญต่อสังคมยุคเก็บของป่าล่าสัตว์ และก่อนที่ชาวบ้านจะรับวัฒนธรรมโนราเข้ามา ชาวบ้านเคยรำพรานในพิธีโรงครูอยู่แล้ว พรานจึงเป็นสัญลักษณ์ของความโชคดี และชาวบ้านให้ความเคารพนับถือเทียบเท่าโนรา เห็นได้จากตำแหน่งของ "หน้าพราน" หากยังไม่ได้นำมาสวม จะต้องวางบนพาไล ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับบูชาใกล้กับเทริดของโนราเท่านั้น
     ช่วงออกพรานเป็นช่วงเวลาที่โนราจะได้สื่อสารกับคนดูอย่างใกล้ชิด อาณาเขตของพื้นที่แสดงไม่ได้จำกัดเฉพาะภายในโรง แต่ขยายสู่พื้นที่ของชุมชน ในละแวกบ้านเจ้าภาพ ตัวละครบางตัวออกไปแสดงอยู่นอกโรง มีเด็ก ๆ ยืนส่งเสียงหัวเราะอยู่ใกล้ ๆ อย่างวันนี้ คณะโนราแสดงเรื่องเงาะป่า ตัวเอกแต่งกายด้วยใบไม้ ทาสีดำทั้งตัว นั่งก่อไฟปิ้งปลาอยู่ไม่ไกลจากโรง เด็กบางคนวิ่งไปจับมือจับไม้ผู้แสดงอย่างสนุกสนาน เส้นแบ่งระหว่างโลกละครกับโลกภายนอกหายไป ทำให้โนรากลายเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน และชุมชนกลายเป็นส่วนหนึ่งของโนรา
   โนราแสดงจับบทออกพรานจนครบ ๑๒ บทเมื่อเวลาล่วงเข้าบ่าย โนราพนมศิลป์สอบถามเจ้าภาพว่า มีใครมาแจ้งเอาไว้ว่าต้องการทำพิธีเหยียบเสนหรือไม่ เมื่อเจ้าภาพแจ้งว่ามียายคนหนึ่ง ในหมู่บ้านต้องการให้เหยียบเสนที่ก้นหลานชาย นายโรงจึงสั่งให้คนไปตามตัวมาเข้าพิธี
   พิธีเหยียบเสนเป็นวิธีรักษาโรคแบบดั้งเดิม ตามความเชื่อของคนในสังคมโนรา เสนที่ว่านี้คือ ปานชนิดหนึ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ถ้ามีสีดำเรียกว่า เสนดำ ถ้ามีสีแดงเรียกว่า เสนทอง ชาวบ้านเชื่อว่า "ผีเจ้าเสน" เป็นผู้ทำให้เกิดขึ้น และต้องให้โนราทำพิธีรักษา โดยการใช้นิ้วเท้าเหยียบลงบนเสน หากเหยียบครั้งแรกยังไม่หายต้องมาให้โนราเหยียบซ้ำในโรงครูครั้งต่อไป จนกว่าเสนจะหาย
   ในอดีตผู้เป็นเสนจะต้องคอยฟังข่าวว่า บ้านไหนมีพิธีโรงครู หลังจากนั้นจึงไปรอรักษา แต่ในยุคที่การแพทย์เจริญก้าวหน้า คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยเชื่อเรื่อง "ผีเจ้าเสน" จึงมีแต่ผู้เฒ่าผู้แก่ที่จูงหลานตัวน้อยมาเข้าร่วมพิธี อย่างเช่นวันนี้ ยายคนหนึ่งในหมู่บ้านอุ้มหลานชายวัยไม่ถึงขวบกระหืดกระหอบเข้ามาในโรง พร้อมกับเครื่องประกอบพิธี ที่เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อเย็นวาน คือ ขันน้ำ หมาก พลู ธูป เทียน ดอกไม้ มีดโกน หินลับมีด เงินเหรียญ เครื่องทอง เครื่องเงิน หญ้าคา หญ้าเข็ดหมอนและรวงข้าว
     ในการปราบผีเจ้าเสนให้ราบคาบ โนราจะต้องรำเฆี่ยนพราย ซึ่งเป็นท่ารำที่มีอำนาจมาก จะใช้เมื่อต้องการปราบหรือกำจัดอำนาจอื่น เช่น ต้องการปราบผี "เจ้าเสน" หรือข่มโนราคู่ต่อสู้ในการแข่งประชันโนรา โนราจะนำใบตองหรือกระดาษมาม้วนแล้วมัดเป็นเปลาะ ใช้เป็นสัญลักษณ์แทนคู่ต่อสู้ หลังจากนั้นจึงรำไปรอบ ๆ ม้วนใบตองด้วยท่าทางขึงขังประกอบเสียงดนตรีเร่งเร้า โนราใช้หวายตีม้วนใบตองสลับกับการร่ายรำ อยู่ประมาณสองสามรอบจึงเริ่มทำพิธีเหยียบเสน
   ผู้เป็นยายจับหลานชายตัวน้อยคว่ำหน้าไว้กับตัก หันส่วนก้นเด็กชายให้โนรา เพื่อให้โนราเหยียบเสนสีแดงเล็ก ๆ บนก้นได้ถนัด โนราจุ่มหัวแม่เท้าลงในขันที่เตรียมไว้ ยกขึ้นรมควันเทียน แล้วค่อย ๆ กดหัวแม่เท้าเบา ๆ บริเวณที่เป็นเสน สลับกับแตะใบมีดโกนเบา ๆ สามครั้ง ระหว่างนั้นโนราจะท่องคาถานะโม เพ่งจิตระลึกถึงคุณครู เพื่อให้พลังครูหมอส่งผ่านมายังร่างของตนและปราบผีเจ้าเสนได้สำเร็จ
   เสร็จจากพิธีเหยียบเสน โนราพนมศิลป์เดินถือผ้าขาว เข้าไปที่หิ้งผีในบ้านเพื่อรับตายายลงมา พบปะลูกหลานในพิธีเข้าทรง หลังจากนั้นโนราจึงเปลี่ยนเครื่องแต่งกายแล้วพักกินข้าวกลางวัน ก่อนจะทำพิธีเข้าทรงต่อไป   


หัวข้อ: Re: >>>-Chonburi Shock Story-<<<
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 20 กรกฎาคม 2008 11:27:47
๔. ทรงตายาย
   "ออออ...ได้ฤกษ์ยามดี ป่านนี้ชอบพระเวลา...ขอเชิญครูหมอตายาย ทุกฝ่ายมาโรงโนรา"
   นายโรงเริ่มร้องบท "เชื้อ" ตายายทุกองค์มายังโรงโนราเพื่อเตรียม "จับลง" ที่ร่างนางหนูพัน ในวัฒนธรรมโนรา ทุกตระกูลต้องมีร่างทรงที่ตายายเลือก อย่างน้อยหนึ่งคน หากร่างทรงคนเก่าตายไป ตายายจะเลือกร่างทรงคนใหม่ด้วยวิธีมาเข้าฝัน หรือทำให้ผู้นั้นป่วยไข้ หรืออาจคัดเลือกในพิธีโรงครู โดยลูกหลานทุกคนจะเข้ามานั่งในโรงโนรา แล้วคลุมผ้าขาวทีละคน ถ้าตายายเลือกใคร คนนั้นจะมีอาการสั่นเหมือนผีเข้า และต้องรับเป็นร่างทรงประจำตระกูลไปตลอดชีวิต แต่ต้องได้รับอนุญาตจากพ่อแม่หรือคู่ชีวิตเสียก่อน
   โนราวิรัตน์น้อย ส. เสน่ห์ศิลป์ โนรารุ่นเก่าจากหมู่บ้านบ่อแดง อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา กล่าวถึงเหตุผลที่พ่อแม่บางคนไม่ต้องการให้ลูกเป็นร่างทรงว่า เนื่องจากคนที่เป็นร่างทรง เมื่อตายไปจะไม่ได้ไปผุดไปเกิด วิญญาณต้องคอยวนเวียนดูแลลูกหลาน สำหรับผู้ที่มีคู่ครองแล้ว หากจะรับเป็นร่างทรง ต้องมีการจัดขันหมากไปขออนุญาตคู่ครองต่อหน้าโนรา หากคู่ครองไม่อนุญาตก็เป็นร่างทรงไม่ได้ 
     "ครูหมอเหอ..อ..อ..ได้เวลาแล้วหนา เชิญพ่อลงมา เชิญพ่อลงมาให้ไว ๆ พระเทพสิงหรของลูกเหอ..."
(http://www.sarakadee.com/feature/2001/01/images/nohra_02.jpg)
   เมื่อถึงเวลาเข้าทรง นายโรงจะกล่าวเชิญตายายโนราหรือตาหลวงทีละองค์ตามลำดับชื่อที่เจ้าภาพเขียนไว้ให้ โดยเริ่มจากตายายในตำนานมาจนถึงตายายที่เคยมีตัวตนจริง ๆ ทางฝ่ายนางหนูพันก็แต่งกายตามลักษณะเด่นของตายายทีละองค์ เช่น ตายายที่มีเชื้อจีน ร่างทรงจะนุ่งชุดกางเกงผ้าแพร ตายายที่เคยเป็นโนรา ร่างทรงจะใส่เครื่องประดับโนราบางชิ้นเป็นการบ่งบอก โดยมีพี่เลี้ยงคอยเตรียมชุดและช่วยดูแลความเรียบร้อย
   ร่างทรงที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วจะเดินบนผ้าสีขาวที่พี่เลี้ยงปู ให้ตลอดทางจากประตูบ้านสู่โรงโนรา เมื่อเข้ามานั่งบนเก้าอี้กลางโรง โนราพนมศิลป์จึงยื่นสายสิญจน์ซึ่งเชื่อมต่อมาจากหิ้งบรรพบุรุษบนบ้านให้ร่างทรงถือไว้ หลังจากนั้นจึงกล่าวเชิญตายายอีกครั้ง ระหว่างนั้นดนตรีจะบรรเลงเร่งเร้า ราวกับเร่งให้ตายายรีบไต่สายสิญจน์ จากบนบ้านมาเข้าร่างทรง เมื่อเห็นร่างนางหนูพันสั่นโยกไปมา เสียงร้องเสียงบรรเลงดนตรี จึงแผ่วลงเพื่อให้นายโรงได้ทำพิธี เชื่อมต่อโลกวิญญาณกับโลกมนุษย์
   ในช่วงเข้าทรงซึ่งเป็นภาวะคลุมเครือระหว่างโลกมนุษย์ กับโลกวิญญาณ สัญลักษณ์สำคัญที่ทำให้โลกทั้งสองกลายเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ก็คือ แสงสว่างจากเทียนไข ชาวบ้านเชื่อว่าแสงสว่างจากเทียนไข จะทำให้ตายายมองเห็น และสามารถพูดคุยกับลูกหลานในโลกมนุษย์ รวมทั้งกินเครื่องเซ่นที่ลูกหลานเตรียมไว้ให้ได้ เมื่อเห็นร่างทรงอยู่ในอาการสงบ นายโรงจึงรีบจุดเทียนไข เพื่อให้วิญญาณตายาย ที่มาอาศัยร่างนางหนูพันมองเห็นสิ่งต่าง ๆ
(http://www.sarakadee.com/feature/2001/01/images/nohra_07.jpg)
     เมื่อตายายในร่างนางหนูพันมองเห็น ภารกิจแรกที่ตายายต้องทำ คือปีนขึ้นไปบนพาไลเพื่อสำรวจว่า เครื่องเซ่นครบหรือไม่ ถ้าไม่ครบตายายจะดุด่า ลูกหลานต้องรีบไปแก้ไขจนเป็นที่พอใจ จึงลงจากพาไลมานั่งบนเก้าอี้ตามเดิม หลังจากนั้นนายโรงจึงบอกให้ลูกหลานเข้าไปพบปะพูดคุยกับตายาย บางคนถามเรื่องโชคลาภ บางคนถามเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย หรือถามถึงตายายที่เสียชีวิตไปแล้วว่า ใครไปเกิดแล้วบ้าง ถ้าตายายองค์ไหนเพิ่งเสียชีวิตไม่นาน ลูกหลานบางคนยังพอจดจำได้ ว่าเมื่อมีชีวิตอยู่มีลักษณะเด่นอย่างไร ตายายที่เข้าทรงในร่างนางหนูพัน ก็จะแสดงลักษณะเด่นออกมา เช่น ลักษณะท่าทาง การพูดจา หรือนิสัยต่าง ๆ เช่น ชอบสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ลูกหลานที่เคยใกล้ชิดก็จะเข้าไปกอด หรือร้องไห้ด้วยความคิดถึง ก่อนจากกัน ตายายในร่างทรงมักขอให้ลูกหลานรำหน้าพรานให้ชม เพื่อความเป็นสิริมงคลของลูกหลานคนนั้น
   ตอนแรกลูกหลานจะเขินอาย ไม่กล้ารำ แต่เมื่อโนรายื่นหน้าพรานให้ใส่จึงหายเขินอาย ร่ายรำยักย้ายยกไหล่โยกพุงได้ ราวกับตัวพรานที่ผ่านการฝึกปรือมาก่อน หน้าพรานทำหน้าที่เปลี่ยนผ่านจากสภาวะปรกติเข้าสู่ภาวะสมมุติ ทำให้ผู้เข้าร่วมพิธี กลายเป็นอีกคนหนึ่ง และจะกลับเป็นคนเดิมเมื่อถอดหน้ากาก
   เมื่อพบปะกันจนหายคิดถึงแล้ว ตายายก็จะกินเครื่องเซ่น หรือ กิน "หมรับ" (อ่านว่า "หมับ") ด้วยการใช้เทียนไขวนรอบเครื่องเซ่นและอมเปลวไฟจนดับ แล้วร่างก็ "บัด" จากไป โดยก่อนวิญญาณออกจากร่างทรง โนราจะร้องบทส่งครู คลอไปกับเสียงดนตรีซึ่งบรรเลงเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งร่างทรงสั่นโยกรุนแรงและเข้าสู่ภาวะหยุดนิ่ง จึงเป็นอันรู้กันว่า ตายายออกจากร่างนางหนูพันเรียบร้อยแล้ว
   ในบางครั้งตายายอาจไม่ยอมออกจากร่างทรง หากลูกหลานหรือโนราทำสิ่งไม่ถูกต้องตามธรรมเนียม เช่น โนราแต่งเครื่องทรงไม่ครบ ตายายจะไม่ยอมออกจากร่างทรงจนถึงรุ่งเช้า ต้องไปตามโนราอีกคนหนึ่งมาช่วย พอสอบถามตายายจึงรู้สาเหตุ พอโนราแต่งกายใหม่ ตายายก็ยอมออกจากร่าง
   หลังจากนั้นนางหนูพันจึงเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย ตามลักษณะครูหมอ หรือตายายองค์ถัดไปจนครบ เนื่องจากพิธีครั้งนี้เป็นโรงครูใหญ่ ช่วงเวลาเข้าทรงเริ่มตั้งแต่บ่ายวันพฤหัสบดีจนเย็นวันศุกร์ หยุดพักเฉพาะช่วงกลางคืนเพื่อเปลี่ยนให้คณะโนราแสดงร่ายรำเพื่อความบันเทิง และในเช้าวันเสาร์ซึ่งป็นวันส่งครู นางหนูพันจะต้องกลับมาทำหน้าที่ร่างทรงอีกครั้ง เพื่อนัดแนะการทำพิธีครั้งต่อไป 


หัวข้อ: Re: >>>-Chonburi Shock Story-<<<
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 20 กรกฎาคม 2008 11:28:01
๕. ส่งครูสู่โลกวิญญาณ
   ในวันสุดท้ายซึ่งเป็นวันส่งครู โนราจะต้องใช้ความรู้ความเชิงไสยศาสตร์อย่างเต็มที่ เพื่อส่งวิญญาณตายายกลับสู่ภพหน้าอย่างสงบสุข และกำจัดวิญญาณฝ่ายร้ายไม่ให้วนเวียนอยู่ใกล้บ้านเจ้าภาพ เนื่องจากผีในวัฒนธรรมภาคใต้มีหลายพวก เมื่อทำพิธีชุมนุมครูในวันแรก จะมีทั้งผีที่ต้องการและไม่ต้องการให้มาร่วมงาน ผีที่ต้องการให้เข้าร่วมพิธีก็เช่น ผีเทวดา หรือผีตายาย จะสามารถเข้ามาอาศัยในโรงโนราได้ ส่วนผีที่ไม่ต้องการ เช่น ผีตายโหง ผีไม่มีญาติ จะอยู่ด้านนอก ในวันส่งครู โนราจะต้องส่งผีกลับสู่โลกวิญญาณ ห้ามมายุ่งเกี่ยวกับมนุษย์ ถ้าเป็นผีฝ่ายดีอย่างผีครูหมอ ผีทิศ ก็พอจะขอร้องกันได้ ไม่ต้องตีต้องไล่ แต่ถ้าเป็นผีฝ่ายร้าย พวกผีตายพรายตายโหงจะเป็นพวกที่พูดกันไม่ค่อยรู้เรื่องและไม่ค่อยยอมไป บางครั้งต้องใช้ไม้หวายตีขับไล่ เพื่อให้มั่นใจว่าส่งกลับสู่โลกวิญญาณไปหมดแล้ว ถ้าโนรามีอาคมไม่เก่งพอ ไล่ผีไม่ไป ผีจะวนเวียนเกาะกินความสุขความเจริญ ของเจ้าบ้านจนล่มจมไปในที่สุด
   หนทางแก้ไขมีทางเดียวคือ ต้องเชิญคณะโนราที่เก่งกว่ามาทำพิธีแก้ ด้วยเหตุนี้พิธีส่งครู จึงเต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของเจ้าภาพ
   ช่วงเช้าโนราจะต้องเชิญตายายทั้งหมดมา "จับลง" ที่ร่างนางหนูพันอีกครั้ง แต่คราวนี้จะเชิญตายายทุกองค์พร้อมกันเพื่อมารับเครื่องเซ่นเป็นครั้งสุดท้าย และนัดหมายวันเวลาประกอบพิธีโรงครูครั้งต่อไป ร่างทรงในวันนี้จึงเป็นร่างของตายายรวม ๆ กัน เวลาจะกินเครื่องเซ่นหรือ "เหวยหมรับ" ร่างทรงจะต้องอมเทียน เท่ากับจำนวนตายายที่มาเข้าทรงพร้อมกัน
   ต่อจากนั้น จึงถึงเวลารำส่งครู เริ่มจากแสดงละครสั้นประมาณ ๒๐ นาที และร่ายรำประกอบบทนางนกจอกซึ่งมีเนื้อหาเศร้าสะเทือนใจ ทำเอาลูกหลานบางคนถึงกับน้ำตาคลอและใจหายกับการลาจากครั้งนี้   
     เธียรชัย อัครเดช นักศึกษาปริญญาโท ภาควิชามานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ผู้ศึกษาพิธีกรรมโนราโรงครู วิเคราะห์ความหมายของพิธีกรรมนี้ว่า
   เป็นพิธีกรรมแห่งการผูกมัดและตัดขาด คือ พิธีจะค่อย ๆ สร้างความผูกมัดเป็นระยะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และตัดขาดในวันสุดท้าย เริ่มตั้งแต่การปลูกโรง โครงสร้างต่าง ๆ เชื่อมต่อกันด้วยการมัด ไม่ใช้การตอกตะปู เมื่อเข้าสู่พิธีกรรมวันแรกจนถึงวันที่ ๒ โนราจะกล่าวถึงความผูกพันกับพ่อแม่ครูอาจารย์ แทรกอยู่ในบทร้อง และบทรำ และเมื่อเข้าสู่วันส่งครู บทร้องก็จะมีเนื้อหาในเชิงลาจาก โนราจะต้องทำพิธีตัดโครงสร้างบางส่วนของโรงออก เพื่อแสดงถึงการตัดขาด ทว่าการตัดขาดไม่ได้หมายความว่าเลิกเคารพผีบรรพบุรุษ แต่เป็นการตัดขาดจากเรื่องที่บนบานไหว้ และตัดขาดจากความอาลัยอาวรณ์ เพื่อให้วิญญาณกลับไปอยู่ภพของตน ลูกหลานได้กลับไปใช้ชีวิตตามปรกติ
   สัญลักษณ์ของการตัดขาดคือสับจีบหมากพลู และเทียนอันเป็นเครื่องบูชาบรรพบุรุษออก อย่างไร้เยื่อใย ปีนขึ้นไปบนพาไลเพื่อตัดจากบนหลังคาออกสามตับ และเปิดออกไปด้านนอกจนเห็นท้องฟ้าเพื่อส่งวิญญาณ หลังจากนั้นจึงกลับลงมาที่สาดคล้า ซึ่งเป็นตัวแทนของแผ่นดินที่ตายายสิงสถิต พลิกสาดกลับอีกด้านหนึ่ง เพื่อให้โลกวิญญาณและโลกปัจจุบันหลุดขาดออกจากกัน ระหว่างนั้นนายโรงจะว่า "คาถาตัดหนวด" ซึ่งเป็นคาถาที่ใช้ในการแก้บนให้ขาด หากโนราไม่รู้คาถานี้จะทำพิธีโรงครูไม่ได้ เพราะจะทำให้พันธะสัญญา ระหว่างเจ้าบ้านกับตายายไม่ขาดจากกัน ตายายจะมาตามทวงสัญญาจนลูกหลานอยู่ไม่สงบ และต้องเสียเงินทำพิธีโรงครู เพื่อแก้บนให้ขาดอีกครั้ง
   เมื่อส่งวิญญาณตายายเรียบร้อยแล้ว นายโรงจะทำพิธีไล่ผีที่ไม่ต้องการ โดยตัดชิ้นส่วนเครื่องเซ่นโยนให้ผีที่อยู่ด้านใต้พาไล เพื่อให้ผีออกไปทางนั้น หากใครเผลอไปยืนใต้พาไลเข้าจะถูกโนราเอ็ดเสียงดังเพราะเป็นทางผีผ่าน เมื่อส่งวิญญาณและไล่ผีเรียบร้อยแล้ว นายโรงก็ดับเทียนไขทุกดวงเพื่อยุติการติดต่อกับโลกวิญญาณ ถือเป็นอันเสร็จพิธี 
     นางหนูพันและญาติพี่น้องทุกคนต่างมีสีหน้าโล่งใจ ที่พิธีกรรมจบลงด้วยดี โดยไม่มีเหตุการณ์โกลาหลเกิดขึ้น เช่น ตายายไม่ยอมออกจากร่างทรง หรือมีผีมารบกวนจนพิธีกรรมปั่นป่วน ดังที่เคยเกิดขึ้นในบางงาน บรรดาญาติพี่น้องต่างเข้ามาช่วยกันเก็บของ และเตรียมตัวแยกย้ายกันกลับไปประกอบอาชีพของตนตามปรกติ ทางฝ่ายคณะโนราก็ทยอยขนของกลับขึ้นรถบรรทุกคันเดิม หลังจากนั้นต่างคนต่างก็แยกย้าย กลับไปพักผ่อนที่บ้านของตน ก่อนจะกลับมารวมกันใหม่ที่บ้านโนราพนมศิลป์ในวันพุธหน้า เพื่อไปเล่นโรงครูที่บ้านอื่นต่อไป
   ทุกวันนี้ คณะโนราที่มีความสามารถในการประกอบพิธีโรงครูแบบดั้งเดิมเหลือน้อยลง โนรารุ่นเก่าอย่างโนราพนมศิลป์จึงได้รับความนิยมและจองคิวล่วงหน้าเอาไว้จนถึงปีหน้า วิถีชีวิตของพวกเขา คงจะเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกนานตราบเท่าที่พิธีกรรม ยังคงตอบสนองความต้องการทางจิตใจ ของลูกหลานโนรา
   สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ แม้ว่าความเชื่อเรื่องตายาย จะยังไม่จางหายไปจากจิตใจ ของลูกหลานโนรา แต่ความนิยมในการตั้งโรงครูแบบดั้งเดิมอาจลดน้อยลง เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการนี้แต่ละครั้งค่อนข้างสูง ชาวบ้านหลายคนจึงหันไปประกอบพิธีกรรมรูปแบบอื่น ที่สามารถตอบสนองความต้องการทางจิตใจ ตามฐานะทางเศรษฐกิจของตนได้ 


หัวข้อ: Re: >>>-Chonburi Shock Story-<<<
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 20 กรกฎาคม 2008 11:28:12
๖. โรงครูยุคโลกาภิวัตน์
   ที่วัดท่าคุระ อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา ไม่ไกลจากหมู่บ้านบ่ออิฐ มีงานโนราโรงครูชาวบ้านอีกรูปแบบหนึ่ง ที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการทำพิธีไม่แพง และไม่ต้องเตรียมงานเองให้วุ่นวาย เพราะทางวัดจัดเตรียมไว้ให้หมด ผู้เข้าร่วมพิธีเพียงแค่เสียเงินซื้อตั๋วในราคา ๒๐ บาทเท่านั้น
   พิธีกรรมโนราโรงครูที่นี่ผูกพันกับชุดตำนาน ที่มีเจ้าแม่อยู่หัวเป็นนางเอก ภายในวัดมีพระพุทธรูปทองคำปางสมาธิ ขนาดหน้าตักกว้าง ๒ เซนติเมตร สูงประมาณ ๒.๕ เซนติเมตร ชาวบ้านท่าคุระ และตำบลใกล้เคียงเรียกว่า "เจ้าแม่อยู่หัว" และเชื่อว่าเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง และเคารพเจ้าแม่อยู่หัวเช่นเดียวกับครูหมอโนรา ดังนั้นจึงต้องจัดโนราโรงครูมารำถวายทุกวันพุธแรกของข้างแรม ๑ ค่ำ เดือน ๖ ของทุกปี (ถ้าวันตรงกับวันพระ ให้เลื่อนเป็นพุธถัดไป) เรียกว่า "งานตายายย่าน" มีระยะเวลาสองวัน คือ เริ่มบ่ายวันพุธถึงบ่ายวันพฤหัสบดี โดยทางวัดรับหน้าที่เตรียมงาน
   จุดมุ่งหมายของการรำโนราโรงครูของชาวบ้านท่าคุระ เพื่อรำถวายเจ้าแม่อยู่หัว และทำพิธีแก้บนให้แก่ชาวบ้าน หากใครบนด้วยการบวช ผู้บวชจะต้องแจ้งความประสงค์ต่อคณะกรรมการวัดซึ่งได้จัดไว้เป็นแผนก ๆ และทำพิธีบวชในวันอังคารหรือเช้าวันพุธ ส่วนจะบวชกี่วันขึ้นอยู่กับเวลา และความต้องการของผู้บวช หากบนด้วยโนราโรงครูก็จะต้องรอแก้บนในวันพฤหัสบดี   
     พิธีกรรมในวันแรกมีการอัญเชิญ และสรงน้ำพระพุทธรูปเจ้าแม่อยู่หัว โดยมีพราหมณ์หรือตาหมอ ผู้อาวุโสที่ได้รับการยอมรับจากชุมชน แต่งตัวนุ่งขาวห่มขาวอัญเชิญเจ้าแม่อยู่หัว ออกจากผอบที่ประดิษฐานมายังมณฑป เพื่อทำพิธีสรงน้ำหน้าพระประธานในมณฑป น้ำที่สรงพระพุทธรูปเจ้าแม่อยู่หัวแล้ว ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ หากใช้ผสมน้ำอาบ หรือประพรมศีรษะ จะเป็นสิริมงคล และช่วยรักษาอาการป่วยไข้ ช่วงเย็น คณะโนราจะเข้าโรงทำพิธีเบิกโรง ลงโรง กาศครู กราบครู โนราใหญ่รำถวายครู ปิดท้ายของวันด้วยการรำให้ชาวบ้านชม
   พิธีกรรมในวันที่ ๒ คือวันพฤหัสบดีเป็นพิธีใหญ่ เพราะถือกันว่าเป็นวันครู พิธีกรรมในวันนี้มีอยู่สองลักษณะ คือ พิธีกรรมเพื่อเซ่นไหว้ครูและแก้บนเจ้าแม่อยู่หัว ครูหมอโนรา หรือตายายโนรา และพิธีกรรมเพื่อการเหยียบเสน
   การทำพิธีเซ่นไหว้ครูหมอโนราหรือตายายโนรา ชาวบ้านที่บนบานเอาไว้จะนำสิ่งของแก้บน ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องใช้ เครื่องแต่งตัวโนรา ส่งให้โนราใหญ่พร้อมพานหมาก และเงินทำบุญที่เรียกว่า "เงินชาตายาย" ตามที่ได้บนไว้ตามกำลังศรัทธาของแต่ละคน
   ส่วนพิธีแก้บนเจ้าแม่อยู่หัว และครูหมอโนราด้วยการรำโนราถวาย หรือรำทรงเครื่อง และรำออกพราน จะมีชาวบ้านจำนวนมากทั้งที่เป็นชาวบ้านท่าคุระตำบลใกล้เคียง และต่างจังหวัดมาร่วมงาน และแก้บน
   เนื่องจากงานตายายย่านเป็นงานที่จัดขึ้นทุกปี ทางวัดจึงสร้างโรงเป็นการถาวร มีคณะกรรมการฝ่ายต่าง ๆ จัดเตรียมความพร้อม และบริหารงานอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายแสงเสียง ฝ่ายพิธีกรรม ฝ่ายจำหน่ายบัตรแก้บน เมื่อชาวบ้านมาถึงงาน เพียงแค่เดินตรงไปที่เคาน์เตอร์จำหน่ายบัตร เลือกชนิดรำแก้บนที่ต้องการ ถ้ารำทรงเครื่อง" คนละ ๒๐ บาท ส่วนรำออกพรานคนละ ๑๐ บาท   
     การรำทรงเครื่อง ชาวบ้านผู้ต้องการแก้บน จะต้องแต่งตัวด้วยเครื่องโนรา ซึ่งคณะกรรมการวัดคอยอำนวยความสะดวก เรื่องเครื่องแต่งกายให้ หลังจากนั้นจึงนำพานดอกไม้ธูปเทียน หมากพลู เงิน ๑๒ บาทไปมอบให้โนราใหญ่ โนราใหญ่จะรำนำแล้วให้ผู้แก้บนรำตามสั้น ๆ พอเป็นพิธี ส่วนการแก้บนด้วยการรำออกพรานหรือจับบทออกพราน ก็ทำเช่นเดียวกัน เพียงแต่ผู้แก้บนจะต้องแต่งชุดรำออกพรานและใช้บทรำต่างออกไป
   โนราจะรำแก้บนจนถึงบ่ายวันพฤหัสบดี จึงหมดเวลาของพิธีกรรมนี้ หลังจากนั้นจึงถามผู้มาร่วมงานว่าใครต้องการทำพิธีเหยียบเสน หากไม่มี โนราใหญ่จะร้องบทชาครูหมอโนรา และเจ้าแม่อยู่หัว เพื่อให้ชาวบ้านนำเงินมาบูชาครูตามกำลังศรัทธา หลังจากนั้นโนราจะกรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศลให้ตายาย ร้องบทส่งครูหมอโนรา และพิธีตัดเหฺมฺรย หรือตัดพันธสัญญาที่ให้ไว้ต่อกัน
   ปัจจุบันค่าใช้จ่ายในการตั้งโรงครูเป็นตัวเงินค่อนข้างสูง ลูกหลานโนราจึงหันมาแก้บนที่งานตายายย่านกันมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงรูปแบบพิธีกรรมดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่า แม้สังคมภายนอกจะเปลี่ยนแปลงไปเพียงใด ความเชื่อเรื่องตายาย ของลูกหลานโนรากลับยังดำรงอยู่ ในรูปแบบพิธีกรรมใหม่ ที่สอดคล้องกับสังคมยุคปัจจุบัน แม้ว่าการแก้บนจะเป็นไปอย่างรวบรัดมากขึ้น แต่ความหมายของพิธีกรรมก็ยังเหมือนเดิม คือ ขอบคุณตายายที่ดูแลทุกข์ของพวกเขาตลอดมา
   แม้รูปแบบของพิธีกรรมจะเปลี่ยนแปลงไป หากความเชื่อเรื่องตายาย ยังคงทำหน้าที่ตอบสนองความต้องการทางจิตใจ ของชาวบ้านอยู่ไม่เปลี่ยนแปร นั่นหมายความว่า พิธีโนราโรงครู วัฒนธรรมเก่าแก่ของชาวบ้าน รอบทะเลสาบสงขลา จะคงผูกสัมพันธ์ชาวใต้อยู่ต่อไป 


หัวข้อ: Re: >>>-Chonburi Shock Story-<<<
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 20 กรกฎาคม 2008 11:34:28
ส่วนอันนี้ผี พนัน(ของแท้) 555
(http://www.seclub.com/forum/files/24_169.jpg)


หัวข้อ: Re: <<!!CHONBURI HORROR ZONE!!>>
เริ่มหัวข้อโดย: Thunyawat ที่ 21 กรกฎาคม 2008 11:58:20
ผีพนันนี่ของแท้เลยนะเนี่ย เถียงไม่ออกเลย


หัวข้อ: Re: <<!!CHONBURI HORROR ZONE!!>>
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 21 กรกฎาคม 2008 20:35:00
ผีพนันนี่ของแท้เลยนะเนี่ย เถียงไม่ออกเลย

ของมันแรงครับ หุหุ


หัวข้อ: Re: <<!!CHONBURI HORROR ZONE!!>>
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 22 กรกฎาคม 2008 20:49:44
ถอนของ
นี่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับผมเองเมื่อวันเสาร์ที่19 พ.ค.50 นี่เอง....

สืบเนื่องจากผมเจ็บปวดทรมานที่กระเพาะมานานหลายปี รักษากินยาอย่างไรก็ไม่หาย สุดท้ายไปส่องกล้องเมื่อต้นเดือนก็ไม่พบว่าเป็นอะไรมากเป็นกระเพาะอักเสบไม่มีแผล และทำการเอ็กซเรย์แป้งโดยสอดเข้าทางทวารหนักและเป่าลมเพื่อดูจุดที่เจ็บปวดว่ามีอะไรเกิดขึ้น ระหว่างดำเนินการผมได้รับความทรมานมาก แต่พอฟังผลบอกว่าไม่มีอะไรเลย.....
ผมจึงไปเล่าให้อจ.ฟัง ท่านเป็นฆราวาส เก่งด้านสมาธิได้อภิญญา ท่านหลับตาแล้วบอกว่าโดนของ ให้ไป จ.จันทบุรีเขาสอยดาว ให้เบอร์โทรไปติดต่อไปเอง
ผมไม่เชื่อและไม่คิดว่าจะเป็นความจริงแต่อย่างใดเพราะเป็นคนนั่งสมาธิและพกพระติดตัวตลอดไปไหนมาไหน มันจะเป็นไปได้อย่างไร..ที่ผมจะโดนของและสิ่งเปล่านี้ยังมีอยู่ในโลกยุคไฮเทคขนาดนี้อยู่อีกหรือ

แต่ผมก็ยินยอมไปเพราะจะลองพิสูจน์ดูว่า อจ.ท่านจะเก่งจริงหรือเปล่า

ปรากฎว่าวันที่ไปที่นั่นพบ คนมาจากกรุงเทพอีก สามกลุ่ม ...มาถอนของเช่นกัน เค้าน่ากลัวกว่าผมเสียอีก

ที่นี่เขาให้แป้งมันมาถุงนึง ให้เรามาปั้นเองเป็นก้อนเท่าซาลาเปา สามลูก วางใส่ในจาน ให้เรานอนแล้วเขาเอาสายสินผูกนิ้วมือนิ้วเท้า แล้วให้เราเอามือวางไว้บนจานแป้งที่เราเองเป็นคนปั้นนั่นแหละไม่ได้เอาไปไว้ไหนเลย ....แล้วเขาก็สวดเป็นภาษาเขมรเป่าๆตามตัวอยู่ครึ่งนาที แล้วหยิบแป้งที่เราปั้นใส่จานไว้นั่นแหละ ทีละลูกมากลิ้งจากใบหน้าและไปตามตัวจนถึงเท้า แล้วเปลี่ยนลูกใหม่ จนครบสามลูก
แล้วบอกว่าเสร็จแล้วให้ลุกขึ้นนั่ง พอผมลุกขึ้นนั่งเข้าก็หยิบแป้งที่วนแล้วนั่นแหละมาบิออกดู...
ปรากฎเจอผ้าห่อศพพันไว้ขนาดหัวแม่มือมีคราบหนองและเลือดอย่างสดๆเลย อยู่ข้างในลูกซาลาเปานั่นเหมือนที่เราบิซาลาเปาออกแล้วเจอไส้ดำของซาลาเปายังไงยังงั้น หมอหยิบออกมาคลี่ออกเจอตะปูอีกสองตัว..ในห่อผ้านั่นแล้วพูดว่าตะปูตัวงอนี่ทำให้จุก...หมอหยิบอย่างไม่ได้รังเกียจผ้าห่อศพเลยครับ
ผมเห็นแล้วอุทานด้วยความลืมตัวว่า โอ มายก็อด(พระพุทธเจ้า)...นี่เป็นความจริงหรือวะนี่ มีสิ่งนี้อยู่จริงในโลกไฮเทคนี่ด้วยหรือ..สติแทบแตก...

ผมพิจารณาดูว่า มายากลหรือเปล่า ก็เห็นจากคนอื่นๆที่มาถอน ประเด็นเปลี่ยนลูกซาลาเปา ตัดทิ้งได้เลยเพราะอยูในสายตาและกับมือของเราเองตลอด
ส่วนว่าซ่อนของไว้ในมือแล้วตอนหยิบลูกซาลาเปาแล้วยัดเข้าไปตอนนั้นก็อาจเป็นไปได้ แต่ลูกซาลาเปามันคงจะแตกไม่สวยอย่างตอนปั้น อันนี้ก็น่าคิด
ผมทำอีกรอบให้ชั่วร์ว่าของหมด ครั้งที่สองนี่ไม่เจอแล้ว

กลุ่มอี่นหนักกว่าผมที่ว่า ผู้หญิงท่านนึง บิก้อนซาลาเปาออกมาเจอมีผ้าห่อศพอย่างสดน้ำเหลืองคราบเลือดแล้วมีกระดูกสันหลังผีตายโหงออกมาด้วยแล้วกลิ่นเหม็นสะอิดสะเอียนมาก เฉพาะกระดูกสันหลัง1ข้อนี่ใหญ่แค่ไหนคิดดู แล้วมีผมกับตะปูด้วย ผู้หญิงคนนี้ทำสองครั้ง ครั้งที่สองเจออีก กระดูกหัวแม่มือหรือข้อนิ้วผีตายโหง ผ้าห่อศพแล้วก็ตะปู.. เห็นแล้วต้องร้องจ๊ากเลยครับ

อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังไม่วางใจ ผมกลับมาก็มานึกว่า ถ้ามายากลนี่ ไอ้โรคปวดท้องต้องไม่หายแน่ อ้อ... ให้ยามาต้มกินอีก 6 วันด้วย ปรากฎว่านี่เข้าวันที่ 3 อาการแทบจะหายปลิดทิ้งเลยครับ..ความทรมานมาร่วม 5 ปีหายไปแล้ว ผมเองยังไม่อยากจะเชื่อว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมเป็นเรื่องจริง กับโลกไอทีเยี่ยงนี้ ยังมีสิ่งเหล่านี้อยู่อีกด้วย แล้วพระต่างๆที่ผมใส่อยู่ทำไมคุ้มครองไม่ได้ นี่แค่ ของลมเพลมพัดนะเนี่ย
ผมเชื่อว่าใครก็ตามถ้าไม่คุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้ ถ้าอยู่ในเหตุการณ์รับรองร้องจ๊ากกันทุกคนครับ

ขอรับรองว่าเป็นความจริงทุกประการ......


หัวข้อ: Re: <<!!CHONBURI HORROR ZONE!!>>
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 22 กรกฎาคม 2008 20:51:37
กลายเป็นปอบ เพราะเรียนมนต์ดำ
ผีปอบ เพียงแต่ชื่อที่เรียกขานชื่อก็ สร้างความหวาด ในยามใดที่มีข่าวชาวบ้านย่านถิ่น ไม่เป็น อันกินอันนอน ด้วยกลัวว่ามันจะมาล้วงตับไปกิน...!!!

ความลี้ลับที่ยังไม่มีใครสรุปออกมาแน่ชัดว่ามีจริงหรือไม่ แต่ก็ฝังลึกอยู่ในจิตใจของชาวอีสานและชุมชนประเทศเพื่อนบ้าน ที่อาณาเขตเชื่อมต่อ

ทั้งนี้อาจมาจาก ความเชื่อในศรัทธาของพลังเหนือธรรมชาติ ซึ่งแต่ละชุมชนหรือหมู่บ้านจะมีผู้ที่มีวิชาอาคมในทางไสยศาสตร์ เวทมนตร์คาถาที่ขลัง ส่วนจะมากหรือน้อยนั้นก็แล้วแต่

และผู้มีมนต์ดำนั้น ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อบังคับ ถือว่า ผิดครู ซึ่งภาษาท้องถิ่นเรียกว่า ?คะลำ? พลังของวิชาเกิดอาเพศย้อนเข้าตัว ผู้นั้นจึงกลายเป็น ปอบ หรือ ผีปอบ

ผีปอบ...เชื่อกันว่าเป็นวิญญาณร้ายที่ออกคร่าชีวิตผู้คน ซึ่ง นักปิศาจวิทยา (หมอผี) ได้จำแนกปอบ เช่น ปอบธรรมดา หมายถึงคนที่ถูกปอบสิงเมื่อตายปอบก็จะ ตายไปด้วย

ปอบเชื้อ...คือครอบครัวที่พ่อหรือแม่เป็นปอบ เมื่อตายไปลูกหลานจะสืบทอดเป็นปอบต่อ ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม แล้วก็ยังมีปอบชนิดอื่นๆอีกหลายประเภท

เมื่อปอบเข้าสิง จะมีอาการไม่เหมือนกัน บางคนแสดงกิริยาดุร้าย บางคนซมคล้ายกับอาการป่วยหนัก บางคนร่ำไห้รำพันต่างๆนานา ไม่ว่าจะมีอาการที่แตกต่างอย่างไร จะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน

คือ....เรียกร้อง อาหาร เนื้อสัตว์สุกๆดิบๆ มากิน และเวลากินจะมูมมามผิดปกติ

แม้ว่าจะเป็นความเชื่อของชาวอีสาน ก็มิใช่ว่า ?ผีปอบ? จะอาละวาดเพียงภูมิภาคนี้เท่านั้น ในกรุงเทพฯที่ว่าเป็นเมืองศิวิไลซ์ก็มีมาเยือนเหมือนกัน...

เหตุการณ์นี้คนที่อายุ 60 ปีขึ้นไป คงจำได้ที่งานวัดโคก หรือวัดพลับพลาไชย ใกล้กับโรงพยาบาลกลาง ตอนนั้นจัดงานวัด ผู้หญิงคนหนึ่งมีอาการตาขวางซึม ไม่ยอมพูดจากับใคร

แล้วก็คลุ้มคลั่งร้องเพลงทั้งไทย ทั้งจีน กินอาหารสดคาวและมูมมาม ญาติพี่น้องพากันตกใจรู้ว่าผีเข้าแน่ จึงได้เชิญซินแสที่โรงเจใกล้ๆ มาทำพิธีไล่ อาการสงบแต่ก็ยังไม่ยอมออก

จากนั้นได้นิมนต์พระครูเมี้ยน จากวัดพระเชตุพนฯ มาปราบ ก่อนที่ผีปอบจะออกได้ร้องครวญครางบอกว่า เคยเป็นลูกจ้าง ของผู้หญิงคนนั้น เพียงตั้งใจจะมาเยี่ยมเฉยๆ แล้วก็ยอมไปแต่โดยดี เรื่องของผีปอบวัดโคก เป็นที่โจษจันกันมาก ในยามนั้น

และก็มีข่าวของผีปอบประปราย ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ภาคอีสาน บางครั้งถึงขนาดที่ต้องไล่ผีปอบกันยกหมู่บ้านเลยทีเดียว

ล่าสุด ช่วงใกล้เทศกาลออกพรรษา ซึ่งมีคนผ่านข้ามแม่น้ำของ จากไทยไปลาวและลาวมาไทย นางสาวสุริพงษ์ ( ขอสงวนนามสกุล ) หรือ ?อีนาง? อายุ 18 ปี อยู่แขวงสุวรรณเขต ประเทศลาว เป็นผู้หนึ่งในจำนวนเหล่านั้นที่ข้ามมาหางานทำที่ฝั่งไทย

อีนาง มีพี่ชายบวชเป็นพระอยู่ที่ วัดป่าหนอง-ช้างคาว อำเภอกู่แก้ว จังหวัดอุดรธานีจึงได้แวะเยือน ขณะที่จะเข้าไปในวัดนั้นได้ เกิดอาการร้อนซ่าที่ฝ่าเท้า ต้องกัดฟันทนเดินกระย่องกระแย่งจนถึงกุฏิพี่ชายของเธอ

หลวงพ่อไม อินทสิริ เจ้าอาวาสฯ เห็นอาการรู้สึกแปลกใจ จึงได้ถามไถ่ว่าเป็นใครก็ไม่ได้รับคำตอบ ทำตาขวางซึม ลักษณะคล้ายๆ ปอบ จึงได้ให้ โยมลูกศิษย์ที่บ้านอยู่ข้างวัด เอาพระผงอุปคุตเข้าไปคล้องคออีนาง

พลัน...อีนางหวีดร้องเสียงดัง แล้วพูดเป็นภาษาลาวว่า โอ้ย...ฮ้อนๆๆๆ !!

หลวงพ่อไม จึงทราบด้วยฌานว่า มีผีสิงในร่างของอีนาง...!!!

แล้วจึงให้อีนางพักที่วัด มีโยมลูกศิษย์คอยดูแล โดยให้กราบพระพุทธรูปแล้วให้ท่อง พุทโธ ตลอดทั้งคืน รุ่งเช้าหลวงพ่อได้ทำพิธีปราบผีปอบในตัวอีนางอีกครั้ง จนกระทั่งร่างปอบนั้นยอมสารภาพว่าเป็นปอบมาได้ 3 ปีแล้ว

ได้เรียนวิชาปอบมาตั้งแต่อายุได้ 15 ปี เรียนกับ ครูบาใหญ่ ซึ่งมีลูกศิษย์อยู่ราว 500 คน ถ้าครบ 1,000 คนเมื่อใดจะเปิดเป็น โรงเรียนผีปอบ เพราะตอนนี้ลำบากมากต้องไปสอนกันในป่าช้า

แล้วบอกต่อว่า ปอบชอบกินแม่ลูกอ่อน เพราะกลิ่นหอมดี ผู้หญิงที่คลอดลูกตายทั้งแม่ทั้งลูกนั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากการกระทำของผีปอบ ไม่ใช่ ตายแบบธรรมดา

หากใครเอาเลือดทารกและแม่ลูกอ่อนไปให้หัวหน้าผี ก็จะได้รับการยกย่องชมเชย และหากหาไม่ได้ก็จะจับปลา จับกบ เขียดสดๆ มากินประทังความหิว


ส่วนอีนางนั้น ยังเป็นปอบละอ่อนไม่แกร่งกล้า เคยกินเลือดคนเพียงครั้งเดียว ตอนนั้นเพื่อนถูกรถชนตาย เธอจึงเข้าไปกอบเอาเลือดสดๆ กิน รู้สึกอิ่มอร่อยมีแฮง (มีพละกำลัง) และติดใจกลับบ้านไปนอนหลับสบาย

ต่อมา...ยามใดเกิดอาการอ่อนเพลียก็จะไปหาเลือดสดๆ กิน โดยหาซื้อเลือดวัว เลือดหมู หรือไก่ จากตลาดสด ขณะกินจะไม่ให้คนเห็น

แล้วปอบอีนางบอกถึงมนต์ดำที่เรียนมาว่า เป็นวิชาที่ทำให้มีมีหนุ่มๆ มาติดพัน ผู้ที่ได้วิชานี้มาไม่ว่าจะแก่ขนาดไหนก็จะมีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้าม

ด้วยศาสตร์นี้ เป็นเดียรัจฉานวิชา หลวงพ่อไมจึงได้ไล่ปอบ ออกจากตัวด้วยการใช้ ว่านไฟ (ไพล) กับ พระอุปคุต และตอนนี้ออกจากตัวของอีนางแล้ว

เธอบอกว่า เมื่อปอบออกจากร่าง มีอาการคล้ายกับมีตัวอะไรกระโดดกระดุ๊บๆออกจากตัวเธอลงไปที่ขา แล้วผลุดออกไปทางหัวแม่เท้า

เมื่อปอบออกไปแล้ว หลวงพ่อไมจึงได้เอาสายสิญจน์ผูกข้อเท้าทั้ง 2 ข้าง ข้อมือ 2 ข้าง แล้วที่คอเอาพระผงอุปคุตห้อยไว้ กันผีปอบกลับเข้ามาสิงที่ร่างอีกครั้ง


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 25 กรกฎาคม 2008 21:41:32
ขัยบกระทู้ ผีผี หน่อย เหอเหอเหอ (กระทู้นี้ จงยืนยงคู่โลก และ AE Racing Club ตลอดไป)


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: โน่ SRC ™ ที่ 27 กรกฎาคม 2008 15:11:16
นี่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับผมเองเมื่อวันเสาร์ที่19 พ.ค.50 นี่เอง....

สืบเนื่องจากผมเจ็บปวดทรมานที่กระเพาะมานานหลายปี รักษากินยาอย่างไรก็ไม่หาย สุดท้ายไปส่องกล้องเมื่อต้นเดือนก็ไม่พบว่าเป็นอะไรมากเป็นกระเพาะอักเสบไม่มีแผล และทำการเอ็กซเรย์แป้งโดยสอดเข้าทางทวารหนักและเป่าลมเพื่อดูจุดที่เจ็บปวดว่ามีอะไรเกิดขึ้น ระหว่างดำเนินการผมได้รับความทรมานมาก แต่พอฟังผลบอกว่าไม่มีอะไรเลย.....
ผมจึงไปเล่าให้อจ.ฟัง ท่านเป็นฆราวาส เก่งด้านสมาธิได้อภิญญา ท่านหลับตาแล้วบอกว่าโดนของ ให้ไป จ.จันทบุรีเขาสอยดาว ให้เบอร์โทรไปติดต่อไปเอง
ผมไม่เชื่อและไม่คิดว่าจะเป็นความจริงแต่อย่างใดเพราะเป็นคนนั่งสมาธิและพกพระติดตัวตลอดไปไหนมาไหน มันจะเป็นไปได้อย่างไร..ที่ผมจะโดนของและสิ่งเปล่านี้ยังมีอยู่ในโลกยุคไฮเทคขนาดนี้อยู่อีกหรือ

แต่ผมก็ยินยอมไปเพราะจะลองพิสูจน์ดูว่า อจ.ท่านจะเก่งจริงหรือเปล่า

ปรากฎว่าวันที่ไปที่นั่นพบ คนมาจากกรุงเทพอีก สามกลุ่ม ...มาถอนของเช่นกัน เค้าน่ากลัวกว่าผมเสียอีก

ที่นี่เขาให้แป้งมันมาถุงนึง ให้เรามาปั้นเองเป็นก้อนเท่าซาลาเปา สามลูก วางใส่ในจาน ให้เรานอนแล้วเขาเอาสายสินผูกนิ้วมือนิ้วเท้า แล้วให้เราเอามือวางไว้บนจานแป้งที่เราเองเป็นคนปั้นนั่นแหละไม่ได้เอาไปไว้ไหนเลย ....แล้วเขาก็สวดเป็นภาษาเขมรเป่าๆตามตัวอยู่ครึ่งนาที แล้วหยิบแป้งที่เราปั้นใส่จานไว้นั่นแหละ ทีละลูกมากลิ้งจากใบหน้าและไปตามตัวจนถึงเท้า แล้วเปลี่ยนลูกใหม่ จนครบสามลูก
แล้วบอกว่าเสร็จแล้วให้ลุกขึ้นนั่ง พอผมลุกขึ้นนั่งเข้าก็หยิบแป้งที่วนแล้วนั่นแหละมาบิออกดู...
ปรากฎเจอผ้าห่อศพพันไว้ขนาดหัวแม่มือมีคราบหนองและเลือดอย่างสดๆเลย อยู่ข้างในลูกซาลาเปานั่นเหมือนที่เราบิซาลาเปาออกแล้วเจอไส้ดำของซาลาเปายังไงยังงั้น หมอหยิบออกมาคลี่ออกเจอตะปูอีกสองตัว..ในห่อผ้านั่นแล้วพูดว่าตะปูตัวงอนี่ทำให้จุก...หมอหยิบอย่างไม่ได้รังเกียจผ้าห่อศพเลยครับ
ผมเห็นแล้วอุทานด้วยความลืมตัวว่า โอ มายก็อด(พระพุทธเจ้า)...นี่เป็นความจริงหรือวะนี่ มีสิ่งนี้อยู่จริงในโลกไฮเทคนี่ด้วยหรือ..สติแทบแตก...

ผมพิจารณาดูว่า มายากลหรือเปล่า ก็เห็นจากคนอื่นๆที่มาถอน ประเด็นเปลี่ยนลูกซาลาเปา ตัดทิ้งได้เลยเพราะอยูในสายตาและกับมือของเราเองตลอด
ส่วนว่าซ่อนของไว้ในมือแล้วตอนหยิบลูกซาลาเปาแล้วยัดเข้าไปตอนนั้นก็อาจเป็นไปได้ แต่ลูกซาลาเปามันคงจะแตกไม่สวยอย่างตอนปั้น อันนี้ก็น่าคิด
ผมทำอีกรอบให้ชั่วร์ว่าของหมด ครั้งที่สองนี่ไม่เจอแล้ว

กลุ่มอี่นหนักกว่าผมที่ว่า ผู้หญิงท่านนึง บิก้อนซาลาเปาออกมาเจอมีผ้าห่อศพอย่างสดน้ำเหลืองคราบเลือดแล้วมีกระดูกสันหลังผีตายโหงออกมาด้วยแล้วกลิ่นเหม็นสะอิดสะเอียนมาก เฉพาะกระดูกสันหลัง1ข้อนี่ใหญ่แค่ไหนคิดดู แล้วมีผมกับตะปูด้วย ผู้หญิงคนนี้ทำสองครั้ง ครั้งที่สองเจออีก กระดูกหัวแม่มือหรือข้อนิ้วผีตายโหง ผ้าห่อศพแล้วก็ตะปู.. เห็นแล้วต้องร้องจ๊ากเลยครับ

อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังไม่วางใจ ผมกลับมาก็มานึกว่า ถ้ามายากลนี่ ไอ้โรคปวดท้องต้องไม่หายแน่ อ้อ... ให้ยามาต้มกินอีก 6 วันด้วย ปรากฎว่านี่เข้าวันที่ 3 อาการแทบจะหายปลิดทิ้งเลยครับ..ความทรมานมาร่วม 5 ปีหายไปแล้ว ผมเองยังไม่อยากจะเชื่อว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมเป็นเรื่องจริง กับโลกไอทีเยี่ยงนี้ ยังมีสิ่งเหล่านี้อยู่อีกด้วย แล้วพระต่างๆที่ผมใส่อยู่ทำไมคุ้มครองไม่ได้ นี่แค่ ของลมเพลมพัดนะเนี่ย
ผมเชื่อว่าใครก็ตามถ้าไม่คุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้ ถ้าอยู่ในเหตุการณ์รับรองร้องจ๊ากกันทุกคนครับ

ขอรับรองว่าเป็นความจริงทุกประการ......

[/quote]



อ่านแล้วขนลุกกกกก........... :emo5 :emo5 :emo5


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 27 กรกฎาคม 2008 22:06:03
เรื่องราวดีๆ มีมาเรื่อยครับ แวบมาดูกันบ้างนะ ^^~


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: Center Racing ที่ 29 กรกฎาคม 2008 15:56:51
อุ้ย....น่ากลัวเหอะ... :emoty :emoty :emoty


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: NosDriVe ที่ 02 สิงหาคม 2008 22:03:38
อยากไปมั่งจัง


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: YaSeN ที่ 03 สิงหาคม 2008 00:48:34
 :emoti :emotk หายดีแล้วแวะมาเที่ยวบางแสน บ้างน่ะคับ

AE.RacingClub  ยินดีต้อนรับ


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: Thunyawat ที่ 03 สิงหาคม 2008 11:57:56
โอ้ว มีจริงหรือนี่ น่ากลัวมาก
 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: >> OaTzy << SZ#013 ที่ 03 สิงหาคม 2008 13:10:14
เขาสามมุขก็น่ากัวนะ   :emoty  :emoty


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: Aoffii@ImSry ที่ 18 ตุลาคม 2008 12:00:31
เจอบ่อยๆ กอผีผ้าห่มอ่ะ พี่ปูม


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ohayou ที่ 18 ตุลาคม 2008 20:14:30
ทำไมหน้ากล้วจังครับข้อความในกระทู้นี้


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 01 พฤศจิกายน 2008 19:44:17
หนังสยองที่น่าดูช่วงนี้
1.โปรแกรมหน้า (ดูมาแว้ว) รับประกันความน่ากลัว หุหุ


เรื่องผีช่วงนีไม่มีอะไรแปลกใหม่ เด๋วขอเวลาหาข้อมูลจะเอามาฝากนะครับ


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 04 พฤศจิกายน 2008 19:31:16
เปรตต้นตาล



                    ผมเป็นคนจังหวัดร้อยเอ็ดแต่อยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 100 ก.ม. เรื่องที่ผมประสบนั้นผมยังขอยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง และภาพยังติดตาติดสมองผมเรื่อยมา...ผมเองก็เป็นหนึ่งคนที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องอย่างนี้ซักเท่าไหร่...แต่พอมาประสบกับตัวเองแล้ว...ผมถึงกับเชื่ออย่างฝังใจเสมอมา ในสมัยเด็กๆนั้นผมมีเพื่อนสนิทอยู่สองคน...พวกเราจะปั่นจักรยานกันไปเป็นกลุ่ม...มีผม ไอ้ตั๊ก และไอ้โจ....พวกผม 3 คนชอบเล่น ดื้อ ซนตามธรรมชาติของเด็กๆ...เวลาที่เรารวมกลุ่มกันนั่นคือเราจะออกไปยิงกิ้งก่า
ยิงนก โดยมีหนังกะติ๊กและลูกหินใส่ย่ามไปด้วย...
....ไอ้โจมันมีความคิดพิเรนชวนผมและไอ้ตั๊กไปยิงค้างคาวที่ต้นตาลในวัด...ซึ่งผมก็ตอบตกลงไปเสียโดยดี
ซึ่งค้างคาวมันจะเกาะกันเป็นกลุ่มในตอนกลางวัน...ผมและเพื่อนยิงแต่มันก็ไม่ร่วง...จึงวางแผนกันใหม่โดยเอาหม้อแบตอรี่มาส่องตอนค่ำประมาณ 3 ทุ่มเห็นจะได้...
...ที่บ้านนอกถึงแม้เวลาจะแค่สามทุ่มแต่ทุกบ้านปิดประตูกันหมด...ปิดไฟกันหมดมันจึงมืดมาก พอพวกเรามาถึงต้นตาลในวัดจึงจดแจงเปิดไฟแบตตอรี่ (ผมขออธิบายนิดนึงแบตตอรี่แบบเป็นแบบสพายมีหลอดติดกับสายรัดหัว)
พอเราเงยหน้าขึ้นไปพร้อมแสงไฟสิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เพื่อนผมร้องเสียงหลง...แต่ผมพูดไม่ออก และขากก็ก้าวไม่ออกมันชาขึ้นมาทันที ปัสสาวะราดโดยไม่รู้สึกตัว ภาพที่ผมเห็นคือ เค้ากอดต้นตาลอยู่ข้างบนครับ ตาของเค้าสีแดงก่ำขนาดเท่าไข่ห่าน
ปากเป็นรูเล็กมาก มือและเท้าใหญ่เท่าใบลาน...เค้ามองลงมาหาพวกผม........ด้วยสายตาน่ากลัว...................ผมตั้งสติได้จึงวิ่งตามเพื่อนไปโดยไม่มีใครสนใจรองเท้าและจักรยานเลย.......
..............................ผมและเพื่อนจับไข้อยู่ 2 วัน
พวกเราไม่ไปเล่นที่นั่นอีกเลย
....ถึงวันนี้ผมคิดว่าถ้าเค้าไม่ไปผุดไปเกิดแล้วก็คงเกาะอยู่ที่ต้นตาลต้นนั้น ต้นที่ผมจะไม่ลืมตลอดชีวิต เรื่องของผมอาจจะไม่น่ากลัว แต่ผมว่าใครที่โดนแบบผมก็คงจะกลัวแน่นอน


 



หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: พระเอก` ที่ 06 พฤศจิกายน 2008 15:31:43
สถานที่ใน ชลบุรี
1.บ้านผีสิง ที่จ้างคนเอาข้าวปลาอาหารไปให้เดือนล่ะ 12,000 บาท(มีคนเคยไปทำคับ คือเปิดบ้านเช้า กลางวัน เย็นเอาอาหารไปว่างที่โต๊ะกินข้าว พอเย็นก็กลับบ้านตนเอง เขาไม่กล้านอน เพราะทุกครั้งที่เอาอาหารไปวาง ในเวลาเพียงแปปเดียวอาหารที่เคยมีก็อันตธานหายไป เขาทำได้ปีกว่าก็ลาออก บอกว่าไม่อยากทำนานเพราะกลัวเขาจะเอาไปอยู่ด้วย) ไม่แน่ใจว่าอยู่แถวไหน


--- น่าจะเป็นบ้าน ที่อยู่ ถนนสายอ่างศิลา อะคับ

เท่าที่รู้ประวัติ...บ้านหลังนั้นมาก็ คือ ว่า ชาย หญิง ได้แต่งงานกันใหม่ๆ และเค้าได้ประสบอุบัติเหตุ รถชน

ทำให้เสียชีวิตทั้ง 2 คน ละได้เอาร่างทั้ง 2 ใส่โรงแก้วตั้งไว้ในบ้าน และจะจ้างคนมาเฝ้าบ้านหลังนั้น เปิดไฟ สตาร์ดรถ

ประมาณ นี้คับเท่าที่ทราบ 




หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 06 พฤศจิกายน 2008 19:31:38
สถานที่ใน ชลบุรี
1.บ้านผีสิง ที่จ้างคนเอาข้าวปลาอาหารไปให้เดือนล่ะ 12,000 บาท(มีคนเคยไปทำคับ คือเปิดบ้านเช้า กลางวัน เย็นเอาอาหารไปว่างที่โต๊ะกินข้าว พอเย็นก็กลับบ้านตนเอง เขาไม่กล้านอน เพราะทุกครั้งที่เอาอาหารไปวาง ในเวลาเพียงแปปเดียวอาหารที่เคยมีก็อันตธานหายไป เขาทำได้ปีกว่าก็ลาออก บอกว่าไม่อยากทำนานเพราะกลัวเขาจะเอาไปอยู่ด้วย) ไม่แน่ใจว่าอยู่แถวไหน


--- น่าจะเป็นบ้าน ที่อยู่ ถนนสายอ่างศิลา อะคับ

เท่าที่รู้ประวัติ...บ้านหลังนั้นมาก็ คือ ว่า ชาย หญิง ได้แต่งงานกันใหม่ๆ และเค้าได้ประสบอุบัติเหตุ รถชน

ทำให้เสียชีวิตทั้ง 2 คน ละได้เอาร่างทั้ง 2 ใส่โรงแก้วตั้งไว้ในบ้าน และจะจ้างคนมาเฝ้าบ้านหลังนั้น เปิดไฟ สตาร์ดรถ

ประมาณ นี้คับเท่าที่ทราบ 




ถูกต้องนะคราบ คนงานที่ทำงานเก่า เค้าเคยไปทำมา ได้ เดือนเดียว ไม่เอาแล้ว ><"


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 29 มกราคม 2009 00:06:58
สวัสดีปีวัวครับ เราก็จะมาอัฟข้อมูล ผีผีกันต่อสักที หลังจากห่างหายไปนาน (พิมพ์ไว้เยอะและ เด๋วจะเอามาลงให้อ่านกัน)
ปล.ข้อเป็นกระทู้ สาระ (หรือไร้สาระ) เรื่องราวอ่าเล่นสนุกๆ ปนขนลุกกัน ^^~


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 29 มกราคม 2009 00:08:15
โรงแรม
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณปลายปีที่แล้ว ประมาณเดือนธันวาคม 47 ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวที่หาดจอมเทียนพัทยา ตอนนั้นเราไปกันทั้งหมด 5 คน คือมีผม แฟนผม และเพื่อนแฟนอีก 3 คน แล้วเราก็ได้เข้าพักในโรงแรมหนึ่งซึ่งเป็นรงแรมที่มีชื่อเสียงมาก และมีสาขาอยู่ในกรุงเทพด้วย เราพักกันที่ตึกๆหนึ่งริมทะเล จำได้ว่าเราพักอยู่ที่ชั้น 11 ตอนแรกที่ผมเดินเข้าไปผมก็ได้ยินเสียงคนเดินไปเดินมา ต่อมาก็วิ่ง แต่เราก็ไม่ได้เอะใจอะไร คนที่ได้ยินเสียงนี้มีแค่ผมกับเพื่อนแฟนชื่อโก๋ หลังจากเราเก็บของกันเสร็จแล้วเราก็ได้ไปเที่ยวที่ริมทะเล และทานอาหารเย็นกันที่ริมหาด แล้วกลับมาที่โรงแรมประมาณ ทุ่ม ตอนที่เดินเข้ามาก็ได้ยินเสียงอย่างเดืมอีกแต่ก็ไม่ได้คิดอะไร แต่ที่สงสัยคือทำไมพวกผู้หญิงไม่ได้ยิน คืนนั้นพวกเราก็เข้านอน พอประมาณตีสาม ผมได้ตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำผมก็ได้ยินเสียงคนวิ่งไปมาอีก จึงออกมาดู พวกผู้หญิงก็นอนอยู่บนเตียง ส่วนโก๋ก็นอนอยู่ที่พื้นกับผม แต่โก๋นอนคุมโปรงอยู่ ผมก็เดินดูรอบๆห้องและออกมาดูหน้าห้องก็ไม่เห็นมีอะไร แต่ผมก็ยังได้ยินเสียงอยู่ ผมก็รู้สึกกลัวเหมือนกัน แต่ก็ไม่เห็นอะไร จึงตัดสินใจเข้านอน ตื่นเช้ามาก็ลองเล่าให้ทั้งหมดฟัง พวกผู้หญิงไม่รู้เรื่องอะไร แต่ที่น่ากลัวที่สุดคือโก๋เล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนตอนที่ผมตื่นและเดินไปรอบๆห้องนั้น โก๋เห็นเด็กผู้ชายคนนึงเดินตามผม และเห็นเด็กหญิงอีกสองคนวิ่งไปวิ่งมาในห้อง แต่ผมไม่เห็น และที่โก๋คลุมโปงเพราะว่าโก๋กลัวแต่ไม่กล้าทัก สุดท้ายเราจึงย้ายออกจากโรงแรมนั้นทันที และต่อมาอีกประมาณ สองสามเดือนผมก็ได้มีโอกาสกลับไปที่โรงแรมนั้นอีกครั้งและนอนที่ตึกเดิมแต่ชั้นหก ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่วันต่อมาที่ลอบบี้ผมที่ยินครอบครัวหนึ่งบอกกับ pr ว่าเมื่อคืนมีเด็กวิ่งเล่นที่หน้าห้องเค้าทั้งคืน พอพนักงานถามว่าเค้าอยู่ชั้นอะไร เค้าก็ตอบว่า ชั้น 11 ผมก็ขนลุกครับ แต่ผมก็ยังใช้บริการโรงแรมนี้อยู่แต่ไม่เอาชั้น 11 แล้วครับ


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 29 มกราคม 2009 00:09:32
ซ่อนหาอาภรรพ์
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 1 เดือนที่เเล้ว(เดือน พ.ย. 48)คือ วันนั้นพ่อได้พาผมไปต่าง จังหวัดไปเยี่ยมญาติที่ สงขลา ผมออกเดินทางประมาณ 07:35 (ประมาณ) เเละถึง สงขลา เวลา 15:30 (ประมาณ) เพราะผมอยู่ ภูเก็ตเลยไปถึงเร็ว เมื่อไปถึงสงขลาก็ไปบ้านญาติเลยไม่ รีรอใคร บ้านของญาติผม อยู่ตรงข้ามกับวัดเเห่งหนึ่งใน จ. สงขลา บ้านเเถวนั้นจะอยู่ติดกันเป็น เเถวครับ วันรุ่งขึ้น เวลาประมาณ 19:22(ประมาณ) นะครับ ผมอยู่นอกบ้าน(หน้าบ้าน)ครับ เเละวันนั้นเป็นวันเสาร์(คนโบราณถือว่าวันเสาร์เป็นวันปล่อยผี) ครับ พี่ริวซึ่งเป็นพี่ใหญ่สุด ในกลุ่มนี้ เเละเป็นพี่ไม่เเท้ของผมด้วยได้เสนอขึ้นว่า "เรามาเล่นซ่อนหากันดีกว่า" เเละเราก็เล่น ซ่อนหากัน ที่เราเล่นเพราะเราไม่มีอะไรจะเล่นเเล้วก็ยังรู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่าซ่อนหาห้ามเล่น หลัง 18:00 ขึ้นไปเเละวันนั้นเป็นวันเสาร์ด้วย......เวลาเราเล่นเราจะนับ 1-50 เเละตอนนั้นทุก คนหาที่ซ่อนกันได้หมดเเล้วเหลือเเต่ พี่ริว....35...36 ตอนนี้ก็จวนจนจะถึง 50 เเล้วเเละ พี่ริวก็ได้วิ่งไปซ่อนหลังโลงศพ 40...41 พี่ริวกังวลว่าคนที่กำลังปิดตาอยู่เนี่ยจะหาเจอเลย เข้าไปแอบในโลงศพ 48...49...50 ตอนนี้ก็ถึง 50 เเล้ว คนที่เป็นก็ตามหาคนที่ซ่อนอยู่ ผ่านไปประมาณ 2 นาที คนที่ปิดตาหาทุกคนเจอหมดเเล้วยกเว้น.....พี่ริว "พี่ริว.....พี่ริว" ผมตะโกน พี่ริวก็ไม่ออกมาเเละพวกเราก็เดินตามหา เเละผมนึกขึ้นได้ว่าพี่ริวไปแอบที่หลังโลง ศพผมก็ได้ไปบอกเพื่อนๆเเละเราได้ไปหาพี่ริวกัน เราเดินไปใกล้จะถึงโลงศพพวกเราก็กล้าๆ กลัวๆ อยู่เหมือนกัน ก๊อก.....ก๊อก.....ก๊อก เราได้ยินเสียงเหมือนใครเคาะโลง เราสะดุ้งกันหมด ตอนเเรกเราก็นึกว่าพี่ริวคงเเกล้งเรามั้ง......"ช่วยด้วย ช่วยด้วย" คราวนี้คงไม่ใช่การกลั่นเเกล้ง แน่นอน เราทุกคนก็ใช้มือจับที่ฝาโลงทุกคน "ช่วยด้วยพี่อยู่ในนี้" ตอนเเรกเราก็นึกว่าพี่ริ วเเกล้ง เเต่ไม่น่าใช่ เราก็เลยเอามือไปจับฝาโลง เเละนับ 1...2...3.... เเละเราก็เปิดโลง ภาพเเรกที่เราเห็นคือ เหมือนกับว่า พี่ริวนอนทับร่าง หญิงชราคนนึงซึ่งนิ้วมือนิ้วเท้าหงิกงอ เเละมีน้ำเหลืองไหลออกมาเยอะมากเเละมีหนอนไต่ตามตัวยัวะเยียะ พวกเราก็วิ่งร้องให้ กันไป ส่วนพี่ริวก็ลุกขึ้นมา เเละมองลงไปที่โลงศพ พี่ริวก็เห็นสภาพเดียวกับที่เราเห็นพี่ ริวก็วิ่งเเละร้องไปเช่นเดียวกัน เมื่อถึงบ้านยายของ พี่ริวจึงถามพี่ริวว่า "ริว ริว เป็นไรลูก" พี่ริวพูดเเต่พูดเเบบไม่เป็นภาษา เเละผมของพี่ริวก็ร่วงด้วย วันรุ่งขึ้น ผมของพี่ริวก็ ยังร่วงไม่หาย ยายของพี่ริวได้พาไปหาหมอ เเละหมอก็ได้ให้ยามากินเเต่ก็ไม่หาย ยายก็พาไปหา อีกที เเต่หมอบอกว่าถ้ากินยาเเล้วรักษาไม่หายคือ โรคนี้ไม่สามารถรักษาหายได้ เเละในที่สุด

พี่ริวก็เสียชีวิต......


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 29 มกราคม 2009 00:11:34
Taxi โดนผีหลอด ถ้าพูดถึงเรื่องผีดุๆ มีอยู่ที่นึง เอ่ยชื่อหลายคนคงรู้จัก นั่นคือแถวเดอะมอลล์งามวงวาน แถวนั้นตึกที่พักสูงๆเยอะ คนกระโดดตึกฆ่าตัวตายบ่อย กลางดึกมีคนเจอดีหลายคนแล้ว โดยเฉพาะคนขับแท๊กซี่โดนบ่อย ตอนดึกๆมักมีผู้หญิงสาวมาเรียกรถแท๊กซี่  ส่วนใหญ่จะบอกให้ไปส่งแถววัดโน่นวัดนี่ แต่พอขับไปสักพักปรากฏว่า ไม่มีผู้โดยสารสาวอยู่ในรถเลย จนเดี๋ยวนี้ไม่มีรถแท๊กซี่คันไหนกล้ารับผู้หญิงที่เรียกรถตอนดึกแถวเดอะมอลล์งามวงวานเลย แต่ก็อย่างว่าแหละครับ มันต้องมีคนที่ไม่กลัวมั่งล่ะ นั่นคือ ลุงคนนึงแกเพิ่งมาขับแท๊กซี่ใหม่ๆ แกชื่อลุงกล้า ก็กล้าสมชื่อครับ คืนนั้นเวลาประมาณตีสองเห็นจะได้ แกขับรถผ่านหน้าเดอะมอลล์งามฯ แกก็นึกถึงเรื่องผีผู้หญิงที่มักเรียกรถแท๊กซี่ตอนดึก แต่ลุงกล้าแกไม่กลัวครับ แกเลยขับช้าๆมองหาว่าจะมีจริงตามที่เขาเล่าหรือปล่าว แล้วแกก็เจอจริงๆครับแกเห็นผู้หญิงคนนึงโบกมือเรียกรถ ลุงกล้าก็เลยจอดรับลองดูว่าจะผีหรือคน ผู้หญิงคนนั้นแต่งชุดสีดำหน้าตาดีทีเดียวครับ  บอกลุงกล้าให้ไปส่งที่วัดธาตุทอง(แถวสุขุมวิท พระโขนง) ลุงกล้าแกก็เห็นเค้าเป็นคนนี่ไม่เห็นจะเป็นผีตรงไหนเลย แกก็รับผู้หญิงชุดดำคนนั้นมา  ขับไปแกก็เหลือบมองกระจกส่องหลังตลอด ก็เห็นผู้โดยสารสาวสวยคนนั้นยังนั่งอยู่ ลุงกล้าก็เลยขับมาเรื่อยๆ ขับมาถึงประมาณถนนพระราม 9 ไฟข้างถนนค่อนข้างสว่างลุงกล้าก็มองกระจกส่องหลัง เท่านั้นล่ะครับ ลุงกล้าแกเสียวสันหลังวาบเลย เพราะหญิงสาวผู้โดยสารไม่อยู่ตรงเบาะหลังแล้วครับ ลุงกล้าที่ตอนนี้ไม่เหลือความกล้าแล้ว พยายามมองผ่านกระจกก็ไม่เห็นแล้วครับ  ลุงกล้าก็เลยนึกในใจ  โดนแน่แล้ว แกก็เลยจะจอดรถเพื่อที่จะได้หายกลัว แต่กลิ่นน้ำหอมยังฟุ้งอยู่เต็มรถ ลุงกล้าแกก็นึกในใจว่า วิญญาณน่าจะยังอยู่ในรถ เราคงมองไม่เห็น คงต้องไปส่งให้ถึงวัดธาตุทอง ถ้าถึงที่หมายแล้วกลิ่นน้ำหอมคงจะหายไปด้วย คิดได้ ลุงกล้าแกก็เลยเหยียบคันเร่งสุดชีวิต เพิ่อให้ถึงวัดธาตุทองไวๆ พอใกล้จะถึงวัดอีกประมาณไม่เกินสองกิโลเมตร ลุงกล้าก็เหลือบไปมองกระจกส่องหล้ง คุณพระช่วย!!! ผีสาวชุดดำกำลังนั่งจ้องตาถ..คุณ..ทึง ลุงกล้าแกเบรกรถแทบชนฟุตบาธ พระที่อยู่หน้ารถกี่องค์ลุงกล้าแกเอามือรวบมากอดไว้หมดเลย คาถงคาถากี่บทที่ลุงกล้านึกได้ เอามาสวดหมดเลยครับ บทพาหุงที่ว่าแน่ หรือสุดยอดพระคาถาอย่างชินบันชรลุงกล้าแกสวดมั่วไปหมด หันไปมองข้างหลังทั้งๆที่เหงื่อแตกพลั่ก เห็นผีสาวที่ตอนนี้มีแต่รอยเลือดสีแดงเลอะเต็มหน้า ยังทำตาถ..คุณ..ทึงใส่แก ลุงกล้าเลยหันกลับมา ไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยต้องทำใจดีสู้เสือ ถ้าไม่กลัว ผีก็คงไม่ทำอะไรแน่ ลุงกล้าเลยหันกลับไป แล้วถามทั้งๆที่เสียงสั่นว่า "ขอโทษนะครับคุณ  ไม่ทราบว่าเป็นอะไรตายครับ"  ผีสาวยิ่งโกรธไปใหญ่แล้วพูดว่า  "ตายพ่อตายแม่..คุณ..เหรอ กูก้มลงไปแต่งหน้าแป๊บนึง ..คุณ..เหยียบซะหน้ากูเลอะลิปติกหมดเลย"   :emotd :emotd :emotd

..
..
..
..
..
..
..
..
โดนมะ  :emoq :emoq :emoq


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ลุงหนวด-(ZC72S) ที่ 29 มกราคม 2009 11:50:21
น่ากลัวกันจังเลย....ขอให้เจอของจริงกันเร็วๆนะทุกๆคน....จะได้มาเล่าให้ผมฟัง


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~'Ball_Skyline'~ ที่ 29 มกราคม 2009 19:34:19
ที่คุณปูมเอ่ยว่า หอตรงข้ามเทคนิคสัตหีบนั้น ขอย้ำว่าของจริง ผมเรียนที่เทคนิคสัตหีบ เปงเวลา 5 ปี แวะเวียนไปบ่อยๆ เพราะเพื่อนๆผมชอบไปนั่งกินเหล้าบ้างล่ะ ต่อยกันตัวๆบ้างล่ะ แต่ก็ยังไม่เคยเจออ่ะนะ แต่เค้าว่า ของจริงงงงงงง


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ลุงหนวด-(ZC72S) ที่ 29 มกราคม 2009 19:48:58
ที่คุณปูมเอ่ยว่า หอตรงข้ามเทคนิคสัตหีบนั้น ขอย้ำว่าของจริง ผมเรียนที่เทคนิคสัตหีบ เปงเวลา 5 ปี แวะเวียนไปบ่อยๆ เพราะเพื่อนๆผมชอบไปนั่งกินเหล้าบ้างล่ะ ต่อยกันตัวๆบ้างล่ะ แต่ก็ยังไม่เคยเจออ่ะนะ แต่เค้าว่า ของจริงงงงงงง
เร็วๆนี้เจอแน่ครับ...


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 29 มกราคม 2009 22:22:52
ที่คุณปูมเอ่ยว่า หอตรงข้ามเทคนิคสัตหีบนั้น ขอย้ำว่าของจริง ผมเรียนที่เทคนิคสัตหีบ เปงเวลา 5 ปี แวะเวียนไปบ่อยๆ เพราะเพื่อนๆผมชอบไปนั่งกินเหล้าบ้างล่ะ ต่อยกันตัวๆบ้างล่ะ แต่ก็ยังไม่เคยเจออ่ะนะ แต่เค้าว่า ของจริงงงงงงง
เร็วๆนี้เจอแน่ครับ...

ผมกับเพื่อนๆไปเมาอยู่ ข้างๆ โรงแรมหน้า วิทลัยอ่ะ พอมืด ไอ้ตรงนั้นอ่ะ มีคนไปยืนโบกมืออยู่บนบ้านครับ - -" (รึเมาจนตาฝาด ไม่น่าจะใช่)

ผมก็จบ  Thai-Aus นะ  หุหุหุ (-..-)


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: yamapee66 ที่ 30 มกราคม 2009 08:34:49
ง่า.........เรียนที่เดียวกันเลย ผมรุ่น 29 ครับ!


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 01 เมษายน 2009 19:22:42
เรื่องจิง ง** นู๋ม่ายกล้ากลับบ้าน !!
ก๊คือว่าเมื่อคืนอยุบ้านคนเดียวตอนประมาณ4ทุ่ม
แม่ออกปัยงานเลี้ยง ง กว่าจากลับก๊ตี1-2
เราก๊เรยหั้ยแฟนมาอยุด้วยอ่ะ
ตอนนั้นเราอยุกับแฟน2คน
แล้วเราก้(เกือบ)มีรัยกัน
แล้วเราก๊ขอปัยอาบน้ามก่อน
ตอนอยุในห้องน้ามก๊ด้ายยินเสียงดังอยุที่ห้องครัว
เราก๊อาบเสดพอดี
แล้วมาดูที่ห้องครัว..มานก๊ม่ายมีราย
เราก๊เลยถามแฟนว่า"เมื่อตะกี้ด้ายยินเสียงรายป่าว"
เค้าก้บอกว่า
"เสียงมาจากห้องครัว..ก้คิดว่าเปนเสียงแม่ก้อย"
เราก้เลยปัยดูอิกทีก้ม่ายมีรัย
ก้เรยพูดกับแฟนว่า"บ้าร๋อ..ท่าแม่อยุบ้าน..กูคงม่ายหั้ย..คุณ..มาอยุเปงเพิ่นหลอก"
แฟนเราก๊เรยพูดว่า"สงสัยคงเป็นตาก้อยมั้ง"(ตาเราเพิ่งเสียปัย3เดือนกว่า)
เราก้แค่พูดเล่นๆกันแค่เนี้ย..+
แล้วแฟนก๊อยุเปนเพิ่นเราปัยถึงตี1กว่า
แม่ก๊มา..เค้าก๊กลับบ้าน
เราก๊ง่วงเรยขอปัยนอน
พอตื่นช้าวขึ้นมา..
แม่ก๊เล่าหั้ยฟังว่าเมื่อคืนฝันถึงตา
ตามั่ยพอจัยที่เราพาแฟนมาอยุด้วยที่บ้าน
แล้วบอกว่าท่าจาเอาแฟนมาก๊อย่ามาเหยียบบ้านกู
แล้วประมาน10โมงกว่าๆ
เราก๊ปัยหาแฟนที่บ้าน..
แฟนเราก๊เล่าหั้ยฟังว่า..
เมื่อคืนฝันถึงตาเรา
บอกว่าอย่ามาทัมรัยมั่ยดีที่บ้านกู
ท่าจะทัมหั้ยปัยทัมทิอื่น


**เห้อ อ...เกียจเล่าละ
ตอนนิเราม่ายกล้าเข้าบ้านเรยอ่ะ
- -

คนแต่ง KoYKunG* ขออ้างอิงนิดนึง (จาก นารัก)


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 01 เมษายน 2009 21:08:04
เล่าเรื่องโดย : คุณเชาวลิต - คุณอรวิภา สาครวิมล จ.สมุทรสาคร
รวบรวมโดย : เมตตาเจโตวิมุติ


เรื่องที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เมื่อประมาณเดือนกันยายน พ.ศ. 2549 ที่จังหวัดสมุทรสาคร

เรื่องมีอยู่ว่า มีวันหนึ่ง น้องชายซึ่งเป็นลูกของน้าสาวของข้าพเจ้า โทรศัพท์มาขอความช่วยเหลือ บอกว่าภรรยาเขามีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ไปหาหมอรักษาที่โรงพยาบาลสมุทรสาคร หมอได้ตรวจอย่างละเอียดอ๊กซ์เรย์ แล้วก็หาสาเหตุไม่พบ ได้แต่ฉีดยาบรรเทา ปวดเท่านั้น! เป็นอย่างนี้มาร่วมเดือน เขาจึงอยากจะย้ายโรงพยาบาลแต่ไม่มีเงิน จึงโทรมาขอความช่วยเหลือ ข้าพเจ้ารับปากว่าจะช่วยเหลือ เรื่องเงินในการรักษา

แต่พอดีข้าพเจ้าได้รู้จักและติดตามอาจารย์อยู่ท่านหนึ่งมา เป็นเวลา 5-6 ปีแล้ว ท่านเป็นฆราวาส ที่รักษาศีลไหว้พระสวดมนต์อย่างเคร่งครัด สามารถรักษาคนเจ็บป่วยที่ไปรักษาหมอหลวงแล้วไม่หาย ถ้าผู้นั้นหมดกรรมได้รักษากับท่าน ผู้นั้นก็จะหายจากอาการเจ็บปวด หรือ
ทุเลาลงได้แล้วแต่บุญ ? กรรม จึงแนะนำให้ภรรยาของน้องชายมาลองรักษากับอาจารย์ดูก่อน ถ้าไม่หายจริงๆ ค่อยย้ายโรงพยาบาล

เมื่อมาพบอาจารย์ ภรรยาของเขาก็ได้แต่ร้องไห้ ตัวสั่น เมื่อเห็นดังนั้น ข้าพเจ้าก็คิดว่าในร่างกายของเขาคงไม่ได้เจ็บปวดธรรมดา ด้วยความสงสารและอยากช่วยเหลือ ข้าพเจ้าจึงถามเขาว่าอยากให้เราช่วยก็ขอให้สื่อสารออกมาให้รู้ ตอนหลังเขาก็ร้องไห้อย่างน่าเวทนา เหมือนคนกำลังทุกข์ทรมาน

ข้าพเจ้าก็เอามือลูบหลังเขาด้วยความสงสาร บอกว่าจะช่วยเหลือเขาทุกอย่างด้วยความบริสุทธิ์ใจ ก่อนหน้านี้ที่เขาไม่ยอมพูดกับใคร
เพราะเขา กลัวคนมีวิชาจะดึงจิตเขาไปเป็นบริวาร เหมือนเขารู้ว่าเราจริงใจเขาจึงยอมบอก ตอนแรกคิดว่าเขาพูดไม่ได้จึงให้เขาเขียนใส่กระดาษทุกวันนี้ยังเก็บไว้ เขาเขียนชื่อ นามสกุล บ้านเลขที่อย่างละเอียด ร้องไห้บอกว่าอยากกลับบ้านไปหา พ่อ แ ม่ พี่ น้อง เขาค่อยๆ เล่าหลายครั้งกว่าจะรวบรวมเรื่องราวให้ครบ เพราะเวลาเขามามีอาการเหมือนคนทุกข์ทรมาน รวมทั้งจะทำให้ภรรยาของน้องชายปวดท้องมากทุกครั้งที่เขามา เราจึงถามเขา เก็บข้อมูลทีละเล็กละน้อย

สรุปได้ว่า เขาเป็นคนจังหวัดน่าน มาทำงานเป็นช่างไม้ สร้างวัดเกตุมวดี เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๕ โดยที่ทางบ้านไม่ทราบ ตอนนั้นเค้าอายุ ๑๗ ปี พอมา พ.ศ.๒๕๑๙ เขาโดนรถชนตายขณะยืนซื้อของอยู่ข้างทางหน้าวัดบางปิ้ง เขาเช่าบ้านอยู่แถวนั้น

เขาเล่าว่า ตอนนั้นมืดแล้ว รถกะบะพุ่งชนเขาอย่างแรง โดนทับที่ท้องกลางลำตัว แหลกละเอียดตายคาที่ จึงเป็นเหตุให้ภรรยาของน้องชายปวดท้อง เวลาเดินต้องเอามือกุมท้องเหมือนคนไส้จะไหลออกมาอย่างนั้น ทางบ้านก็ไม่ทราบว่าเขาตายแล้ว เพราะเขามาทำงานกับเพื่อน ๒ คนแต่แยกกันอยู่คนละที่ หมายถึงเขาตายไปแล้ว ๓๓ ปีถ้ายังมีชีวิตอยู่ตอนนี้เขาก็อายุประมาณ ๕๐ ปี และเขายังไม่หมดอายุขัย ที่สำคัญเขาบอกว่าตอนมีชีวิตอยู่ไม่ค่อยได้ทำบุญทำทานเอาไว้ จึงยังไม่ไปไหน เขาจึงทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวด จากการโดนรถทับ วนเวียนอยู่จนมาอาศัยอยู่ที่สะพานท่าจีนใกล้กับวัดกลางอ่างแก้ว ซึ่งภรรยาของน้องชายต้องผ่านไปมาทุกวัน

เขายังบอกอีกว่า เหตุที่อยากมาเจอข้าพเจ้ากับสามี เพราะเขาเคยได้รับอานิสงส์ผลบุญจากการ ' สวดมนต์เมตตาใหญ่ แบบพิสดาร ' แล้วแผ่เมตตาของข้าพเจ้ากับสามีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาเล่าให้ฟังอย่างน่าสงสารว่า เวลามีคนแผ่เมตตาส่งบุญมาให้ พวกเขาจะต้องแย่งกัน เขาบาดเจ็บแย่งไม่ไหว ก็ไม่ได้รับเขาบอกว่าทุกคนอยากได้ แต่จะไม่ได้กันทุกคน ต้องนั่งกอดเข่ารอ (เขาทำท่าประกอบด้วย) แล้วลุกขึ้นแย่งกันเวลาได้รับผลบุญจะเป็นแสงสีเหลืองทองส่องลงมาที่ตัวเขา

ดังนั้น เขาจึงพยายามที่จะได้เจอข้าพเจ้ากับสามี โดยการเกาะมากับร่างของภรรยาของน้องชาย แล้วดลใจให้น้องชายโทรศัพท์หาข้าพเจ้าทั้งที่ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้ากับน้องชายคนนี้ก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกัน หลังจากนั้นข้าพเจ้ากับสามีก็รับปากว่าจะพาเขาไปส่งกลับบ้าน แต่ขอให้เขารับปากว่า ถ้าถึงบ้านแล้วต้อง ทำให้ภรรยาของน้องชายหายจากอาการปวดท้องอย่างเด็ดขาด

เขาก็รับปากระหว่างนั้น เขาได้มาเข้าฝันภรรยาของน้องชายว่าให้หาศาลพระภูมิไม้และรูปปั้นผู้ชายแล้วปิดทอง เพราะเมื่อกลับถึงบ้านเขาจะได้อาศัยอยู่ในนั้น แล้วนำไปลอยน้ำ ที่ให้ปิดทองเพราะเขาบอกว่าไปอยู่ในน้ำจะได้สว่างไม่ต้องใช้เทียน เราก็ทำตามทุกอย่าง นอกจากนั้น เขายังให้จัดซื้อเสื้อผ่าพร้อมเงิน 90 บาท อธิษฐานให้จิตวิญญาณทั่วไปที่มีอีกมากมาย เพราะบางคนไม่มีเสื้อผ้า! ใส่หรือไม่ก็เก่ามากแล้ว แล้วนำไปบริจาคให้คนยากไร้

ช่วงเวลาที่ได้พูดคุยกับเขาได้รู้อะไรมากมาย เช่น คนจีนชอบเผากระดาษส่งของให้บรรพบุรุษเขาบอกว่าจริงๆ แล้ว เขาไม่ได้รับหรอกต้องไปซื้อหาสิ่งของที่จะส่งให้ แล้วนำมาอธิฐาน เอ่ยชื่อให้คนรับนำไปถวายเป็นสังฆทาน แล้วนำไปบริจาคให้คนยากจนให้ได้ใช้ประโยชน์จริง บรรพบุรุษจึงจะได้รับ ใครทำความดี ทำบุญมากๆ สวดมนต์ภาวนา ผู้นำจะมีเกราะเป็นแสงสีเหลืองทองสุกสว่างป้องกันตัว ไม่มีใครทำอะไรได้

หลังจากนั้นประมาณ ๑ สัปดาห์ ข้าพเจ้ากับสามีและญาติๆ ก็ออกเดินทางไปจังหวัดน่าน ก่อนหน้านั้นจากการช่วยเหลือของลูกศิษย์ของอาจารย์ที่ข้าพเจ้านับถือ ได้เช็คข้อมูลของเขาก็ปรากฎว่ามีชื่อ นามสกุล บ้านเลขที่นั้นอยู่จริง แต่ไม่ได้ติดต่อกับทางราชการมานานแล้วจนกลายเป็นคนสาบสูญไปแล้ว จึงทำให้พวกเรามั่นใจว่าเราคงไม่โดนเขาหลอกไปถึงจังหวัดน่าน ไปถึงประมาณบ่าย ๒ โมงกว่า วนหาบ้านเขาอยู่นาน เขาก็พยายามนึก เขาบอกว่าผ่านไป ๓๐ กว่าปีแล้ว ทุกอย่างเปลี่ยนไปมาก พวกเรานัด กับลูกศิษย์กับอาจารย์ที่หน้าวัดภูมินทร์

เมื่อเขาเห็นวัด เขาทำท่าดีใจอยากจะลงไปกราบพระ เราก็พาลงไปแต่เขาเข้าโบสถ์ไม่ได้ ต้องให้อาจารย์อธิฐานขอพระประธานในโบสถ์ให้ เขาจึงเข้าไปกราบได้ ข้าพเจ้า ส่งเงินให้เขา ๑๐๐ บาท บอกว่ายกเงินให้เขาเอาไปหยอดตู้ทำบุญ จะได้มีผลบุญติดตัวกลับไป

ลูกศิษย์อาจารย์ก็ช่วยขับรถนำพวกเราไปบ้านเขา พอใกล้จะเจอบ้านเขา เขาก็บอกว่าให้รีบพาเขาไปส่ง เพราะวันนั้นเป็นวันพระ เดี๋ยวท่านไม่ให้กลับเขาบอก เราจึงนิมนต์พราะสงฆ์จากวัดพระธาตุแช่แห้งมาสวดส่งวิญญาณให้เขาตามที่เขาขอ พอทำพิธีเสร็จก็เอาศาลพระภูมิ พร้อมกับมอเตอร์ไซด์(เด็กเล่น) ที่เขาอยากได้สมัยมีชีวิตอยู่ลอยลงไปในแม่น้ำน่าน ใกล้กับบ้านของเขาที่ตอนเล็กๆ เขาเคยว่ายน้ำเล่น

จากนั้นเขาก็มาผ่านร่างภรรยาน้องชายอีกครั้ง เขาร้องไห้น้ำตาไหล บอกว่าดีใจมากที่ได้กลับบ้านและรู้สึกเสียใจที่จะไม่ได้เจอกับพวกเราอีกแล้ว ข้าพเจ้าเองก็อดใจหายไม่ได้ ได้แต่บอกว่าจะทำบุญสวดมนต์อุทิศไปให้ คอยรับนะ เกิดชาติหน้าค่อยมาเจอกันใหม่ก็แล้วกัน และบอกเขาอีกว่าทุกคนในที่นี้ดีใจที่ได้ช่วยเหลือเขา เขายกมือไหว้ขอบคุณทุกคน พร้อมกับร้องไห้ก้มลงกราบข้าพเจ้าที่ตัก ข้าพเจ้ารู้สึกตื้นตันใจมาก หันไปหาสามีของข้าพเจ้าแล้วบอกให้เขาขอบคุณเพราะเขาเป็นคนสำคัญที่สุด

เป็นทั้งคนขับรถมาส่งจากมหาชัยจนถึง จังหวัดน่าน ภายในวันเดียวกัน แล้ว ยังออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดโดยไม่ได้หวังผลตอบแทน เขาน้ำตาไหลก้มลงกราบที่เท้าของสามีของข้าพเจ้า ภาพนั้นทำให้ทุกคนอดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้จริงๆ แล้วเขาก็ล้มลงที่ตักข้าพเจ้าแล้วจากไป นับจากวินาทีนั้นภรรยาของน้องชายก็มีความรู้สึกเบาเนื้อเบาตัว และที่สำคัญไม่ได้มีอาการปวดท้องอีกเลย นั่นคือสิ่งที่เขารับปากไว้แล้วทำตามจริงๆ จนถึงทุกวันนี้เวลาข้าพเจ้านึกถึงเหตุการณ์นั้นเมื่อไหร่ก็อดที่จะมีความรู้สึกอิ่มเอมใจเสียทุกครั ้ง เพราะเชื่อว่าคงไม่เคยได้มีใครได้มีโอกาสช่วยเหลือจิตวิญญาณที่ทนทุกข์ทรมานมากกว่า ๓๐ ปีให้ได้กลับบ้านเกิด

เรื่องทั้งหมดที่ท่านได้อ่านมานี้ อาจจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อเกินจริง แต่ข้าพเจ้าขอรับรองว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และสาเหตุที่ข้าพเจ้านำมาเขียนบอกเล่ากับท่านให้หมั่นทำแต่ความดี ทำบุญทำทานสร้างกุศล ไหว้พระสวดมนต์เสียตั้งแต่ตอนมีชีวิตอยู่ แล้ว แผ่เมตตาให้ตัวท่านเอง ให้แก่เทพเทวาประจำตัวท่าน เทพเทวาจะได้มีบารมีสูงพอที่จะช่วยเหลือท่านในยามคับขัน ให้แก่ผู้อื่นตามแต่ใจท่าน ยิ่งแผ่ยิ่งเพิ่มพูนมากมายทวีคูณ ข้าพเจ้าขอให้อานิสงส์ผลบุญแห่งความดี ที่ท่านจะได้สร้างต่อไปนับจากนี้

ขอจงส่งถึงเจ้าของเรื่องโดยตรง คือนายสมบูรณ์ ภูมินทร์ จิตวิญญาณแห่งลุ่มน้ำน่าน ที่แม้เป็นเพียงจิตวิญญาณก็ยังรักษาคำพูดร่วมทั้งผู้เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือนายสมบูรณ์ ภูมินทร์ ทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตัวผู้อ่านเอง เพราะแค่ท่านได้อ่าน ไม่ได้ประสพกับตัวเองจริงๆ ท่านยังเกิดแรงบันดาลใจในการทำความดี ดังนั้น ก็ขอให้สิ่งดีๆ ที่ท่านจะได้ทำต่อไปส่งผลให้ท่านพร้อมทั้งคนที่ท่านรักทุกคน มีแต่ความสุข ความเจริญ พบเจอแต่สิ่งดี คิดหวังสิ่งใดในทางที่ทีด ก็ขอให้สมปรารถนาทุกประการทั้งภพนี้ และภพหน้าด้วยเทอญ

--------------------------------------------------------------------

เรื่องที่ลงนี้ ได้รับมาอีกทีจากพี่ที่รู้จักกันฮะ จะเชื่อหรือไม่ สุดแท้แต่วิจารณญาณของแต่ละท่าน แต่สิ่งที่เป็นข้อคิดได้ดีคือ เวลาที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราควรจะสร้างความดี ให้มากเท่าที่ชีวิตเราจะทำได้ และความดีหลายๆอย่าง ก็ไม่จำเป็นจะต้องเสียทรัพย์ อย่างเช่น สวดมนต์ นั่งสมาธิ เราก็จะได้บุญกุศล และไม่เสียทีที่เกิดเป็นชาวพุทธ


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 01 เมษายน 2009 21:09:51
เรื่องผีๆ (แท๊กซี่โดนผีหลอก)

ถ้าพูดถึงเรื่องผีดุๆ มีอยู่ที่นึง เอ่ยชื่อหลายคนคงรู้จัก นั่นคือแถวเดอะมอลล์งามวงวาน แถวนั้นตึกที่พักสูงๆเยอะ คนกระโดดตึกฆ่าตัวตายบ่อย กลางดึกมีคนเจอดีหลายคนแล้ว โดยเฉพาะคนขับแท๊กซี่โดนบ่อย ตอนดึกๆมักมีผู้หญิงสาวมาเรียกรถแท๊กซี่  ส่วนใหญ่จะบอกให้ไปส่งแถววัดโน่นวัดนี่ แต่พอขับไปสักพักปรากฏว่า ไม่มีผู้โดยสารสาวอยู่ในรถเลย จนเดี๋ยวนี้ไม่มีรถแท๊กซี่คันไหนกล้ารับผู้หญิงที่เรียกรถตอนดึกแถวเดอะมอลล์งามวงวานเลย แต่ก็อย่างว่าแหละครับ มันต้องมีคนที่ไม่กลัวมั่งล่ะ นั่นคือ ลุงคนนึงแกเพิ่งมาขับแท๊กซี่ใหม่ๆ แกชื่อลุงกล้า ก็กล้าสมชื่อครับ คืนนั้นเวลาประมาณตีสองเห็นจะได้ แกขับรถผ่านหน้าเดอะมอลล์งามฯ แกก็นึกถึงเรื่องผีผู้หญิงที่มักเรียกรถแท๊กซี่ตอนดึก แต่ลุงกล้าแกไม่กลัวครับ แกเลยขับช้าๆมองหาว่าจะมีจริงตามที่เขาเล่าหรือปล่าว แล้วแกก็เจอจริงๆครับแกเห็นผู้หญิงคนนึงโบกมือเรียกรถ ลุงกล้าก็เลยจอดรับลองดูว่าจะผีหรือคน ผู้หญิงคนนั้นแต่งชุดสีดำหน้าตาดีทีเดียวครับ  บอกลุงกล้าให้ไปส่งที่วัดธาตุทอง(แถวสุขุมวิท พระโขนง) ลุงกล้าแกก็เห็นเค้าเป็นคนนี่ไม่เห็นจะเป็นผีตรงไหนเลย แกก็รับผู้หญิงชุดดำคนนั้นมา  ขับไปแกก็เหลือบมองกระจกส่องหลังตลอด ก็เห็นผู้โดยสารสาวสวยคนนั้นยังนั่งอยู่ ลุงกล้าก็เลยขับมาเรื่อยๆ ขับมาถึงประมาณถนนพระราม 9 ไฟข้างถนนค่อนข้างสว่างลุงกล้าก็มองกระจกส่องหลัง เท่านั้นล่ะครับ ลุงกล้าแกเสียวสันหลังวาบเลย เพราะหญิงสาวผู้โดยสารไม่อยู่ตรงเบาะหลังแล้วครับ ลุงกล้าที่ตอนนี้ไม่เหลือความกล้าแล้ว พยายามมองผ่านกระจกก็ไม่เห็นแล้วครับ  ลุงกล้าก็เลยนึกในใจ  โดนแน่แล้ว แกก็เลยจะจอดรถเพื่อที่จะได้หายกลัว แต่กลิ่นน้ำหอมยังฟุ้งอยู่เต็มรถ ลุงกล้าแกก็นึกในใจว่า วิญญาณน่าจะยังอยู่ในรถ เราคงมองไม่เห็น คงต้องไปส่งให้ถึงวัดธาตุทอง ถ้าถึงที่หมายแล้วกลิ่นน้ำหอมคงจะหายไปด้วย คิดได้ ลุงกล้าแกก็เลยเหยียบคันเร่งสุดชีวิต เพิ่อให้ถึงวัดธาตุทองไวๆ พอใกล้จะถึงวัดอีกประมาณไม่เกินสองกิโลเมตร ลุงกล้าก็เหลือบไปมองกระจกส่องหล้ง คุณพระช่วย!!! ผีสาวชุดดำกำลังนั่งจ้องตาถ..คุณ..ทึง ลุงกล้าแกเบรกรถแทบชนฟุตบาธ พระที่อยู่หน้ารถกี่องค์ลุงกล้าแกเอามือรวบมากอดไว้หมดเลย คาถงคาถากี่บทที่ลุงกล้านึกได้ เอามาสวดหมดเลยครับ บทพาหุงที่ว่าแน่ หรือสุดยอดพระคาถาอย่างชินบันชรลุงกล้าแกสวดมั่วไปหมด หันไปมองข้างหลังทั้งๆที่เหงื่อแตกพลั่ก เห็นผีสาวที่ตอนนี้มีแต่รอยเลือดสีแดงเลอะเต็มหน้า ยังทำตาถ..คุณ..ทึงใส่แก ลุงกล้าเลยหันกลับมา ไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยต้องทำใจดีสู้เสือ ถ้าไม่กลัว ผีก็คงไม่ทำอะไรแน่ ลุงกล้าเลยหันกลับไป แล้วถามทั้งๆที่เสียงสั่นว่า "ขอโทษนะครับคุณ  ไม่ทราบว่าเป็นอะไรตายครับ"  ผีสาวยิ่งโกรธไปใหญ่แล้วพูดว่า  "ตายพ่อตายแม่..คุณ..เหรอ กูก้มลงไปแต่งหน้าแป๊บนึง ..คุณ..เหยียบซะหน้ากูเลอะลิปติกหมดเลย"

 













 :emoq :emoq :emoq :emoq


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 01 เมษายน 2009 21:10:23
คำสาปฟาโรห์

 
                     ในคืนวันที่ 5 เมษายน 2532 ชาวนาได้รวมกำลังกัน รวมทั้งเจโลเนคด้วยได้ลักลอบเข้าไปในประสาทน่ากลัวและวังเวง
   ของฟารอนท่ามกลางความมืดมิดใครบังอาจขุดสุสานต้องมีอันเป็นไปท่ามกลางดึกอันเงียบสงัดที่บ้านในชนบทประเทศอังกฤษ
   สุนัขตัวหนึ่งได้หอนอย่างโหยหวนเสียงของมันทำให้ทุกคนในบ้านนั้นตื่นขึ้นมาด้วยความเสียวสยองขนลุกไปตาม ๆ กันมันเฝ้าแต่หอน
   จนเหนื่อยอ่อนล้มฟุบขาดใจตายไปอย่างเวทนา

      เหตุการณ์ประหลาดนี้เกินขึ้นที่บ้านของนักโบราณคดีสมัครเล่น ลอร์ดคาร์นาร์วอนอายุ 57 ปี ที่แฮมไชร์ ในเวลาเดียว
   กับที่สุนัขส่งเสียงหอนนั้นห่างออกไปหลายพันไมล์ ลอร์ดคาร์นาร์วอน เองกำลังอยู่ในขั้นโคม่าทุรนทุรายใกล้จะตายอยู่ในห้องโรงแรม
   คอนติเนตอล นครไคโร ประเทศอียิปต์นี่คือที่มาจากอาถรรพ์คำสาปแช่งของฟาโรห์ ยุวกษัตริย์ตุตันคาเมนแห่งอียิปต์โบราณ ได้สำแดง
   อิทธิฤทธิ์คร่า 2 ชีวิตแรก สุนัขและเจ้าของแล้วติดตามต่อมาด้วยความตายอย่างลึกลับอีกหลายชีวิต ด้วยคำสาปแช่งนี้ลอร์ดคาร์นาร์วอน
    เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องอียิปต์โบราณได้ทราบดีมาก่อนแล้วในระหว่างที่เขาวางแผนการที่จะขุดค้นหาขุมสมบัติในสุสานฟาโรห์ขณะที่เขายัง
   อยู่อังกฤษ ได้รับคำเตือนจากเคานต์ฮามอนผู้เชี่ยวชาญเรื่องไอยคุปต์อีกคนหนี่งว่า "
      
      ท่านลอร์ดไม่ควรที่จะเข้าไปในสุสานฟาโรห์ เพราะจะพบกับความวิบัติถ้าหากยังขัดขืนไม่เชื่อฟังจะได้รับความทุกข์ทรมาน
   จากความเจ็บไข้และไม่อาจรักษาได้ ความตายจะมาหาท่านเองใน อียิปต์" ลอร์ดคาร์นาร์วอนก็มีความวิตกกังวลในเรื่องนี้อย่างยิ่ง เขา
   ได้ไปหารือกับโหรที่มีชื่อเสียงถึง2 ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งเขาก็ได้รับคำทำนายว่า จะพบกับความตายอย่างลึกลับแม้ว่าจะมีความวิตกกังวล
   ในเพียงใด ลอร์ดคาร์นาร์วอนได้เดินหน้าที่จะขุดปิระมิดของฟาโรห์ต่อไปเพราะเขาใฝ่ฝันและได้รับแรงดลใจมาหลายปีแล้ว เมื่อเขา
   เดินทางไปถึงอียิปต์คำสาปแช่งของฟาโรห์เริ่มปรากฎแววให้เห็นนับตั้งแต่คนงานพื้นเมืองที่จ้างให้มาขุดสุสานใต้ปิระมิดที่ลูซอร์ตื่น
   ตระหนกล้มเจ็บและหนีหายไป อาร์ธอร์ ไวกัลล์ เพื่อนร่วมทีมที่ใกล้ชิดของเขาคนหนึ่งได้เกิดหวาดหวั่นขึ้นมาถึงกับกล่าวว่า

      "ถ้าหากคาร์นาร์วอนยังคงดื้อดึงขุดสุสานต่อไป ชีวิตเขาจะไม่ยืนยาว" ในวันที่17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2466 คาร์นาร์วอน
   และคณะได้ขุดปิระมิดเข้าไปถึงสุสานห้องที่ไว้พระศพของฟาโรห์ตุตันคาเมนภายในนั้น ลอร์ดคาร์นาร์วอน และ โฮเวิร์ด คาร์เตอร์
   คู่หุชาวอเมริกันได้พบทรัพย์สมบัติจำนวนมากทั้งเพชรนิลจินดารวมทั้งโลงทองคำที่บรรจุมัมมี่ของพระศพยุวกษัตริย์เหนือสุสานนี้มี
   ข้อความอักษรอียิปต์โบราณซึ่งแปลได้ว่า"มัจจุราชจะมาสู่ผู้ซึ่งรบกวนการบรรทมของฟาโรห์"สองเดือนต่อมาลอร์ดคาร์นาร์วอนซึ่ง
   ตอนนั้นมีชื่อเสียงขึ้นมาในการค้นพบขุมทรัพย์ได้ตื่นขึ้นภายในห้องที่โรงแรมคอนติเนตอลและกล่าวว่า "เหมือนกับอยู่ในขุมนรก"ซึ่งเป็น
   จังหวะที่ลูกชายของเขาเข้ามาในห้องนั้นพอดี หลังจากนั้นลอร์ดคาร์นาร์วอน ก้ไม่ได้สติ คืนนั้นเอง ความตายได้มาคร่าชีวิตเขาไปลูกชาย
   ของเขาได้เล่าถึงเหตุการณ์ตอนนั้นว่า"แสงสว่างเหมือนดูเหมือนจะเรื่องรุ่งขึ้นไปทั่วนครไคโร

      ผมต้องจุดเทียนแล้วสวดมนต์" ความตายของ ลอร์ดคาร์นาร์วอนมาจากถูกยุงกัดทำให้เป็นนิวมอเนียแต่ที่น่าประหลาด
   อย่างยิ่งที่มัมมี่ของยุวกษัตริย์ฟาโรห์ก็มีรอยยุงกัดที่แก้มซ้ายซึ่งเป็นจุดเดียวกับที่ ลอร์ดคาร์นาร์วอน ถูกยุงกัดเหมือนกันหลังจากนั้น
   ไม่นานนัก ความตายก็มาเยือนที่โรงแรมคอนติเนตอลอีก อาร์เธอร์ แมคนักโบราณคดีอเมริกันซึ่งร่วมทีมกันขุดสุสานครั้งนี้ด้วยได้อุทธรณ์
   ว่าเขารู้สึกเหนื่อยอ่อนแล้วทันใดนั้นก็เข้าขั้นโคม่าเขาหมดลมก่อนที่หมอจะมาถึงและทางแพทย์ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาตายด้วยโรคอะไร
   
      ความตายได้มาเยือนผู้เชี่ยวชาญไอยคุปต์อีกคนหนึ่ง เขาคือ จอร์จ กูล์ดเพื่อนสนิทของคาร์นาร์วอนซึ่งได้รีบเดินทางมาอียิปต์
   หลังจากได้ทราบข่าวมาณกรรมของคาร์นาร์วอน กูลด์ได้เดินทางไปที่สุสานของฟาโรห์ ในวันต่อมาเขาล้มฟุบลงด้วยเป็นไข้ขึ้นสูง อีก12
   ชั่วโมงต่อมาเขาถึงแก่กรรม อาร์ซิบัลด์ เรียดนักรังสีวิทยาที่ฉายเอ็กซ์เรย์มัมมี่พระศพฟาโรห์ได้ถูกส่งตัวกลับอังกฤษเพราะเกินอ่อนเปลี้ย
   ไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาเฉยๆ แล้วก็ถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา ริชาร์ด เบธเฮลล์ เลขาส่วนตัว คาร์นาร์วอนในการขุดค้นสุสานครั้งนี้พบว่านอน
   ตายอยู่บนเตียงเนื่องนากหัวใจวาย โจเอล วูลซึ่งเป็นแขกเชิญชุดแรกที่ไปดูสุสาน ตายในเวลาถัดมาไม่นานนักด้วยไข้ลึกลับที่แพทย์ไม่สามารถ
   วินิจฉัยได้ ภายในเวลา 6ปีที่มีการขุดสุสานฟาโรห์ตุตันคาเมน ผุ้ที่ได้ร่วมขุดค้นได้ตายไปถึง 12 คนและภายใน 7 ปีมีเพียง 2 คนเท่านั้นที่ร่วม
   ในการขุดมีชีวิตอยู่นอกจากนี้ยังมีผู้ที่เกี่ยวข้อง หรือใกล้ชิดผู้ที่ขุดสุสานจำนวน เกือบ 22 คนได้ถึงแก่กรรมในเวลาไม่สมควร เช่น
   เลดี้คาร์นาร์วอน อีกคนหนึ่งทีฆ่าตัวตายด้วย
      
      เนื่องจากเกิดเป็นบ้าขึ้นมามีผู้เดียวที่ร่วมเป็นหัวหน้าในการขุดสุสานฟาโรห์ที่โชคดีมีชีวิตอยู่คือโฮเวิร์ด คาร์เตอร์ แต่ก็มาตาย
   ตามธรรมชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2482แต่ถึงกระนั้นคำสาปแช่งของฟาโรห์ก็ยังสำแดงอิทธิฤทธิ์ในปีต่อ ๆ มาอีด ในปีพ.ศ. 2509 โมหะเม็ด
   อิบราฮัม ผู้อำนวยการพิพิภัณฑ์โบราณของอียิปต์ซึ่งทางรัฐบาลของเขาได้สั่งให้นักทรัพย์สมบัติของฟาโรห์ ตุตันคาเมนไปจัดแสดงที่
   ปารีส ฝรั่งเศส เขาได้คัดค้านคำสั่งของรัฐบาลและเขาฝันว่าเขาได้เผชิญกับภยันตรายถ้าหากทรัพย์สมบัติของฟาโรห์ถูกส่งออกนอก
   อียิปต์
      หลังจากหารือกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลและคัดค้านไม่สำเร็จแล้วระหว่างที่เขาเดินทางกลับก็ถูกรถชนเสียชีวิต 3 ปีต่อมา ริชาร์ด
   อดัมสัน วัย 70ปี ซึ่งเคยเป็นองค์รักษ์ให้แก่ ลอร์ดคาร์นาร์วอนในการขุดสุสานฟาโรห์และยังมีชีวิตอยู่รอดเหลืออยู่คนเดียวได้ให้สัมภาษณ์
   ทีวีอังกฤษถึงอิทธิฤทธิ์คำสาปแช่ง เขากล่าวว่า"ผมไม่เชื่อในคำสาปแช่ง"แต่หลังจากเดินออกจากสถานนีโทรทัศน์นั่งแท็กซี่กลับบ้านก็เกิด
   อุบัติเหตุเหวี่ยงเขาตกลงจากรถและมีรถบรรทุกคันหนึ่งแล่นเฉียดหัวเขาไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปดเท่านั้นครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ที่อดัมสันได้
   ถูกฤทธิ์ของของคำสาปแช่งครั้งแรกเมื่อเขากล่าวว่าไม่เชื่อคำสาปแช่ง เมียเขาตายภายใน 24 ชั่วโมง ครั้งต่อมาลูกเขาสันหลังหักจาก
   เครื่องบินตก


--------------------------------------------------------------------
   ที่มาของเรื่องโดย [T]
  • [E][Y]


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 01 เมษายน 2009 21:10:33
เรื่อง ล่องแก่งสยอง 

 

      เมื่อเดือนที่แล้ว พวกครอบครัวผมที่บ้านได้ไเที่ยวที่ จังหวัดกาญจนบุรี ไปเที่ยวล่องแก่ง ช่วงเช้าก็ไปเล่นตามประสา
   คนท่องเที่ยว แต่ตอนตกดึก พวกผมก็เพลัยกัน ง่วงกันเป็นแถว ๆ ส่วนผมกับนอนไม่หลับก็นอนอยู่ตรงนั้นกับพ่อผมและพี่สาว
   ผมก็เหลียบไปเห็นโต็ะตัวหนึ่ง และ ก็อดชมไม่ได้ว่า สวยจังเลยแฮะ ไม้สักซะด้วย โต็ะตัวนั้นไช้วางของใช้ต่าง ๆ และ พี่สาวก็เอา
   ของใช้ส่วนตัวเขาวางใว้บนโต๊ะ เช่น ผ้าถุง เสื้อผ้า ต่าง ๆ ที่จำเป็นในการมาท่องครั้งนี้ ผมก็ไมใด้คิดอะไร ตอนนี้ผมก็รู้สึกง่วง ขึ้น
   มาผมก็นอนหลับไป และ ผมก็ฝัน ฝันของผมก็คือ มีผูหญิงคนนหึ่งเขาเดินมาบอกกับผมว่า " แกเป็นใคร แกกล้ามาดูหมิ่นเรา
   พวกแกจะได้รู้สึก เราจะเอาพี่สาวแกไปอยู่กับเรา แล้วแกจะรู้ว่ามารบกวนเราแล้วเป็นยังไง" แล้วตอนนั้นตัวผมก็รู้สึกหนัก ไม่รู้ว่า
   อะไรใหญ่ ๆ มาทับบนมตัวผม ผมอึดอัดมาก และ ผมก็นึกถึงหลวงพ่อสำอางซึ่งท่านเป็นพระที่ทำขวัญให้ผมตอนเด็ก ๆ และ ก็ท่อง
   นโม 3 จบ และ ก็แพร่เมตตา แลพ ผมก็บอกกับสิ่งที่ทับผมและไม่ได้พูดออกมาและผมพูดขึ้นในใจว่า ถ้าเป็นวิญญาณก็อย่ามารบกวน
   กันเลย พวกเรามาเที่ยวเราไม่ได้มารบลู่ท่าน ถ้ารบลู่หรือล่วงเกินอะไรไป พวกเราก็ขอให้ท่าน อโหสิ ให้พวกเราด้วย และ ผมก็ได้ยินเสียง
   เสียงหนึ่งเป็นเสียงของผู้หญิง พูดด้วยน้ำเสียงอ้นเกรียวกราด และ โกธรมาก เสียง เสียงนั้นบอกว่า "มันสายไปแล้ว พรุ่งนี้พี่สาวแก
   ต้องอยู่กับเราที่นี่" แล้วตัวผมก็เบาลงอย่างหน้าใจหาย และ พอถึงตอนเช้าผมก็พูดกับ พ่อและแม่ถึงเรื่องราวที่ผมไได้เจอเมื่อคืน
      
      พ่อกับแม่ เขาตกใจจึงเรียกพระ มาทำบุญไปให้หญิงคนที่เข้าฝัน และ กรวดน้ำไปให้ แต่พระถึงกับเอยปากบอกกับพวก
   เราว่า ผีตนนี้แรงอาฆาตมันมากเหลือเกิน เห็นทีอาตมาคงช่วยอะไรพี่สาวของโยมไม่ได้แน่ แม่ถึงกับร้องให้ และ พูดว่าไม่มีทางที่จะช่วย
   ได้หรอกโยม โยมไปรบลู่อะไรเขาหรือเปล่า แม่ก็บอกว่าเปล่าค่ะ เรามาเที่ยวกันเฉย พระท่านก็พูดว่า ไม่ทีทางหรอกที่ไม่ได้ไปลบลู่ และ
   ถ้าไม่ลบลู่แล้ว ไอ้ผีนั้นมันคงไม่อาฆาตถึงขนาดนี้ได้ ผมก็นึกถึงตอนที่ผมมองโต๊ะตัวนั้นอยู่ ผมก็เห็นเครื่องใช้ของพี่สาวว่างใว้บนโต๊ะ
   และ มีผ้าถุงและกางเกงใน และ ผมก็บอกกับพระท่าน พระท่านก็บอกว่า เห็นไม่ล่ะ คิดไม่ผิด งั้นก็ต้องทำใจล่ะว่าพี่สาวโยมไม่รอดแน่
   อาตมาเสียใจ แต่มีทางเดียวที่รอดคือ ทำบุญให้กับเขาและต้องนำโต๊ะตัวนี้ไปที่วัด และ ทำบุญให้กับเขาทุกวันไม่ขาดสาย อาตมาว่าวิธี
   นี้อาจจะได้ผม และทันใดนั้นพ่อของก็ตกใจตะโกน ว่า แย่แล้วไอ้นุช ( พี่สาวของผมชื่อ นุชรี ) มันบอกว่ามันจะไปเล่นน้ำที่หลังบ้าน
   และ แล้วเราก็ไปดู และสิ่งที่เราเห็นก็คือ พี่สาวของผมตายจมน้ำตายเสียแล้ว พ่อกับแม่ได้แต่ร้องให้ พระท่านก็พูดว่า สายไปเสียแล้ว
   เรามาพบพี่สาวเธอสายไป อาตมาจะส่งวิญญาณให้ไปสู่สูติไม่ให้ต้องทนอยู่กับผีร้ายตนนั้น และ อย่าลืมล่ะว่าต้องทำตามที่อาตมาบอก
   ด้วยว่า ต้องทำบุญให้กับเขาทุกวันและอย่าลืมนำไปที่วัดด้วยล่ะ มันจะได้เป็นศิริมงคลกับครอบครัว และ โยมนุชอาจจะได้รับผลบุญนี้
   ไปเกิดชาติได้โดยไม่ต้องมาอยู่เป็นตัวตายตัวแทนอย่างนี้อีก อาตมาไม่ก่อนนะ พระท่านก้ให้สัปเหรอเอาศพให้ที่วัด แล้วบำเพ็ญกุศล
   และ ฌาปนกิจอีก 3 วันต่อมา และพวกเราก็ทำในสิ่งที่พระท่านบอกพวกเรามา วันที่ 25 กุมภาพันธ์ เป็นวันที่พี่สาวของผมเสียชีวิต




   จากคุณ เคน ผู้ชมส่งมา


--------------------------------------------------------
   ที่มาของเรื่อง Shockfm.com


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 01 เมษายน 2009 21:11:00
เรื่อง   หวงเพื่อนใหม่ 

 

      เกิดเมื่อ 10 ปีที่แล้วคะ ตอนนั้นฝึกงาน ไปพักที่ร้านที่ฝึกงาน แล้วร้านไม่เคยทำบุญน่ะ แบบว่าเป็นร้านเปิดใหม่
   ตอนเรากำลังจะหลับ มีเสียงเดินไปมา แล้วเราเด็กใหม่ ก็สงสัยว่าเสียงอะไรเพราะไม่มีคนอยู่เลย เราคนแรกที่ไปนอนไม่กล้าลุก
   ตอนเช้าเล่าไห้เพื่อนฟัง เพื่อนบอกว่า ไห้โรยแป้งที่พื้น ให้ทั่ว แล้วค่อยนอน พอตี 3 ได้ยินเหมือนเดิมคะ ไม่กล้าลุกกลัวมาก
   รอจนเช้าคะ ไปดูรอยเท้าเต็มเลย แต่ที่นั่นไม่มีใครนะคะ แต่ความที่เป็นเด็ก ตอนเช้าเลยไปซื่อของไปไห้ แล้วบอกว่า อย่ามาหลอกกันนะ
      
      เราเป็นเพื่อนกันนะ แค่นั้นล่ะเป็นเรื่องถึงชีวิต นอนคืนนั้นเริ่มมาอำ เป็นคนรุ่นเดีนวกันเลย มาแบบน่าสงสานมากคง
   จะเหงา แต่ก็ไม่มีอะไรนะคะจนวันหนึ่ง เริ่มมีคนย้ายมามากขึ้น ก็ห้องไม่พอ เริ่มมีเพื่อนนะคะ ต้องนอนรห้องละ2คน บางทีมาลากขา
   คนที่นอนด้วยไม่ไห้นอน แล้วมาเข้าฝัน ว่าเราหักหลังเค้าไม่รักเค้า โกรธมาก ทุกคนกลัวมาก ตอนกลางคืน เวลาเพื่อนไปเที่ยวกลับมา
   จะเห็นผู้หญิงยืนบนดาดฟ้ามองลงมา น่ากลัวมาก ตอนหลังต้องให้พระมาเลยสงบลงได้ เขาบอกว่า ตายเพราะโดนข่มขืนนะ อายุ 15
   เอง แล้วไม่มีใครรู้เหงามาก พอมาเจอก็เลยหวงเรา

   
   (จากคุณ เจ irc.webmaster.com #ไทยสยอง) 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 01 เมษายน 2009 21:11:07
เรื่อง   ห้องพักครูที่ปิดตาย 

 
   
      ที่โรงรียนเรา มีอาคารหนึ่งเป็นอาคารของหมวดพลานามัย เมื่อประมาณ5ปีก่อนนี้อาจารย์เล่าว่า ครูหมวดนี้เสียชีวิต
   ไปหลายคน ห้องเราพอดีเรียนที่อคารนั้นพอดี แต่ว่าอาจารย์ไม่เข้าสอน อ้อ!!!ลืมบอกว่าข้างห้องเป็นห้องพักครูที่ปิดตาย
      
      เรากับเพื่อนนั้งเล่น คุยกันอยู่ในห้องจนเกือบจะหมดเวลาเรียน เราทุกคนได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ตอนแรกพวก
   เราก้อคิดว่าดังมาจากโรงเรียนข้างๆ แต่เสียงโทรศัพท์ดัง แต่ไม่มีคนมารับ ( อาคารนี้มันติดกับรั่วของโรงเรียนประถมข้างๆ )
   ฟังไปฟังมาเสียงของมันอยู่ใกล้มากเลย พวกผมกับเพื่อนก้อเริ่มคิดว่ามันต้องเป็นอะไรซักอย่างที่ไม่ใช่คนแน่ เลยพากันจะลง
   ไปข้างล่าง แต่เพื่อนในห้องคนหนึ่งเป็นประเภทชอบลองของ เค้าเลยเดินไปที่ห้องงที่ปิดนั้แล้ว.. ก้อมองรอดใต้ขาตัวเอง
      
      เมื่อมองเสร็จเขาถึงกับพูดไม่ออก ( มีความเชื่อกันว่า ถ้ามองลอดใต้ขาของตนเองจะพบกับ ภูติผี วิญญาณ) เราถาม
   ตั้งหลายรอบเขาก้อไม่บอก แต่วันนั้นห้องเราทั้งห้องขวัญเสียกันหมดเลย ตอนเย็นจึงพากันไปรดน้ำมนต์กันทั้งห้อง ตอนหลังนี้
   เค้าก้อบอกว่าเค้าเห็นคนใส่ชุดข้าราชการสีกากี พอไปดูในอนุสรณ์ ก้อเลยรู้ว่าเป็นอาจารย์ที่เสียไปแล้วเมื่อ5ปีก่อน


   ( จากคุณ เบส irc.webmaster.com ) 


-----------------------------------------------------------
   ที่มาของเรื่อง thaisayong


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 01 เมษายน 2009 21:11:20
เรื่อง   อุ้มลูกรอผัว 

 

      มันเป็นเรื่องสมัยที่แม่เรายังเป็นสาวๆน่ะ แม่เราเล่าให้ฟัง มีสองสามีภรรยา คนที่เป็นสามีนะ เค้าก็เป็นญาติห่างๆกับแม่
   เราด้วย เค้ามีอาชีพเป็นภารโรงอยู่ที่โรงเรียนประถมแถวบ้าน เค้ามีอาชีพเป็นภารโรงอยู่ที่โรงเรียนประถมแถวบ้าน ส่วนภรรยาของ
   เค้าก็ตั้งท้องได้8เดือนกว่า ใกล้คลอดแล้ว ก็มีอาชีพขายของในโรงเรียนนั้นแหละ วันนึงก็มีการจัดกีฬาสีที่โรงเรียน ผู้หญิงคนนั้น
   เค้าก็วิ่งข้ามถนนไปซื้อของยังอีกฟากหนึ่งของถนน ขณะที่วิ่งข้ามไปนั้นก็ไม่ทันดูรถที่วิ่งมาเพราะรีบร้อน จึงถูกรถบรรทุกที่วิ่งมาชน
   จนเสียชีวิต เป็นภาพที่น่าสลดใจสำหรับผู้พบเห็นมาก เด็กที่อยู่ในท้องยังดิ้นอยู่ และดิ้นแรงมาก แต่ไม่มีใครช่วยอะไรได้
      
      เราคิดว่าถ้าเป็นเดี๋ยวนี้เด็กคนนั้นคงรอดตายแล้ว เมื่อหยุดดิ้นแล้ว คิดว่าตายแล้วนั่นแหละ ก็มีสัปเหร่อมาผ่าท้องผู้หญิง
   คนนั้นด้วยเคียว เพราะถือกันว่าคนตายท้องกลมจะได้ไม่เฮี้ยน พอเสร็จแล้วสามีก็ได้นำศพภรรยาและลูกไปไว้ที่โรงเรียน ที่บ้านพัก
   ภารโรง เพื่อทำพิธีทางศาสนา และได้ทำพิธีตัด ( พิธีตัดคือ ตัดผัวตัดเมีย ตัดพ่อตัดลูกและเหล่าญาติๆ ) พอผ่านไปได้ประมาณ
   หลายเดือนเหมือนกันนะ ก็มีคณะแสดงม้ามาแสดงที่โรงเรียนนั้น เค้าแสดงกันตอนกลางคืน เพราะกลางวันคนส่วนมากจะไปทำงานกันน่ะ
   เด็กๆก็ไปโรงเรียน คณะนั้นเค้าก็มาแสดงกันเป็นเวลาเจ็ดคืน พอตกคืนที่สาม หัวหน้าคณะเกิดคิดอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ เดินไปทำธุระส่วนตัว
   แถวหลังโรงเรียนน่ะ แถวนั้นก็เป็นทุ่งนาด้วย พอทำธุระเสร็จ ก็เห็นผู้หญิงยืนอุ้มลูกอยู่ที่คันนา ผู้หญิงคนนั้นร้องไห้ด้วย แต่เค้าไม่คิด
   อะไรเลยเดินไปถามว่ามีไรมั้ย ทำไมมายืนร้องให้อุ้มลูกอย่างนี้ล่ะ ผู้หญิงคนนั้นก็บอกไปว่าชั้นถูกผัวทิ้ง หาก็ไม่เจอ นี่ก็หามาตั้งนานแล้ว
   หลายเดือนแล้ว เค้าทิ้งชั้นกับลูก หัวหน้าคณะก็ถามอีกว่า บ้านอยู่ไหน ผู้หญิงก็ตอบไปว่าก็อยู่แถวนี้แหล่ะ แต่เข้าบ้านไม่ได้ ไม่รู้จะไปอยู่ไหน
   เค้าจึงคิดว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนไม่ดี คงมีชู้ และมีลูกกับชู้ เลยโดนไล่ออกจากบ้าน เค้าก็เลยล่ำลาผู้หญิงคนนั้นแล้วกลับไปที่งานต่อ

      พอตอนเช้าก็ถามชาวบ้าแถวนั้นเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้น และเล่าเรื่องที่ตัวเองเจอ ชาวบ้านฟังแล้วก็รู้ทันที และเล่าเรื่องเกี่ยว
   กับผู้หญิงคนนั้นให้เขาฟัง และเล่าอีกว่า ที่เขาหาสามีไม่เจอก้เป็นเพราะว่าได้ทำพิธีตัดแล้ว เพราะผู้หญิงคนนั้นตายไปแล้วนั่นเอง ต่อจาก
   นั้นอีกนะ คณะแสดงก็ได้หยุดการแสดงแล้วก็แผ่นไปเลย


   ( จากคุณ ^^teem^^ irc.webmaster.com )
 

-------------------------------------------------------------
   ที่มาของเรื่อง thaisayong


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ผู้ชายไร้ตัวตน ที่ 03 เมษายน 2009 20:24:44
 :emo5 :emo5 :emo5 :emo5 :emo5


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 09 เมษายน 2009 18:51:30
 :emote
UP หน่อยและกัน กระทู้ หลอนๆ (ใครมีเรื่องดี ใครมีเรื่องเด็ด ส่งมาที่ กระทู้ได้เลย :emott)


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤษภาคม 2009 09:37:45
เรื่องเล่าสยองขวัญ ผีเช่าบ้าน

 

    เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดกับตัวผมเอง เมื่อประมาณปี 2533 ผมได้เดินทางไปปฏิบัติงาน ณ อ.บึงกาฬ จ.หนองคาย ซึ่งเป็นการเดินทางออกจากบ้านครั้งแรก ก่อนไปผมได้ให้พนักงานที่นั้นหาบ้านเช่าให้ เมื่อผมเดินทางไปถึงเจ้าของบ้านบอกว่าบ้านยังไม่ได้ทำความสะอาด ต้องทำเอง พวกผม 3 คนก็ตกลงกันว่ารับผิดชอบคนละห้อง เมื่อผมเลือกห้องที่ต้องการได้แล้ว ก็เปิดประตูเข้าไปทำความสะอาด ภาพที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้า ธูปที่ปักอยู่เต็มห้อง คราบน้ำตาเทียน รวมไปถึงร่องรอยที่ปรากฎอยูในห้องทำให้ผมขนลุกซู่เลยทีเดียว แต่ด้วยความที่เราจำเป็นต้องอยู่ทำให้ผมไม่ได้คิดอะไร ทำความสะอาด ปัดกวาด ก่อนนอนผมก็กราบพระเป็นประจำทุกวันไม่มีอะไรเกิดขึ้น ด้วยความคะนอกทำให้ผมไม่รู้สึกอะไร แล้วเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นกับผมจนได้ ครึ่งหลับครึ่งตื่นเหมือนมีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ ผิวเนื้อดำแดง เปิดประตูห้องผมเข้ามาทั้ง ๆ ที่ผมล๊อคประตูเรียบร้อยก่อนนอน แล้วพูดด้วยเสียงดังกังวาลว่า ฝากดูแลบ้านด้วยต้นไม้ที่อยู่หน้าบ้านน้ำแห้งขอดแล้ว เติมน้ำด้วย ผมสะดุ้งตื่นแน่นอนผมรีบออกไปดูต้นไม้ ผมแทบเป็นลม ต้นไม้นั้นน้ำแห้งขอดจริงอย่างที่บอก ผมเล่าให้พี่ข้างห้องฟัง ก็ต้องแปลกใจอีกครั้งหนึ่งเมื่อพี่เขาบอกว่าเมื่อคืนได้ยินเสียงเหมือนคนเดินลากโซ่หรืออะไรหนัก ๆ เสียงดังครืด ๆ ๆ แล้วก็มาหยุดที่หน้าห้องผม แล้วเสียงก็หายไป สักพักได้ยินเหมือนเสียงเดินออกจากห้องผมไปด้านหลังบ้านที่เป็นห้องเก็บของ ผมสอบถามจากชาวบ้านข้างเคียงได้ความว่า บ้านหลังนี้เดิมเจ้าของเป็นตำรวจเมื่อท่านเสียชีวิต ได้นำศพฝังหรือเผาไม่ทราบได้ในบริเวณสวนข้าง ๆ บ้าน ซึ่งห้องที่ท่านอยู่คือห้องผมและสวนก็อยู่ด้านข้างกับห้องพักของผม ผมรีบตื่นเช้าไปทำบุญที่วัดเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ท่าน เรื่องนี้อยากบอกว่าก่อนที่เราจะเข้าไปอยู่ในห้องพัก ควรสืบประวัติของห้องให้ดีก่อนที่คุณจะเจอกับสิ่งที่ผมได้เจอ

เรื่องนี้น่ากลัวดีครับ ที่มา : ghost2you.com


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 พฤษภาคม 2009 09:39:48
เมื่อคืนนี้...นั่งทำงานจนดึก เวลาล่วงเลยไปจนเกือบตี 3 ถึงได้เข้านอน

นึกไว้ว่า พรุ่งนี้จะตื่นเช้าหน่อย เพราะว่าจะแวะไปเอาฟิล์มก่อน

*
*
*

เสียงนก ปลุกให้ฉันตื่น...ยกหัวขึ้นมาดูนาฬิกา อ้าว เพิ่ง 7 โมงเช้า
นอนต่อดีกว่า

...รู้สึกตัวอีกครั้ง 7โมง45 อื้ม อีกนิด ถ้าแบ่งเวลาดี ดี วันนี้ต้องทำทุกอย่างทันน่า
ยังไงก็ทัน...

*
*
*

รู้สึกตัวอีกที เอ ใครมากันเต็มห้อง อ๋อ...เจ้าหวาปิง กับหวาหลินนี่เอง
พ่อกับแม่มันไปไหนนะ หวาหลิน มาชวนให้ไปเล่นด้วยกัน
...น้าจะรีบอะ เล่นด้วยไม่ได้แน่ๆ

อะไรอยู่มุมห้องน่ะ

เจ้าแสบนี่ ไปหาอะไรแปลกๆมาเล่นอีกนะ หูย เหมือนปะการังสวยงาม
เอ๊ะ ใช่ป่าวหว่า สวยดี เหมือนดอกไม้ทะเล ดาวขนนก เอ๊ะ ไปเอามาจากไหนฟะ

ดูหน่อยนะ

...เฮ้ย...เหมือนมีชีวิตเลย

อ้าว

ยังมีชีวิตอยู่นี่หว่า (รึเรายังง่วงฟะ)

ค่อยค่อย คลี่ ออกมาดู ดีกว่า

แตะหน่อย

เย้ย ... ดึ๋งๆ


เฮ้ยๆ...ไรอะ เอาไปในห้องน้ำดีก่า

ฉันเกี่ยวถุงวิ่งไปในห้องน้ำ

มันเริ่มกระดุก กระดิกมากขึ้น

มากขึ้น... เห้ย

**


ถุงมันขยายขึ้น ขยายขึ้นทุกที ไม่ไหวแล้วเฟ้ย เขวี้ยงทิ้งดีกว่า...



ปัง...เสียงถุงแตก



ฉันค่อยๆโผล่หัวเข้าไปดู นี่มันตัวบ้าอะไรเนี่ย หน้าตาเหมือนปลาปักเป้า กลมดิก มีหนาม
เหมือนปลาปักเป้า ตอนป้องกันตัว อะไรฟะ น่าเกลียดชิบ...มีเมือกๆด้วย

โดยที่ไม่ทันตั้งตัว

หลานตัวเล็กวิ่งมาจากไหนไม่รู้ กระโจนเข้าไปหามัน เหมือนถูกแรงดึงดูดให้วิ่งเข้าไป แล้วก็


ปัง...โอ้ยยยยย


ฉันโดนเศษหนามที่กระเด็นมาจากมันเฉี่ยว เลือดไหลเป็นทาง เฮ้ย ...ย หลานล่ะ


ค่อยๆมองเข้าไปในห้องน้ำ ทุกสิ่งทุกอย่างเลอะเทอะไปด้วย เศษเลือดและเนื้อ

*
*
*

น้ำตาเริ่มเอ่อ หวาหลินหายไป ไปไหน หายไปพร้อมกับ "มัน"



นี่มันบ้าอะไรเนี่ย...


ฝันรึป่าว...ตื่นสิ เฮ้ย ตื่น โอ้ย เจ็บบบบบ ฉันลงทุนหยิกตัวเอง
ตื่นแล้ว แล้วเกิดบ้าอะไรขึ้นมาละเนี่ย

หมุนซ้าย หมุนขวา...ทุกอย่างคงสภาพเดิม

หวานหลินหายไปไหน...


ไม่ได้แล้ว เจ้าตัวเล็กอีกคนยังอยู่ ไม่ปลอดภัยแน่ ว่าแล้วก็วิ่งๆๆ
ไปหาเจ้าปิง รอบบ้าน ปิง ปิง อยู่ไหนนะ

วิ่ง... หา... ค้น... รื้อ ปิง


เหนื่อย หมดแรง ...ท้อ นี่มันอะไร น่ากลัวชิบเป๋ง


น้าขา....เห้ยเสียงหวาหลินนี่หว่า ยังไม่ตายนี่ ฉันหันไปเจอหน้าหลานด้วยความดีใจ

แต่...

*
*
*

ตามเนื้อตัวหวาหลินมีรอย แดงๆ พาดเป็นจ้ำๆ เลือดยังซิบๆ อยู่ตามที่ฉันเห็น
เจ็บมั้ยคะ...ไม่เจ็บค่ะ หวาหลินไม่เจ็บแล้วค่ะ

ได้ไงอะ...โอ้ย มึน

ซักพักได้ยินเสียง แอ๊...เสียงเจ้าปิงนี่นา โอ้ย ยย ดีจัง หวาปิงยังอยู่ครบ 32

เจ้าปิงคลานเข้ามา ฉันวิ่งไปกอดด้วยความดีใจ...โอ๊ยยยย

อะไรอีกล่ะคราวนี้ ฉันดันตัวเจ้าปิงออกมา เฮ้ย

เอ้ย...ยยย


ตามตัวเจ้าปิง เต็มไปด้วยหนาม หนามปั๊กเป้านี่หว่า หนามเล็กๆ เต็มไปหมด

เด็กทั้งคู่ มองหน้าฉัน แล้ว ยิ้ม...

อมยิ้มเล็กๆ

แต่เป็นยิ้มที่ทำให้ฉัน รู้สึกสยอง....เข้าไปถึงขั้ว...


เหนื่อยว้อย...ไม่หนีแล้ว เป็นไงเป็นกัน...


ฉันต่อสู้กับความเหนื่อยอีกพักใหญ่


นาฬิกาตีบอกเวลา 8.30 พอดี เฮ้ยยยย ฝันเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้เลยอะ เวลาไม่ถึงชั่วโมง
ฟุ้งซ่านอะไรฟะ แต่ฉันก็เป็นแบบนี้บ่อยๆ นอนกลางคืนไม่เคยฝันไม่ดี แต่ถ้าตื่นแล้ว
แอบหลับไปอีก จะฟุ้งซ่านเอาหลายอย่างมาประกอบกัน...

1.เมื่อคืนไปหาหมอ เล่นกับเจ้าหวาหลินและหวาปิงแป๊ปนึง
2.เมื่อคืนก่อน นั่งดู Men in Black 1 มีแต่สัตว์ประหลาด แหยะๆ ฮาๆ
3.ดูทีวี พอดี หนังเรื่อง SAW III กำลังโปรโมตพอดี
3.เมื่อวานผ่านจอโทรทัศน์ใครไม่รู้ เห็นเรื่องดำน้ำ แล้วก็คุยกับน้องก๊วนที่เคยไปทำน้ำด้วยกัน
...เลยคิดถึงเรื่องใต้ทะเล สวยๆ
4.เหนื่อยมาหลายวัน (แล้วต้องเหนื่อยในฝันอีกหรอฟะ)

ไม่เอาแล้ว ทีหลัง ถ้าตื่นแล้วคงต้องตื่นเลย ห้ามแอบงีบอีกไม่งั้น ประสาทเสีย เป็นส่วนหนึ่งของ
ตัวละครในความฝันก่อนตื่นของตัวเองอีกแน่...ไม่ไหวๆ ไปดีกว่า

...หนีไปเหนือซัก 4-5 วัน แล้วเจอกันนะ หึหึหึ


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ลุงหนวด-(ZC72S) ที่ 10 พฤษภาคม 2009 09:45:06
 :emo5 :emo5


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 11 พฤษภาคม 2009 20:05:25
เนื้อหามีตั้งแต่หน้าแรกนะครับ ลองอ่านกันดู
ทีแรกว่าจะลงรายละเอียดแค่ในเขต ชลบุรี ไว้ไปเล่นๆกัน  ไปๆมาๆ เลยหาเรื่องเล่าต่างๆ+รูปภาพ มาให้ชมกัน
จัดเป็นกระทู้ สุนทรี แห่งความหลอนอีก 1 กระทู้ดีๆให้พี่น้องอ่านกัน คลายเครียด (หรือจะเครียดกว่าเดิมหว่า 555)


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 กรกฎาคม 2009 22:40:00
UP นิดนะครับ


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 กรกฎาคม 2009 22:42:05
เปรตหอนาฬิกา ( เคยคิดลอง แต่ไม่ก้า )

จาก มอชอ อีกแล้ว อันเนื่องจากเคยเป็นป่าช้าและลานประหารเก่ามาก่อน ทำให้เรื่องเล่าเรื่องผีทั้งเก่าและใหม่มีมากมาย เรื่องนี้อยู่ที่หอนาฬิกาใหญ่ ตรงสี่แยกจากประตูหลังมอ ตรงนั้นจะเป็นวงเวียนสี่แยก ฝั่งตะวันตกเฉียงใต้เป็นคณะวิศวะ ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้เป็นคณะศึกษา และโรงเรียนสาธิต ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ เป็น หอ 4 ชาย และฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือเป็นหอ 6 หญิง เรื่องนี้เล่ากันว่า ตรงหอนาฬิกา กลางวงเวียน มีเปรต หากไปลองของ

อาจโดนดีได้
>>วิธีการลองดีคือ ตอนเที่ยงคืน ให้ไปขับรถวนทวนเข็มที่หอนาฬิกา สามรอบ
(ปกติวงเวียนจะให้รถขับวนตามเข็มนาฬิกา) เล่ากันว่า ผู้ที่ลองทำอย่างนั้นไม่เคยมีใครขับรถทวนเข็มนาฬิกาได้ครบสามรอบซักคน ผู้มีประสบการณ์เล่าว่าในขณะที่วนรถอยู่นั้น

จะรู้สึกได้ถึงลมที่เย็นผิดปกติ
>>แต่วนไปรอบสองก็ไม่เกิดอะไรขึ้น มาเกิดตอนที่จะครบรอบที่สาม
จู่ ๆ ก็มีเสาสองต้นมาตั้งขวางถนนอยู่ ทำให้ต้องหักรถหลบ รถล้มบ้างแฉลบบ้างไปตามๆกัน ใครอยากรู้ก็ลองดูอง

อีกกรณีหนึ่งมีข่าวอยู่บ่อย ๆ ว่านักศึกษาที่พักอยู่ในหอพักชาย 4 และหญิง 6 ฝั่งที่ติดกับหอนาฬิกา มักได้ยินเสียงแหลมๆเล็ก ดังมาจากทางหอนาฬิกา สอบถามแล้วคืนนั้น เด็กสาธิตไม่มีการทำกิจกรรมและคณะวิศวะไม่มีกิจกรรม หรือการก่อสร้างใดๆ และที่สำคัญบางห้องได้ยิน บางห้องไม่ได้ยินทั้งที่อยู่ติดกัน? เป็นเพียงเรื่องเล่า


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 กรกฎาคม 2009 22:43:13
เรื่องจาก ม.เกษตร-บางเขนบ้าง

เราเจอเองกับตัวเลย ช่วงทำ Project ปี 4 ต้องอยู่ Lab ดึกมาก ที่ตึกxx (ไม่ขอบอกนะเดี๋ยวรุ่นน้องกลัว) รุ่นพี่เคยเตือนไว้ว่าอย่าอยู่ตึกนี้ดึก เพราะเคยเจอเสียงลากเก้าอี้ตอนกลางคืน แต่เราไม่เชื่อ ช่วงเดือนมีนา Project ยังไม่เสร็จ มีอยู่วันหนึ่ง ต้องยู่ดึกเวลาประมาณ 4 ทุ่มึก ทั้งตึกมีเราอยู่คนเดียวได้ยินเสียงลากเก้าอี้ อยู่ชั้น 4 เราอยู่ชั้น 3 เสียงลากดังอยู่เหนือหัวเราเลย กลัวมาก แต่ต้องทน งั้นไม่จบ ครั้งที่ 2 บางอย่างในตึกนั้นเริ่มหยอกแรงขึ้น เวลา 4 ทุ่ม เหมือนเดิม เรากำลัง Serch Net อยู่ในห้องชั้น 2 มีเสียงเคาะกระจกหน้าต่างห้องซึ่งดังมาก เราวิ่งไปเปิด แล้วชะโงกดู ไม่มีใครเลย พอกลับไปนั่ง เสียงเคาะกระจกก็ดังอีก เราก็วิ่งไปดูอีก ไม่มีอะไรผิดปรกติ........ .ครั้งที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ....เรากลัวมาก แต่งานยังไม่เสร็จ......มันเคาะทุกๆ ครั้งที่เราเผลอ จนกระทั่งเที่ยงคืน งานเสร็จพอดี เผ่นจากตึกแทบไม่ทัน เดือนเมษา เจอแรงสุด ๆ เรางีบอยู่ในห้อง Lab บอกเพื่อนที่ไปด้วยกันว่าถ้าจะกลับให้ปลุกด้วย เพื่อนเลว !! มันลืมเรา ปล่อยให้เราหลับอยู่ในตึกคนเดียว เวลา 3 ทุ่ม มีเสียงดังเหมือนใครเตะประตู เราตื่นมาเห็นผู้ชายกำลังวิ่งหนีลงไปทางบันได เราโมโหมากวิ่งตามมันลงไป แต่เอ๊ะ !! ไอ้บ้านี่ทำไมมันวิ่งลงบันไดไม่มีเสียงเลย? พอวิ่งถึงชั้น 1 .....มีแต่ความเงียบ ไม่มีใครเพราะตึกปิดแล้ว รู้เลยว่าเวลาขนหัวมันตั้งแล้วรู้สึกยังไง.......เผ่นตามระเบียบ จากนั้นเวลาเย็นเราจะเก็บของกลับทันที ไม่อยู่ดึกเด็ดขาด นี่คือรายการของคนเห็นผีในตึกนี้เท่าที่รวบรวมได้

รุ่นพี่ : ได้ยินเสียงลากเก้าอี้ตลอดคืนที่ทำ Lab เพื่อน : เสียงลากเก้าอี้ เสียงเรียกชื่อตัวเองจากด้านหลัง ยาม : เห็นเงาสีดำหายเข้าไปในลิฟต์ ชั้น 2 ได้ยินเสียงลากเก้าอี้อยู่ชั้นบน วิ่งไปดูไม่พบใคร ยัยนก : เดินไปเห็นเงาตะคุ่ม ๆ ที่ชั้น 3 ตอน 4 ทุ่ม ยัยคนนี้ก็กระโดดกรี๊ดสุดเสียง......ที่แท้เป็นยาม (ยัยเซ่อ)

ปล. เราเรียนจบแล้วคิดถึงทุกๆคน ที่ตึกแห่งนั้น

เรื่องมีอยู่ว่ามีมีนักศึกษาหญิงในมหาลัยแห่งหนึ่งแถวรังสิต ผูกคอตายในห้องน้ำของตึกเรียนตึกหนึ่ง และหลายคืนแล้วที่มีคนได้ยินเสียงของนักศึกษาหญิงร้องไห้ หรือพบเห็นเธอเป็นประจำ โดยเฉพาะเห็นเธอในกระจก ในห้องน้ำนั้น จนกลายเป็นเรื่องเล่าของมหาลัย วันนึงมีนักศึกษาชายกลุ่มหนึ่งประมาณ 3-4 คน กำลังจะเดินกลับหอ หนึ่งในนักศึกษากลุ่มนั้นก็เกิดคึกคะนองอยากลอง แต่อีก 3คนไม่กล้า คนที่คะนองจึงเข้าไปในห้องน้ำนั้นคนเดียว โดยที่เพื่อนๆ รออยู่ข้างนอก นักศึกษาชายคนนั้นก็ทำเป็นเก่งตะโกนคุยกับเพื่อนข้างนอก " ... วันนี้ร้อนว่ะเนอะ... ? แล้วก็เอาน้ำล้างหน้า เสร็จแล้วก็ดูกระจก แล้วก็แต่งผมอยู่สักพัก แล้วก็เดินออกมาดูกระจกก็ไม่เห็นมีไรเลย ยังบอกว่า่ง " เรื่องเล่าก็เป็นแค่เรื่องหลอกเด็ก อากาศมันร้อน ku เลยล้างหน้าซะด้วยเลย..? ? !!! ? ? เฮ้ย mung เอาน้ำที่ไหนล้างหน้าวะ ห้องน้ำนี้ไม่มีคนใช้ เค้าเลยตัดน้ำไปนานแล้ว ไอ้กระจกตรงอ่างน้ำก็ด้วย มีคนเอาของเขวี้ยงกระจก มันแตกไปนานแล้ว...?

ผีในลิฟท์ ม.รังสิต เรื่องนี้เกิดขึ้นประมาณปี 38-39 มีนักศึกษา อยู่หอชาย(เก่า)ไปเที่ยวกลับมาตอนตี 2 ในลิฟท์ก็จะมีกระจกอยู่ 1 บาน พอเข้าไปในลิฟท์ (จากชั้น1) ก็เห็นมีผู้ชายคนนึงอยู่ในลิฟท์ก่อนแล้ว แล้วถามว่าจะไปชั้นไหน ก็บอกไปว่าชั้นเดียวกันนั่นแหละ (คือชั้น 9) แล้วนักศึกษาคนนี้ก็ยืนแกะสิวอยู่หน้ากระจก พอเหลือบไปมองผ่านกระจกไปก็เห็นผู้ชายที่มาด้วยยืนเฉยๆ แต่หัวหมุนไปหนึ่งรอบ แล้วหันมายิ้มให้ี่ วันรุ่งขึ้นเห็นเพื่อนบอกว่าคืนนั้นยามวุ่นวายกันน่าดู เพราะนักศึกษาชายคนนั้นต้องการย้ายข้าวของออกไปทันที กว่าจะขนของเสร็จก็เกือบเช้า

อ๊าย...เรื่องลิฟท์แดงของธรรมศาสตร์ นี่เรื่องเล่าขานเยอะมาก เมื่อครั้งตอนเหตุการณ์เดือนตุลาคน พวกทหารบุกเข้ามาภายในมหาวิทยาลัย แล้วพอลิฟท์ตัวนี้เปิด พวกมันก็กระหน่ำยิง คนในลิฟท์ซึ่งมีทั้งอาจารย์และนักศึกษาเสียชีวิตหมด เลือดสาดกระจายทั่วลิฟท์ เมื่อเหตุการณ์ผ่านพ้นไปแล้วนั้น มหาวิทยาลัยกลับคืนสู่สภาพเดิม มีการบูรณะทำความสะอาดกันทุกพื้นที่ ไม่ว่างเว้นแม้กระทั่งแต่ลิฟท์ตัวนั้น แต่ทีนี้ทำยังไงคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนอยู่ก็ลบไม่ออก เหมือนจะเป็นการประจานการกระทำอันบ้าเลือดและอยุติธรรม มหาวิทยาลัยจึงได้ทำการทาสีลิฟท์ให้เป็นสีแดง นี่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น จากนั้นก็มีเรื่องเล่าตามมาว่าื .......หลังจากที่ลิฟท์ได้เปลี่ยนเป็นสีแดงแล้วนั้น ก็ได้มีการนำกลับมาใช้ตามปกติ แต่แล้ววันหนึ่งขณะที่นักศึกษาหญิงคนนึงกำลังใช้บริการลิฟท์แดงตามลำพังอยู่นั้น เมื่อเธอมองไปที่กระจก กลับพบว่าไม่ได้มีเธออยู่เพียงลำพัง หากแต่มีผู้อื่นที่โดยสารอยู่ในลิฟท์ตัวนี้มากมาย และยังมีอีกหลายครั้งหลายคราที่เหล่านักศึกษา อาจารย์ หรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ต่างๆ ได้พบเจอกับอาถรรณ์ของลิฟท์แดงตัวนี้เข้า ทำให้มหาวิทยาลัยต้องเปลี่ยนตัวลิฟท์ใหม่ แต่ว่าประตูลิฟท์แดงที่ถูกถอดออก ไปตอนนี้ก็ยังตั้งอยู่ที่ชั้น 4 (มั้งถ้าจำไม่ผิด) ตึกคณะศิลปศาสตร์ มาจนถึงทุกวันนี้


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 กรกฎาคม 2009 22:44:07
เรื่องเล่าผี : เด็ก ป.4 ตายในห้องเรียน


เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับฉันเมื่อ อายุได้ 10 ขวบ (18 ปีที่แล้วค่ะ) ซึ่งตอนนั้นเรียนอยู่ชั้นประถม 4 โรงเรียนประถมในตอนนั้นเป็นอาคารสองชั้น และห้องเรียนฉันก็อยู่ชั้น 2 ติดกับบันได จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันแรกของการเลื่อนชั้น พวกเราพากันจัดโต๊ะและทำความสะอาดห้อง จนกระทั่งได้เวลากลับบ้าน นักเรียนก็พากันทยอยกลับกัน แต่ฉันยังอยู่ช่วยคุณครูสองคนจัดห้องอนุบาลชั้นล่าง เมื่อเสร็จแล้วฉันก็จะกลับบ้านซึ่งตอนนั้นตะวันลับขอ บฟ้าไปแล้ว ในตัวอาคารค่อนข้างมืด ฉันวิ่งขึ้นไปเอากระเป๋าที่ห้อง ซึ่งครูก็ยืนคุยกันอยู่ที่ห้องอนุบาลด้านล่าง ฉันก็วิ่งขึ้นบันไดไป ทันใดนั้นก็เหลือบเห็นมีนักเรียนผู้หญิงเดินเข้าห้อง เรียน ป.4 ซึ่งเป็นห้องเรียนเดียวกับฉัน ซึ่งอยู่ห้องแรกติดบันได ฉันรู้สึกดีใจที่ยังมีเพื่อนเพราะชั้นสองเริ่มมืด เนื่องจากภารโรงยังไม่ได้เปิดไฟ ฉันจึงค่อยๆ ย่องขึ้นบันไดไปเพื่อที่จะแกล้งเพื่อนเพื่อให้ตกใจ เมื่อมาถึงประตูฉันก็รีบผลักประตูเสียงดังและกระโดดเ ข้าไป แต่ฉันแทบช็อคเมื่อไม่พบใครอยู่ในห้องเลย ห้องมืดมาก เพื่อให้แน่ใจฉันซึ่งก้มมองดูที่พื้นก็ไม่พบใคร เป็นไปไม่ได้ที่จะโดนแกล้งเนื่องจากอาคารชั้นสองสูงม าก หากกระโดดลงไปขาหักแน่และอาจเสียชีวิตได้ ระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้นทันใดนั้นประตูหน้าต่างซึ ่งปิดอยู่ตรงมุมห้องก็เปิดออกเสียงดังมากและเปิดแค่บ านเดียวเท่านั้น โดยในห้องไม่มีลมแม้แต่นิดเดียว ฉันตัวชาและก้าวขาไม่ออก ได้แต่จ้องไปที่มุมห้องนั้น ฉันหลับตาและท่อง นะโม ไม่รู้ว่านานแค่ไหน รู้อีกครั้งเมื่อขาเริ่มขยับได้ ฉันก็รีบวิ่งลงบันได ไปหาครูทันที แต่ปรากฎว่า ครูกลับบ้านไปหมดแล้ว ฉันรีบวิ่งจากโรงเรียนไปบ้านโดยไม่หันหลังไปมองเลย จนกระทั่งถึงบ้านแม่ตกใจมากที่เห็นฉันหน้าซีด ฉันจึงเล่าให้แม่ฟัง แม่ก็ปลอบฉันว่าไม่เป็นไร ตาฝาดและฉันคงเหนื่อยจากการจัดห้องทำให้เห็นภาพ แต่ไม่จบแค่นั้น คืนนั้นฉันฝันว่าเข้าไปอยู่ในห้องนั้นอีกครั้งและยืน ก้าวขาไม่ออกฉันมองไปที่มุมห้องนั้นเห็นเด็กผู้หญิงอ ายุประมาณ 10 ขวบ ผมสั้น ร่างกายผอมมากใส่ชุดนักเรียนเก่ามาก มีรอยปะเต็มไปหมด ยืนร้องไห้อยู่ บอกว่าหิวข้าว ทันใดนั้นฉันก็ได้กลิ่นเหม็นสาปแรงมาก จนทำให้ฉันรู้สึกอยากอาเจียน ฉันพยายามขยับขาวิ่งแต่ก้าวขาไม่ออก ฉันจึงก้มลงไปดูปรากฎว่าเด็กคนนั้นมาจับขาฉันไว้ และรู้สึกได้ว่ามือนั้นแห้งกร้าน ฉันกรีดร้องออกมาเสียงดังมาก จนกระทั่งมารู้ตัวเมื่อแม่มาเขย่าตัวฉันให้ตื่น ฉันรีบโผเข้ากอดแม่และร้องไห้ และอาเจียนออกมาเนื่องจากกลิ่นนั้นยังติดที่จมูกฉันอ ยู่ พ่อกับแม่ฉันตกใจมากจึงเอาพระมาห้อยคอและพาฉันสวดมนต ์และบอกว่าพรุ่งนี้จะไปทำบุญให้อย่ามารบกวนเลย จนกระทั่งเช้า แม่ก็ไม่ให้ฉันไปโรงเรียนจึงไปลาครูที่โรงเรียนและเล ่าให้ครูฟัง ครูตกใจมาก เนื่องจากเมื่อวานครูคิดว่าฉันกลับบ้านไปแล้วเพราะขึ ้นไปดูที่ห้องก็ไม่พบฉันครูจึงกลับบ้านไป ครูจึงเล่าให้แม่ฉันฟังว่า ห้องนั้นเคยมีเด็กผู้หญิงซึ่งมีรูปร่างเหมือนอย่างที ่ฉันฝัน เสียชีวิตในห้องป.4 จริง เนื่องจากขาดสารอาหาร เด็กคนนี้ครอบครัวอยากจนมาก มักจะขโมยข้าวเพื่อนกินและแอบเอาข้าวใส่กระเป๋าเสื้อ กลับบ้านเพื่อเอาไปให้แม่ที่บ้านจนกระทั่งวันหนึ่งก็ ได้เสียชีวิตตรงมุมห้อง เนื่องจากเป็นลม และในมือเธอก็ยังถือข้าวไว้กำหนึ่งแน่น

อีกวันถัดไปทางโรงเรียนจึงนิมนต์พระมาสวดทำบุญห้องเพ ื่อส่งวิญญาณของเด็กคนนั้นให้สู่สุขคติ ฉันและครอบครัวก็ไปทำบุญแผ่กุศลให้เด็กคนนั้นด้วย นับแต่นั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่ห้องนั้นอีกเลย จนกระทั่ง 7 วันผ่านไป มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งตะโกนเสียงดังจากมุมห้องว่า "เฮ้! ใครเอาข้าวขึ้นรามาทิ้งไว้ตรงซอกมุมห้องนี้ว่ะ" เพื่อนๆ ก็พากันวิ่งมาดู ซึ่งสิ่งที่เห็นคือข้าวซึ่งมีลักษณะถูกบีบแน่นตกอยู่ ตรงซอกเสามุมห้อง สภาพแห้งและดำมาก ซึ่งพากันเชื่อว่าเป็นข้าวที่อยู่ในกำมือของเด็กที่เ สียชีวิตคนนั้น และครูก็บอกว่าในวันเผาศพเด็กคนนั้นก็ยังกำข้าวอยู่ใ นมือไว้แน่นและก็ได้เผาไปพร้อมกับเธอ!!!!!!!!!


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 กรกฎาคม 2009 22:44:37
ผีเจดีย์ร้างที่บ้านวังสิงห์คำ

เมื่อปี พ.ศ.2488 ปลายสงครามโลกครั้งที่2 ผมรู้จักหมอผีชื่อดังผู้หนึ่ง อยู่บ้านเด่น อำเภอเมืองเชียงใหม่ ชื่ออาจารย์จันทร์ ผู้ขมังเวทย์ ทรงคุณวิชาไสยเวทย์สารพัด ได้เล่าให้ผมฟังถึงการที่เคยได้รับลายแทงบอกที่ซ่อนข ุมทรัพย์ฉบับหนึ่ง ซึ่งเป็นสมบัติของคนไทยในสมัยอยุธยา ที่เคยฝังไว้เมื่อคราวเสียกรุง ระบุถึงที่ซ่อนทรัพย์สินเงินทองที่ฝังไว้ไต้ฐานเจดีย ์ร้าง ที่หมู่บ้านวังสิงค์คำ ริมฝั่งแม่น้ำปิง ซึ่งเป็นบ้านคหบดีชาวคริสเตียนผู้หนึ่ง ภายในบริเวณบ้านซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 4ไร่ มีเจดีย์ร้างเก่าแก่สูงประมาณ4เมตร และมีตึกสีแดงขนาดใหญ่ตั้งอยู่ข้างหลังเจดีย์ สถานที่นี้เป็นวัดร้าง ไม่ค่อยมีใครกล้ามาอาศัยอยู่ เพราะลือกันว่า " ผีกั่น " !นมากๆ วันพระวันโกน จะมีเสียงร้องโหยหวนมากจากตึกอยู่เนืองๆ อยู่มาวันหนึ่ง อาจารย์จันทร์ ก็ชวนบริวารลูกศิษย์ไปลักขุดตามแผนที่ลายแทงในเวลาค่ อนดึก ก่อนไปก็ได้จัดการอุ่นเครื่องเลี้ยงฉลองด้วย แม่โขง เมื่อพรองไปแล้ว 1 ขวดกลม ขบวนนักขุดก็เริ่มดำเนินการขนหมูเห็ดเป็ดไก่ เครื่องเซ่นสังเวยใส่รถสามล้อ ถีบตรงไปที่เจดีย์ร้างดังกล่าว เมื่อถึงอาจารย์จันทร์ก็จุดธูปเทียนบอกกล่าวเจ้าที่เ จ้าทาง แล้วจอมขมังเวทย์หมอผีชื่อดังก็เริ่มร่ายเวทมนตร์สยบ ผี โดยไม่ลืมวนด้ายสายสิญจน์ล้อมรอบตัวทุกคน อาจารย์เล่าด้วยขวัญที่ยังระทึกอยู่ไม่หายว่า เวลาค่อนข้างดึกของคืนนั้นเยือกเย็นและวังเวงอย่างบอ กไม่ถูก ลมเย็นหอบหนึ่งกระโชกพัดมากระทบกายอย่างแรงจนแสงไฟจา กเทียนพิธีดับ เสียงหมาหอนเยือกเย็นแว่วรับกันเป็นทอดๆ ขณะนั้นเอง ใต้ฐานเจดีย์ ที่เขานั่งทับทำพิธีก็มีเสียงกึกๆ กักๆ ดังจากซ้ายไปขวา คล้ายเกิดการเคลื่อนย้ายสิ่งของหนักๆด้วยคนหลายคน เสียงบริกรรมเวทมนตร์ก็ละล่ำละลักดังกระชั้นถี่ ฉับพลันนั้นเอง อาจารย์จันทร์ก็กระชากดายลงอาคมปักไปตรงบริเวณเสียงท ี่ดังลั่นขึกๆ อยู่ใต้ดิน โดยปักล้อมรอบเอาไว้ทั้งสี่ทิศเพื่อสกัดกั้นผีเฝ้าขุ มทรัพย์มิให้ขนย้ายสิ่งของหลบหนี ทันใดนั้น บนยอดเจดีย์ก็มีเสียงร้องครวญครางราวกับได้รับความเจ ็บปวด อาจารย์รีบยกจอบหมายจะขุดบริเวณที่ใช้ดาบปักล้อมไว้ข ้างฐานเจดีย์ ขณะยกจอบเงี้อง่าจะขุด อาจารย์จันทร์ก็ล้มหงายหลังอย่างแรง เหมือนมีมือปีศาจมากระชาก พวกเขาก็แตกฮือวิ่งเผ่นกระเจิงออกนอกรั้วโดยไม่มีใคร สั่งใคร หมอผีเองก็เผ่นกระโจนตามกันออกมาชนิดตัวใครตัวมัน อาจารย์จันทร์เล่าว่า พวกเขาเป็นไข้หัวโกร๋นกันไปหลายวันโดยไม่ได้นัดหมายก ันเลย แล้วก็เข็ดไม่ยอมเป็นนักธรณีวิทยานอกระบบขุดสมบัติลา ยแทงกันอีก ถึงจะมีสมบัติมากมายแค่ไหนก็จะไม่ขอแตะต้องอีกชั่วชี วิต ข้อสังเกต ในบรรดานักขุดทั้งหลาย มีอยู่คนหนึ่งได้ขุดสมบัติจนร่ำรวย โดยสามารถตั้งโรงเลื่อยได้ แต่แล้วโรงเลื่อยก็ถูกไฟไหม้ไม่รู้สาเหตุ ครอบครัวได้รับความวิบัติต่างๆนาๆเป็นที่โจษขานกันใน เมืองเชียงใหม่มาจน


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 กรกฎาคม 2009 22:44:56
เล่นผีเหรียญ

มีคนเคยบอกวิธีในการเล่น
เริ่มแรกนะก็เขียน ก-ฮ 1-0 นะแล้วก็มีช่องเข้า ออก ด้วย
นำเหรียญมาวางไว้ที่ทางเข้า แล้วท่องนะ โม ตัส สะ วนไปทีละคน 3 รอบ
แล้วถามว่าเขาเข้ามาหรือยัง ถ้าเข้ามาแล้วอยากถามอะไรก็ถามไป
ถ้าอยากออก ก็ถามเขาว่าออกก่อนได้มั้ย ถ้าบอกว่าได้ก็ให้เหรียญเดินไปทางออก
แล้วรูดเหรียญออกจากกระดาษหลังจากนั้น เคาะโต๊ะ 3 ที
ปาไปที่อื่น (ห้ามปาใส่คนนะเดี๋ยวเขาจะเข้า)
จริงเท็จอย่างไร ไม่มีใครยืนยันได้ แต่คุณลองอ่านเรื่องข้างล่างนี้ก่อนสิ
ว่าคุณยังอยากจะเล่นผีเหรียญ อีกไหม ?

มีอยู่ครั้งหนึ่งเล่นกันเพื่อนที่บ้านร้างแห่งหนึ่งซ ึ่งเคยมีคนถูกฆ่าตาย
เล่นกับเพื่อน 5 คน ก้อมีเชิญวิญญานของคนที่ถูกฆ่าตายมาเข้าสิง
พวกเรารู้สึกว่ามีอะไรบ้างอย่างคอยมองอยู่ตลอดเวลา
แต่ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร ทุกคนพยายามบอกว่าไม่มีอะไร

แต่ว่าเมื่อเชิญวิญญานมาเข้าเค้าบอกว่าชื่อ ตูน ถูกฆ่าตายที่นี่ และไปไหนไม่ได้
พวกเราถามเขาทุกอย่าง มีทั้งตอบบ้างและไม่ตอบ จนดึก มีเพื่อนคนหนึ่งของเรา
เกิดทำมือหลุดจากเหรียญทำให้ ตูน โกรธมากเพราะจะทำให้เขา
ไปไหนไม่ได้จนกว่าแยมผู้ทำมือหลุดจะไปขอโทษ แต่แยมกลับไม่เชื่อ
เพราะไม่เชื่อมาแต่ต้นและตั้งใจทำมือหลุดอยู่แล้วด้ว ย
พวกเราเลยเลิกแต่ตูนไม่ได้บอกว่าจะมาเอาชีวิตพวกเราท ุกคน
พวกเราเลยเลิกโดนไม่ถามต่อเลย ทุกคนต่างแยกย้ายกลับบ้าน
สา เพื่อนคนแรกที่เจอเขาเล่าว่าตอนกลับบ้านเจอผุ้หญิง
ขอความช่วยเหลือ สา จึงบอกให้แจ้งตำรวจเมื่อพานั่งรถ
ผู้หญิงคนนั้นบอกว่าเขาคือ ตูนและจะมาเอาชีวิตเขาคนแรก
แต่วันนั้นสาพกพระไปด้วยเลยไม่เป็นอะไรมาก

แยม เป็นรายที่2 เขาพบกับ ตูน ตรงๆเลยแล้วบอกว่าจะมาเอาชีวิต
วันนั้นเป็นวันหยุดจึงพากันไปหัวหินแต่ว่าทางเข้าบ้า นพักเปลี่ยวมาก
และเวลานั้นเป็นกลางคืนจะดูน่ากลัวมาก แยมไม่เชื่อคิดว่าเรามาหลอกเขา
แต่พอเอาเข้าจริงๆถึงกันเข่าอ่อนเลยใบหน้าของ ตูน เละมากมีกลิ่นเหม็นเน่า
อีก แยม เป็นคนขับรถเร็วและนั่งคนเดียว จึงทำให้พวกเราตามไม่ทัน
ตอนนั้นพวกเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างแต่รู้ว่ามัน คงจะน่ากลัวมาก
จนทำให้แยมถึงกับเป็นบ้า แยมบอกเพียงคำเดียวว่า
"เราขอโทษต่อไปนี้จะไม่ลบลู่อีกแล้ว ขอโทษๆ"
และบอกว่ามันน่ากลัวไม่มีใครรู้ว่า ตูน จะมาเอาอะไรจากแยมบ้าง
แต่เขาก็ทำให้แยมตายทั้งเป็นแล้ว แต่เราคิดว่า ตูน คงไม่มาเอาชีวิตเราแล้ว
เพราะแยมคงขอโทษไปแล้ว ส่วน สา ก็คงเป็นดวงไม่ดีที่ไปพบกับ ตูน
หลังจากวันนั้นไม่มีใครกล้าเล่นผีเหรียญอีกเลย
และพยายามอยู่ห่างๆมันไว้แหล่ะจะดีที่สุด:


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 กรกฎาคม 2009 22:45:08
ผีมาทวงของคืน
ก่อนอื่นต้องบอกว่าเรื่องที่กำลังจะเล่านี้ เป็นเรื่องจริง 100% เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับน้องสาวแท้ๆของเราเอง คือว่า เมื่อเดือนมกราที่ผ่านมาน่ะ น้องเราแต่งงาน.. และเพื่อนเจ้าบ่าวก้อซื้อสร้อยคอชาวเขามาให้เป็นของข วัญวันแต่งงาน น้องเราเล่าว่าตอนที่แกะของขวัญออกมาน่ะ ก้อยังไม่มีอะไร เพียงแต่ว่าพอคืนวันรุ่งขึ้น น้องเล่าว่าได้กลิ่นเหมือนอะไรเน่าๆ แต่น้องเราก้อคิดว่ากลิ่นดอกไม้ที่นำกลับมาจากโรงแรม ก้อเลยให้แฟนนำดอกไม้ไปทิ้ง แล้วน้องเราบอกว่าไม่รู้นึกยังงัยนะ เวลาหยิบสร้อยเส้นนั้นมาดู จะรู้สึกใจหดหู่ชอบกล และไม่รู้ว่าเหมื่อนอะไรมาดลใจนะ น้องเราดันเอาสร้อยเส้นนั้นไปแขวนไว้ที่ต้นโมก ซึ่งปลูกใส่ในกระถางหน้าบ้าน หลังจากนั้นสองวันน้องเราก้อไปฮันนีมูนกับแฟนเค้าที่ ต่างจังหวัด ซึ่งตอนที่ไปฮันนีมูนน่ะ น้องเราบอกว่าไม่มีอะไรร้ายๆเกิดขึ้น แต่พอน้องเรากลับมาถึงบ้านนะ เค้าตกใจมากๆเลยที่ต้นโมกที่นำสร้อยไปแขวนน่ะ ตกน้ำมันเลย และใบโมกก้อแห้งกรอบ หงิกๆแบบใบมะกรูดแห้งๆด้วย และคืนวันที่น้องเรากลับมาจากฮันนีมูนนะ อยู่ๆเค้าก้อปวดท้องมากๆเลย แฟนเลยพาไปหาหมอกลางดึกนั้นเลย จึงตรวจพบเนื้องอกที่มดลูกขนาด 12 เซน น้องเรางงมากๆว่าเกิดขึ้นได้ยังงัยเพราะก่อนแต่งงานน ้องเรากับแฟนเค้าก้อไปตรวงเช็คร่างกายด้วยกันทั้งคู่ และปกติดีทั้งคู่ น้องเราเล่าว่าตอนนั้นน้องเราก้อยังไม่เอ๊ะใจอะไร แต่ต้องมาตกใจและกลัวสุดๆก้อคือ พอแม่แฟนมาเยี่ยมที่บ้านน่ะ อยู่แกก้อถามว่าไปเอาสร้อยชาวเขามาจากไหน แกเล่าว่าก่อนที่จะมาเยี่ยมน้องสาวเราน่ะ แกฝันว่ามีผู้หญิงชาวเขามายืนร้องไห้หน้าบ้านที่น้อง เราอยู่ แม่แกเลยถามว่ามาหาใคร ผู้หญิงคนนั้นบอกว่ามาทวงสร้อยคืน ทำมัยต้องเอาของเค้ามาด้วย เพื่อนๆเชื่อมั๊ยขนาดเราแค่ฟังจากน้องเรานะ เรายังขนลุกเลย ส่วนน้องเราน่ะ ไม่ต้องพูดถึงกลัวจนจะบ้าตายเลยแหละ น้องเราก้อเลยทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าของเค้า และนำสร้อยเส้นนั้นไปคืนเพื่อนที่ให้มา ตอนนี้น้องเราผ่าตัดเนื้องอกเรียบร้อยแล้ว โชคดีที่แข็งแรงและฟื้นตัวเร็ว แต่น้องเราก้อยังกลัวผีอยู่เหมือนเดิม เราเองเราก้อกลัวเหมือนกัน ตอนกลางคืนทีไรเรานอนผวาทุกที ใครที่บอกว่าผีไม่มีจริงน่ะ เราขอเถียงหัวชนฝาเลยล่ะ เพราะเราเชื่อว่าผีมีจริงในโลก


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 กรกฎาคม 2009 22:45:43
(http://www.videoand.tv/wp-content/uploads/2009/03/ju-on-300x267.jpg)


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 กรกฎาคม 2009 22:47:48
ถ้าใครเคยไปจังหวัดพิษณุโลก ลองมาที่นี่ดูนะครับ

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ พี่ของเพื่อนผมโดนมากับตัว

เพื่อนผมมันเล่าให้ฟังว่า....

วัดจุฬามณี ผ่านมาทางสาย แม็คโคร ให้เลี้ยวซ้าย ซึ่งจะเป็นทางโค้งของวีดจุฬามณี เมื่อคุณอยากลองของ ให้คุณเลี้ยวโค้งเข้ามา แล้วนับเสาไฟฟ้า 4 ตน เมื่อนับครบแล้ว ให้มองไปเสาไฟฟ้าต้นที่ 4

เราจะเห็น...ผู้หญิงผมยาว นั่งห้อยขาอยู่บ้างบนเสาไฟฟ้า
เมื่อเรามองแล้วเราหันกลับ ผู้หญิงตนนั้นก็จะตามมาแล้วบอกว่า "กุรู้ว่ามืงมองกุอยู่ แล้วมันก็จะ....(คิดแล้วก็ อะนะ)

ถ้าเราขี่รถยนต์ มันก็จะมาเกาะข้างหลังกระจกรถของเรา ยิ่งถ้าหนักกว่ามันก็จะมาข้างหน้ารถยนต์ (ตายแน่กุ)

ถ้าเราขี่มอไซด์ ผู้หญิงตนนั้น ก็จะมาเกาะหลังรถของเรา ถ้าเราไม่มองยิ่งถ้าเราเร่งเครื่อง ผู้หญิงตตนนั้นก็จะตามคลานมา โดยใช้...

ศอกคลานมา ยิ่งใช้ศอกเลือดก็ออกคราวนี้เต็มถนนเลยครับ

>
>
>
วิธีแก้ก็คือ เราลองมองกระจกข้างครับ ผีเขาจะรู้ว่าเรามองอยุ่ จะได้ไม่ตามเรา

มี 4 แยกไฟแดง ต้องขี่ให้เลยครับผีถึงจะไม่ตามเรามา

หรืออีกวิธี ตายตรงนั้น ผีเขาจะได้ไปเกิด ส่วนเราก็หลอกเขาเล่น





พี่ๆคิดว่าไงครับ

ที่มา
http://www.thailandhotmail.com


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 12 กรกฎาคม 2009 14:55:05
วิธีที่อยากเห็นผีอ่ะ มีแบบที่หลอนกว่านี้อีกนะสำหรับคนใจกล้าพอเลยล่ะ
1. ไปกินข้าวตรงที่ที่มีคนพึ่งจะตายไปไม่เกิน 3 วัน อันนี้ต้องเป็นตอนกลางคืนแล้วอ่ะ ลองเลย 50% มีคนเคยเห็น
2. ขโมยของ รึเอาของคนที่ตายแล้วมาใช้ เน้น ต้องเป็นของใช้ที่ผู้ตายรัก และห่วงมากที่สุด 80% มีคนเคยเห็น ( แล้วมานต้องเอาของไปคืนเค้าด้วย )
3. จับแมวดำโยนข้ามศพคนตาย 30% ใคนเคยเห็น
4. นอนในโลงศพ แบบเดียวกับศพ โดยมัดตราสังด้วย แต่ห้ามทำพิธี นอนสักพักนึงค่อยลุกออกมาจากโลงศพแล้วคุณจะพบกับสิ่ง ที่คุณต้องการ 80% มีคนเคยเห็น ( วิธีนี้ถ้าลองแล้วเจอ วิธีการคือการให้พระทำพิธีบังสกุลให้เรา ถ้าเป็นพระที่ปฏิบัติธรรมมาดีจะสับสนว่าเราเป็น คนรึผี แต่เราก็ต้องขอร้องให้ท่านทำให้ ยิ่งเป็นพวกจิตอ่อนยิ่งหลอน )
5. เล่นซ่อนหาในป่าช้า ตอนกลางคืน 20% มีคนเคยเห็น
6. ไปลองของตามสถานที่ต่างๆ ที่มีประวัติน่ากลัวๆ 20% มีคนเคยเห็น
7. นอนขวางประตู รึ นอนตรงกับคานบ้าน(บ้านไม้แบบที่มีคาน) 50% มีคนเคยเห็น
8. ตอนที่กำลังเผาศพ เอาไม้กวาดพื้นกวาดรอบเมรุ 3 รอบ แล้วหักเศษไม้กวาดมา1ก้านเอามาเหน็บไว้ที่หูข้างซ้าย เอาน้ำมะพร้าวที่ล้างหน้าศพ มาป้ายตาทั้ง 2 ข้าง ก้มลงมองลอกหว่างขาในเงาของเมรุ ( กรณีที่เห็นท่านยมฯ ให้รีบวิ่งไปหลบใต้เงาโบรถ์ ถ้าไม่ทัน รึ รู้สึกว่าท่านยมฯ ตามอยู่ตลอดเวลา รึเห็นท่านยมฯ บ่อยเกินเห็น ให้พระทำพิธีบังสกุลให้ *ท่านอาจจะรอดนะ ) จากนั้นก็จะเห็นวิญญาณของคนที่ตายไป รวมทั้งของคนอื่นด้วย % มีคนเคยเห็น (ไม่มีคนกล้าลอง)
9. ฉี่ใส่ ถ่มน้ำลายใส่ ทำลาย เผาไฟ ศาลเจ้าที่ ทั้งที่ร้างแล้ว รึ ยังไม่ร้างก็ได้ 80 % มีคนเคยเห็น
10. นำเศษบาตรพระที่แตกมารวมกับ ตะปูที่ตอกฝาโล่งศพ ฟันของศพที่ถูกเผาแล้ว มาห่อไว้ในผ้าสีดำ ว่างไว้ตรงกลางสำหรับข้าว รึโตะกินข้าว จุดธูป 1 ดอก แล้วจะเจอผีมากินข้าว ( กรณีผีที่บ้านเราน้อยไป แนะนำไปทำที่ไหนก็ได้ที่คิดว่ามีผีเยอะๆ ) 98 % มีคนเคยเห็น
ปล. % ได้จากการที่ได้ทดสอบมาจากเพื่อนๆ ที่ใจกล้า 10-20 คนในแต่ล่ะการทดสอบ ข้อที่แนะนำให้ลอง 2,4,9,10 โดยเฉพาะข้อที่ 10อ่ะ มีโอกาสนะ ลองเลย ส่วนข้อที่ 4 อ่ะ ถ้ากล้าพอก็ลองนะ ขนาดพระยังสับสนเลยอ่ะว่าคนรึผี ไปถึงวัดเข้าไปหาหลวงตาอ่ะ หลวงตาบอกว่า เป็นผีเค้าไม่ไหวพระกันหรอกนะ - -*


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ผู้ชายไร้ตัวตน ที่ 12 กรกฎาคม 2009 18:01:25
 :emotg :emotg :emotg :emotg :emotg


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: aragon < RZ > ที่ 12 กรกฎาคม 2009 23:33:29
กะทู้ผี   :emoty


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 12 กรกฎาคม 2009 23:51:27
กะทู้ผี   :emoty

เอาไว้อ่านคลาย เหงานะครับ อิอิ


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: Louis Todo Juku <RZ> ที่ 13 กรกฎาคม 2009 00:33:28
อยากฟังเรื่องผีผ้าห่มคับพี่ปูม :emoy


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 13 กรกฎาคม 2009 00:47:38
อยากฟังเรื่องผีผ้าห่มคับพี่ปูม :emoy

บ้านไหนสาวสวย(แฟนหรือกิ๊ก) เยอะผีผ้าห่มส่วนใหญ่จะเป็นองค์(ผู้ชาย ส่วนองค์ = อง....)มาให้เห็นแบบจะจะ
นิยมส่องแสงสว่างๆสำหรับสาวสวยหุ่นดี นิยมมามืดๆเมื่อสาวๆหุ่นดี
แต่หน้าตาไม่สวย โดยที่ผีนั้นจะไม่สนใจว่า สาวๆนั้นจะมีคู่ครองหรือไม่
นิยมอย่างยิ่งในการอุ้มไปนอกพื้นที่ (รร.= โรงแ ....ม) บางครั้งนิยมที่บ้าน
มักจะมีเสียงน่ากลัวๆ เล็ดลอดออกมาจากผ้าห่มยามผีเข้า และมักจะมีเสียงแห่งความพึงพอใจเมื่อผีออก
โดยมากจะขอร้องเรียกผีกลับมาสิงสู่อีกครั้ง ด้วยความหวาดกลัว
.......


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: YaSeN ที่ 14 กรกฎาคม 2009 23:44:32
ดันๆๆ


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: Louis Todo Juku <RZ> ที่ 15 กรกฎาคม 2009 00:48:24
คลายเครียดดีคร๊าบบบบพี่ปูม :emotn


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 15 กรกฎาคม 2009 20:20:37
คลายเครียดดีคร๊าบบบบพี่ปูม :emotn
อ่านตอนกลางคืนระวังเครียด น้า อิอิ


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: Ohmmy ที่ 16 กรกฎาคม 2009 15:39:47
มีอาถรรพ์ อีกที่คับ  ชั้น2 แกแลคซี่  ขึ้นไปนี่ลุก(สู้)เยย แหะๆ


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 16 กรกฎาคม 2009 20:08:16
มีอาถรรพ์ อีกที่คับ  ชั้น2 แกแลคซี่  ขึ้นไปนี่ลุก(สู้)เยย แหะๆ

ลุก สู้ เลย ใช่มะ หุหุหุ


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 22:39:04
เรื่องเล่าสยองขวัญ ผีเช่าบ้าน

 

    เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดกับตัวผมเอง เมื่อประมาณปี 2533 ผมได้เดินทางไปปฏิบัติงาน ณ อ.บึงกาฬ จ.หนองคาย ซึ่งเป็นการเดินทางออกจากบ้านครั้งแรก ก่อนไปผมได้ให้พนักงานที่นั้นหาบ้านเช่าให้ เมื่อผมเดินทางไปถึงเจ้าของบ้านบอกว่าบ้านยังไม่ได้ทำความสะอาด ต้องทำเอง พวกผม 3 คนก็ตกลงกันว่ารับผิดชอบคนละห้อง เมื่อผมเลือกห้องที่ต้องการได้แล้ว ก็เปิดประตูเข้าไปทำความสะอาด ภาพที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้า ธูปที่ปักอยู่เต็มห้อง คราบน้ำตาเทียน รวมไปถึงร่องรอยที่ปรากฎอยูในห้องทำให้ผมขนลุกซู่เลยทีเดียว แต่ด้วยความที่เราจำเป็นต้องอยู่ทำให้ผมไม่ได้คิดอะไร ทำความสะอาด ปัดกวาด ก่อนนอนผมก็กราบพระเป็นประจำทุกวันไม่มีอะไรเกิดขึ้น ด้วยความคะนอกทำให้ผมไม่รู้สึกอะไร แล้วเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นกับผมจนได้ ครึ่งหลับครึ่งตื่นเหมือนมีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ ผิวเนื้อดำแดง เปิดประตูห้องผมเข้ามาทั้ง ๆ ที่ผมล๊อคประตูเรียบร้อยก่อนนอน แล้วพูดด้วยเสียงดังกังวาลว่า ฝากดูแลบ้านด้วยต้นไม้ที่อยู่หน้าบ้านน้ำแห้งขอดแล้ว เติมน้ำด้วย ผมสะดุ้งตื่นแน่นอนผมรีบออกไปดูต้นไม้ ผมแทบเป็นลม ต้นไม้นั้นน้ำแห้งขอดจริงอย่างที่บอก ผมเล่าให้พี่ข้างห้องฟัง ก็ต้องแปลกใจอีกครั้งหนึ่งเมื่อพี่เขาบอกว่าเมื่อคืนได้ยินเสียงเหมือนคนเดินลากโซ่หรืออะไรหนัก ๆ เสียงดังครืด ๆ ๆ แล้วก็มาหยุดที่หน้าห้องผม แล้วเสียงก็หายไป สักพักได้ยินเหมือนเสียงเดินออกจากห้องผมไปด้านหลังบ้านที่เป็นห้องเก็บของ ผมสอบถามจากชาวบ้านข้างเคียงได้ความว่า บ้านหลังนี้เดิมเจ้าของเป็นตำรวจเมื่อท่านเสียชีวิต ได้นำศพฝังหรือเผาไม่ทราบได้ในบริเวณสวนข้าง ๆ บ้าน ซึ่งห้องที่ท่านอยู่คือห้องผมและสวนก็อยู่ด้านข้างกับห้องพักของผม ผมรีบตื่นเช้าไปทำบุญที่วัดเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ท่าน เรื่องนี้อยากบอกว่าก่อนที่เราจะเข้าไปอยู่ในห้องพัก ควรสืบประวัติของห้องให้ดีก่อนที่คุณจะเจอกับสิ่งที่ผมได้เจอ

เรื่องนี้น่ากลัวดีครับ ที่มา : ghost2you.com


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 22:40:29
ตำนานเจ้าแม่เขาสามมุข
?เขาสามมุก? เป็นเนินเขาเตี้ยๆ อยู่กึ่งกลางระหว่างบ้านอ่างศิลาและหาดบางแสน ขับรถไปตามถนนเลียบริมหาดจากอ่างศิลาเป็นทางลาดขึ้นไปนั่นก็คือบริเวณที่เรียกกันว่าเขาสามมุก และเขาสามมุกเป็นที่อยู่อาศัยของฝูงลิงจำนวนมาก ส่วนศาลเจ้าแม่สามมุกตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา และ ที่มุมหนึ่งของศาลฯ มีผู้เขียนถึงตำนานความรักของท่านไว้ดังนี้

?เมื่อปลายรัชสมัยกรุงศรีอยุธยาบริเวณบางแสนและเขาสามมุข ยังไม่มีบ้านเรือนและผู้คนหนาแน่นเหมือนปัจจุบันนี้ ชื่อบางแสนและเขาสามมุขก็ยังไม่ปรากฏ จะมีก็แต่ตำบลอ่างหิน ในปัจจุบันก็คือตำบลอ่างศิลาอันเป็นชุมชนของชาวประมงริมทะเล?

?ณ ตำบลอ่างหินนี่เอง (อ่างศิลา) มีเจ้าของชื่อโป๊ะ หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันในนามว่า ?กำนันบ่าย? มีลูกชายชื่อว่า ?แสน? ห่างจากตำบลอ่างหินออกไปพอประมาณมียายหลานอาศัยกันอยู่คู่หนึ่ง ยายมีชื่อเสียงเรียงนามใดไม่ได้ปรากฏไว้ ส่วนหลานสาวนั้นมีชื่อว่า ?สามมุข? อาศัยอยู่ในเมืองปลาสร้อย (จังหวัดชลบุรีในปัจจุบัน) เมื่อบิดามารดาเสียชีวิตลง ก็ได้มาอาศัยอยู่กับยายจนกระทั่งโต ?สามมุข? มักจะชอบมานั่งเล่นดูหนุ่มสาวรวมทั้งเด็กที่มาเล่นว่าวในหน้าลมว่าวอยู่ริมเชิงเขาเป็นประจำ และมีเพื่อนที่คอยหยอกล้อเล่นเป็นประจำก็คือลิงป่าที่ลงมาจากเขา?

?อยู่มาวันหนึ่งขณะที่ ?สามมุข? กำลังนั่งเล่นอยู่ ก็ได้มีว่าวตัวหนึ่งขาดลอยลงมาตกอยู่ที่หน้าของสามมุข เธอจึงเก็บว่าวตัวนั้นไว้และมีเด็กหนุ่มชื่อแสนวิ่งตามว่าวที่ขาดลอยมาจึงได้พบกับสามมุข เขาทั้งสองได้รู้จักกันและแสนก็ได้มอบว่าวตัวนั้นไว้เป็นที่ระลึก หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้พบปะกันเรื่อยมาจนเกิดเป็นความรัก และได้สาบานต่อหน้าขุนเขาแห่งนี้ว่า? ?ทั้งสองจะครองรักกันชั่วนิรันดร หากใครผิดคำสาบานนี้จะกระโดดหน้าผาแห่งนี้ตายตามกัน? และแสนได้มอบแหวนวงหนึ่งให้แก่สามมุขไว้เพื่อเป็นพยาน?






น้ำสังข์ลดลงมาพร้อมกับแหวนวงหนึ่งตกลงมาด้วย ?เมื่อกำนันบ่ายซึ่งเป็นพ่อของแสนได้ทราบเรื่องเข้าก็เกิดความไม่พอใจ แสนได้พยายามขอร้องผู้เป็นพ่อให้ไปสู่ขอสามมุข แต่กำนันบ่ายก็กีดกันและกักบริเวณแสนไว้ จึงทำให้ทั้งสองไม่ได้พบหน้ากัน หลังจากนั้นกำนันบ่ายก็ได้ไปสู่ขอลูกสาวคนทำโป๊ะให้กับแสนและกำหนดพิธีการแต่งงานขึ้น ข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วอ่างหิน (อ่างศิลา) จนสามมุขเองก็ได้รับรู้ถึงข่าวนี้ด้วย ในวันแต่งงานของแสนได้มีการจัดงานกันอย่างใหญ่โตสมเกียรติกับที่เป็นงานของกำนันบ่าย?

?ตลอดระยะเวลาที่แขกได้ทยอยเข้ามารดน้ำสังข์อวยพรให้คู่บ่าวสาวทั้งสอง แสนได้แต่ก้มหน้านิ่งเสียใจอยู่กับตัวเองที่ไม่สามารถทำอะไรได้ จนกระทั่งแสนรู้สึกว่ามีน้ำสังข์ลดลงมาพร้อมกับแหวนวงหนึ่งตกลงมาด้วย แสนจำได้ดีว่าแหวนวงนี้เขาเป็นคนมอบให้สามมุขแต่พอเงยหน้าขึ้นสามมุขก็ได้วิ่งจากออกไปแล้ว แสนได้หวนคิดถึงคำสาบานที่ได้ให้กับสามมุขไว้ จึงรีบวิ่งไปที่เชิงเขาแต่ก็สายไปเสียแล้ว สามมุขได้ขึ้นไปที่หน้าผานั้นแล้วทิ้งร่างที่ไร้หัวใจลงดิ่งสู่ก้นผาสิ้นชีพอยู่ริมทะเล แสนผู้ที่ให้คำสาบานไว้กับสามมุขเขาจึงกระโดดลงหน้าผาตามสามมุขหญิงสาวสุดที่รักไป?






รูปปั่น อนุสรณ์ ในถ่ำเขาสามมุข ?เขาสามมุข??หาดบางแสน? เป็นอนุสรณ์รักแด่คนทั้งสองจนถึงปัจจุบัน
?จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ชาวบ้านที่ทราบข่าวพากันเศร้าสลดใจเป็นอย่างมาก จึงพากันสาปแช่งกำนันบ่าย ต่อมากำนันบ่ายได้นำถ้วยชามสิ่งของต่างๆ มาไว้ในถ้ำตรงหน้าผาแห่งนั้นและตั้งชื่อภูเขาลูกนี้ว่า ?เขาสามมุข? และชายหาดที่ติดกันว่า ?หาดบางแสน? เพื่อเป็นอนุสรณ์รักแด่คนทั้งสองจนถึงปัจจุบัน?

ต่อมาชาวบ้านในแถบนั้นเล่าว่า ?เมื่อตกดึกได้พบเห็นร่างของหญิงสาวมายืนอยู่ตรงหน้าผานั้นเป็นประจำทุกคืน? ชาวบ้านจึงได้ช่วยกันสร้างศาลนี้ขึ้น เพื่อเป็นที่สิงสถิตและเป็นที่เคารพสักการะแก่ชาวบ้านและชาวประมงเมื่อเวลาที่จะออกเรือไปหาปลามักจะมีการมาจุดประทัดบนบานขอให้ได้ปลากลับมาเต็มลำเรือ อย่าต้องเผชิญกับลมพายุบางครั้งเจอลมพายุกลางทะเลก็จุดธูปบนเจ้าแม่สามมุขให้รอดปลอดภัยจากอันตรายก็สัมฤทธิ์ผลเรื่อยมา

จากนั้นเมื่อเรื่องราวความรักอันยิ่งใหญ่ของเจ้าแม่สามมุขนั้นแพร่กระจายออกไป ก็มักมีคู่รักชายหญิง มาอธิษฐานขอให้ความรักของตนสมหวัง โดยเขียนชื่อตนกับคนรักไว้บนว่าว แล้วแขวนไว้บริเวณศาลโดยเชื่อกันว่าเจ้าแม่สามมุกจะดลบันดาลให้ทุกคู่รักสมหวัง และไม่พลัดพรากจากกันเหมือนดังในตำนาน
 :emotn :emotn :emotn



หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 22:47:02
.....ตำนาน "หนองมน"......

จังหวัดชลบุรี มีชื่อเสียง เพราะมีเมืองพัทยาเป็นเมืองชายทะเลที่โดดเด่น แต่ชลบุรียังมี
สถานที่สำคัญ ๆ อีกมากมาย เช่น อ่างศิลา บางแสน บ่อน้ำร้อน ซากเมืองโบราณ คือเมืองสีพะโล
และเมืองพระรถที่เก่าแก่ สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยขอมเรืองอำนาจในดินแดนสุวรรณภูมิ
แต่เดิม ชาวบ้านเรียกจังหวัดชลบุรีว่าเมืองบางปลาสร้อย สำหรับ หมองมน นั้น แต่เดิม
เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีตำนานเล่าสืบทอดกันมาว่า.........
ในสมัยโบราณ ได้เคยมีพระธุดงค์ รูปหนึ่ง ธุดงค์ผ่านมาพักปักกลดยังหมู่บ้านหนองมน
ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้น บังเอิญล้มป่วยเจ็บไข้กันเป็นจำนวนมาก บางคนสิ้นใจ
ตายไป ไม่ว่าจะใช้หมอ แล หยูกยามากมายสักเพียงใด
ชาวบ้านจึงชักชวนกันไปขอให้พระธุดงค์ช่วยรักษาอาการเจ็บไข้ดังกล่าว
พระธุดงค์รูปนั้นจึงปลุกเสกน้ำมนต์ขึ้น เพื่อแจกจ่ายให้ดื่มกิน และอาบ หรือลูบไล้บริเวณ
ที่เจ็บป่วย เป็นโรค หรือบาดแผล
ครั้นเมื่อชาวบ้านได้แจกจ่ายแบ่งกันดื่ม กิน และ อาบ ก็ให้บังเกิดเป็นที่อัศจรรย์นัก เพราะ
บรรดาโรคภัย ไข้เจ็บต่าง ๆ หายมลายสิ้นไปอย่างไม่น่าเชื่อ
ความศักดิ์สิทธิ์ของพระธุดงค์ รูปนั้นจึงเป็นที่ร่ำลือ ชาวบ้านอำเภออื่น ๆ แห่แหนกันมาเพื่อ
ขอน้ำมนต์วิเศษกันแทบตลอดทั้งวันและคืน
พระธุดงค์ท่านย่อมบังเกิดความลำบากในการทำน้ำมนต์ และเสกเป่า จึงได้กล่าวแก่ชาว
บ้านว่า
" เอาละ ขอให้พวกโยมจงช่วยกันขุดดินตรงนี้ ให้เป็นหนองน้ำเข้าหนองหนึ่งเถิด "
ด้วยความร่วมแรง ร่วมใจกันขุดดินบริเวณใกล้ ๆ กับที่ท่านปักกลดอยู่นั้น ไม่นานนักหนอง
น้ำเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ก็ ปรากฏขึ้น
พระธุดงค์ จึงได้ปลุกเสกภาวนา คาถาอาคมต่าง ๆ แล้วจุดเทียนจำนวนหนึ่ง หยดลงไปใน
น้ำเพื่อทำน้ำมนต์ จนในที่สุดหนองน้ำนั้นก็ได้กลายเป็นหนองน้ำมนต์โดยสมบูรณ์
ชาวบ้านได้ใช้น้ำในหนองนั้นอาบ กิน เพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ....ความศักดิ์สิทธิ์และ
ความวิเศษของพระธุดงค์รูปนี้ ได้แพร่กระจายไปทั่วในหลายบ้าน หลายตำบล ต่อมาพระธุดงค์ ได้อำลา
บรรดาชาวบ้านเพื่อเดินทางมุ่งหน้าต่อไป
ชาวบ้านจึงพากันเรียก หนองน้ำแห่งนั้นว่า " หนองน้ำมนต์ " ซึ่งกลายเป็น " หนองมน " มาจน
ถึงปัจจุบันนี้


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 22:53:10
เมื่อกรมหลวงชุมพรทรงประลองอาคมกับจอมสลัดแห่งสัตหีบ

(http://images.thaiza.com/33/33_20070809112420..jpg)


ในพระประวัติหลายแห่ง ไม่ค่อยพบเรื่องราวความผูกพันทางไสยเวทระหว่างเสด็จเตี่ยกับหลวงพ่ออี๋ ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อใกล้ชิดกับพระองค์มากกว่าพระเกจิอาจารย์รูปอื่น นายกัน ก็ได้รับการยกย่องว่า เป็นจอมอาคม หลวงพ่ออี๋ ก็เป็นเกจิจอมอาคม ทั้งพระองค์ก็สนพระทัยอาคม มีการฝึก และแลกเปลี่ยน ถ่ายทอดอาคมต่อกัน ตามแบบคนเล่นของในยุคนั้น

กล่าวถึงนายกัน สลัดทะเลโหด สักหน่อย นายกันผู้นี้โด่งดังจนถึงกับตั้งเป็นชื่ออ่าวบริเวณสัตหีบว่า "อ่าวตากัน" อายุแก่กว่าหลวงพ่ออี๋ เคยบวชเรียน แต่ร้อนวิชา ลาสิกขา ปลูกกระต๊อบอยู่บนหน้าผาแห่งหนึ่ง (อ่าวตากัน) ร้อนวิชา จนสร้างความเดือดร้อนแก่นักเดินเรือทั่วไป

นายกัน หรือ ตากัน จะใช้วิชาอาคม "สะกดเรือ" ใหญ่ทุกลำที่แล่นเข้ามาในรัศมีด้วยพลังจิต ไม่ให้เรือแล่นต่อไป เครื่องหยุดเดิน แล้วตากันจะใช้ลูกศิษย์ นำเรือเทียบขอค่าผ่านทาง ผู้ใดไม่ให้ ก็จะแสดงปาฏิหาริย์ไม่ให้เรือแล่นต่อไป ถ้าผู้ใดให้ ก็จะทำให้เครื่องติด เดินทางไปได้อย่างอัศจรรย์ ชาวเรือหวาดกลัวกันมาก และแล้วตากันก็สำแดงเดชผิดที่ เพราะไปสะกดเอาเรือกองทัพเรือเข้า เรื่องจึงถึงเสด็จเตี่ย เกิดเป็น "ศึกอาคม ระหว่าง เสด็จเตี่ย กับ ตากัน"

เรื่องราวความกำแหง โหด ป่าเถื่อน ของตากัน เข้าถึงพระกรรณเสด็จเตี่ย ทรงกริ้วอย่างมาก ถึงกับเสด็จมาด้วยพระองค์เอง การปะทะกันด้วยอาคมจึงเกิดขึ้น วันนั้น ตากันนั่งอยู่ในกระท่อม พลันปรากฏมีฝูงผึ้งใหญ่ บินเข้าจะต่อยตีตากัน แต่ตากันก็เอาผ้าขาวม้าโบกพัด จนผึ้งตกลงมา กลายเป็นใบไม้ ตากันก็รู้ทันทีว่า เจอคนดีเข้าแล้ว

ตากันปล่อยเสืออาคมเข้าใส่ เสด็จเตี่ยปล่อยควายธนูออกมา ต่างสู้กันฝุ่นตลบไม่แพ้ชนะ ผลสุดท้าย ตากันโยนผ้าขาวม้าสงบศึก เป็นพันธมิตร และกลายเป็นพระสหายต่างวัยกัน

ครั้งหนึ่งตากันเคยคุยโอ้อวดว่า ตนเคยลงไปเดินในทะเลเป็นครึ่งข่อนวัน เสด็จเตี่ยโปรดคนจริง จึงมีรับสั่งให้มัดตากันไว้ในกระสอบแล้วถ่วงในทะเลเป็นเวลา ๑ วัน เมื่อครบก็ดึงตากันขึ้นมาปรากฏว่าตากันนั่งอยู่ในท่าสมาธิ หัวเราะร่า แถมยังไม่เปียกเลยสักนิด เสด็จในกรมจึงตั้งชื่อให้อ่าวแห่งนั้นว่า "อ่าวตากัน" หรือ "อ่าวดงตาล" ในปัจจุบัน

ภายหลังเมื่อเสด็จต้องการสำรวจพื้นที่ สร้างกองทัพ ตากันได้มีส่วนร่วมรับใช้พระองค์ และย้ายมาอยู่บริเวณหลังตลาดสัตหีบ นี่คือที่มาของความผูกพันระหว่างเสด็จเตี่ย หลวงพ่ออี๋ และตากัน จอมอาคม





ข้อมูลจาก http://www.palungjit.com/ 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 22:54:38
คุณไสยกับหลวงพ่อปานวัดบางนมโค

(http://images.thaiza.com/33/33_20070807142518..jpg)
 


ตอนออกพรรษา หลวงพ่อสุ่นก็เรียกมาอบรมในการธุดงค์ บอกว่าถ้าจะให้ดีละก็ต้องออกธุดงค์กัน หลวงพ่อสุ่นสั่งหลวงพ่อปานว่า ให้เข้าป่าลึกเลยนะ แต่เวลาออกธุดงค์ท่านปล่อยเดี๋ยวเลย ท่านบอกว่าไม่ต้องกลัวหลงหรอก ถ้ากลัวหลงละให้นึกถึงฉัน บางครั้งท่านไม่รู้สึกว่าท่านจะไปทางไหน ท่านก็ทำใจให้สบาย ๆ นึกถึงหลวงพ่อสุ่น พอนึกเท่านั้นแหละ ท่านบอกเห็นหลวงพ่อสุ่นเดินนำหน้าไปเลย ถ้าถึงทางแยกหลวงพ่อสุ่นจะชี้ทางบอกแยกว่าไปทางโน้นทางนี้ เมื่อไปตามนั้นก็ได้ตามผลตามความประสงค์ นี่เล่าอย่างย่อ ๆ นะ

แต่ว่าวิธีการธุดงค์ของสมัยนั้นมันก็แปลก มีคนประเภทหนึ่งเขาชอบลองพระธุดงค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านตะวันออกทางด้านนครนายก ปราจีนนี่น่ะสำคัญมาก แถวนั้นเขาเรียกว่ามีต้นมหาโพธิ์สำหรับพระไปไหว้ ไปตั้งใจกำหนดเอาพระพุทธเจ้าท่านทรงบรรลุที่ต้นมหาโพธิ์ต้นนี้ ถือเป็นเรื่องนึกกันขึ้นมา ไม่จริงจังหรอก แต่การนึกนี่เป็นการนึกดี นึกถึงพระพุทธเจ้า คิดว่าท่านบรรลุอภิเภกสัมมาสัมโพธิ์ญาณตรงนี้ ก็เป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน ทีนี้บรรดาพระทั้งหลายก็นิยมกันว่าต้องไปที่ปราจีนบุรี ไปใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ ดินแดนตะวันออกแดนหนึ่ง ของทางภาคอิสาน มีหมอไสยศาสตร์ ชอบลองพระ ใช้ยาเบื่อ ยาสั่ง ลองพระบ้าง ทำคุณไสยด้วยอำนาจจิตบ้าง เอาของเข้าท้อง อันนี้หลวงพ่อปานก็เคยโดนมา

ท่านบอกว่าวันหนึ่งมีผู้ชาย ๒ คน แต่งตัวเรียบร้อย เอาต้มยำมีหัวกะพุงปลา เอามาถวายตอนเข้า ทำ ต้มยำและข้าวมาถวาย ๑ โถ ข้าวขาวจ๋อง คนอื่นก็เอามาถวายเหมือนกัน เพราะผ่านบ้านนี่ก็ต้องปักกลด ใกล้บ้าน แต่ไม่ใกล้กว่า ๑ กิโล แต่ข้าวไม่สวยอย่างนั้น กับข้าวก็ไม่สวยอย่างนั้น เมื่อท่านเห็นท่านรู้ตัวอยู่แล้ว หลวงพ่อสุ่นสั่งไว้ว่าออกธุดงค์ทุกครั้งจะกินข้าวต้องทำน้ำมนต์เสียก่อน อาหารดีไม่ดีมันจะไปโดนอย่างอื่นเข้า พอท่านเอาน้ำมนต์พรมปรากฏว่าเป็นหนามยาว ๆ ผูกไขว้กัน พอทำได้ขนาดนั้น ท่านเจ้าของตกใจทำหน้าซีดเลย

แล้วเขาก็แก้ว่าความจริงผมไม่ต้องการให้ท่านฉัน ผมพิสูจน์ดูว่าท่านจะมีดีไหม หากว่าท่านจะฉันผมก็จะบอกว่าไม่ให้ฉัน ท่านก็ไม่ว่าอะไร ท่านก็รู้ว่าเขาเกล้ง แล้วต่อมาเขานิมนต์ให้พักอยู่ ๓ วัน ท่านก็พัก ท่านบอกว่าอยากจะดูซิว่ามันจะทำยังไงต่อไปอีก

ตอนกลางคืนมันก็ทำมาทำเป็นนกมาจับอยู่ที่ยอดกลดบ้าง ท่านก็หาไม้แหลมถือไม้เล็ก ๆ แทงขึ้นไป เสกไม้แทงไป นกตัวนั้นมันก็กลายเป็นหนังควายผืนใหญ่ เรียกว่าคืนนั้นทั้งคืนโดนกันแบบนี้แหละ เสียงปุปะปุปะไม่ได้หลับตลอดคืน เป็นอันว่าถูกพิสูจน์ตลอดคืน ต่อมาเมื่อถึงตอนเช้า ท่านก็เลยเอาไอ้หนังแผ่นนั้น หนังควายที่เขาทำนกนั่นแหละรองนั่ง มันอยากส่งมาให้นี่ ท่านว่าอย่างนั้น ฉันก็เลยเอารองนั่งเสียเลย แล้วเวลาฉันข้าว เจ้า ๒ คนนั่นก็มาอีกแหละ เอาของมาถวายอีก ตานี้ฉันเอาน้ำมนต์พรมไม่มีอะไร เป็นข้าวธรรมดาเป็นกับธรรมดา

แต่ว่าเวลาฉันข้าว หนังที่นั่งทับน่ะมันค่อย ๆ เล็กลงไปทีละหน่อย ๆ เล็กเข้ามา ๆ หนังควายทั้งตัวมันใหญ่ เล็กเข้ามาจนกระทั้งแค่เข่าฉัน พอดีกับตัว ฉันสังเกตไว้ พอมันพอดีกับที่นั่งคล้าย ๆ กับผ้ารองนั่ง ฉันก็เอาน้ำมนต์พรม เอาน้ำในขันน่ะนึกอธิษฐานพรม ว่าไอ้สิ่งนี้มันมีสภาพเป็นยังไงก็ขอให้สภาพเป็นไปตามเดิม อธิษฐานจิตแค่นี้คาถาอาคมทั้งหลายเหล่าใดก็ตามที่เขาทำมาขอใหสลายตัว แล้วก็เอาน้ำมนต์พรม พอพรมลงไปหนังมันก็ขึงไปใหญ่ตามเดิม อีตา ๒ คนหน้าเสีย เป็นอันว่าจบพิธีการกัน เรื่องธุดงค์ของท่านน่ะฉันเล่าให้ฟังเท่านี้แหละ เพราะนอกจากนั้นเรื่องธุดงค์ของท่านก็ผ่านมามากแล้ว

โดยเฉพาะ อย่างยิ่งทางด้านปราจีนบุรีนี่ตัวเองฉันเองก็โดนมาสมัยออกธุดงค์ มีวันหนึ่งฉันเดินผ่านไปใกล้บ้าน ๓ คนกะเพื่อน เพื่อนกันน่ะที่เข้าป่า มันอยากน้ำเต็มทีนี่ก็แวะเข้าไปและเข้าไปในบ้านเขา ก็ปรากฏว่าพ่อแม่อยู่ข้างล่าง ลูกสาวเขาอยู่ข้างบน ฉันเดินผ่านไปใกล้บ้าน ๓ คนกะเพื่อน เพื่อนกันน่ะที่เข้าป่า มันอยากน้ำเต็มทีนี่ก็แวะเข้าไปและเข้าไปในบ้านเขา ก็ปรากฏว่าพ่อแม่อยู่ข้างล่าง ลูกสาวเขาอยู่ข้างบน ฉันขอน้ำเขากิน ร้องขอน้ำกิน เขาก็นิมนต์ขึ้นไปบนบ้าน แต่พ่อแม่ของเขาไม่ขึ้น อยู่แต่ลูกสาวอายุ ๑๕ - ๑๖ ประมาณนั้นนะ คนเดียว แม่ลูกสาวไปตักน้ำมา เอาขันน้ำวางลงไปในถาด

น้ำใสแจ๋วเป็นน้ำบ่อ แล้วก็มีจอกลอยจอกเล็ก ๆ วางมาในถาด พอมาถึงเขาก็วางถาดน้ำลงข้างหน้า แล้วเขาก็จับจอกลอยลูกนั้นตักน้ำแล้วก็ดื่มกิน แล้วเอาจอกลอยวางลงในขัน เขาบอกว่าที่นี่มียาเบื่อยาเมามากนัก ต้องกินให้ดูก่อน ประเดี๋ยวจะหาว่าแกล้งฆ่าพระ เดี๋ยวท่านจะสงสัยไม่กล้าดื่มน้ำ แต่ความจริงฉันไม่รู้เรื่อง พอเขาดื่มให้ดูแล้วเขาก็เอาขันวางลงไปในน้ำ ฉันกำลังอยากนี่ ฉันก็หยิบซี ไม่ได้ดูอะไรละ ญาณเยิน ต่าง ๆ น่ะไม่ได้ใช้ โธ๋ คนที่ใช้ได้ไม่เผลอน่ะมีแต่พระพุทธเจ้าองค์เดี๋ยวนา ขนาดพระอรหันต์ ขั้นปฏิสัมภิทาญาณอย่างพระมหากัสสปก็เผลอ ไม่มีใครรู้แจ่มใส ไม่มีใครไม่เผลออะไรหรอกเผลอทั้งนั้น มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวที่จะรู้อะไรได้ทุกขณะจิต พระอรหันต์น่ะไม่ไหวหรอกก็เผลอ ถ้าไม่ใช้ก็ไม่รู้อะไรกัน ยิ่งอย่างฉันด้วยยิ่งไปกันใหญ่ ฉันไม่ได้เป็นกังหันกับเขานี่มันก็ยิ่งเผลอมากกว่าเขา

ฉันหยิบขันน้ำลูกนั้นตักจะดื่ม แม่หนูน้อยตบมือฉาด ขันน้ำกระเด็น ฉันแปลกใจถามว่าตบทำไมจ๊ะ เขาก็บอกว่า ท่านไม่ใช่พระบ้านนี้ใช่ไหม ใช่ฉันธุดงค์มาจากอยุธยา เธอว่ามิน่าเล่าถึงได้กินน้ำแบบนี้ ถามว่าทำไม แกเลยบอกว่าแถวนี้มียาเบื่อยาเมามาก วิธีการแบบนี้เป็นการฆ่าคนนะ นี่เขาเอายาพิษทาใต้ก้นขันแล้วเอาขันวางไว้ข้างนอก เวลาตักน้ำจ้วงลงไปยาพิษยังไม่ลงไปในน้ำ น้ำในขันที่เขาดื่มน่ะมันยังไม่มีพิษ เวลาเอาจอกลอยวางลงไปในขัน ลงไปในน้ำ ยาพิษจะละลายตัว ถ้าท่านฉันจะตายทันที บอกว่าถ้าเป็นยาพิษก็ต้องตายที่นี่ ถ้ายาสั่งจะก็ต้องไปตายที่อื่น เขาสั่งให้กินอะไรตายก็ตายตามนั้น ฉันไม่รู้เรื่องเลย แล้วเธอก็ไปตักน้ำมาใหม่ ๑ ขัน บอกว่าคราวนี้ฉันได้ก็เป็นอันว่าบุญตัวของฉันนะ นี่ได้ครูบาอาจารย์ใหม่ เด็กคนนี้ฉันถือว่าเป็นครูฉัน เป็นผู้มีคุณกะฉันมาก ไม่ยังงั้นฉันก็เอวังกิ่มไปนานแล้ว นี่ว่ากันตามความของความเป็นจริงนะเรื่องการกระทำของพระที่ไปธุดงค์น่ะมันเป็นยังงี้




ข้อมูลจาก http://www.palungjit.com/ 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 22:55:00
หาดนางรำ
 
คือเมื่อปี 243 ช่วงเดือน พฤษภาคม เรากับพวกเพื่อน ๆ ไปเที่ยวที่จังหวัด
ชลบุรี ที่หาดจอมเทียนเราก็ไปกันในช่วงกลางคืนและพวกเราก็ได้ดื่มเหล้ากัน
และพูดเรื่องลามกกัน พอตอนเช้าเราก็ไปเที่ยวกันต่อที่หาดนางรำ
ใกล้ ๆ กับท่าเรืออู่ตะเภา เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า แฟนเราเนี้ยเขากินเหล้า
และก็พูดเหมือนหลบหลู่สิ่งที่มองไม่เห็น แต่ยังไม่ได้ลงเล่นน้ำ
พอดีที่หาดนั้นมีเกาะเล็ก ๆ ห่างจากหาดประมาณ 1กิโลเมตร
ลืมบอกไปหาดนี้เป็นเขตของทหาร เราจำได้ว่าเมื่อเดือนกุมภาพันธ์
ปีเดียวกันที่เรามาเที่ยวที่นี้ น้ำยังไม่ลงถึงขนาดข้ามไปที่เกาะนั้นได้เลย
แต่พอมาคราวนี้สามารถข้ามไปได้ พอประมาณ บ่าย 3 โมงเย็น แฟนเรา
กับเราก็ชวนพวกเพื่อน ๆ ไปดูว่าบนเกาะนั้นมีอะไร แต่เพื่อน ๆ
บอกให้เรากับแฟนไปก่อน เราก็เลยบอกให้แฟนไปก่อนขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน
แล้วแฟนเราก็ออกไปก่อน เราก็ตามแฟนเราไป หากกันประมาณ 500 เมตร
เราตะโกนเรียกแฟนเราเมื่อเขาใกล้ถึงป่าบนเกาะแฟนเราก็หันมามองเรา
แล้วแฟนเราก็วิ่งหายไปในป่านั้น แต่แล้วเรื่องไม่น่าจะเกิดก็เกิดขึ้น

เราไปถึงจุดที่แฟนเราเดินหายเข้าไป เราเห็นแฟนเราวิ่งปี๋ออกมา
เราก็ถามว่าจะรีบออกมาทำไมกำลังจะตามไป แฟนเราบอกว่าออกไปเร็ว ๆ
เราถามว่าทำไม เขาก็ไม่พูด เขาจูงมือเราวิ่งในน้ำ แล้วบอกว่า
พอถึงหาดให้เตรียมธูปให้ด้วย 9 ดอก เรารู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
ต่างคนต่างพากันวิ่งไปให้เร็วที่สุด และก็มีพวกที่เห็นเราข้ามไปที่เกาะนั้น
เริ่มเดินตามเราเข้าไป แต่พวกทหารก็เรียกให้กลับ

พวกนั้นเห็นเรากับแฟนกลับก็เลยกลับกันหมด แต่พวกเขายังไปไม่ถึงไหนกันเลย
พอเรากับแฟนมาถึงหาด แฟนเราก็บอกกับเรากับเพื่อน ๆ ว่า อย่าเข้าไปนะที่นั้นมีของ
แล้วแฟนเราก็หลับไป

เราตัดสินใจไปถามทหารที่เรียกให้กลับมาที่ฝั่ง แต่พวกเขาไม่บอกได้แต่ยิ้ม ๆ
เราก็เลยบอกว่าบอกมาเถอะพี่เราเจอมาแล้ว เขาก็เลยยอมบอกว่า
ที่นั้นมีคนตายทุกปี ก็พวกที่ข้ามไปนี้แหละ เมื่อช่วงประมาณก่อนสิ้นปี 42
ก็เป็นผู้หญิง 4 คน ตายหมด เนื่องจากเกาะนั้นมีถ้ำ เวลาน้ำขึ้นจะขึ้นเร็วมาก
และจะเป็นวังน้ำวน ออกมาไม่ได้

เขาก็บอกว่าเมื่อก่อนที่นี้เป็นท่าเรือพวกประมง
เวลาใครออกเรือแล้วไม่ไหว้ก่อนจะเห็นว่ามีนางรำอยู่ที่เกาะนั้น
(เป็นที่มาของชื่อหาดนางรำ)
แล้วเรือประมงที่ออกทะเลไปก็จะล่มและตายกันบ่อยมาก
เราจึงตัดสินใจกับเพื่อน ๆ พาแฟนมานอนที่รถ
แล้วเราก็เอาพระของเพื่อนเรามาวางบนอกแฟนเรา

แฟนตะโกนออกมาอย่างดังเลยว่า ร้อน ๆ เอาออกไป
เราจึงชวนเพื่อนเราคนหนึ่งไปกราบขอขมาเรื่องที่หลบหลู่
กับศาลเจ้าแม่นางรำที่ตีนเขาอีกด้านหนึ่ง
พอถึงศาลลักษณะของทางขึ้นจะเป็น 3 ระดับ
เพื่อนเราบอกว่าจะรออยู่ข้างล่างไม่ขึ้นไปด้วย
พอเราก้าวเท้าขึ้นไประดับที่ 2
ด้วยระดับสายตาเราจะมองเห็นระดับที่ 3
แล้วเราก็ได้รู้วันนี้เองว่า ขนหัวลุกมันเป็นอย่างไร

สายตามองเห็นก็คือชุดนางรำวางอยู่
และมีหุ่นนางรำใส่ชุดนางรำยืนอยู่
เรารีบจุดธุปขอขมาแล้วรีบวิ่งลงมาด้วยความรวดเร็วที่สุด
เท่าที่ทำได้ บอกได้คำเดียว ช็อคสุด ๆ พอมาถึงรถ
เราก็รีบกลับกรุงเทพกันทันที ซึ่งแฟนเรายังหลับไม่รู้เรื่องอะไร
พอมาถึงปั้มน้ำมันก่อนถึงตลาดหนองมน
พวกเราก็แวะเข้าห้องน้ำกัน
อยู่ๆ แฟนเราก็ลืมตาโพลงขึ้นมาแล้วลุกขึ้นแรง ๆ
แล้วบอกว่าอ้าวกลับกันแล้วหรือ ยังไปไม่ถึงเกาะเลย
แล้วเราก็บอกกับแฟนเราว่า เกิดอะไรขึ้นรู้หรือเปล่า

แฟนเรานั่งนึกสักครู่ก็บอกกับเราค่อย ๆ
ว่าเดี๋ยวเล่าให้ฟัง พอมาถึงตลาดหนองมน
ก็จอดรถเพื่อกินข้าว แฟนเราก็เริ่มเราเรื่องให้ฟังว่า
เขาได้ยินที่เราเรียกแล้ว
แต่พอดีเขาเห็นว่ามีคนแบกไม้เข้าไปในป่าเลยวิ่งตามเขาไป
(ประมาณ 4-5 คน) แล้วแฟนเราก็ถามว่า พี่ ๆ จะเอาไม้ไปไหน

พวกนั้นก็ไม่ตอบ แฟนเราก็ยังวิ่งตามเขาไปเรื่อย ๆ
แต่พอมาถึงปากถ้ำที่มีคนตายเยอะ ๆ พวกนั้น ก็หายไปต่อหน้าต่อตา
บอกตรง ๆ ว่าแฟนเราเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องนี้เลย ดังนั้นพอเห็นว่า
พวกที่แบกไม้หายไปต่อหน้าต่อตา ก็รีบวิ่งออกมาด้วยความกลัว
พอวิ่งออกมาก็มานั่งพักเหนื่อย นั่งเกือบก้มหน้า
แล้วแฟนเราก็เห็นและได้ยินเสียงผู้หญิงที่ใส่ชุดนางรำ
ยืนอยู่ตรงหน้าบอกว่า

อย่าเข้าไปนะลูกที่นั้นเขามีเจ้าของ
พอแฟนเราจะเงยมองหน้าเท่านั้นแหละ ไม่พบอะไรเลย
เลยรีบวิ่งออกมา แล้วก็มาเจอเรานั้นแหละ
โดนผีหลอกกลางวันแสก ๆ ประมาณ บ่าย 4 โมงเย็น
กลัวมากพอกลับถึงกรุงเทพ เล่นเอานอนไม่หลับเลย
ตั้งแต่นั้นมาเพื่อน ๆ คนอื่นๆ ที่ไม่ได้ไปด้วยคราวนั้นก็
ชวนเราไปอีก สาบานได้เลยว่าไม่ไปเหยียบอีกเป็นอันขาด
สยองจริง ๆ ค่ะ





ข้อมูจาก http://www.shockfmonline.com/

 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 22:55:12
หลวงปู่จันทาใช้พระไตรสรณาคมน์สู้ผีโป่ง
 
ผีโป่งที่ผาอีเมย
เมื่อพักภาวนาอยู่ที่ดงผาลาด พอสมควรแล้ว ได้ข่าวว่าที่ผาอีเมย บ้านดงนาซอน อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร มีผีโป่งดุร้ายมาก เขาว่าถ้าไปที่นั่นแล้ว ระวังให้ดีนะ มันจะหักคอกิน
นั่นแหละ ก็เลยออกเดินทาง ไปถึงที่นั่น ก็เป็นเวลาเย็นแล้ว ทำที่พักไม่ทัน ก็เลยอาศัยอยู่ใต้ร่มไม้ ค่ำนั้นก็ไม่เดินจงกรม เพราะเดินทางไกลมาแล้ว
พอ ๖ โมงเย็นกว่า ๆ ก็มีเสียเหาะขึ้นทางโคนโป่งโน้น ขึ้นไปบนฟ้า แล้วก็พุ่งลงทางหัวทุ่งทางโน้น เสียงดัง ตึ้ง... ราวกับว่าทุ่งมันจะพังทลาย ไม่นานก็กลายเป็นไฟไหม้ป่าแดงจ้าร่าเข้ามา ไฟป่าก็ลุกรุ่งโรจน์ใกล้เข้ามา มันจะทำให้ตกใจกลัวจนเป็นบ้า วิ่งหนีเข้าป่าไป
โอ๋...นี่หรือที่เขาว่า ผีโป่งผาอีเมยมันร้าย ถ้าใช่จริง ๆ ก็มาหากันวันนี้ เรามาก็เพื่อว่าจะเจริญสมณธรรมหรอก มิได้มารบกวน หวังยึดเอาสถานที่ของใครทั้งนั้น เอานะ มาลองดูกันว่า คาถาอาคมของใครจะเก่งกว่ากัน เราจะได้รู้กันว่า อาคมของศาสนาจะดีเพียงใด จะปราบผีร้ายได้ไหม พอไฟใกล้เข้ามาในระยะประมาณ ๑ เส้น (๒๐ วา) เท่านั้น ก็อ่านคาถาว่า
อิติปิโสวิเสเส อิอิเสเส พุทธนาเม อิอิเมนา พุทธะตังโส อิอิโสตังพุทธะปิติอิ ตะโจพระพุทธเจ้า ขอจงมาเป็นหนัง มังสังพระธัมมเจ้า ขอจงมาเป็นเนื้อ อัฏฐิพระสังฆเจ้า ขอจงมาเป็นกระดูก ตะริเพ็ชรคงคง อิสวาหะ สวาสุ สวาอิ พุทธะปิติอิ นะมะอะอุมิ นะมะพะทะ นะโมพุทธายะ พุทโธกั้ง (กั้น) ธัมโมบัง สังโฆปิด
จบแล้วก็เป่าพึบ !...ไฟนั้นก็แตกกระจายไป สีแดง ๆ หายไป กลายเป็นสีเขียววิ่งเข้าโคนโป่งไปเลย
คืนนั้น ๓ ทุ่มกว่า มีโยมบ้านดงนาซอนเขามาหา (บ้านดงนาซอน เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ มีประมาณ ๑๒ หลังคาเรือน ตั้งอยู่กลางดงผาลาด) เมื่อซักไซ้ไต่ถามได้ความกันแล้ว ก็ให้เขารับพระไตรสรณคมน์และศีล ๕ จากนั้น ก็อธิบายธรรมให้เขาฟังบ้างเล็กน้อย เสร็จแล้วก็ถามเขาว่า
"โยม...เมื่อเย็นนี้ ราว ๖ โมง มีเสียงเหาะขึ้นไปบนฟ้า แล้วตกลงมากลางทุ่งทางโน้น เสียงดังสนั่นราวกับทุ่งมันจะถล่มทลาย และไม่นานก็มีนิมิตเป็นไฟป่ามา อันนั้นเป็นเสียงอะไร ?"
"อ๋อ...ผีโป่งมันมาหาท่าน มันร้ายกาจมากนะท่าน นายพรานในเขตนี้มาล่าสัตว์ ยิงเก้งกวางแล้วมันวิ่งหนีเข้าไปในพุ่มไม้นั้น พอวิ่งตามเข้าไปดู ก็เห็นผีตัวใหญ่ หัวล้านเพ่อเว่อ นั่งสูบยามวนใหญ่เท่าแขนโป้ อยู่บนจอมปลวกโคนโป่งนั่น นายพรานในเขตนี้เขากลัวกันมาก ไม่กล้าไปอีกเลยนะท่าน"
นั่นแหละ พอรุ่งเช้าได้ข่าวว่า ผีโป่งมันเข้าไปสิงชาวบ้าน แล้วมันพูดว่า
"แหม...เราเป็นเจ้าของโป่ง อยู่ที่นี่มาตั้งแต่สมัยศาสนาของพระพุทธเจ้ากัสสโป โน่น เคยเป็นนายพรานใหญ่มาล่าสัตว์ที่นี่ แล้วขึ้นไปนั่งบนโคนโป่งใหญ่ มีเสือตัวใหญ่ยาว ๑๒ ศอก ผ่านมา ก็เลยยิงออกไป แต่ว่าเสือนั้นไม่ตาย มันจึงกระโดดเข้ามากัดเราตาย เราหึงหวงห่วงอาลัยในสถานที่นี้ เมื่อตายก็เลยกลายเป็นผีมาเฝ้าโป่งอยู่ที่นี่ นั่นแหละ พอเห็นพระกรรมฐานจีวรคล้ำ ๆ ร่มใหญ่ ๆ บาตรโต ๆ เดินผ่านมามีรัศมีด้วยนะ เราก็รู้ว่าพระจำพวกนี้มีธรรมจืดนะ ไปอยู่ที่ไหนก็จืดหมดทั้งนั้น ไม่มีใครสู้ได้ แต่เราก็สู้ด้วยฤทธิ์ด้วยคาถา คาถาของเราก็เป็นหนึ่ง ฤทธิ์ของเราก็เป็นเลิศประเสริฐ ไม่กลัวใครทั้งนั้น แต่เราสู้ไม่ได้ เพราะคาถาของพระกรรมฐานนั้นเก่งกว่าเรา"
นั่นแหละ ก็ไปได้ชัยชนะกับผีโป่งที่นั่น ฉะนั้น เรื่องผีสางคางแดงดำอะไรจึงไม่กลัวทั้งนั้น ธรรมพระไตรสรณคมน์เป็นของดีเลิศประเสริฐแท้ ผีเจ้าเข้าสิง ใช้ทำน้ำมนต์ กำจัดปัดเป่าหายไปได้ทั้งนั้น อันนี้ข้อสำคัญมั่นหมาย ฉะนั้นขอให้เอาไปภาวนาเช้าเย็นอย่าได้ขาด ไปไหนมาไหนก็ภาวนาอย่างนั้น ตายแล้วอบายไม่ได้ไป ไฟนรกไม่ได้ไหม้ จะได้ไปสวรรค์โดยเร็วพลัน นี่เรียกว่า คาถาธรรมพระไตรสรณคมน์ เอาไปบริกรรม อย่าได้ขาด อย่าได้ประมาท อันนี้เป็นของดีเลิศประเสริฐแท้





ที่มา หนังสือธรรมมะพเนจร

 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 22:56:32
หลวงปู่จันทาธุดงค์พบผีกินผี
 
ผีกินผี

สมัยหนึ่ง (ปี ๒๔๙๖) ไปวิเวกอยู่ที่ถ้ำเป็ด ภูเหล็ก อ.สว่างแดนดิน (ปัจจุบันเป็น อ.ส่องดาว จ.สกลนคร) กับหลวงพ่อไค ๆ เป็นคนภูไท อายุมากแล้ว (๖๐ - ๗๐ ปี) จึงบอกว่า
"หลวงพ่อไค ที่นี่ผีมันร้ายนะ คนไม่กล้ามาทำไร่ ทำสวน เพราะผีมันกวน ฉะนั้น เวลาจะถ่ายปัสสาวะให้นั่งถ่ายใส่รางให้เป็นที่เป็นทางนะ อย่าไปถ่ายเรี่ยราดทั่วไป ไม่ดี เดี๋ยวผีมันจะดึงหำเอา" (หำ คือ อัณฑะ)
หลวงพ่อไคก็ว่า "ผมมันแก่แล้ว เวลาปวดปัสสาวะแล้วมันก็ไหลเลย"
วันหนึ่งได้ยินเสียงหลวงพ่อไคร้อง "โอ๊ย ! ..."
จึงถามไปว่า "เป็นอะไร ?"
หลวงพ่อไคก็ว่า "ผีมันดึงหำ"
"นั่นแหละ บอกแล้วไม่ฟังก็เป็นอย่างนั้น ลูกหลานเขาหยอกคนแก่หรอก นี่แหละ โทษฐานที่ถ่ายปัสสาวะไม่เป็นที่ ไม่เป็นทาง"

จากนั้น อยู่มาวันหนึ่ง นั่งภาวนาอยู่ในป่าจนถึง ๖ ทุ่ม ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องว่า
"พี่น้อง...มาช่วยฉันเถอะว้า ผีปอบมากินลูกฉัน ฉันคลอดลูกใหม่ ๆ ผีปอบมากินเลย"
อ้าว ! ... มันอะไรกัน มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ตอนกลางวัน ไม่เห็นมีอะไร โอ๋...ดอนป่าไม้นี้ มีผีอยู่ที่นั่นกลุ่มหนึ่ง ร้องเรียกบักทิดบักจารย์ มาช่วยกันขับไล่ผีปอบ ผีเหล่านั้นก็ออกมาจากพุ่มไม้ กอไม้ ต้นไม้ต่ำ ๆ เป็นปราสาทที่อยู่ มาแล้วก็ขับไล่กันทุกอย่าง ก็ไม่ออก
เมื่อไม่ออกแล้วทำอย่างไร หมดคาถาแล้ว คาถาของเรานี้ แต่ก่อนก็คมกล้าดี แต่มาระยะนี้ มาอยู่กับผู้หญิง อาถรรพ์ของผู้หญิงนั้นกล้า คาถาดีเท่าไหร่ก็เสื่อมหมด ฉะนั้นจงไปขอน้ำมนต์จากพระที่ท่านมาเจริญธรรมที่ถ้ำนะ เพราะศีลของท่านดี ท่านไม่ได้อยู่กับผู้หญิง ไม่ได้กินเหล้าสุรานารีอะไร
ยายคนนั้น คนแก่ ๆ ดำ ๆ สูง ๆ ก็เลยเอาขันน้ำมาหา แล้วว่า
"หลวงพ่อ ขอจงเมตตาช่วยเหลือข้าพเจ้าเถอะว้า ผีปอบกินลูกของอิฉันนะ คลอดบุตรใหม่ ๆ ผีมากินแล้ว"
ก็เลยทำน้ำมนต์ให้ ใช้คาถาธรรมพระไตรสรณคมน์นั่นแหละ ให้เอาไปกิน พอกินแล้วก็อาเจียนออกมาเลย นั่นแหละ ผีมันออกแล้ว
จากนั้น พวกนี้ก็กลับไปอยู่ตามถ้ำแคบ ๆ เล็ก ๆ ตามกอไม้กอหญ้าต่ำ ๆ จึงถามว่า
"ทำไมไม่ไปอยู่ในถ้ำใหญ่ ๆ ?"
เขาตอบว่า "ไปอยู่ไม่ได้นะท่าน เข้าไปแล้วมันร้อนเหมือนไฟ เพราะสมัยที่มีภพชาติเป็นมนุษย์โน้น พ่อแม่พี่น้อง ปู่ย่าตายายพากันนับถือผี เมื่อถึงฤดูกาลก็บวงสรวง เซ่นไหว้ผีหมอ ผีฟ้า ผีต่าง ๆ ทุกอย่าง น้อมเอาผีมาเป็นที่พึ่งทั้งนั้น แม้ว่านักปราชญ์จะป่าวร้องเชิญชวนให้เข้าวัดฟังธรรม จำศีล เจริญภาวนา สร้างถนนหนทาง สร้างน้ำบ่อก่อศาลาก็ไม่ยินดี ถือว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมีพอแล้ว ไม่อดไม่อยาก ไม่ยากไม่จน ใครยังไม่พอก็ทำไปเถอะ"
"นั่นแหละ ฆ่าวัว ฆ่าควาย กินเหล้ากินยา สุรานารี ไม่ถือผัวถือเมีย เสพกามกันไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่ว่าลูกเขาเมียใคร ไม่ถือกันทั้งนั้น ดังนั้น เมื่อตายแล้วพวกข้าพเจ้าจึงมาเกิดเป็นผีอยู่ที่นี่ ไปไหนมาไหนไม่ได้ ร้องไห้บ่นเพ้อละเมอใจ เป็นทุกข์ทรมาน หนอนเจาะของลับ น้ำเน่าไหล อาศัยอยู่ในถ้ำแคบ ๆ แสนทุกข์ยากลำบาก ครั้นเดือน ๔ เดือน ๕ ก็มีไฟไหม้ป่ามา ต้องขนข้าวของหนี ฉิบหายทุกปีแหละท่าน"
นั่นแหละ เคยเห็นแต่ผีปอบกินคน แต่นี่ ทำไมหนอ ผีจึงมากินผี จึงกำหนดถามพระธรรม ๆ ก็พูดขึ้นมาที่ใจว่า
"เจ้าอุ้มลุ่ม เจ้าผู้ตุ้มผ้าดำ แสนจะหนีไปลี้ภูเขา ถ้ำใหญ่ก็ดีถ่อน กรรมเวร เวรกรรม หากสินำซอกใช้ กินไส้บ่หร๋อเจ้าเอย"
(คนใจบาปหยาบช้า ถึงจะหลบหนีไปอยู่ที่ใด บาปกรรมก็จะตามไปสังหารให้เดือดร้อนอาทรใจเสมอ)

นั่นแหละ ไปเห็นมาอย่างนั้นแล้วก็สิ้นสงสัย คนที่มีนิสัยเคยถือผีถือสางคางแดงมาแต่ครั้งเมื่อเป็นมนุษย์ เมื่อตายไปก็ไปเกิดเป็นผีตกทุกข์ได้ยาก ถึงจะช่วยเหลือให้พ้นทุกข์ มันก็ไม่สนใจหรอก ควรที่จะมาขอรับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕ ก็ไม่มา นิสัยเคยถือผีสางอย่างนั้น ถึงจะพ้นทุกข์ได้ก็ไม่อัศจรรย์อะไรหรอก นี่แหละ โทษของการนับถือผีก็เป็นอย่างนั้น

นั่นแหละ ไปเห็นอย่างนั้นก็ได้ธรรมะ คือ คนที่นับถือผี เมื่อตายไปแล้ว ก็ไปเกิดเป็นผีอย่างนั้นแน่นอน จะไปมนุษย์หรือสวรรค์ไม่ได้ เพราะไม่มีศีลธรรมอันดีงาม มีแต่กรรมชั่วช้าลามก คือ โลภะ โทสะ โมหะฉาบทาจิตใจ ตายแล้วไปเกิดเป็นผีอย่างนั้น นั่นแหละ ก็ได้ความสังเวชสลดใจ ได้วิชาปัญญาความรู้




หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 22:56:53
เมื่อหลวงพ่อฤาษีลิงดำไปธุดงค์เจอคนลองของ
 
ก็ขอเลี้ยวไปจุดหนึ่ง เอาแค่เป็นจุด ๆ ก็แล้วกันนะ ตอนนั้นเข้าใจว่าเป็นจังหวัดขอนแก่นหรือจังหวัดสุรินทร์ อาจจะเป็นจังหวัดสุรินทร์ขอโทษด้วยนะ เพราะว่ามีต้นลานมาก ขณะที่ไปถึงดงลาน ก็ถามท่านอินทกะว่า ที่นี่จะปักกลดได้ไหม ท่านบอกว่า ที่ไหนก็ปักได้ ในเมื่อพวกกระผมคอยคุ้มครองท่านอันตรายย่อมไม่มี ก็ถามว่า ในเขตนี้จวนจะหมดเขตประเทศไทยหรือยัง ท่านก็บอกว่า ยัง ถ้าหมดเขตประเทศไทยต้องเดินไปอีกนานหน่อย

แต่ใกล้จะถึงแม่น้ำโขงอยู่แล้ว ก็เป็นอันว่า ปักกลดที่นั่น เมื่อปักกลดตอนกลางคืน ตอนนี้ไปเดี่ยว หลวงพ่อปานไม่ได้ไปด้วย ความจริงหลวงพ่อปานท่านพาไปด้านเชียงตุง อาตมาขอเลี้ยวไปด้านนี้ก่อน ในปีต่อมานะ

ก่อนที่จะปักกลด ก็ชุมนุมเทวดาบวงสรวงตามที่เคยปฏิบัติ แล้วก็อาบน้ำอาบท่ากันตามสบาย สิ่งที่พวกเราชอบใจมากก็คือ ช้าง ในเขตนั้นรู้สึกว่ามีช้างมาก ขณะที่กำลังปักกลดอยู่ ก็มีช้างโขลงหนึ่งประมาณ ๖๐ ตัว มายืนมองอยู่ ไกลประมาณสัก ๒๐๐ เมตร ไม่ห่างนัก แต่พวกเราก็มัวมุ่งอยู่กับการปักกลด ไม่ได้ไปสนใจช้าง ไม่รู้ว่าช้างมา พอหันหน้าไปเห็นเข้าช้างหัวหน้าโขลง ซึ่งเป็นช้างสีดอมีงาสั้นตัวใหญ่มาก คุกเขาลงยกวงขึ้นชูแสดงว่าทำความเคารพ ช้างทั้งโขลงก็ปฏิบัติตนเหมือนกันหมด ก็รวมความว่า เบาใจ

เมื่อปักกลดเสร็จก็ถามว่า พ่อปู่ คือ ย่าเคยบอกว่า ช้างนี่เขาชอบให้เรียกว่าพ่อปู่ ถ้าเรียกพ่อปู่ จะเป็นที่พอใจของเขามาก ถามว่าพ่อปู่ น้ำมีที่ไหนบ้าง ท่านสีดอท่านลุกขึ้น ท่านก็หันหน้าไปเดิน ๒-๓ ก้าว แล้วหันหน้ากลับมาใหม่ พวกเราก็เดินตามไป ท่านเดินนำไปข้างหน้าประเดี๋ยวหนึ่งก็ถึงหนองน้ำใหญ่ น้ำใสสะอาดมาก ท่านก็เอางวงชี้ว่า ที่นี่มีน้ำ ในเมื่อพวกเราเห็นน้ำแล้ว ก็อาบน้ำสรงน้ำกันแบบสบาย ๆ บรรดาช้างทั้งหลายก็มายื่นล้อมบ่อหันหน้าออกทั้งหมด แสดงว่าที่นั่นยังมีอันตรายมาก เพราะเป็นป่าทึบอาบน้ำเสร็จก็ขอบใจท่าน ท่านก็เดินทางกลับ พวกเราก็เข้ากลด

ตอนเข้ากลดนี่บรรดาท่านพุทธบริษัทก็นั่งกรรมฐานกันตามธรรมดา ๆ อย่าลืมว่าพวกเราไม่ใช่พระอริยเจ้า จะเป็นพระอะไรนั่นไม่สำคัญ เป็นพระธุดงค์ก็แล้วกัน ความกลัวถามว่า มีไหม ก็ต้องตอบว่า ทุกคนถ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์ ต้องกลัว ถ้าไม่มีความกลัว ก็ต้องเป็นพระอรหันต์ ก็ไม่ต้องไปธุดงค์ การไปธุดงค์ก็เป็นการฝึกเพื่อทำลายกิเลสแต่ว่าจะทำลายได้ขนาดไหนก็เป็นเรื่องของจิตใจ

เมื่อปักกลดไปแล้ว กลางคืนนั่งกรรมฐาน ปรากฏว่าเวลาประมาณตี ๒ มีนกใหญ่ตัวหนึ่งบินมาเกาะที่ยอดกลด ก็รู้สึกแปลกใจว่า ตามธรรมดานกอะไรจะมาตอนเวลาตี ๒ จะว่าเป็นนกแร้งก็ไม่ใช่จะว่าเป็นนกกระเรียนก็ไม่ใช่ จะเป็นเหยี่ยวก็ไม่ใช่แน่ เพราะโตกว่าเหยี่ยวมาก ก็มีความเข้าใจว่า ที่นี่มีไสยศาสตร์มาก จึงถามท่านอินทกะว่า นกนั่นคืออะไร

ท่านก็บอกว่า หนังควาย เขาทำมาเพื่อให้เข้าตัวพวกท่าน แต่ผมกันไว้ ถ้าท่านอยากรู้ ก็เอาไม้แหลม มันมีไม้แหลมเล็ก ๆ อยู่ ๒-๓ อัน สำหรับไว้แคะเล็บบ้าง อะไรบ้าง เพราะมีมีดไปไม่ได้ก็แทงทะลุกลดขึ้นไปถูกนก นกก็กลายเป็นหนังควายผืนใหญ่ หล่นลงมา เป็นอันว่าอีก ๒ กลดก็เหมือนกัน เขาก็ถูกนกจับเหมือนกัน พร้อม ๆ กัน เขาก็ทำแบบเดียวกัน เขาก็ถามท่านอินทกะเหมือนกัน

พอตอนเช้า ก็ไม่ทราบว่าที่นั่นใกล้บ้าน เพราะเป็นป่าทึบ บังเอิญเป็นเขตใกล้บ้าน กำลังจะออกบิณฑบาตกับต้นไม้ ท่านอินทกะก็บอกว่าไม่ต้องบิณฑบาตกับต้นไม้ เพราะว่าที่นี่ประเดี๋ยวคนจะมาทำบุญ ก็ถามท่านว่า คนเขารู้ได้อย่างไรว่า คณะของเรามา ท่านบอกว่าไม่เป็นไร พวกผมบอกเขาเอง เขาอยู่ใกล้ ๆ แถบนี้ ให้รับบุญรับกุศลกับเขาหน่อยหนึ่ง แล้วท่านจะรู้ว่า เมื่อคืนนี้ที่นกบินมา นั่นคือใคร ใครเป็นคนทำให้นกบินมา แต่ความจริงไม่ได้ตั้งใจจะบิน ตั้งใจจะเข้าตัว ถ้าเข้าตัวก็หมายถึงตายทันที เพราะหนังควายผืนใหญ่

ก็นั่งรอคนไม่ไปบิณฑบาต คนเขาก็นำอาหารมา พวกเราทั้ง ๓ คน ก็เอาหนังควายที่ได้เมื่อคืนนี้ มารองนั่งเป็นพรมรองนั่ง แต่ว่าคนที่มาก่อนคณะอื่นทั้งหมด ก็มีคนแต่งตัวดี ๒ คน นุ่งขาว ห่มขาว ท่าทางเรียบร้อย มีข้าวสุกสีขาวมาก และมีต้มยำพุงกับไข่ปลา ไม่เป็นอาหารของภาคอีสาน เป็นอาหารของภาคกลาง แต่คนอื่นทั้งหมดแต่งตัวรุงรังมากกว่า แต่ใช้อาหารของภาคอีสาน มีข้าวเหนียว แล้วก็มีปลาร้า ปลาจ่อม และมีส้มตำ เป็นต้น เอามาถวายคณะที่นั่งฉันข้าว ท่านเจ้าของข้าวก็บอกว่า ท่านเป็นพระภาคกลาง นิมนต์ฉันข้าวเจ้าครับ ผมนำมาถวายข้าวสวยมาก นิมนต์ฉันต้มยำ

ทั้ง ๓ องค์ ก็มองดูหน้ากัน สงสัยว่าคน ๒ คนแต่งตัวเรียบร้อยมาก ลีลาดีกว่าคนอื่นทั้งหมดก็ถามท่านอินทกะ อินทกะท่านบอกว่า ไอ้เจ้า ๒ คนนี่แหละ ที่มันทำให้นกมาจับบนหลังคากลด พุงปลากับไข่ปลาก็ฉันไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นหนาม หนามผูกไขว้กันไว้ ถ้าฉันเข้าไปลำไส้จะทะลุ เอาวางไว้เฉย ๆ ก่อน แล้วก็ฉันอาหารของคนอื่น เมื่อฉันอาหารของคนอื่นเสร็จ ท่านอินทกะก็บอกว่า ให้ตั้งนะโม ฯ ๓ จบ ว่า อิติปิโสฯ ๑ จบ นึกถึงคุณพระพุทธเจ้า

ขอย้อนหลังไปนิดหนึ่ง ขณะที่นั่ง ๆ อยู่ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ไอ้หนังที่รองนั่งมันค่อย ๆ เล็กมาทีละน้อย ๆ จนกระทั่งถึงเข่า ท่านอินทกะก็เตือนบอกว่า นี่มันเริ่มทำแล้วนะ จะให้หนังเข้าตัว เอาน้ำสำหรับจะฉันมาพรมซิ ก็พรมน้ำลงไป ปรากฏว่าหนังยืดไปตามเดิม เมื่อฉันอิ่มเสร็จ ท่านอินทกะก็บอกว่า เอาน้ำที่ฉันนี่ไปพรหมข้าว พอพรมข้าว รู้สึกว่าข้าวเป็นทรายทั้งหมด พอพรมต้มยำ ต้มยำก็เป็นน้ำธรรมดา มีหนามผูกไขว้ คนทั้งหลายพอเห็นเข้าอย่างนั้น ก็เข้าใจว่า คน ๒ คน ที่ทำมาเพื่อจะฆ่าพระธุดงค์ เขาถือว่า ถ้าพระธุดงค์ได้เป็นความดีมาก เป็นคนเก่ง ชาวบ้านต่างคนก็ต่างโกรธจะทำร้ายร่างกายสองคนนั่น อาตมาก็เลยขอร้องบอกว่า อย่าทำร้ายเขาเลยเป็นเรื่องของกฎของกรรม ตามธรรมดา พระธุดงค์ต้องมีของป้องกันตัวเป็นของธรรมดา

เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายโดยทั่วหน้า เสียงก็แห้งเต็มที วันนี้เวลาหมดเสียแล้ว ขอยุติแต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธ ศาสนิกชนผู้รับฟัง และผู้อ่านทุกท่าน สวัสดี







หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 22:58:24
นัยน์ตาอาถรรพณ์
 
"นรินทร์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากพรพิเศษของตัวเอง

หลายๆ คนเชื่อว่าตัวเองมีสัมผัสพิเศษ หรือเป็นพรสวรรค์เหนือกว่าเพื่อนมนุษย์ทั่วๆ ไป เช่น รู้ล่วงหน้าว่าใครจะมาหา หรือคิดว่าจะมีโชค-มีเคราะห์ แล้วสิ่งนั้นก็เกิดขึ้นจริงๆ บางคนแค่ได้แตะเนื้อต้องตัวใครก็รู้แล้วว่าคนๆ นั้นกำลังคิดอะไรอยู่ ยิ่งกว่านั้นก็คือได้ล่วงรู้เบื้องหลังเขาจนหมดสิ้น ว่ามีความลับอะไรบ้างที่ปกปิดซ่อนเร้นอยู่

คนเราย่อมมีความลับทุกคนน่ะแหละครับ บางคนก็มากกว่าหนึ่งอย่าง!

เพื่อนผมคนหนึ่งแปลกประหลาดกว่าใครๆ ตรงที่...ถ้าเขาคิดถึงญาติมิตรคนไหนที่ไม่ได้พบปะหรือติดต่อกันนานๆ แล้วเกิดโทรศัพท์ไปหา...แค่ไม่เกิน 3 วัน 7 วัน คนที่เขาโทรศัพท์ไปคุยด้วยนั้นจะล้มตายไปดื้อๆ

ตายด้วยอุบัติเหตุก็มี เจ็บไข้ได้ป่วยจนเสียชีวิตกะทันหันก็มี

ผมเองก็มีพรพิเศษที่น่าสยองเหมือนกันครับ!

ถ้าผมได้พบเห็นคนที่รู้จักโดยบังเอิญ โดยเฉพาะญาติมิตรที่ห่างหายไม่ได้พบปะกันนานๆ เพราะแยกย้ายกันไปบ้าง อยู่ห่างไกลกันบ้าง ทั้งๆ ที่อาจจะติดต่อกันได้ง่ายๆ ทางโทรศัพท์ แต่ต่างคนก็ต่างวุ่นด้วยกิจธุระของตัวจนไม่ได้พบหน้า หรือแม้แต่พูดคุยกันทางโทรศัพท์...ไม่ช้าจะได้ข่าวว่าเขาตายแล้ว

เย็นหนึ่ง ผมกำลังเดินจากแผงขายหนังสือจะเข้าซอยบ้าน ก็เหลือบไปเห็นรุ่นพี่คนหนึ่งชื่อวิชิต เคยทำงานอยู่ด้วยกันแถวถนนราชดำเนิน เมื่อราว 5-6 ปีก่อนเขาโดนย้ายไปอยู่เพชรบุรี...และตั้งแต่นั้นเราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย

ผมเห็นพี่วิชิตขับรถผ่านไปช้าๆ มีสาวสวยนั่งเคียงข้าง...ไม่มีพี่วลัย-ภรรยาเขาแน่ๆ ผมร้องเรียกชื่อพี่วิชิตดังๆ จนมีคนหันมามอง แต่รถที่ติดแอร์ปิดกระจกมิดชิดทำให้เขาไม่ได้ยิน ผมวิ่งเหยาะๆ เข้าไปด้วยอารามดีใจ...จังหวะเดียวกับที่มีสัญญาณไฟเขียว พี่วิชิตเร่งรถแล่นปราดออกไปทันที

คิดว่าผมคงเห็นเขาข้างเดียว แต่เขาไม่เห็นผมแน่ๆ

วันรุ่งขึ้นก็เห็นข่าวในทีวีว่าพี่วิชิตเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำแถวมหาชัย เสียชีวิตคาที่พร้อมกับเพื่อนสาวที่นั่งเคียงข้างอยู่ด้วย!

อ๋อ! ผมไม่ได้เห็นผีหรอกครับ เพราะดูตามเวลาที่ผมพบพี่วิชิตน่ะ เขายังไม่ตาย

ลุงไสว-คนในซอยบ้านผมนี่เอง ระยะหลังๆ ไม่ได้พบปะกันปีเศษ วันดีคืนดีผมเห็นแกเดินในห้างสรรพสินค้าแถวลาดพร้าว ผู้คนคึ่กๆ โดยเฉพาะหนุ่มสาวค่อนข้างหนาตา ผมเห็นลุงไหวยืนอยู่หน้าบูธขายมือถือ มีสาวสวยเป็นพรีเซ็นเตอร์ หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ชอบไปมุงดู ส่วนมากจะซักถามแบบเจ๊าะแจ๊ะกับเด็กสาวๆ หน้าตาสะสวยมากกว่าจะคิดซื้อของ ลุงไหวเองก็เพิ่งจะ 50 เศษ หน้าตายังมีเค้าหล่อเหลาแบบหนุ่มใหญ่

คราวนี้ผมไม่ได้เรียก แต่เดินแหวกคนเข้าไปหา...เชื่อมั้ยครับ? เมื่อตะกี้ยังเห็นลุงไหวยืนจีบเด็กอยู่แท้ๆ แต่ตอนนี้แกหายไปไหนก็ไม่รู้?

เด็กสาวคนนั้นกำลังยิ้มแย้มกับคุณลุงอายุใกล้ 60 อีกคน ผมชักงง ได้แต่เหลียวแลไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นลุงไหว...นอกจากด้านหลังไวๆ ที่เดินห่างออกไป เกือบจะวิ่งตามไปเรียกแกอยู่แล้ว...แต่เพื่ออะไรล่ะครับ?

ผมเลิกสนใจ...จนอีก 2-3 วันต่อมาก็ได้ข่าวว่าลุงไหวหัวใจวายไปแล้ว!

บอกตรงๆ ว่าผมชักสยอง...จนกระทั่งวันหนึ่งผมไปซื้อของที่อ.ต.ก. ตอนบ่ายๆ ขากลับออกมายืนรอแท็กซี่ พอดีเห็นครูสมศรีนั่งรถเมล์ผ่านไปช้าๆ เหมือนภาพสโลว์โมชั่น...

เธอเคยสอนลูกชายผมตอนเรียนอนุบาลเมื่อ 3 ปีก่อน เราสนิทสนมกันพอสมควร ครูสมศรีเป็นคนหน้าตาดี ผิวขาว รูปร่างสมส่วน เท่าที่รู้ก็คือเธอยังโสด แต่เห็นมีหนุ่มๆ มารอรับหน้าโรงเรียน บางวันมีหนุ่มขับรถเก๋งมารับตัดหน้าไปก่อนก็มี

ครูสมศรีนั่งริมหน้าต่าง ดูเหมือนเธอจะหันมาทางผมแว่บหนึ่ง...แล้วรถเมล์ก็แล่นห่างออกไป...

อาทิตย์นั้นเองก็มีข่าวครูสาวถูกแทงตาย หมกศพไว้ในห้องพักแถวลาดพร้าว! ตำรวจสันนิษฐานว่าฆาตกรคงจะเป็นคนที่ผู้ตายสนิทสนม อาจจะเป็นคนรักที่เกิดความหึงหวงจนมีปากมีเสียงกัน แล้วฝ่ายชายก็ใช้อาวุธมีดแทงครูสมศรีจนเสียชีวิต ก่อนจะเก็บทรัพย์สินไปเพื่ออำพรางคดี

ผมนึกทบทวนเรื่องเก่าๆ แล้วขนหัวลุกเกรียวกราว...

นี่แปลว่าผมมีสัมผัสพิเศษ...พรสวรรค์หรือครับ? ความจริงน่าจะเรียกว่าพรนรกมากกว่า!

จนกระทั่งค่ำหนึ่ง ผมลงรถเมล์ที่หน้าแผงขายหนังสือพิมพ์ ลมพัดอู้ๆ เหมือนจะมีฝนกระหน่ำลงมา เศษกระดาษปลิวว่อน ผู้คนจ้ำอ้าวจนแทบจะชนกัน ผมเองก็รีบร้อนมุ่งหน้าไปทางปากซอย...ขณะนั้นเองผมก็เห็นวันชัยเข้าพอดี...

ญาติห่างๆ อายุใกล้ 40 ทำงานไม่เป็นหลักเป็นแหล่ง สนใจกับเรื่องเที่ยวเตร่และสุรานารีมากกว่า เราไม่ได้ติดต่อกันมาหลายปีแล้ว วันชัยย้ายไปอยู่ที่เชียงรายกับครอบครัวที่มีอาชีพค้าขายเมื่อราว 4-5 ปีก่อน...ว่าแต่เขามาทำธุระอะไรที่กรุงเทพฯ โดยไม่บอกกล่าว?

หันไปมองก็เห็นหลังไวๆ ก่อนจะลับไปในแสงไฟ ลมพัดแรงทำให้ผมรีบเลี้ยวเข้าซอยบ้าน...นึกสังหรณ์ว่าจะเป็นลางร้ายอีกหรือเปล่า?

พริบตานั้นเอง! ซอยแคบๆ ที่สว่างไสวก็พลันดำมืด ความหนาวเย็นจู่โจมเข้าจับต้นคอ ก่อนจะแล่นซ่านไปตามไขสันหลัง ปากคอแห้งผาก แข้งขาอ่อนเปลี้ยจนแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงก้าวต่อไป เมื่อนึกได้ว่า...ปีกลายนี้เองมีข่าวว่าวันชัยเป็นมะเร็งตับตายเสียแล้ว...

ผมติดงานจนไม่ได้ไปงานศพเขา แต่วันชัยก็โผล่มาหาจนได้...ขนหัวลุกนะซีครับ!







ข้อมูลจาก :ข่าวสด
 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 22:58:46
ข้างเมรุลอย
 
"แสนคม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากที่ราบสูง

คนกรุงเทพฯ ส่วนมากชอบกล่าวหาว่า คนบ้านนอกโง่เง่า เปิ่น เชย อย่างที่เคยมีสำนวนสมัยก่อนว่า "เปิ่นเทิ่นมันเทศ" อันหมายถึง "บ้านนอกขอกตื้อสะดือจุ่น" ไม่เฉลียวฉลาดหรือคล่องแคล่วปราดเปรียวเหมือนคนกรุงเทพฯ

หนักกว่านั้น ก็คือหาว่าคนบ้านนอกงมงาย นับถือบูชาสิ่งไร้สาระ เช่น ทุ่งนาป่าเขา ต้นไม้ แม่น้ำ กับเชื่อมั่นในเรื่องภูตผีปีศาจว่ามีอยู่จริงๆ แถบบันดาลโชคเคราะห์ต่างๆ ให้ได้อีกต่างหาก

เรื่องตลกที่หัวเราะไม่ออกก็คือ...คนกรุงเทพฯ ที่ว่าน่ะส่วนหนึ่งมีพื้นฐานดั้งเดิมอยู่ที่ต่างจังหวัดแท้ๆ

ผมเป็นคนบ้านนอกที่มาอยู่ในกรุงเทพฯ เพื่อเรียนหนังสือ จบแล้วก็ทำงานอยู่ที่นี่แหละ แต่ไม่ลืมบ้านเกิดเหมือนพี่น้องหมู่เฮาคนอื่นๆ ตรุษทีสงกรานต์ทีได้พักยาวก็แห่กันกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ พี่น้อง ได้เห็นหน้ากันก็ดีอกดีใจ สนุกสนานกันในหมู่ญาติมิตร...จนกว่าจะหมดเวลา ต้องกลับมาทำงานในกรุงเทพฯ ต่อไป

พวกผมเชื่อเรื่องผีๆ สางๆ ครับ!

ภาคอีสานหน้าหนาวน่ะมันหนาวจริงๆ ใครไม่เคยอยู่ตามหมู่บ้านชนบทอย่างผมน่ะไม่รู้หรอก ยิ่งตอนกลางคืนลมหนาวมันกรูเกรียวมาจากป่าเขา ซอกซอนเข้ามาตามร่องเล็กรูน้อยของฝาบ้าน เหมือนจะล่อนกระดูกออกมานอกเนื้อ หลายๆ บ้านต้องลงมาก่อไฟกันที่ลานหน้าบ้านตั้งแต่ตกเย็นก็มี

ไม่มีหนังมีละคร ไม่มีบาร์คาราโอเกะ อย่างดีก็วิทยุหรือทีวีเก่าๆ พอแก้เซ็ง แต่ถ้าหนาวนักก็ทิ้งมันลงมาหากองไฟดีกว่า

หนาวจนแข็งตายก็มีนะครับ อย่าทำล้อเล่นกับความทุกข์ของคนไกลกรุงไปเชียว

พวกคนแก่กับเด็กๆ มักจะตกเป็นเหยื่อ เพราะร่างกายอ่อนแอ...อ้าว? ใครถามถึงผ้าห่มกันหนาวขึ้นมา แถมบ่นว่าทำไมต้องแจกกันทุกปี หนาวทีแจกที! ที่แจกเมื่อปีกลายปีก่อนหายไปไหนหมด? กินผ้าห่มต่างข้าวรึไง?

บาปปาก! อย่าลืมว่าเมื่อหนาวมากกว่าภาคกลาง ก็ต้องอาศัยผ้าห่มแก้หนาว บางบ้านน่ะทั้งพ่อแม่กับลูกๆ ต้องเข้าไปขดงอก่ออยู่ในผ้าห่มผืนเดียวกัน คนนั้นดึงทีคนนี้ดึงที จะไม่ให้ผ้าห่มเปื่อยขาดเร็วกว่าพวกท่านๆ ที่นอนหลับอุตุอยู่ในห้องแอร์เย็นฉ่ำได้ยังไง?

ได้รับแจกบ้านละผืนมาห่มได้ทั้งปีก็บุญกุศลเหลือหลายแล้วละครับ

เพราะอากาศหนาวมาก กับผ้าห่มมีน้อยนี่เอง ที่ทำให้ผมต้องประสบกับเรื่องขนหัวลุกเข้าเต็มเปา!

เมื่อต้นปี 2550 นี้เอง ลมหนาวโหมกระหน่ำหนักกว่าตอนเดือนธันวาคมด้วยซ้ำ ผมกลับไปเยี่ยมบ้านเทศกาลปีใหม่ กะว่าจะกลับอยู่แล้วเชียว พอดีได้ข่าวว่าเจ้าขาบ-ลูกชายป้าคำหนาวตายอยู่ข้างๆ กองไฟหน้าบ้านนั่นเอง

ป้าคำอายุต้น 40 แต่หน้าตาเหมือนคนใกล้จะ 60 ปี ผัวแกไปรับจ้างทำงานที่โคราชแล้วพลัดตกจากรถกระบะขนสินค้าลงมาตาย...ถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือ "ตายในหน้าที่" แต่บ้านเมืองเราไม่ค่อยสนใจไยดีเรื่องพวกนี้หรอกครับ ยิ่งไม่ได้เป็นลูกจ้างประจำ ไม่มีประกันสังคม ก็อย่างที่เขาพูดๆ กันน่ะแหละ

"คนจนตายไปคนก็เหมือนตายไปตัวหนึ่ง ใครเขาจะสนใจล่ะ?"

เถ้าแก่ใจดีมาก เพราะมอบเงินทำศพให้ป้าคำมาตั้งหนึ่งหมื่นบาท ผู้คนสรรเสริญเยินยอกันทั้งนั้น...แถมออกเงินค่าขนศพกลับไปเผาที่บ้านเกิดอีกต่างหาก ป้าคำก็ได้อาศัยเงินก้อนนั้นใช้หนี้เขากับเลี้ยงดูเจ้าขาบ-ลูกชายคนเดียววัย 4-5 ขวบมาได้เกือบปี

เงินทองใกล้จะหมด ป้าคำเที่ยวหารับจ้างใครก็ไม่ค่อยได้ เพื่อนบ้านส่วนมากก็ชักหน้าไม่ถึงหลังกันทั้งนั้น...ทั้งบ้านมีผ้าห่มผืนเดียว สองแม่ลูกสู้ลมหนาวไม่ไหว ต้องลงมาก่อไฟผิงกันหน้ากระต๊อบ

คืนเกิดเหตุ พวกเราที่มาจากกรุงเทพฯ เอาอาหารกับขนมไปให้สองแม่ลูก บางคนก็ควักให้คนละร้อยครึ่งร้อย บ้านไหนมีเสื้อผ้าเก่าๆ ก็แบ่งปันกันไป เจ้าขาบได้เสื้อยืดสีแดงปกปิดหน้าอกผอมกงโก้...แต่ตกกลางคืนก็สู้หนาวไม่ไหว ต้องลงมาผิงไฟกันตามเคย

รุ่งเช้า ป้าคำพบว่าลูกชายนอนตัวแข็งทื่อที่อยู่ในอ้อมอกแกเสียแล้ว!

แกคงร้องไห้มาตั้งแต่ผัวตายจนหมดแรง ได้แต่กอดศพลูกน้ำตาไหลรินเงียบๆ จนหลายคนเบือนหน้าหนี แว่วเสียงเครือพร่าปนสะอื้น...อยู่กับแม่นะขาบเอ๊ย! มาหาแม่มา...ฟังแล้วเล่นเอาขนหัวลุกไปตามๆ กัน

กระทั่งเพื่อนบ้านช่วยกันหาโลงมาใส่ศพป้องกันอุจาด กับนิมนต์พระมาสวดศพให้เจ้าขาบไปสู่สุคติ...แล้วออกไปที่ลานโล่งหลังโบสถ์ใกล้ป่าละเมาะ ช่วยกันขนฟืนมาก่อเมรุลอยเพื่อเผาศพเด็กน้อยตามมีตามเกิด

เปลวไฟโชติช่วงร้อนแรง ควันสีเทาลอยโขมงก่อนโดนสายลมแรงจนหมุนวน...กระจัดกระจายไปในท้องฟ้ามัวครึ้ม เช่นเดียวกับชาวบ้านก็ทยอยกันกลับ แม่ผมไปฉุดป้าคำที่นั่งเหม่ออยู่กับพื้นดิน แกก็ลุกขึ้นมาอย่างงุนงง มีญาติ 2-3 คนช่วยประคองออกเดินเลาะข้างโบสถ์เพื่อกลับบ้าน

ทันใดนั้นเอง ป้าคำก็หันขวับ...พวกเราหันตามเพราะรู้ดีว่าแกยังอาลัยอาวรณ์ลูกชายที่กำลังจะกลายเป็นเถ้าถ่าน เห็นป้าคำเบิกตา ยิ้มแป้นเป็นครั้งแรกตั้งแต่เจ้าขาบตาย!

"มาหาแม่มา...ขาบเอ๊ย! กลับบ้านกันเถอะลูก...โธ่! แม่นึกว่าเอ็งจะปล่อยให้แม่กลับบ้านคนเดียวซะแล้วซี"

เสียงพูด เสียงหัวเราะเริงร่าของป้าคำดังบาดลึกไปถึงหัวใจของทุกคนที่ได้ยิน...แถมขนลุกเกรียวกราวไปทั้งตัว!








ข้อมูลจาก : ข่าวสด
 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 23:00:38
คืนหนึ่งที่อยุธยา!
 
"ครูเล็ก" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อพาเด็กไปทัศนศึกษา

ดิฉันเป็นครูของเด็กนักเรียนระดับประถม โรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ นี่ล่ะค่ะ เหตุการณ์ขนหัวลุกที่จะเล่านี้ เกิดขึ้นเมื่อดิฉันต้องดูแลเด็กๆ ไปเข้าค่ายที่อยุธยา

โรงเรียนดังกล่าวนี้เป็นโรงเรียนแบบสองภาษา ค่าเล่าเรียนค่อนข้างสูง แถมยังมีการสอนพิเศษอื่นๆ เพื่อเพิ่มทักษะให้กับนักเรียนให้ดีที่สุด เช่น ว่ายน้ำ, คอมพิวเตอร์, บัลเลต์ แต่ละคอร์สนั้นมีค่าใช้จ่ายคนละหลายพัน เช่นเดียวกับการออกไปทัศนศึกษานอกสถานที่ ซึ่งแต่ละครั้งผู้ปกครองต้องจ่ายไม่ต่ำกว่าห้าพันบาท

ที่บอกมานี้ไม่ได้อวด หรือทำให้ท่านผู้อ่านขนหัวลุกกับค่าใช้จ่ายนะคะ!

สมัยนี้ก็แบบนี้ล่ะค่ะ ดิฉันเพียงแต่จะให้เห็นภาพว่าสิ่งแวดล้อมโดยรวมของโรงเรียนและลูกศิษย์ตัวน้อยนั้น ทุกอย่างต้องชั้นหนึ่งเสมอ

การพาเด็กไปเข้าค่ายทุกครั้ง เราก็ไม่ได้พาเด็กไปนอนกลางดินกินกลางทรายตามค่ายพักแรมทั่วๆ ไปนะคะ แต่เราไปเหมาชั้นของโรงแรมระดับสี่ดาวขึ้นไป ผู้ปกครองจะตามไปดูก็ได้ค่ะ และทุกท่านพอใจมากในการที่เห็นลูกๆ ได้อยู่สบายและปลอดภัยที่สุด...ลูกศิษย์ดิฉันนอนห้องแอร์ ตื่นเช้าก็กินเบรกฟัสต์อย่างดี และขึ้นรถทัวร์ไปทัศนศึกษา

การพาเด็กไปเข้าค่ายคราวนี้ เราไปถึงสุโขทัยแน่ะค่ะ เด็กๆ สนุกมาก ขากลับเข้ากรุงเทพฯ เราก็ค้างที่อยุธยากัน 2 คืน

โรงแรมหรูที่อยุธยานี่สะดวกสบายมากค่ะ เราให้เด็กนอนห้องละ 3-4 คน โดยแยกเด็กหญิงกับเด็กชาย รวมเด็กทั้งหมดร้อยคนเศษ เป็นเด็ก ป.4 กำลังน่ารักทั้งนั้น

คืนแรกที่ไปถึง เด็กๆ ตื่นเต้นสนุกสนาน แม้จะเดินทางไกลกลับมาจากสุโขทัยก็ตาม พวกเขามีพลังเหลือเฟือจริงๆ พวกครูๆ สิคะชักจะเหนื่อยแล้วล่ะ แต่พอเห็นสีหน้าท่าทางของเด็กๆ แล้วเราก็ชื่นใจหายเหนื่อย

ราว 4 ทุ่ม ดูแลความเรียบร้อย พาลูกศิษย์เข้านอนครบทุกคน น่าสังเกตว่าเด็กๆ ส่วนใหญ่นอนหัวค่ำ ราว 3-4 ทุ่มแกก็ง่วงกันแล้วค่ะ ทำให้งานของครูๆ เบาลงเยอะเชียว

ดิฉันอยู่ในบรรยากาศที่น่าสบายใจมาก หลังจากไปเซย์ กู๊ดไนต์กับเด็กทุกห้องแล้ว ดิฉันก็กลับมานอนกับลูกศิษย์ 3 คน ในห้องพัก ที่อยู่ในช่วงกลางของห้องทั้งหมดในฟลอร์นั้น

ห้องนี้ก็อยู่หน้าลิฟต์พอดีเป๊ะ!

เมื่อเด็กๆ หลับกันหมดแล้ว ดิฉันก็เขียนรายงานประจำวันอีก 2-3 หน้าจากนั้นก็อาบน้ำแล้วปิดไฟนอน

กลางดึกสงัด และเสียงเบาๆ ของเครื่องปรับอากาศ ดิฉันลืมตาขึ้นในความมืด หูแว่วเสียงเด็กจำนวนมากมาเล่นกันอยู่ที่หน้าห้อง...มันเป็นเสียงเจี๊ยวจ๊าวราวกับพวกแกกำลังสนุกสนานกันสุดขีด สงสัยว่าจะวิ่งเล่นไล่จับกันมั้ง นั่นน่ะ?

ดิฉันนอนนิ่ง ลืมตาโพลง ท่านผู้อ่านคงจะเห็นใจดิฉันนะคะ ว่าคนเพิ่งตื่นใหม่ๆ 2-3 วินาทีแรกมันมึนงงน่าดูเลย จับต้นชนปลายไม่ถูกทีเดียว...หลังจากนั้น สติก็เริ่มมา...

ดิฉันขนลุกซ่า...มันอะไรกันนี่? เป็นไปไม่ได้แน่!

ขณะผุดลุกขึ้นนั่ง เสียงหัวเราะเฮฮาของเด็กๆ หน้าห้องก็ยังได้ยินอยู่อย่างชัดเจน...เป็นเด็กธรรมดาๆ นี่ล่ะค่ะ ลองนึกภาพตามมานะคะ...เสียงนั้นไม่ผิดอะไรกับเด็กสักสิบคนมาวิ่งเล่นกันจริงๆ แต่ดิฉันก็ตระหนักดีว่ามันเป็นไปไม่ได้...ยิ่งเมื่อหยิบนาฬิกาขึ้นมาดูและพบว่าเป็นเวลาตี 2 ดิฉันก็ยิ่งขนลุก แต่เสียงที่เหมือนมนุษย์ธรรมดาๆ ทำให้ดิฉันชักลังเล

เอ...รึว่าลูกศิษย์แสนซนจะนอนไม่หลับเลยลุกมาวิ่งเล่นกัน แต่...มันเป็นไปไม่ได้!

ไม่รู้อะไรมาดลใจ ดิฉันลุกขึ้นอย่างไม่ค่อยรู้ตัวนัก แล้วเดินไปที่ประตู...หลังจากชะงักอยู่อึดใจ ดิฉันก็ปลดโซ่ ปลดล็อก เปิดประตูออกดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นข้างนอกนั่น?

คุณพระช่วย! ดิฉันเย็นวาบไปทั้งร่าง คิดว่าจะเจอแต่ความว่างเปล่า...แต่ไม่ใช่ค่ะ! มีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งอยู่ที่หน้าห้อง เธอนุ่งผ้าถุงสีแดง ใส่เสื้อคอกระเช้าสีขาวสะอาด ผมสั้นแค่หูเหมือนเด็กนักเรียน...

เธอกำลังกระโดดเชือกเล่นอยู่คนเดียว และหันหลังให้ดิฉันด้วย

ไม่ต้องเดาหรอกค่ะ เห็นแค่นั้น...ดิฉันก็รู้ว่าผี!!

ทันใดที่ดิฉันนึกถึงคำว่า "ผี" เด็กน้อยก็หยุดกึก ยืนนิ่ง มือทั้งสองที่แต่ละข้างถือปลายเชือกห้อยอยู่ข้างตัว และแล้ว...เธอก็ค่อยๆ หันมา...หันมาแต่ ส่วนไหล่และช่วงลำตัวยังนิ่งสนิท เธอหันเหมือน ลินดา แบลร์ ใน "เอ็กโซซิสต์" ยังไงยังงั้น

ใบหน้าเธอสะสวยน่ารัก และเธอยิ้มให้อย่างแจ่มใสที่สุด แต่ดิฉันหน้ามืด วูบไปเลยค่ะ

เป็นอันรู้กันว่าดิฉันเหนื่อยจนลมจับกลางดึก ขณะจะมาตรวจความเรียบร้อยของเด็กๆ อีกรอบ มีเพื่อนครูของดิฉันไม่กี่คนที่รู้ความจริง...ความจริงที่น่าขนหัวลุกที่สุดค่ะ!

 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 23:00:56
จระเข้ผีสิง
 
ครูประสงค์ ลี้สุวรรณ เล่าประสบการณ์สยองจากจระเข้กินคน

เหตุการณ์น่าขนหัวลุกเรื่องนี้เกิดขึ้นที่ตำบลหลักแก้ว อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง นานมาแล้ว แต่ชาวบ้านยังจดจำเรื่องราวน่าสยดสยองที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี

"ตุ้ม! ตู้ม! ตู้มมมม...." เสียงพลองดังระรัวไปทั่วหมู่บ้านคลองพูล ชาวบ้านชะงักมือจากงานนิดหน่อยเมื่อได้ยินสัญญาณอันคุ้นหู ก่อนจะเร่งมือในการงานมากขึ้นกว่าเดิม

ขณะนั้น ผู้คนทั้งชายและหญิงยังอยู่ในท้องทุ่ง ใต้ผืนฟ้าสีครามโล่งกว้าง หาผักหาปลาตามประสาบ้านทุ่ง ก่อนจะผละงานกลับสู่บ้านเพื่อกินข้าวกินปลาให้อิ่มหนำ ไม่ช้าก็จะต้องกลับไปคร่ำเคร่งกับงานหนักให้สำเร็จ

ปีนั้นน้ำท่วม อยู่ในระดับค่อนข้างสูงเกือบถึงรอดเสาเรือนเลยทีเดียว เรือเล็ก เรือใหญ่ไม่สามารถจอดใต้ถุนบ้านได้ มองไปทั่วทุ่งท่าแล้วดูเวิ้งว้างเหมือนกลายเป็นท้องทะเลอันน่ากลัว แต่ชาวบ้านย่านนี้ก็เคยชินกับภัยธรรมชาติเช่นนี้เสียแล้ว จึงไม่สู้จะรู้สึกเดือดร้อนเท่าไรนัก

หลังจากพระฉันเพลเสร็จแล้ว เด็กวัดต่างยกสำรับกับข้าวไปกินกันเป็นกลุ่มๆ ตามสมัครพรรคพวกของแต่ละกลุ่มที่ถูกคอกันจริงๆ

"เฮ้ย! กรุ่น...เดี๋ยวพอกินข้าวเสร็จแล้ว ไปเล่นน้ำหน้าวัดกันไหมวะ?"

เจ้าโผนถามเจ้ากรุ่นเพื่อนรัก นัยน์ตาเป็นประกายนึกสนุกตามประสาเด็ก เสียงคนอื่นๆ ร้องเฮขึ้นพร้อมกัน...เป็นอันว่าทุกคนในวงกินข้าวต่างเห็นพ้องต้องกันว่าสนุกๆ งานนี้

เดือนตุลาคมตอนบ่ายร้อนอบอ้าว แสงแดดจัดจ้าเต้นเป็นตัว ฉะนั้นการเล่นน้ำดำผุดดำว่ายกันย่อมจะช่วยบรรเทาความร้อนเป็นอย่างดี เสียงหัวเราะเฮฮาก็ดังก้องอยู่ที่คุ้งน้ำหน้าวัดเหมือนจะไม่มีวันจบสิ้น...

ขณะนั้น ไอ้แก่นผู้ได้ชื่อว่าจอมแก่นแสนซนสมชื่อ ได้ชักชวนเพื่อนฝูงเปลี่ยนวิธีเล่นใหม่ จากการว่ายแข่งกันบ้าง ดำน้ำอึดที่สุดบ้าง...มาเป็นการเล่น "โป้งแปะ" ในน้ำ โดยย้ายจากท่าน้ำหน้าศาลา เข้าไปเล่นที่ใต้ถุนศาลาการเปรียญ ซึ่งบรรยากาศมืดครึ้ม เหมาะที่จะแอบกันและร้อง "เอ้า! หนึ่ง สอง สาม สี่...." น่าสนุกสนานนักหนา

การเล่นโป้งแปะเปิดฉากขึ้นแล้ว!

พวกเด็กวัดต่างสนุกสนานเต็มที่ จนเวลาผ่านเลยไป ไอ้แก่นผู้เป็น "ผู้โป้ง" คนหนึ่งก็หันซ้ายหันขวา ก่อนจะร้องถามขึ้นดังๆ

"เฮ้ย! ข้าโป้งพวกเอ็งได้หมดแล้ว ขาดไอ้กรุ่นคนเดียว มันแอบได้เก่งจังวะ!"

ทันใดนั้นเอง เสียงร้องตะโกนของเจ้ากรุ่นก็ดังลั่นขึ้น

"ช่วยด้วย! จระเข้กัดกู...โว้ยๆๆ"

นอกจากเด็กวัดจะตกตะลึงไปตามๆ กัน พวกผู้ใหญ่ที่อยู่ในเรือใกล้ๆ นั้นต่างหันขวับ มองเห็นภาพน่าขนหัวลุก...นั่นคือเจ้ากรุ่นกำลังตะเกียกตะกายขึ้นต้นกุ่มน้ำ เลือดไหลย้อยโซมตัว เห็นหัวจระเข้ขนาดใหญ่พุ่งเข้างับท่อนขา เฉียดไปมาหวุดหวิด ขณะที่เจ้ากรุ่นก็ร้องตะเบ็งไม่ขาดเสียง สรรพสิ่งเหมือนภาพในคืนฝันร้ายไม่มีผิด!

น้าหาญคว้าฉมวกจากท้องเรือติดมือมา แล้วเกร็งข้อพุ่งเข้าใส่ลูกหลานชาละวัน...แม่นยำเหมือนผีจับยัด...ฉมวกพุ่งเข้าก้านคอจระเข้ยักษ์จนมันสะบัดหัวมหึมา ก่อนผละจากโคนต้นกุ่ม...พุ่งหนีลงสู่คลองใหญ่ในพริบตา! พรายน้ำเดือดพล่าน ตามความเร็วรี่ที่จระเข้หนีเอาตัวรอด...เมื่อถึงน้ำลึก พรายน้ำก็หายไปในที่สุด

ต่อจากนั้น เรือทุกลำต่างพุ่งจนน้ำบานมายังต้นกุ่มน้ำที่เจ้ากรุ่นยังกอดแน่นที่ยอดไม้ ไหนจะเสียเลือดจากบาดแผลเพราะฟันจระเข้ ไหนจะหวาดกลัวสุดขีดแทบจะช็อกคาที่ ทำให้เจ้ากรุ่นอ่อนแรงจนไม่อาจจะลงจากต้นไม้ได้ นอกจากจะกอดต้นกุ่มอยู่อย่างนั้นเอง

ร้อนถึงพวกผู้ใหญ่ต้องรีบปีนต้นกุ่มขึ้นไปรับตัวลงมาอย่างทุลักทุเล...นำมารักษาตัวที่กุฏิหลวงตาย้อย ใช้น้ำมันมนต์ทาแผลทันที!

บาดแผลอันเกิดจากจระเข้กัดหรือคาบนั้น เชื่อกันมาตั้งแต่โบราณแล้วว่าห้ามให้จิ้งจกเข้ามาเลียแผลเด็ดขาด เนื่องจากมันสัตว์ตระกูลเดียวกัน น้ำลายจากจิ้งจกจะกลายเป็นพิษร้ายให้คนเจ็บถึงแก่ชีวิตได้อย่างง่ายดาย

เจ้ากรุ่นทุเลาจากอาการขวัญหนีดีฝ่อก็เล่าให้ฟังว่า...

ขณะที่ดำน้ำเพื่อจะรีบไปแอบนั้น ไม่รู้ว่าอะไรมันดำมืดพุ่งใส่...เจ็บแปลบที่ลำตัว แล้วมันพาแหวกน้ำและวิ่งบนดิน ก่อนจะพุ่งตัวเอาร่างเด็กไปขัดไว้ที่โคนต้นกุ่มใต้น้ำ...พอมันผละออกไปก็เริ่มหายใจไม่ออก จึงดิ้นจนหลุดจากโคนต้นไม้...โผล่พ้นน้ำก็รีบปีนขึ้นต้นกุ่มทันที

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง เพราะข้าพเจ้าไปพบนายกรุ่น พึ่งแก้ว มาแล้ว ได้ขอดูบาดแผลที่ถูกจระเข้คาบลำตัว ยังมีแผลเป็นเป็นริ้วฟันจระเข้เห็นได้ชัดเจน...เนื่องจากสมัยก่อนยังไม่มีหมอที่จะเย็บบาดแผลให้ จึงรักษาตามแผนโบราณเท่าที่มีอยู่ในท้องถิ่น

ขณะนี้ นายกรุ่น พึ่งแก้ว ได้ย้ายไปอยู่ทางแก่งเสือเต้น ลพบุรีแล้ว จึงไม่เคยพบกันอีก จะเหลือก็แต่เพียงความทรงจำในเหตุการณ์ที่ขนหัวลุกเท่านั้นเอง

 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 23:01:11
บ้านสุดสยอง
 
"ใบไผ่" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ้านผีสิง

เมื่อราวสิบปีเศษมาแล้ว ดิฉันได้พบกับเหตุการณ์สยดสยองสุดๆ อย่างเต็มหูเต็มตา ขณะนั้น ดิฉันอายุ 25 ปีบริบูรณ์ มีการงานทำเป็นหลักเป็นที่บริษัทการเงินแห่งหนึ่งที่ถนนรัชดาภิเษก ไม่ไกลจากบ้านย่านอโศก-ดินแดงเท่าไรนัก สุขภาพแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้าจะเชื่อตามโชคลางก็คือ "วัยเบญจเพส" นั่นเอง!

สาเหตุที่ทำให้ขนหัวลุก สติแตกไปชั่วครู่ก็เพราะไปบ้านเพื่อนค่ะ

ดิฉันมีเพื่อนสนิทชื่อเอ้ เราคบกันตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย บ้านเอ้อยู่ถึงหมู่บ้าน แถวคลองประปา ประชาชื่นโน่นแน่ะ เป็นบ้านจัดสรร เป็นบ้านตึกสองชั้นปลูกคล้ายๆ กัน แถมทาสีขาวๆ นวลๆ มองไกลๆ สวยเหมือนบ้านตุ๊กตาไม่มีผิด

เรายังอยู่กับพ่อแม่เหมือนกัน แถมมีน้องชายน้องสาวอย่างละคนเหมือนกันอีกด้วย

ครอบครัวเราก็พลอยสนิทสนม ไปมาหาสู่กันตลอด บางทีก็ไปต่างจังหวัดด้วยกัน เอ้เคยมาค้างกับดิฉัน ส่วนดิฉันก็เคยไปค้างบ้านเอ้ มีของกินดีๆ ก็ฝากไปถึงบ้านของกันและกัน

สาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องขนหัวลุก มาจากครอบครัวเราไปเที่ยวมหาชัยกันในตอนเช้าวันเสาร์ ดิฉันโทร.ไปชวนเอ้แล้ว แต่ปรากฏว่าแม่เธอไม่ค่อยสบาย ตอนนี้น้าจุ๋มแม่บ้านกำลังขี่จักรยานไปซื้อยาที่คลินิกปากซอย

"ขากลับซื้อของทะเลมาฝากด้วยละกัน" เอ้บอก

ระยะทางใกล้ๆ ที่มีแต่สวนผลไม้ นาเกลือ และแม่น้ำท่าจีนที่อุดมสมบูรณ์ด้วยอาหารทะเลสารพัดชนิด อากาศปลอดโปร่งกว่ากรุงเทพฯ หลายเท่า...พวกเราสนุกกันมากค่ะ ไปเที่ยวมหาชัยนี่ไปเช้ากลับเย็นได้สบายๆ

รถขาเข้ายังบางตา ดิฉันขับรถถึงบ้านราวห้าโมงเย็น นึกยังไงก็ไม่ทราบ ส่งพ่อแม่กับน้องๆ เข้าบ้านแล้วบึ่งต่อไปบ้านเอ้...ฟ้ามืดครึ้มมาตั้งแต่เลี้ยวเข้าประชาชื่นแล้วค่ะ ครู่เดียวฝนก็เทกระหน่ำ รถที่เคยแล่นลิ่วก็ต้องคลานช้าๆ คอยเพ่งมองสะพานข้ามคลองประปาที่มีป้าย หมู่บ้าน โชคดีที่เลี้ยวเข้าไปหน่อยเดียวฝนก็ซาลง แต่ฟ้ายังหนักอึ้งเหมือนเดิม

ครู่ใหญ่ๆ ก็มากดแตรหน้าบ้าน...น้าจุ๋มกางร่มวิ่งมาเปิดประตูรั้วให้ ดิฉันไปจอดรถใต้ถุนห้องนอนเพื่อน ด้านขวามือเป็นห้องรับแขก ของฝากวางอยู่บนเบาะหน้าแล้ว ทำให้คว้าติดมือลงไปได้ทันที

ก้าวเข้าไปก็ชะงักกึกเมื่อได้กลิ่นเหม็นอับ สาบสางโชยมาเข้าจมูก ดิฉันเหลียวซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นเอ้ สงสัยจะยังอยู่ชั้นบน หรือไม่ก็เพิ่งแต่งตัวเพราะไม่รู้ว่าเพื่อนจะมาเยี่ยม

น้าจุ๋มวิ่งผ่านรถหายเข้าไปในห้องพักของแกแล้ว...แสงไฟน้อยแรงเทียนจากเพดาน ส่องให้เห็นร่างที่นอนห่มผ้าอยู่บนเตียงเตี้ยๆ ชิดฝา กลิ่นเหม็นกวนประสาทอ้อยอิ่งอยู่รอบๆ ตัว...ทำไมเอ้ถึงปล่อยให้แม่ลงมานอนคนเดียวนะ? พ่อกับน้องๆ หายไปไหนหมด?

"โอยยย..." เสียงนั้นทำให้ดิฉันเกือบสะดุ้ง หันขวับไปมองก็เห็นแม่เอ้พลิกหน้าไปมาช้าๆ "ขอน้ำ...หิวน้ำเหลือเกิน..."

"ได้ค่ะ" ดิฉันรับปากโดยอัตโนมัติ ได้ยินเสียงบันไดลั่นเอี๊ยดๆ เอ้คงจะลงมาแล้วแต่ก็ไม่เห็นวี่แวว...อากาศหลังฝนเยือกเย็นลงทุกทีจนแทบหนาวสะท้าน ดิฉันเหลือบไปเห็นแก้วน้ำบนโต๊ะเตี้ยๆ หัวเตียง รีบก้าวไปหยิบแก้วน้ำมาให้แม่เอ้ ตั้งใจว่าจะป้อนให้ท่าน...

"คุณพระช่วย!" ดิฉันหลุดอุทาน เมื่อเห็นใบหน้าดำเกรียมจนแทบจำไม่ได้ ผมสีเทากระจายอยู่เต็มหมอน...นัยน์ตาขาวๆ เหลือกไปมา แถมแลบลิ้นเข้าๆ ออกๆ สีแดงสดเหมือนลิ้นตุ๊กแก จนแก้วน้ำหวิดร่วงจากมือ

เอ๊ะ! นั่นไม่ใช่คุณป้าอรทัย-แม่ของเอ้นี่นา! สำนึกนั้นทำให้ดิฉันถอยกรูดๆ แข้งขาสั่น ใจสั่น หัวหมุนติ้วแทบระเบิด...เกิดอะไรขึ้น? ทำไมดิฉันต้องมาพบภาพสยองขวัญนี้ด้วย? ขณะนั้นเองเสียงบันไดก็ลั่นเอี๊ยดๆ อีกครั้ง ขายาวๆ ของใครคนหนึ่งกำลังก้าวลงมาช้าๆ

"เอ้! เอ้เหรอ..." ดิฉันถามเสียงสั่นๆ แต่ไม่มีคำตอบ นัยน์ตาเบิกค้างจ้องมอง หญิงชราร่างร้ายที่นอนอยู่ตรงหน้า ทันใดนั้น...เหมือนนรกบันดาลให้เป็นไปในพริบตา

ร่างร้ายนั้นมีอาการคล้ายหุ่นกระบอกที่นอนแน่นิ่ง แต่มีผู้ชักให้ผลุนผลันลุกขึ้น...จากท่านอนพรวดพราดเป็นท่ายืนทันที ศีรษะก้มต่ำ ผมยาวปรกหน้า สองแขนลีบเล็กแกว่งไกวไปมาจนดิฉันผงะหน้า กรีดร้องออกมาสุดเสียง

"ช่วยด้วย...!!" ม่านตาพร่าพราย สรรพสิ่งหมุนเคว้งคว้าง...ดิฉันวิ่งเตลิดเหมือนคนบ้าออกจากบ้านนรกจกเปรตนั้น...ชนกับเอ้ที่หน้าประตูก่อนจะสิ้นสติไป

เมื่อมารู้ตัวอีกทีก็พบตัวเองนอนบนโซฟาในห้องรับแขกบ้านเอ้ พ่อแม่กับน้องๆ จ้องมองด้วยความห่วงใย...เอ้เล่าว่าได้ยินเสียงกรีดร้องก็วิ่งออกไปดู เห็นรถยนต์ดิฉันจอดอยู่ที่นั่นกับดิฉันวิ่งกระเจิงออกมา...จากบ้านร้างผีสิงนั่นแหละค่ะ

เพราะฝนฟ้าและบ้านที่คล้ายๆ กันทำให้ดิฉันเข้าบ้านผิด...ไม่ช็อกตายคาที่ก็ถือว่าเป็นบุญแล้วค่ะ!

 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 23:01:31
วิญญาณดึกดำบรรพ์
 
"สุบิน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกที่พระนครศรีอยุธยา

ผมเคยได้ยินบ่อยครั้งว่า คนที่จิตใจเข้มแข็งมักจะไม่ถูกผีหลอก เพราะจิตมีพลังมากกว่าภูตวิญญาณทั่วๆ ไป แต่ถ้าใครจิตใจอ่อนแอ ปกติเป็นคนตกใจง่าย มักหวาดสะดุ้งด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จะมีโอกาสถูกผีหลอกได้ง่ายกว่า

ก็แน่ล่ะครับ เพราะคนที่จิตใจบึกบึนห้าวหาญนั้น ต่อให้พบปะเหตุการณ์คับขัน หรือแม้แต่เห็นภูตผีปีศาจก็ควบคุมสติได้จนวิญญาณ ชั่วร้าย ต้องหลีกหนีไปเอง

นอกจากนั้นก็คือเด็กๆ ที่มีโอกาสถูกผีหลอกมากที่สุด! เชื่อว่า นอกจากจิตใจยังไม่เข้มแข็งเหมือนผู้ใหญ่แล้ว สัมผัสทางจิตของเด็กยังค่อนข้างละเอียดอ่อน ภูตผีที่อยู่เหลื่อมซ้อนมิติกับมนุษย์ บางครั้งมีโอกาสเหมาะสมจึงอาจจะปรากฏตัวเข้ามาสู่มิติเดียวกันก็เป็นได้

สิ่งที่ซับซ้อนกว่านั้นก็คือ เด็กๆ ที่พบเห็นภูตผีเหล่านั้นอาจจะไม่รู้ว่าสิ่งที่มองเห็นนั้นไม่ใช่มนุษย์เช่นเดียวกับตนเอง

ด้วยเหตุนี้เราจึงมักพบเด็กๆ พูดคุยกับตุ๊กตา หรือของเล่นชิ้นโปรด แต่พวกผู้ใหญ่มักคิดว่าลูกหลานของตนกำลังเล่นกับ "เพื่อนสมมติ" โดยไม่ได้หวาดระแวงแม้แต่น้อยว่าเด็กๆ กำลังพูดคุย หัวเราะต่อกระซิกกับผู้ไม่มีร่างกาย!

ผมมีเรื่องน่าขนลุกขนพองมาเล่าสู่กันฟังครับ

เมื่อราวสองปีก่อน ผมกับภรรยาและลูกชายวัย 7 ขวบ ไปเที่ยวสิงห์บุรีและพระนครศรีอยุธยากับบริษัททัวร์เจ้าประจำ มีรายการนำเที่ยวสนุกๆ มาชักชวนอยู่เสมอ ส่วนมากเป็นจังหวัดใกล้ๆ อย่างชลบุรีและระยองบ้าง เที่ยวสวนผลไม้และตลาดนัดตอนกลางคืนที่อัมพวา สมุทรสงครามบ้าง...ล่าสุดก็ไปไหว้พระเก้าวัดที่เมืองสิงห์

คราวนี้มีเป้าหมายอยู่ที่พระนอนจักรสีห์ สิงห์บุรี และไหว้พระที่พระนครศรีอยุธยาราว 4-5 วัด หลวงพ่อมงคลบพิตรเป็นจุดสุดท้าย

มีกำหนดค้างที่สิงห์บุรีและพระนครศรีอยุธยา...จนกระทั่งถึงลานจอดรถหลังโบสถ์หลวงพ่อมงคลบพิตร มีรถทัวร์จอดอยู่หลายสิบคัน ผู้คนคับคั่งเพราะเป็นวันอาทิตย์ ไกด์นำเราเดินผ่านร้านค้าด้านขวามือ ทั้งร้านเครื่องดื่ม หนังปลาทอด ผลไม้ดอง ขนมไทย และของที่ระลึกต่างๆ โดยเฉพาะร้านโรตีสายไหมมีมากที่สุด

จนกระทั่งเข้าไปไหว้หลวงพ่อมงคลบพิตรเรียบร้อย ภรรยาพา ลูกไปปล่อยนกที่หน้าโบสถ์ ซื้อตั๊กแตนสานด้วยใบมะพร้าว จากนั้นก็มุ่งหน้ากลับทางเก่า ตั้งใจว่าจะหาซื้อของกินของฝากตามระเบียบ

ก่อนจะถึงปากทางเข้าร้านค้านั่นเอง ตาต้อมลูกชายผมก็กระตุกมือแม่ ได้ยินเสียงถามว่า อะไรลูก? ตาต้อมก็พยักหน้าไปที่ความเวิ้งว้างทางซ้ายมือ เราก็มองตามไปอย่างงุนงง

แสงแดดยามเย็นกำลังจางหายไปอย่างรวดเร็ว...

ที่นั่นคือป่าละเมาะค่อนข้างเปลี่ยว ถัดไปเป็นต้นไม้ใหญ่ฯ เช่น จามจุรีที่รายล้อมเกือบรอบบึง มีจอกแหนกับผักตบชวาอยู่แน่นหนา พงอ้อกอหญ้าขึ้นรกทึบ ฝั่งตรงข้ามมีต้นมะพร้าวใหญ่ขึ้นโดดเด่น...มองผ่านไปเห็นทิวไม้ไกลลิบทางเบื้องหลัง เมฆหนาทึบเต็มท้องฟ้า บรรยากาศดูเยือกเย็นน่าวังเวงใจชอบกล

ตาต้อมเงยหน้าขึ้นมองแม่ ผู้กำลังย่นคิ้วสงสัยว่าลูกชายชี้ให้ดูอะไรกันแน่?

"เขาถ่ายหนังกันเหรอฮะแม่?"

เสียงถามนั้นทำให้ผมขยี้ผมลูกชายอย่างเอ็นดู

"ถ่ายหนังอะไรกันลูก พ่อไม่เห็นมีอะไรเลยนี่นา"

ใต้ต้นมะพร้าวนั่นไงฮะ" ตาต้อมหันไปมองพลางชี้มือเล็กๆ ให้เราดู "เหมือนในหนังเรื่องบางระจันเลยฮะ...เหมือนหนังเรื่องพระนเรศวรด้วย! มีทหารไทยกับทหารพม่ายืนถือดาบกันทุกคนเลย"

"อะไรนะ..." แม่ตาต้อมคราง ผมเองก็อ้าปากค้างเมื่อแน่ใจว่าที่นั่นมีแต่ต้นมะพร้าวยืนโดดเด่นอยู่ท่ามกลางป่าละเมาะเปล่าเปลี่ยว...ไม่มีภาพของทหารไทยกับทหารพม่าอย่างที่ลูกชายเห็น...ตาต้อมยกมือขึ้นโบกไปมาพลางหัวเราะชอบอกชอบใจ

"นั่นไงฮะ พ่อ ทหารพวกนั้นเขาหันมาโบกมือให้เราทุกคนเลย!"

ลมเย็นๆ พัดซ่ามาจากเหนือบึงเปลี่ยว ผมเห็นภรรยาหน้าซีดเผือด ตัวเองก็ขนลุกซู่ รู้สึกอึดอัดคล้ายจะหายใจไม่ออก รีบจูงมือลูกเมียเดินผ่านร้านค้าที่มีผู้คนหนาตา...แว่วเสียงตาต้อมร้องบอกพลางโบกมือให้ความว่างเปล่านั้นเป็นครั้งสุดท้าย

"ไปก่อนนะ หนังฉายเมื่อไหร่จะไปดู"

ผมเชื่อว่าตาต้อมมองเห็นภาพนั้นจริงๆ โดยที่พ่อแม่มองไม่เห็นอะไรเลย แต่นึกถึงผู้ไม่มีร่างกายกำลังจ้องมองมาที่เราแล้ว...ขนหัวลุกครับ!


 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 23:02:44
ล่าวิญญาณ
 
"ทิพย์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากปีศาจใต้น้ำ

สมัยเด็กวัยรุ่นดิฉันเคยอยู่บ้านสวนริมคลองบางซื่อ ฝั่งตรงข้ามกับกรมปตอ. หรือปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานนั่นแหละค่ะ เคยพบกับเรื่องที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต...แม้จะผ่านมาสามสิบกว่าปีแล้วแต่ก็ยังจดจำได้ไม่รู้ลืมเลือน

ริมฝั่งคลองที่ไม่ไกลจากแม่น้ำเจ้าพระยา ต้นไม้ใหญ่น้อยร่มรื่นเพราะด้านหลังเป็นสวนรกทึบที่ทะลุไปออกทางวัดประดู่ฯ ส่วนด้านหน้าจะมีเรือแพสัญจรไปมา ส่วนมากจะเป็นเรือขายอาหาร เช่น ก๋วยเตี๋ยว, กระเพาะปลา, หอยทอด รวมทั้งขนมหวานพวกปลากริมไข่เต่าและขนมถาดต่างๆ

ที่ติดหูติดตามากก็คือเรือเอี้ยมจุ๊นที่บรรทุกส่าเหล้าเข้ามาในคลอง... เลยไปทางสะพานสูงแล้วปล่อยทิ้งน้ำ เหม็นฉุนๆ แสบจมูกไปนานเชียวค่ะ

หน้าแล้งน้ำแทบจะแห้งขอด ขนาดลงไปสุ่มปลา ช้อนปลา และฟันปลากันได้สบาย ส่วนหน้าน้ำเป็นตอนที่น่าสนุกมากๆ เพราะน้ำเหนือจะไหลบ่าขึ้นมาถึงศาลาท่าน้ำ บางปีถึงกับท่วมถึงใต้ถุนเรือน

กอผักตบชวาที่เราเรียกว่ากอสวะ จะลอยฟ่องขึ้นลงแทบไม่ขาดสาย มีงูเงี้ยวเขี้ยวขอเกาะมาด้วยเกือบทุกกอ ตอนเย็นๆ พวกทหารฝั่งตรงข้ามลงไปดำน้ำงมกุ้งตัวโตๆ ใกล้โคนเสาติดมือขึ้นมาอย่างง่ายดาย

เหตุการณ์ขนหัวลุกเกิดขึ้นตอนหน้าน้ำนั่นเอง!

ดิฉันมีเพื่อนสาวรุ่นเดียวกัน 2-3 คน ท่าน้ำไม่ไกลกันนัก ตอนเย็นๆ เราก็เดินไปหากันบ้างแล้วหลบผู้ใหญ่กระโดดน้ำเล่น แต่ส่วนมากมักจะลงท่าใครท่ามัน แล้วว่ายน้ำไปหากัน...เล่นไล่จับบ้าง หมาเน่าลอยน้ำบ้าง บางวันสนุกมากจนส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดอย่างลืมตัว ไม่ช้าก็มีผู้ใหญ่ออกมาตะโกนให้ขึ้นจากน้ำ

เพื่อนที่อยู่ใกล้กันมากชื่อเดือน แม่ชื่อป้าดาวเป็นม่ายสามีตายเพราะพิษสุราเมื่อหลายปีก่อน...ป้าดาวค่อนข้างเข้มงวดกับลูกสาว แต่เดือนก็มักหาโอกาสหลบแม่มาเล่นกับดิฉันที่บ้านเสมอๆ โดยเฉพาะพนักท่าน้ำใต้ซุ้มเฟื่องฟ้าจะเป็นที่โปรดของเรามากที่สุด

วันหนึ่งก็เกิดเรื่องตื่นเต้น เมื่อมีเสียงโจษจันกันว่าพบศพผู้หญิงลอยมากับกอสวะจากสะพานสูง ชาวบ้านแห่กันมาดูจนถึงวัดแก้วฟ้าฯ จึงนำศพขึ้นมาได้!

ตอนแรกๆ พวกเราก็นึกสยองเหมือนกัน แต่เวลาผ่านไปไม่กี่วันก็ลืม...จนกระทั่งเย็นหนึ่งดิฉันก็เจอเรื่องขนหัวลุกเข้าอย่างจัง

วันนั้น พวกเราเล่นน้ำกันค่อนข้างนาน ตั้งแต่เย็นจนถึงใกล้ค่ำ...มีคราบดำๆ ติดอยู่ที่ติ่งหู ต่างคนต่างมองแล้วก็หัวเราะให้กัน เดือนบอกว่าเล่นน้ำจนชักหนาวแล้ว กลัวแม่โผล่มาด่าอีกด้วยเลยว่ายน้ำจากท่าดิฉันเลาะฝั่งไปยังท่าน้ำบ้านของเธอ

อย่าว่าแต่เดือนเลยค่ะ ดิฉันเองก็รู้สึกหนาวยะเยือกเหมือนกัน เลยขึ้นบันไดมาฟอกสบู่ตามหน้าตาและเนื้อตัว ก่อนจะลงไปทำความสะอาดเป็นครั้งสุดท้าย...เพียงแต่ก้าวพ้นน้ำขึ้นมาถึงสะเอวก็ต้องชะงักงัน...

อะไรบางอย่างจับขาข้างหนึ่งเอาไว้แน่น! ดิฉันตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสาป ตกตะลึงจนแทบลืมหายใจ ทำอะไรไม่ถูก รู้สึกทั้งตกใจ ขยะแขยงและหวาดกลัวสุดขีด

คุณพระช่วย! สิ่งนั้นคล้ายกับมือเย็นเฉียบที่กำข้อเท้าเอาไว้ และฉุดเต็มแรงราวกับจะดึงออกไปสู่กลางคลอง พร้อมๆ กับกระชากจนเท้าหลุดจากขั้นบันได เสียหลักจมดิ่งลงไปใต้น้ำ อารามตกใจทำให้ใช้เท้าที่เป็นอิสระถีบน้ำหรืออะไรที่ฉุดขาอยู่...ทะลึ่งพรวดขึ้นมาเหนือน้ำจนได้

"ช่วยด้วย! ช่วยด้วย..." เสียงมีเท่าไหร่ตะเบ็งออกมาหมด แม้ว่าจะสำลักน้ำสลับไปจนเสียงขาดเป็นห่วงๆ ทั้งดิ้นรนและตะเกียกตะกาย สองมือยึดขั้นบันไดเป็นที่พึ่ง สองเท้าก็ทั้งสะบัดทั้งถีบ น้ำตาไหลพรากอาบหน้า หัวใจเต้นโครมครามเหมือนจะพังออกมานอกอก

พ่อแม่วิ่งเข้ามาเรียกชื่อ ดิฉันก็ได้แต่ร้องช่วยด้วยๆ พลางต่อสู้ดิ้นรนกับมือนรกจกเปรตจนหลุดออกไป...ตะกายขึ้นบันไดโดยไม่แยแสกับผ้าผ่อนหลุดลุ่ย ร้องไห้โฮโผเข้ากอดแม่ด้วยความหวาดกลัวแทบจะสิ้นใจ!

เดือนรู้ข่าวก็วิ่งมาหาหน้าตาตื่น...คราวนี้ก็เล่ากันไปปากต่อปากเหมือนไฟลามทุ่ง! ชาวบ้านหาว่าดิฉันปั้นเรื่องขึ้นมาเองบ้าง หรือไม่ก็โดนเชือกโดนสาหร่ายบ้าง...ส่วนหนึ่งสันนิษฐานว่าเป็นงูที่ติดมากับกอสวะเลื้อยพันขา แต่อารามตกใจก็คิดไปเองว่าเป็นมือผี...

ดิฉันขวัญหนีจนเป็นไข้ไปหลายวัน ครั้นค่อยยังชั่วก็ได้ข่าวร้าย.. .เดือนจมน้ำตายโดยไม่มีใครรู้สาเหตุ ช่วยกันงมหาอยู่นานจนพบศพขัดอยู่ที่บันไดขั้นล่างสุดนั่นเอง...ไม่ต้องสงสัยหรอกค่ะว่าปีศาจใต้น้ำมันมาล่าวิญญาณไปอยู่ด้วยจนได้

ตั้งแต่นั้นมาดิฉันก็เลิกลงไปเล่นน้ำหรือแม้แต่อาบน้ำคลอง...ตักมาใส่โอ่งอาบบนบกปลอดภัยกว่าค่ะ!

 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 23:08:28
หอพักสยองขวัญ

หนูเป็นคนเมืองชลบุรีค่ะ กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.3 แม่ไปทำงานเป็นแม่ครัวโรงแรมสัตหีบ ต้องเข้าทำงานแต่เช้า กว่าจะเสร็จภาระหน้าที่บางส่วนเข้าสองยามกว่าๆ ฉะนั้นแม่จึงเช่าห้องพักขอหอที่อยู่ใกล้ๆที่ทำงานนั่นเอง

เวลาวันหยุดศุกร์-เสาร์หรือปิดเทอม หนูก็จะไปอยู่กับแม่เพราะรักและคิดถึงมากๆเป็นห่วงด้วยค่ะ หอพักที่แม่อยู่ดูกว้างขวาง สะอาดสะอ้านและน่าอยู่ไม่แพ้รีสอร์ต มันเป็นตึก 3 ชั้นมีดานฟ้า มีระเบียงด้านหน้าเป็นทางเดินตลอดอาคาร ทุกๆห้องจะเรียงรายกันไป เปิดหน้าต่างด้านหน้ากับด้านหลังให้ลมพัดได้ตลอด ไม่อึกอัด หลังห้องมีราวตากผ้าด้วย

ห้องทั้งหมดมี 30 ห้อง คนที่มาเช่ามีทั้งฝรั่ง ไทย ญี่ปุ่น ผู้หญิง ผู้ชาย และเกย์ แม่อยู่ชั้นสาม ไม่มีลิฟต์เราขึ้น-ลงบันไดได้สบายมาก ได้ออกกำลังดีค่ะ ถัดจากแม่ไปสี่ห้อง บนชั้นสามนี้มีเกย์มาเช่าอยู่ ชื่อพี่หมู เขาสนิทสนมกับพวกเราพอสมควร พี่หมูเป็นเกย์ที่ดูมีมาดแมน ทำงานธนาคาร ใส่เชิ้ต ผูกไท ร่างสูงใหญ่ ท้วมนิดๆ หน้าเหมือนลูกครึ่งฝรั่ง ตาโต จมูกโด่ง ผมหยักศก จัดว่าหล่อเอาการ แต่ถ้ามองนานๆ เขาเป็นคนหน้าหวาน ปากหวาน อารมณืขัน น่ารักน่าคบมากเชียวค่ะ

แม่บอกว่าเสียอย่างเดียวที่พี่หมูเป็นนักเที่ยวกลางคืน และมักมีผู้ชายติดไม้ติดมือมาค้างด้วย แม่เคยเตือนให้ระวังพวกไม่มีหัวนอนปลายเท้าไว้หน่อย ไม่ใช่เห็นหน้าตาดีๆ คุยสนุกก็ถูกใจไว้ใจ พามาห้อง มันอันตรายรู้ไหม? พี่หมูฟังยิ้มๆเพราะรู้ว่าแม่หวังดี แต่เขาไม่เชื่อหรอกค่ะ กระทั่งเกิดเรื่องร้ายกาจขึ้นมาจนได้ พี่หมูหานหน้าไปสามสี่วัน ครั้งสุดท้าย แม่เห็นเค้ากลับจากที่ทำงานราวตีหนึ่ง พี่หมูพาผู้ชายหน้าตา ตี๋ๆ ผอมๆ หน้าเสี้ยมมาด้วย แม่ยังมองอย่างเป็นห่วง แต่ต่างคยต่างเข้าห้องของตัวไป

สี่วันต่อมา ถึงไม่เห็นหน้ากันก็ไม่นึกอะไร เพราะคิดว่าพี่หมูไป-กลับไม่ตรงกับเวลาของแม่ ซึ่งก็เป็นปกตินะค่ะ แต่คนทั้งหอได้กลิ่นเหมือนปลาเค็มเน่าโชยออกมา เมื่อช่วยกันค้นหาก็มาเจอว่า ต้นตออยู่ที่ห้องพี่หมูนี่เอง พองัดเข้าไปนะค่ะปรากฏว่าเห็นภาพสยดสยองมากเลย แม่ไม่เห็นหรอกค่ะเพราะไปทำงาน แต่เพื่อนชาวหอเล่าว่าพี่หมูถูกแทงจนพรุน ขึ้นอืดตัวพอง ตาถลนเหมือนลูกปิงปองเละๆ ลิ้นจุกปาก น้ำเลือดกลายเป็นน้ำเน่าสีดำๆ ปนกับน้ำเหลืองออกมาเต็มห้อง ที่นอนงี้เปียกชุ่มและกลายเป็นสีดำ กลิ่นเหม็นรายกาจที่สุด

วันรุ่งขึ้น ผู้เช่ากว่าครึ่งบอกอำลาเพราะกลัวผีค่ะ! ชั้นสามแทบไม่มีคนอยู่ ห้องสิบห้องเปิดแน่บไปซะหก เหลือแม่กับฝรั่งและครูสอนเต้นรำ รวมสามห้องเท่านั้นเอง หนูกลัวบอกให้แม่ย้าย แม้ก็ทนอยู่เกือบเดือนจึงย้ายมาอยู่ห้องชั้นล่างสุด หนูถามแม่ว่าเจอผีไหม? แม่บอกว่ามีอะไรแปลกๆเหมือนกัน เช่น เสียงคนเดิน เสียงเปิดปิดประตูเหมือนพี่หมูยังอยู่ที่นี่ มีคนบอกว่าเห็นเขายืนเกาะระเบียง แต่แม่ไม่ค่อยกลัว..ความเวทนามีมากกว่าค่ะ

คนตายที่น้ำเลือดน้ำเหลืองไหลเยิ้มท่วมห้องนี่ทำความสะอากยากมากเลย แม่เล่าว่าเขาขนพรม ที่นอนและทุกอย่างออกไป เหม็นมากๆ ส่วนคราบเลือดกับน้ำเหลืองบนพื้นห้อง เขาต้องเอาสแลงมาแซะ มันหลุดออกมาเป็นแผ่นๆ กรอบๆ บางๆ น่ากลัวจัง แต่น้ำเหลืองที่ซึมลงไปในเนื้อปูนใต้พรม เปิดเครื่องปรับอากาศมีแต่กลิ่นเน่ากระจายคลุงไปหมด ยิ่งเจ้าของปิดห้องยิ่งเหม็น พอเปิดก็เหม็นอีก ไม่รู้จะทำยังไงนะคะ พวกญาติๆมาขนของพี่หมู ทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่กลิ่นศพ ทั้งน่ากลัว น่าขยะแขยง ข้อสำคัญคือน่าขนหัวลุก คนที่น่าสงสารที่สุดคือเจ้าของหอพัก เป็นใครก็แทบร้องไห้ทั้งนั้นแหละ

ทุกวันนี้ เวลาหยุดเรียนสุดสัปดาห์หนูยังไปอยู่กับแม่ บอกตรงๆว่าหนูกลัวมากค่ะ กลัวที่จะเห็นพี่หมูเดินผ่านไปขึ้นบันได กลัวเงยหน้าไปพี่หมูเกาะระเบียง หนูไม่กล้านั่งเล่นนอนเล่นดูทีวีรอแม่อยู่คนเดียวในห้องหรอกค่ะ ติดแม่ไปทำงานไป-กลับด้วย ถ้าง่วงๆมากต้องนอนรอ หนูอยากให้แม่ย้ายห้องพักไปอยู่ที่อื่นจังเลย แต่แม่บอกว่าสงสารเจ้าของหอ ที่สำคัญแม่สงสารพี่หมูอยู่เสมอ แปลกนะค่ะ ที่คนอื่นๆเขายังได้กลิ่นเน่านั้นอยู่ บางคนถึงกับย้ายหนีเพราะทนไม่ได้ คนที่มาเช่าห้องอยู่ใหม่ๆยังไม่เคยรู้เรื่องน่ากลัวมาก่อน ก็เคยบ่นกับใครๆเหมือนว่ามีกลิ่นเหม็นแปลกๆ น่าขนลุก คนที่อยู่มาก่อนก็อดเล่าไม่ได้ว่าเคยมีเรื่องสยองขวัญอะไรเกิดขึ้นบ้าง

น่าแปลกอยู่อย่าง ตรงที่ใครๆก็ได้กลิ่นน้ำเลือดน้ำเหลืองน่ากลัวกันทุกคน แต่หนูกับแม่ไม่เคยได้กลิ่นนั้นมารบกวนเลยค่ะ เพราะพี่หมูรักเราหรือเปล่าค่ะเนี่ย?สี่วันต่อมา ถึงไม่เห็นหน้ากันก็ไม่นึกอะไร



หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 23:12:59
เลียบชายหาดที่สัตหีบ/วินิจ รังผึ้ง
Source - ผู้จัดการออนไลน์ (Th)

          ตลอดชายหาดอันกว้างใหญ่ไพศาลของอ่าวสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในความดูแลของกองทัพเรือ มีหาดทรายที่สวยงามเป็นธรรมชาติอยู่หลายหาดด้วยกัน แต่คนทั่วไปส่วนใหญ่จะไม่รู้จัก ไม่ค่อยคุ้นเคย ทั้งๆที่พื้นที่ดังกล่าว ทางหน่วยงานต่างๆของกองทัพเรือ เขาเปิดบริการให้ประชาชนเข้าไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจได้ ซึ่งมีชายหาดที่สวยงามหลายหาดด้วยกันเช่นหาดดงตาล หาดเตยงาม หาดนางรำและหาดทรายแก้ว เป็นต้น ชายหาดต่างๆล้วนเงียบสงบ มีความเป็นธรรมชาติ สะอาดและมีความปลอดภัย เพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวในเขตทหาร แต่ละหาดมีร้านอาหาร ที่พัก ราคาไม่แพงไว้บริการ จึงมีความเหมาะสมอย่างยิ่งกับการท่องเที่ยวแบบครอบครัว เพราะสะดวก ปลอดภัย ค่าใช้จ่ายไม่สูง และอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ คอลัมน์ถนนคนเดินทางฉบับนี้ผมจึงขอพาท่านผู้อ่านเข้าไปท่องเที่ยวในเขตทหารเรือที่สัตหีบกันครับ
          ชายหาดแห่งแรกที่อยากจะแนะนำก็คือหาดดงตาล ซึ่งการเดินทางไปก็ไม่ยากหากขับรถจากพัทยา ตรงมาตามถนนสุขุมวิท ผ่านนาจอมเทียน บางเสร่ มาจนถึงทางเลี้ยวขวาเข้าตลาดสัตหีบ ตรงเข้ามาถึงตลาดสัตหีบ แวะไหว้พระกันที่วัดหลวงพ่ออี๋ วัดดังของสัตหีบที่ผู้คนนิยมมากราบไหว้บนบานขอให้มีบุตรซึ่งหลายคนบอกว่าศักดิ์สิทธิ์นัก จากตลาดสัตหีบเลี้ยวซ้ายตามถนนเลียบชายทะเลมาอีกราว 1 กิโลเมตรก็จะถึงหาดดงตาล แจ้งกับเจ้าหน้าที่ยามรักษาการณ์ที่ป้อมยามว่าจะเข้าไปเที่ยวหาดดงตาล เจ้าหน้าที่จะให้แลกบัตรสำหรับนำรถผ่านเข้าไป หาดดงตาลนี้เป็นศูนย์รวมของกีฬาทางน้ำเช่นเรือคายัก เรือใบ วินด์เซิร์ฟ ซึ่งมีทั้งบริการให้เช่าอุปกรณ์สำหรับนักเล่น และบริการฝึกสอน ชายหาดมีความยาวราว 1 กิโลเมตรเศษ มีทิวสนร่มรื่น เหมาะสำหรับครอบครัวมาปูเสื่อนำอาหารการกินมาปิกนิค พักผ่อน เล่นน้ำ เล่นกีฬาทางน้ำ หาดดงตาลแห่งนี้ยังมีบริการให้เด็กๆได้มีกิจกรรมระบายสี โดยมีภาพการ์ตูนลายเส้นบนเฟรมผ้าใบ พร้อมสีพู่กันให้บริการ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ได้ลงสีกันเป็นที่เพลิดเพลินและสามารถนำกลับบ้านเป็นที่ระลึก ค่าบริการเพียงภาพละ 20 บาทเท่านั้นเอง ส่วนผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุเขาก็มีบริการนวดตัว นวดฝ่าเท้า ในราคาที่ย่อมเยา บริเวณหาดดงตาลนี้มีที่พักของอาคารรับรองสวัสดิการสัตหีบ และอาคารศูนย์สมุทรกีฬา ให้บริการห้องพักมาตรฐานโรงแรมในราคาประหยัดอีกด้วย ติดต่อสอบถามที่พักโทรศัพท์ 0 3843 8593 หรือ 0 2466 1180 ต่อ 75090 หรือ 75091
          หากขับรถเลยหาดดงตาลมาจนสุดทาง แลกบัตรเข้าหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ซึ่งจะเป็นเส้นทางต่อไปเยี่ยมชมศูนย์อนุรักษ์เต่าทะเล แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าจะเข้าไปชมศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล เจ้าหน้าที่จะให้แลกบัตรผ่านอีกใบติดไว้หน้ารถ พอแลกบัตร ขับรถผ่านป้อมเข้ามาราว 100 เมตรจะมีทางแยกขวามือเข้าไปยังสโมสรเทียนทะเล ซึ่งมีชายหาดเทียนทะเล หาดทรายเล็กๆเงียบสงบสามารถเล่นน้ำและพักผ่อนใต้ทิวสนอันร่มรื่น ยามเย็นมีจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยงาม หาดเทียนทะเลแห่งนี้มีบ้านพักและร้านอาหารทะเลสดๆไว้บริการ จากหาดเทียนทะเลขับรถตรงไปจะมีป้ายบอกทางไปยังศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเลเป็นระยะๆ ศูนย์แห่งนี้เป็นสถานที่ๆ คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรจะพลาดที่จะพาเด็กๆไปเที่ยวชม เพราะมีบ่ออนุบาลเต่าทะเลมากมายหลายขนาดตั้งแต่ตัวเล็กๆน่ารักที่เพิ่งฟักออกเป็นตัวไปจนถึงตัวขนาดยักษ์เลยทีเดียว
          ในอดีตการดำเนินงานด้านอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเลของกองทัพเรือนั้นได้เริ่มงานมาตั้งแต่ปี 2493 โดยได้ดำเนินงานเฉพาะเรื่องการเพาะไข่เต่ารวมถึงการอนุบาลลูกเต่าทะเลเพื่อปล่อยคืนสู่ธรรมชาติที่บริเวณ เกาะคราม อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ต่อมา กองทัพเรือได้ยกเลิกคณะอนุกรรมการอนุรักษ์ชุดต่าง ๆ แล้วนำงานด้านการอนุรักษ์ทั้งหมดที่กองทัพเรือเกี่ยวข้องไว้เป็นสายงานปรกติและตั้งเป็นหน่วยงานอำนวยการในด้านการอนุรักษ์เต่าทะเลขึ้นโดยตรง มีหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง เป็นผู้ดำเนินการปฏิบัติตามแผนในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมทางทะเลภายใต้นโยบายการรักษาความมั่นคงแห่งชาติทางทะเล
          วัตถุประสงค์ของศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล เพื่อให้เป็นแหล่งอนุบาลลูกเต่าทะเลที่ถูกต้องตามหลักวิชาการและสามารถดำเนินการปล่อยเต่าทะเลที่ได้ทำการอนุบาลให้กลับคืนสู่ท้องทะเล รวมทั้งเป็นแหล่งศึกษาวิจัยข้อมูลในการอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเลที่ดีต่อไปให้เป็นแหล่งเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจและกระตุ้นให้มีการส่งเสริมการอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ซึ่งจะเป็นผลในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่ต่อเนื่องกันในด้านต่าง ๆ ตามมา นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวชมสามารถเข้าชมนิทรรศการในอาคารรูปเต่าทะเล ซึ่งมีการจัดแสดงการขึ้นวางไข่ของเต่าทะเล จากนั้นจึงเข้าชมเต่าทะเลจริงๆในบ่ออนุบาล ซึ่งมีเต่าทะเลหลายพันธุ์หลายขนาดให้ชมกัน โดยเข้าชมฟรี แต่หากใคร่จะบริจาคเงินเพื่อร่วมโครงการอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเลก็สามารถหยอดเงินได้ที่ตู้รับบริจาค หรือร่วมกันซื้อของที่ระลึกเช่นตุ๊กตารูปเต่าทะเล พวงกุญแจรูปเต่าทะเลที่มีหลายแบบให้เลือก ศูนย์อนุรักษ์พันธ์เต่าทะเล เปิดให้ชมทุกวันตั้งแต่เวลา 08.00 น.- 16.00 น.
          จากศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางต่อมาเที่ยวชมเรือหลวงจักรีนฤเบศร นับเป็นเรือหลวงขนาดใหญ่ที่ประชาชนคนไทยภาคภูมิใจ ภารกิจในยามสงบนั้นเรือลำนี้ทำหน้าที่คอยปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติในท้องทะเลได้แก่เส้นทางคมนาคม และทรัพยากรธรรมชาติของชาติ และช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทะเลสามารถค้นหาและใช้เป็นฐานปฏิบัติการลอยน้ำให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ได้ และยังสามารถใช้เป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่คอยช่วยเหลือในกรณีการประสบภัยพิบัติทางทะเลได้อีกด้วย อีกทั้งสามารถอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ด้วยเฮลิคอปเตอร์ประจำเรือ ส่วนในยามสงคราม เรือหลวงจักรีนฤเบศรก็จะมีหน้าที่ควบคุมและบัญชาการกองเรือรบในทะเล ใช้เป็นเรือบรรทุกเครื่องบิน และเฮลิคอปเตอร์ มีขีดความสามารถในการปราบปรามเรือดำน้ำและสนับสนุนการปฏิบัติการทางทหารอีกด้วย
          ลักษณะทั่วไปของเรือ มีความยาวตลอดลำ 182.6 เมตรหรือประมาณสนามฟุตบอล 2 สนามต่อกัน กินน้ำลึกที่สูงสุด 6.12 เมตร ระวางขับน้ำสูงสุด 11,485.5 เมตริกตัน เครื่องยนต์ดีเซล MTU จำนวน 2 เครื่อง ๆ ละ 5,516 แรงม้า เครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบ 2 เครื่อง ๆ ละ 22,117 แรงม้า ความเร็วสูงสุดที่ 48 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง ความเร็วเดินทาง 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อากาศยานประจำเรืออันได้แก่เครื่องบิน ขึ้น ? ลง แนวดิ่ง แบบ AV-8S (SEA HARRIER) จำนวน 9 เครื่อง เฮลิคอปเตอร์แบบ S-70B-7 (SEA HAWK) จำนวน 6 เครื่อง กำลังพลประจำเรือ 601 นาย
          การเยี่ยมชมเรือหลวงจักรีนฤเบศร สามารถขึ้นเยี่ยมชมฟรี ติดต่อสอบถามรายละเอียดต่าง ๆ ได้ที่ เบอร์โทร ๐ ๒๔๖๖ ๑๑๘๐ ต่อ ๐๖๕-๑๓๗๑ เพราะเรืออาจมีภารกิจในพื้นที่ต่างๆ หรือกำลังอยู่ในช่วงการออกฝึกของกองเรือ ชมเรือหลวงจักรีนฤเบศรกันแล้วหากยังมีเวลาเหลือ ก็อย่าลืมแวะเข้าไปเที่ยวชมหาดนางรำ ซึ่งเป็นหาดทรายที่อยู่ติดกับทางเข้าท่าเรือน้ำลึกสัตหีบ จุดที่นักท่องเที่ยวจะเข้าไปเยี่ยมชมเรือหลวงจักรีนฤเบศรนั่นเอง ซึ่งเป็นหาดที่มีทิวสนร่มรื่นตลอดแนวชายหาด มีร้านอาหารของสโมสรให้บริการ นอกจากนี้บริเวณที่จอดรถยังมีร้านอาหารเล็ก ๆ เรียงกันเป็นสัดส่วน มีอาหารนา ๆ ชนิดให้เลือกสรรกันอย่างหลากหลายอีกด้วย ผู้ที่ต้องการที่พักค้างคืน ก็มีบริการเต็นท์ให้เช่าในราคาย่อมเยาอีกด้วย


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 23:16:11
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ที่เพิ่งจะผ่านมาสด ๆ ร้อน ๆ นี่เอง
อยากจะเล่าให้เป็นอุทาหรณ์ เตือนเพื่อน ๆ ที่ขับรถเอง
โดยใช้เส้นทาง เขาไม้แก้ว ทะลุผ่านสัตหีบ (สามารถแยกไประยองได้)
เส้นทางนี้เกือบทำให้ปูและพี่อุ๊ด เป็นอะไรที่อันตรายได้มากมายเลยทีเดียว
เรื่องมีอยู่ว่า...................
เมื่อวันเสาร์ที่ 11 พอเลิกงาน 5 โมงเย็น ปูกับพี่อุ๊ด
ก็รีบขับรถไปหาพ่อกับแม่พี่อุ๊ด ที่ สัตหีบ (ชลบุรี) ทันที
เราสองคนขับไปเส้นมอเตอร์เวย์ จนกระทั่งเกือบถึง
ทางแยกที่ป้ายจะบอกว่า ตรงไปพัทยา เลี้ยวซ้ายไประยอง (เขาไม้แก้ว)
ตอนนั้นเห็นว่าจะ 4 ทุ่มแล้ว ถ้าเราไปเส้นพัทยา ก็กลัวว่ารถจะติด และนานถึง
จึงเลี่ยงไปเส้นระยอง (เขาไม้แก้ว) ซึ่งสามารถทะลุไปถึง กม. 10 ( รพ.สิริกิต์ )
เลี้ยวขวาอีกนิด ก็ถึงบ้านพ่อกับแม่...........
ขับมาเรื่อย ๆ (ถ้าเพื่อน ๆ เช่น จัน แม่แหม่ม เปิ้ล แม่หน่อย เพื่อน ๆ ที่อยู่ระยอง)
จะรู้ว่าเส้นทางนี้เปลี่ยวมาก และรถยนต์วิ่งสวนทางกัน.............
ขณะนั้นเกือบ 4 ทุ่ม รถเริ่มไม่ค่อยมีวิ่ง นาน ๆ จะขับสวนทางกันสักคัน
ปูกับพี่อุ๊ดขับมาเกือบจะถึงทางเข้าด้านหลังวัดชีจรรย์
ระหว่างทางปูสังเกตุเห็นขอนไม้ วางพาดไหล่ทางเยอะมากกกกกกกก
จนเอ่ยปากคุยกับพี่อุ๊ดว่า ทำไมขอนไม้เยอะจังเน๊อะ
พี่อุ๊ดก็บอกว่าสงสัยฝนตกลมแรง พากิ่งไม้หักมั้ง
แต่ปูดูแล้ว มันไม่ใช่กิ่งไม้หัก แต่เป็นขอนไม้ขนาดย่อม
ที่วางพาดไหล่ทาง ประมาณว่าจะให้รถที่วิ่งมาหักหลบอย่างนั้นเลย
แล้ว.............ก็มองเห็นเห็นรถคันหนึ่ง..............
กำลังจะวิ่งสวนทางรถปูไป ..................แต่แล้วจู่ ๆ ..................
รถยนต์ ( โฟวิวสีน้ำเงิน ) ก็ขับปาดหน้า ทำให้รถปูต้องเหยียบเบรคกระทันหัน
(ถ้าไม่เบรคอย่างเร็ว ต้องชนกันแน่ ๆ ) ตอนนั้นตกใจมาก ....หัวทิ่มเลยอ่ะ.....
รถโฟวิว ห่างกับรถปูประมาณ 6-7 ก้าว
คิดกันว่า สงสัยรถคันนั้นจะเลี้ยวเข้าซอย แต่เอ๊ะ มันไม่มีซอย..............
คิดกันอีกว่า รถคันนั้นจะเลี้ยวรถกลับ แต่เอ๊ะ ทำไมมันจอดนานจัง..............
เวลาผ่านไปประมาณ 30 วินาที ( มันนานนะ ถ้าเขาจะเลี้ยวรถกลับ )
แต่รถคันนั้นก็ไม่ยอมทำอะไรสักที นิ่งอยู่อย่างนั้น...................
สักพัก รถคันนั้นดับไฟหน้ารถ.................
ปูกับพี่อุ๊ด ก็รู้เลยว่ามีอะไรไม่ดีแน่ ๆ รีบเช็ค ว่ารถล็อครึยัง
เปิดไฟสูงใส่มัน แล้วพี่อุ๊ดก็ รีบเอามีดข้างเบาะ มาให้ปูถือไว้............ส่วนพี่อุ๊ดเอง
รีบหันไปคว้าปืนหลังเบาะ ( เวลาต้องการใช้มัน ทำไมมันหาไม่เจอสักที ถึงหาเจอ ก็ยังไม่ได้ใส่ลูก....ฮ่วย... )
ตอนนั้น เวลานั้น เชื่อมั้ยเพื่อน ๆ ไม่มีรถผ่านมาสักคันเลย...........ปูกลัวมากกกกกกก
มองดูพี่อุ๊ดเอง ก็คงไม่ต่างจากปู........ปูมองที่รถมันตลอด แต่เหมือนกับว่า
มันดูเชิงเรา คือมันเองก็ยังไม่ลงจากรถ คือต่างคนต่างจอดอย่างนั้น
รถปูจะถอยหลังก็ไม่ได้ เพราะมีขอนไม้พาดอยู่เยอะมากกกก จะเดินหน้าก็ไม่ได้
เพราะคงไม่พ้นรถมัน กลัวว่ามันจะถอยชนด้วย...........
มือปูก็คลำหาโทรศัพท์ หาไม่เจอ.............กดไม่ถูก.........
สักพัก ................. มันเปิดประตูรถออกมา เป็นผู้ชาย 2 คน
แต่คนขับยังอยู่ในรถ................... ไม่ปิดหน้า ไม่ใสหมวก
เป็นวัยกลางคน.............
หัวใจปูแทบอยู่ตาตุ่ม.........กลัวมากกกกกกกกกกกก รู้ว่าตัวเองเสียงสั่นนน
บอกพี่อุ๊ดว่า พี่อุ๊ดทำไงดี มันจะทำอะไร ปูกลัว............(สติไม่อยู่กับตัวแล้ว)
พี่อุ๊ดบอกปูว่าใจเย็น ๆ ปู ใจเย็น ๆ ให้ปูข้ามไปอยู่เบาะหลัง
แล้วถ้ามันทุกกระจกรถ ให้ปูเอามีดแทงมันเลยนะ
( ถ้าเป็นเพื่อน ๆ จะก้าวไปหลังรถกันมั้ยอ่ะ........แต่ปูไม่ไป ตอนนั้นคิดว่า อยู่ด้วยกัน เป็นอะไรก็เป็นด้วยกัน )
แล้วพี่อุ๊ดก็บีบแตรรถ ให้มันเสียงดัง บีบแบบต่อเนื่อง เท่าที่จะบีบได้ ให้เสียงดังเข้าไว้
ส่วนปูเอง ก็จับมีดแน่น หัวสมองคิดไรไม่ออก รู้แค่ว่าปูจ้องมันอยู่ ( ทำได้แค่นั้น )
พอผู้ชายคนที่ 2 ลงจากรถ มันก็เดิมมาหาผู้ชายคนแรก แล้วก็เดินมาทางรถปู
มันเดินมาจวนจะถึงอยู่แล้ว พี่อุ๊ดก็บีบแตรเสียงดัง.................
.................. เหมือนเสด็จเตี่ย ( กรมหลวงชุมพร) ช่วยปูกับพี่อุ๊ดไว้ (หน้ารถห้อยเสด็จเตี่ย)
มีรถกำลังวิ่งมาจากด้านหน้า 1 คัน และรถวิ่งมาข้างหลัง 2 คัน
มันคงเห็นท่าไม่ดี ก็รีบวิ่งหันหลังกลับขึ้นรถมัน แล้วรีบเลี้ยวออกไปทันที
รถคันที่มาด้านหลัง 2 คัน เขามาด้วยกัน จอดรถแล้วลงมาถามว่าเป็นอะไรรึเปล่า
เพราะเขาเห็นรถปูส่องไฟที่รถมัน นานแล้ว........... ( เขาบอกว่าเขาเป็นคนแถวนี้ )
และได้ยินเสียงแตรรถ เขาก็รีบออกมาดูกัน และคิดกันว่าต้องมีอะไรแน่ ๆ
สักพักเสียงโทรศัพท์พี่อุ๊ดก็ดังขึ้น แม่พี่อุ๊ดโทรมา ถามว่าถึงไหนแล้ว รู้สึกเป็นห่วงยังไงก็ไม่รู้.......
คุยกับคนที่ขับรถมา 2 คัน เขาเป็นลุงกับหลานกัน บอกกับปูว่า แถวนี้ปล้นกันเยอะมาก
พอดีว่ามาเฝ้าไร่ แล้วได้ยินเสียงรถเบรค เห็นไฟส่องรถ พร้อมกับเสียงแตรรถ
ก็เลยรีบพาหลานออกมา..............ถึงตอนนี้ปูเพิ่งจะร้องไห้ออ ก........น้ำตาทะลักออกมาเลย
ทั้งดีใจ ทั้งตกใจ...........ขอบคุณ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ลุงกับหลาน มาก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
เพราะถ้าเขาไม่มา ไม่รู้ว่าปูกับพี่อุ๊ดจะเจออะไรกันบ้าง...........ไม่กล้าคิด.. ......กลัวมากกกกก
ปู พี่อุ๊ด ลุง หลาน เราคงเคยทำบุญร่วมกันมา ถึงได้ต้องช่วยเหลือกันและกัน
ส่วนมัน.... ปูกับพี่อุ๊ด คงเกือบเคยทำกรรม ร่วมกัน ............ตอนนี้ ขออโหสิกรรมให้....ไม่จองเวร.....
ขออย่าได้เจอะเจอกันอีกเลย..............
.....................................
.....................................
เพื่อน ๆ ถ้าจำเป็นต้องไประยอง หรือสัตหีบ พยายามอย่าใช้เส้นทางนี้นะ
ให้ยอมเสียเวลาไปเส้นพัทยา เข้าสัตหีบ แล้วตรงไประยอง จะปลอดภัยกว่ามากเลย
ดีใจที่เราสองคนปลอดภัยกลับมา.............
ดีใจที่เราสองคนไม่เป็นอะไร............
ขอบคุณลุงกับหลาน......ขอบคุณมาก ๆ ๆ ......( ลืมถามชื่อซะอีก.......)
ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอบคุณเสด็จเตี่ย.......(เป็นที่พึ่งทางใจให้เราสองคน)
อโหสิให้ไอ้คนเลวนั่น...........( ชาติไหนอย่าได้เจอะเจอกันอีกเลย )
............... และดีใจ........ที่ได้กลับมาเล่าเรื่องนี้ให้เพ ื่อน ๆ ฟัง................


:::: บางครั้งสิ่งที่ทำให้เราเสียใจมากที่สุดในชีวิตไม่ใช่สิ่งที่เราสูญเสียหรือผิดหวัง แต่กลายเป็นความเสี่ยง ที่เราไม่กล้าเสี่ยง ถ้าคุณคิดว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้คุณมีความสุขมากจงมุ่งไปหามัน เพราะในจังหวะของชีวิตคนเรา เรามักจะไม่ผ่านมาบนถนนสายเดิมนี้อีก


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 23:19:56
พระกินเณร...จากวัดในอำเภอวิเศษชัยชาญ


ประสงค์ ลี้สุวรรณ เล่าเรื่องขนหัวลุกจากวัดในอำเภอวิเศษชัยชาญ

วันนี้ผมมีเรื่องสยองขวัญที่มีหลักฐานแน่นหนา ปรากฏชัดเจนมาเล่าสู่กันฟังครับ

ที่อำเภอวิเศษชัยชาญจะมีถนนสายสุพรรณบุรี - อ่างทอง ตัดผ่าน และตรงบริเวณฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน้อย จะมีถนนสายวิเศษฯ-ผักไห่ ตัดผ่านกันตรงสี่แยกไฟแดงนั้นเอง

ถ้าท่านมองไปทางโรงพยาบาลวิเศษชัยชาญ จะเห็นอุโบสถวัดสุนทราราม เด่นตระหง่านปะทะสายตาอยู่นั้น และถ้าท่านก้าวย่างเข้าไปในบริเวณวัด เดินผ่านอุโบสถหลังใหม่จะพบอุโบสถหลังเก่าที่มีรูปร่างแปลกประหลาดสุดๆ

จะแปลกอย่างไร โปรดพิจารณา...

ตัวพระอุโบสถเป็นรูปทรงโค้งสำเภา หน้าต่างโค้งมน หลังคาเป็นกระเบื้องกามู!

ที่แปลกกว่านั้นคือ หลังคาไม่มีช่อฟ้า ใบระกา แต่กลับมีรูปคนประนมมือ ส่วนพระประธานนั้นหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันตก

ใครๆ ที่พบเห็นต่างวิพากษ์วิจารณ์กันว่าเป็นเพราะฝีมือพม่าสร้าง และตรงนี้เองเป็นที่ก่อเหตุการณ์เขย่าขวัญชาวบ้านร้านช่องถึง 2 เหตุการณ์ด้วยกัน

กล่าวคือ ภายในมีพระทรมานกายรูปปั้นอยู่ บรรยากาศมืดสลัว ดูอึมครึม ทั้งน่าอึดอัดและน่าสะพรึงกล้ว น่าสยดสยองอย่างบอกไม่ถูก เชื่อได้ว่า ถ้าท่านเดินเข้าไปคนเดียวแล้วเห็นเข้าจังๆ มีหวังต้องถอยหลังมาตั้งหลักใหม่เป็นแน่แท้ หลายๆ คนบอกว่าพอก้าวเข้าไปก็ขนลุกซู่ซ่าทันที

....และยิ่งเมื่อได้รับฟังเรื่องราว "พระกินเณร" มาก่อนด้วยแล้ว ท่านอาจจะต้องถอยหลังหลายก้าวทีเดียวเชียว!

มีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาดังนี้...

เมื่อประมาณ 50 กว่าปีมาแล้ว มีสามเณรผู้หนึ่งชื่อ "เสมือน" ผู้มีอุปนิสัยซุกซนหาตัวจับยาก หลังจากฉันเพลแล้ว มีผู้พบเห็นว่า ได้แอบออกจากกุฏิเข้าไปในดงกระถินข้างวัดแต่ไม่มีใครทราบชัดเจนว่าเข้าไปทำ อะไรแน่

จนกระทั่งบ่ายก็แล้ว เย็นค่ำก็แล้ว ยังไม่กลับกุฏิเสียที ...พระภิกษุทุกรูปต่างใช้วิจารณญาณตัดสินว่า ถ้าโดยนิสัยของสามเณรเสมือนแล้ว น่ากลัวจะแอบสึก แล้วแล่นหนีไปไหนต่อไหนเป็นแน่นอน เพราะรูปการณ์มันเข้ากับอุปนิสัยมาก จึงได้พร้อมใจกับฟันธงเช่นนั้น

จากวันนั้นเป็นต้นมา ไม่มีผู้ใดทราบข่าวคราวอีกเลยว่าสามเณรเสมือนหายสาบสูญไปไหนกันแน่?

ต่อมา ท่านสมภารให้พระภิกษุและลูกศิษย์วัด ไปช่วยกันถากถางกระถินและพงไม้ที่รกเรื้อต่างๆ ให้เตียน เพื่อสะดวกแก่นัยน์ตาญาติโยมที่จะไป-มา ผ่านแถวนั้น...และแล้วก็เกิดเอะอะโวยวายกันขึ้น

เรื่องของเรื่องก็เพราะลูกศิษย์วัดคนหนึ่ง ได้พบเศษจีวรฉีกขาดตกอยู่ในดงกระถินจึงเรียกเพื่อนๆ ดู พระเณรที่อยู่ใกล้ๆ ก็เลยมามุงดูพร้อมกัน...ทุกคนต่างหันเหตีความว่า คงจะเป็นจีวรของสามเณรเสมือนแน่นอน!

ต่างก็เอะอะระความว่า....แล้วร่างกายหายไปไหนเสียเล่า?

เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงได้มีการแยกย้ายกันตรวจตราบริเวณรอบๆ พื้นที่ เด็กวัดกลุ่มหนึ่งได้ชักชวนกันเข้าไปในโบสถ์ (หลังเก่า) และเปิดประตูหน้าต่างดูว่าจะมีร่องรอยของสามเณรเสมือนเข้ามาหรือหาไม่...

พระกลุ่มหนึ่งก็เดินตามเข้าไปสมทบด้วย!

เมื่อแสงสว่างสาดส่องเข้าไป มองเห็นสภาพภายในโบสถ์ได้ถนัด เด็กวัดกลุ่มนั้นก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริดในบัดดล

นั่นคือ...มีรอยเลือดแห้งกรัง ติดอยู่กับพื้นบ้าง กับกองไม้ใกล้ๆ นั้นบ้าง...รอยเลือดหยดเป็นทาง ตรงดิ่งไปยังฐานพระในรูปทรงทรมานกายน่าสยอง

ครั้นเกาะกลุ่มกันเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบว่า...ที่ปากของพระทรมานกายมีเลือดสีแดงติดอยู่ เล่นเอาทั้งพระทั้งศิษย์วัดตกอกตกใจจนผงะหน้าไปตามๆ ต่างก็คิดเห็นเป็นอย่างเดียวกันว่า

"พระทรมานกายกินสามเณรเสมือนไปแล้ว!!"

จากปากสู่ปาก จากชุมชนสู่ชุมชน ข่าวลือแพร่หลาย...กระจายเป็นไฟลามทุ่ง ไม่ช้าก็มีผู้คนแห่แหนมาดูรอยเลือดที่ปากพระทรมานกาย แล้วก็เล่าลือกันตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน

เรื่องราวน่าสยองพลันกระหน่ำซ้ำเติม ทำให้ชาวบ้านล้วนหวาดกลัวจนขนหัวลุกไปตามๆ กัน

นั่นคือ...ไม่ทราบว่ามีมือดีที่ไหน หรือใครกันแน่ที่อุตริดอดเข้าไปในโบสถ์ คงจะมีเจตนาต้องการล้างอาถรรพณ์พระกินเณร จึงเอาตะปูตัวใหญ่ไปตอกปิดปากพระทรมานกาย...ปรากฏหลักฐานเห็นชัดมาจนทุก วันนี้!

ปัจจุบันก็ยังไม่มีใครเฉลยได้ว่า สามเณรเสมือนหายไปไหน เพราะสาบสูญโดยไร้ร่องรอยราวกับจากโลกนี้ไปโดยสิ้นเชิง

...และก็ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่า พระทรมานกายกินสามเณรจริงๆ แหละหรือว่าเป็นแต่เพียงคำร่ำลือเท่านั้นเอง...แม้ว่าจะเป็นคำร่ำลืออันน่า หวาดสยอง และชวนให้ขนหัวลุกก็ตามที!


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 23:29:48
ตำนาน"เรื่อง ผีโป่งค่าง"
 
เรื่องโป่งค่างชาวบ้านถือว่าเป็นผีประจำอยู่ในป่า โป่งค่างเกิดจากสัตว์ที่ถูกฆ่าตายกลายเป็นปีศาจมาหลอกหลอนบางที่ก็แปลงกายเป็นคนมาล่อให้นายพรานลงจากห้างจากนั้นก็ทำอันตรายนายพรานเสีย เรื่องของผีโป่งค่างบางครั้งก็เล่าว่าเป็นผีหรือเป็นสัตว์ที่หน้าตาคล้ายค่างและเมื่อพระยาราชเสนาเข้าป่าเมื่อเห็นค่างมากก็ถามถึงผีโป่งค่าง ก็ถูกผู้ใหญ่ห้ามไม่ให้พูดถึงทันทีเพราะถ้าไปถามเข้าอาจถูกมันดูดเลือดได้

แต่ครั้งนั้นไม่มีโอกาสได้เห็นผีโป่งค่าง และเมื่อเจ้าพระยาราชเสนาอายุ30 ปี ได้มีโอกาสไปพบโป่งค่างที่หนองหงส์ และที่หนองหงส์ไม่มีใครกล้าพักแรมเพราะเป็นแหล่งที่โป่งค่างมาลง

โป่งค่างมีลลักษระเหมือนลิง ร้องป๊อกเจี๊ยก ชอบอยู่ที่สูง มีอิทธิฤทธิ์ในการดูดเลือดคนเป็นๆและก็จะตายในทันทีและพอถึงหนองหงส์ ท่านก็สั่งให้ลูกน้องพักผ่อนตัวเองจะคอยเฝ้ายามเอง แล้วคืนนั้นยากดึกสงัดท่านก็ได้ยินเสียงร้อง ป๊อกเจี๊ยก ป๊อกเจี๊ยกมาใกล้ๆ บริเวณที่ลูกน้องนอนอยู่

ทันใดนั้นเสียงก็เงียบไปจากแสงไฟที่ก่อกองเอาไว้ แล้วมันก็ค่อยๆไต่ลงมาจากต้นไม้ตรงไปที่ปลายเท้าของลูกน้องที่นอนหลับอยู่พร้อมที่จะดูดเลือด เจ้าพระยาราชเสนาได้ยกปืนลั่ยนไกยิงไปที่ผีโป่งค่างทันที แล้วผีโป่งค่างก็ฟุบลงไปและเมื่อเดินไปใกล้ๆก็สามารถเห็นมันมีรูปร่างเหมือนค่างแต่รูปร่างมันใหญ่กว่าค่างธรรมดา หางสั้นเนื้อริมฝีปากข้างบนหด..น่ารัก..นจนเห็นเหงือก ชอบหากินตอนกลางคืนชอบดูดเลือด มักมาตัวเดียวไม่อยู่เป็นฝูง
 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 23:30:22
โค้งร้อยศพ
 
ถ้าจะว่าไปแล้วเพื่อนๆบางคนอาจเคยผ่านหรือโฉบไปแถวโค้งนี้มาแล้วก็ได้
มันอยู่ระหว่างเส้นทางที่จะเข้าตัวจังหวัดอุบลราชธานี ลักษณะของโค้งเป็นโค้งหักศอก มีราวเหล็กกั้นไปตามขอบถนนที่เป็นโค้ง ปลายสุดโค้งจะมีต้นจามจุรีใหญ่อายุหลายร้อยปีขึ้นสูงเด่น กิ่งก้านร่มครึ้มเต็มไปหมด และต้นจามจุรีนี่แหละที่หลายคันแหกโค้งพุ่งเข้ามาชนประจำ แทบจะทุกอาทิตย์ที่มีคนตายที่โค้งแห่งนี้ บางอาทิตย์ก็ 2 - 3 ครั้ง แต่ละครั้งก็มีคนตาย 2 - 3 คน ชาวบ้านแถวนั้นพากันร่ำลือว่าผีดุอย่าบอกใคร คนขับขี่รถทั่วไปเวลาขับผ่านโค้งนี้ มักจะบีบแตรเสียงดังลั่นไปตลอดโค้ง นัยว่าเป็นการขอผ่านทาง มีบ้านลุงคนหนึ่งบ้านของแกอยู่ติดกับโค้งนี้ แกบอกแกโดนผีโค้งนี้หลอกจนจะช็อคตายอยู่แล้ว

"คืนไหนถ้าเป็นคืนวันพระโค้งนี้มักจะเฮี้ยนจัด ตกดึกไม่รู้เสียงอะไรต่อมิอะไร มันดังมาจากโค้งให้ได้ยินตลอด
เดี๋ยวก็เป็นเสียงร้องไห้โหยหวนฟังแล้วเสียดเข้าไปถึงไขสันหลัง ไม่ใช่เสียงเดียวนะแต่เป็นหลายเสียง ช่วยกันประสานกันระงมเชียว บางทีนอนๆอยู่ก็ตกใจตื่น เพราะได้ยินเหมือนเสียงรถวิ่งมาแล้วชนเข้ากับอะไรบางอย่างเสียงดังโครมลั่น มันดังมาจากโค้งนี้นั่นแหละ พอฉันกับภรรยาโผล่ไปดูที่หน้าต่างมองไปที่โค้ง ก็ปรากฎว่า...ว่างเปล่า...ไม่มีอะไรเกิดขึ้น"
รายล่าสุดนี่ขับรถกลับจากกินเลี้ยงงานแต่งงานของเพื่อน ขากลับจากงานก็ต้องผ่านโค้งนี้ ตัวเองก็กินเหล้าไปครึ่งแก้วเพราะไม่ชอบกินเท่าไหร่ ขับกลับมากับภรรยา 2 คน พอถึงช่วงโค้งนี้ ก็ลดความเร็วจนเหมือนเกือบจะคลาน แต่ก็ไม่ลืมบีบแตรเสียงดังสนั่นตามปกติ ต่างคนก็ต่างนั่งเงียบกริบไม่ได้คุยอะไร พอคลานใกล้จะพ้นโค้งแล้ว ล่ะ

ทันใดนั้น...
คนขับก็เห็นหมาดำตัวใหญ่มากตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากข้างทาง มายืนจังก้าขวางถนน ห่างจากหน้ารถไปไม่เท่าไหร่ สายตาของมันมองจ้องเขม็งมาที่คนขับอย่างจัง ด้วยความตกใจคนขับจึงหักพวงมาลัยเต็มแรง รถพุ่งหลบหมาดำ ดิ่งเข้าหาราวสะพานข้างทาง ครูดกับเหล็กราวสะพานไปไกลพอสมควร ภรรยากรี๊ดลั่นด้วยความตกใจ (ว๊าย!) ดีที่รถวิ่งมาช้ามากจึงหยุดได้ไม่ยาก " พี่เป็นอะไร...ทำไมจู่ๆหักรถเข้าข้างทางอย่างนี้ " คนขับสุดหล่อบอก " หักหลบหมาดำกลางถนน เธอไม่เห็นเหรอ " ภรรยาสั่นหน้าดิก " หมาดงหมาดำที่ไหนไม่เห็นมีเลย " " หรือว่า... " คงไม่ต้องพูดอะไรต่อแล้วล่ะ คนขับรีบเข้าเกียร์เผ่นอย่างไว รถจะพังยังไงก็ช่างมันไม่ต้องลงไปดูกันแล้ว อยู่นานเดี๋ยวเจอตัวจริงเสียงจริงน่ะสิค่ะ นี่ขนาดบีบแตรขอทางแล้วนะเนี่ย!

 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 23:31:23
กองปราบนิมนต์พระปัดรังควานวิญญาณผีสิงห้องขัง!
 



"ศุกร์ 13" กองปราบชวนขนหัวลุก ผู้การฯ สั่งนิมนต์พระฉันเพลหน้าห้องควบคุมตัวผู้ต้องหา พร้อมทำพิธีปัดรังควาน และสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้กับดวงวิญญาณของผู้ต้องหารายหนึ่งที่เสียชีวิตจากการผูกคอตายในห้องขัง หลังผู้ต้องขังถูกผีเข้าสิง พูด "กูอยากกลับบ้าน อยากออกไป แต่กูออกไปไม่ได้ เพราะโดนอาญาแผ่นดินอยู่"



วันนี้ (13 ก.ค.) เวลา 10.30 น.ผู้สื่อข่าวรายงานจากกองปราบปราม ว่า พ.ต.อ.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ รักษาการ ผบก.ป.ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม ทำการนิมนต์พระครูโชติธรรมสุนทร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดอาวุธวิกสิตาราม เขตบางพลัด กทม.มาฉันเพลที่บริเวณหน้าห้องควบคุมตัวผู้ต้องหาของกองปราบปราม พร้อมกับทำพิธีปัดรังควานและสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้กับดวงวิญญาณของผู้ต้องหารายหนึ่งที่เสียชีวิตจากการผูกคอตายในห้องขัง เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าเวรรักษาการอยู่ที่หน้าห้องขัง ร่วมทั้งกลุ่มผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมตัวอยู่ด้วย

สำหรับพิธีดังกล่าวผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากตำรวจกองปราบปราม ว่า สืบเนื่องจากเมื่อคืนวันที่ 12 ก.ค.ที่ผ่านมา พ.ต.อ.พงศ์พัฒน์ ได้รับรายงานจาก ด.ต.บุญเยี่ยม ลอยแก้ว และ ด.ต.คเชนทร์ งามสงวน สิบเวรที่เข้าเวรรักษาการหน้าห้องขัง ว่า เมื่อเวลาประมาณ 23.30 น.ได้ยินเสียงกลุ่มผู้ต้องหาร้องเอะอะโวยวาย จึงได้สังเกตไปที่กล้องทีวีวงจรปิด ที่จับภาพภายในห้องขัง และมองเห็นกลุ่มผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมตัวในคดีต่างๆ ทั้งหมด 6 คน เป็นชาย 5 คน หญิงอีก 1 คน มีอาการตื่นตกใจ จึงรีบเข้าไปตรวจสอบและทราบจาก นายนันทวัฒน์ เพียเกตุ อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาคดีปลอมแปลงบัตรเครดิต ที่ถูกขังอยู่ในห้องขังซอยห้องแรกพร้อมกับเพื่อนๆ ผู้ต้องหาชายทั้งหมด ว่า นายพิพัฒน์ แนบเนียน อายุ 34 ปี ที่ถูกจับกุมในคดีเดียวกันเกิดมีอาการผิดปกติ ถ้าเป็นชาวบ้านก็จะเรียกกันว่าคล้ายถูกผีสิง คือ ในขณะนั้นผู้ต้องหาทั้งหมดกำลังนอนหลับพักผ่อนกันตามปกติ จนช่วงดึกได้ยินเสียงนายพิพัฒน์ นอนดิ้นร้องครวญครางโหยหวน ทั้งๆ ที่ไม่มีอาการเจ็บป่วยแต่อย่างใด นอกจากนี้ ยังได้ลุกขึ้นนั่งทำตาขวาง ตัวสั่น ทำให้ทุกคนรีบลุกขึ้นมาดูก็ได้ยินเสียงนายพิพัฒน์ พูดขึ้นว่า "กูอยากกลับบ้าน อยากออกไป แต่กูออกไปไม่ได้ เพราะโดนอาญาแผ่นดินอยู่"

ต่อจากนั้น เมื่อทุกคนเห็นว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติ จึงได้รีบเข้าไปช่วยกันจับตัว นายพิพัฒน์ ช่วยกันเขย่าตัวเพื่อให้ได้สติ นอกจากนี้ ยังทราบจาก นายพิษณุ นาคคน ผู้ต้องหาคดีหาพยายามฆ่า ที่ถูกขังอยู่ด้วยกัน ที่สงสัยว่า อาจจะเป็นวิญาณของนายฉลาด เสเนารัตน์ ผู้ต้องหาคดีข่มขืนหลานสาววัย 11 ปี ของตัวเองจนตั้งท้อง ที่ใช้เสื้อผูกคอตายคาห้องขังกองปราบฯไปเมื่อวันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา โดย นายพิษณุ ได้เล่าให้เพื่อผู้ต้องหาทุกคนฟังว่าหลังจากถูกตำรวจจับกุมตัวแล้ว ก็ถูกนำตัวเข้าห้องขังเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 12 ก.ค.จำได้ว่าวันนั้นมีผู้ต้องหาเป็นจำนวนมากประมาณ 10 คน ทำให้ไม่น่ากลัวอะไร เพราะรู้มาก่อนแล้วว่าเพิ่งมีผู้ต้องหาผูกคอตาย กระทั่งเวลาประมาณสามทุ่ม ได้สังเกตเห็นว่ามีชายคนหนึ่ง ใส่เสื้อกล้ามสีแดง นั่งอยู่บนลังใส่ของกลาง แต่อยู่ในห้องขังซอยเพียงคนเดียว ก็คือ ในห้องที่อยู่ติดกัน โดยชายคนนั้นยังได้หันมองมาทางนายนายพิษณุ ด้วย แต่ขณะนั้นก็ไม่ได้บอกใคร กระทั่งมาเกิดเหตุดังกล่าวขึ้นทำให้เชื่อว่าอาจเป็นวิญญานของนายฉลาดก็ได้

ส่วน นายพิพัฒน์ หลังจากได้สติแล้ว เล่าให้เพื่อนๆ ฟังด้วยความหวาดกลัวว่า คืนแรกที่ถูกคุมขัง ก็ยังไม่รู้สึกกลัวอะไร และยังได้เดินสำรวจไปทั่วห้องขังอีกด้วย กระทั่งเวลาประมาณตีสองในขณะนั้นผู้ต้องหาทั้งหมดต่างก็นอนหลับกันไปหมดแล้ว แต่ นายพิพัฒน์ ได้ตื่นขึ้นมาพอดี ก็ได้มองไปทางห้องขังซอยที่อยู่ติดกัน ซึ่งก็เห็นว่ามีผู้ต้องหานั่งอยู่เพียงคนเดียว ใส่เสื้อกล้ามสีแดงนั่งอยู่บนลังใส่ของกลาง แต่เนื่องจากไม่ทราบมาก่อน จึงทำให้คิดว่าอาจเป็นผู้ต้องหาที่ถูกแยกขังก็เลยไม่สนใจอะไร กระทั่งในคืนที่สองที่เกิดเหตุนี้ขึ้น ขณะนั้น นายพิพัฒน์ ได้นอนหลับฝันห็นชายเสื้อกล้ามสีแดงคนเดียวกันกับที่เห็น เดินเข้ามาหาและจะกระโจนเข้าใส่ จึงชกสวนกลับไป แต่ไปถูกเพื่อนที่นอนอยู่ข้างๆแทน ก่อนจะมารู้สึกตัวเมื่อถูกเพื่อนเขย่า จึงได้ทราบจากเพื่อนๆว่าสงสัยว่าจะถูกผีสิง ทำให้ทั้งหมดเกิดความกลัว เพราะว่าต่างก็ไม่เคยพบเรื่องแบบนี้กันมาก่อน จากนั้นทางผู้ต้องหาทั้งหมด จึงได้ร้องขอธูปจำนวนหนึ่งจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อนำไปจุดธูปไหว้พระ และขอขมาวิญญาณที่อยู่ในห้องขัง โดยหลังเกิดเหตุแล้วทำให้ผู้ต้องหาทั้งหมดไม่ยอมนอน และทนนั่งคุยด้วยกันทั้งคืนด้วยความหวาดกลัวจนเช้า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเรื่องดังกล่าวได้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันทั่วกองปราบปรามว่าอาจเป็นวิญญานของนายฉลาด เนื่องจากตั้งแต่ที่กองปราบปราม ย้ายมาจากที่เดิมแล้วก็ไม่เคยมีผู้ต้องหายรายใดตายในห้องขังมาก่อน เมื่อ พ.ต.อ.พงศ์พัฒน์ ทราบเรื่องก็ได้สอบถามข้อเท็จจริงทั้งหมดและเพื่อความสบายใจของทุกฝ่ายจึงได้สั่งการให้ตำรวจนิมนต์พระมาทำพิธีปัดรังควาน และอุทิศส่วนกุศลดังกล่าวเพื่อให้เจ้าหน้าที่ทุกๆ คนสบายใจ
 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 23:33:14
พบ"กล้วยไม้ผี" รูปถ่ายแรกในรอบ12ปี
(http://images.thaiza.com/34/34_20070716115815..jpg)
ไม่นึกว่าจะมีจริง

ก็ "กล้วยไม้ผี" ที่ขึ้นชื่อในความลึกลับ น่ากลัว น่ะสิ

ชื่อของ "กล้วยไม้ผี หรือ Ghost Orchid" โด่งดังจากนวนิยายเรื่อง "The Orchid Thief" และต่อมานำมาทำเป็นหนังเรื่อง "Adaptation"

แต่ที่จริงแล้วมันเป็นต้นไม้หายาก มักพบแถวป่าต้นไซเปรส ในพื้นที่ป่าธรรมชาติทางตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา

นักถ้ำมองนกที่นัดมาดูนกฮูกที่ออกหากินยามค่ำคืน ณ ศูนย์อนุรักษ์หนองน้ำคอร์กสกรู เมืองเนเปิลส์ รัฐฟลอริดา เป็นผู้ถ่ายรูปล่าสุดของต้นไม้ประหลาด

แม้ว่ารูปล่าสุดของ "กล้วยไม้ผี" ที่ได้ดูจะมืดดำไปสักนิด แต่คุ้มค่ากับการเขม้นตาดู เพราะมันไม่ได้ถ่ายมาได้ง่ายๆ

เอ็ด คาร์ลสัน ผู้ดูแลศูนย์อนุรักษ์ ยืนยันหนักแน่นว่า รูปนี้เป็นรูปแรกในระยะเวลา 12 ปี ที่กล้วยไม้ผีปรากฏให้เห็น

ราล์ฟ อาร์วู้ด ช่างภาพคนเก่ง ใช้เวลานานหลายชั่วโมง ด้อมๆ มองๆ เอียงคอตั้งบ่าในป่า จนพบกล้วยไม้ผีเกาะอยู่บนต้นไม้สูง 14 เมตร หรือเกือบเท่ากับตึกสูง 5 ชั้น

อาร์วู้ดบรรยายว่า จะเห็นกล้วยไม้ผีได้ต้องใช้กล้องส่องทางไกลดู และต้องมีแสงผ่านในปริมาณที่พอสมควร

กล้วยไม้ผีเป็นไม้หายาก ดอกของมันใหญ่เท่าๆ กับฝ่ามือ

เมื่อปีนขึ้นไปบนต้นไม้พบว่า รากของมันใหญ่และเกาะกับต้นไม้แน่นหนา คาดว่ามันอยู่บนต้นไม้นี้มาหลายสิบปีแล้ว

รากที่เกาะกับต้นไม้แน่น จนดอกของมันดูเหมือนลอยอยู่กลางอากาศนี่เอง ทำให้มันได้ชื่อ "กล้วยไม้ผี"

ฌอง จูลส์ นักสะสมพันธุ์พืชชาวเบลเยียม เป็นผู้พบกล้วยไม้ผีคนแรกของโลก ที่ประเทศคิวบา เมื่อค.ศ. 1844 ต่อมาจึงพบแถวตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐฟลอริดาและบาฮามาส

ดอกกล้วยไม้ผีบานในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม มันมีดอกสีขาว กว้างประมาณ 3-4 เซนติเมตร ยาว 7-9 เซนติเมตร ช่วงเวลาบานประมาณ 2 อาทิตย์

จากการที่มันหายากทำให้มีคนตั้งราคามันไว้สูงลิบ มีคนพยายามนำมันไปเพาะปลูก แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมันพอใจที่จะขึ้นอยู่ตามธรรมชาติ

กล้วยไม้ผีจึงยังคงเป็นต้นไม้ลึกลับสำหรับเราต่อไป
 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 23:33:54
ตำนานชื่อ ผีไทย...
 
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน ได้ให้คำจำกัดความของ "ผี" ว่าคือ สิ่งที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นสภาพลึกลับ มองไม่เห็นตัว แต่อาจจะปรากฏเหมือนมีตัวตนได้ อาจให้คุณหรือโทษได้ มีทั้งดีและเลว หรืออาจหมายถึง คนที่ตายไปแล้ว หรือเทวดาก็ได้ ส่วน "วิญญาณ" หมายถึง สิ่งที่เชื่อกันว่ามีอยู่ในกายเมื่อมีชีวิต เมื่อตายจะออกจากกายล่องลอยไปหาที่เกิดใหม่

ด้วยเหตุที่ "ผี" เป็นสิ่งที่ยากจะบอกได้ ถึงรูปพรรณสัณฐานที่แน่นอน มีความลึกลับ ขึ้นกับความเชื่อ และจินตนาการ จึงถูกหยิบยกมาขู่เด็กอยู่เสมอ จนทำให้บางคนแม้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ความรู้สึกกลัวผีก็ยังมีอยู่ หนัง/ละครหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นของไทย หรือต่างประเทศ ต่างก็สร้างสรรค์ "ผี" ออกมาในรูปแบบต่างๆ มีทั้งแนวตลกขบขัน แนวสยองขวัญ น่ากลัว หรือแม้แต่แนวรักโรแมนติก ที่ฮิตๆ อมตะสร้างซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ได้แก่ พวกแดร็กคิวร่า, แฟรงเก็นสไตน์, แวมไพร์ม, ส่วนไทยก็มี แม่นาคพระโขนง, ผีปอบ, ผีกระสือ, ผีกระหัง เป็นต้น

อย่างไรก็ดี ผีที่เราเห็นในหนังหรือละคร นับว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของผีทั้งหลาย ที่ยังมีอีกหลากหลายในไทย ดังนั้น กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงอยากจะขอแนะนำ "ผีไทย" ในแบบอื่นๆ ให้รู้จักกันบ้าง โดยทั่วไป คนไทยแต่เดิมได้แบ่งผีออกเป็นประเภทใหญ่ๆ คือ

1. ผีฟ้า ได้แก่ผีที่อยู่บนฟ้า ซึ่งต่อมาเมื่อเรารับความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์มาจากพุทธศาสนา คนไทยภาคกลางจึงเรียกผีที่อยู่บนฟ้าว่า "เทวดา" หรือ "เทพ" และถือว่าเทวดามีหลายองค์ ส่วนคนทางภาคอีสานจะเรียกว่า "แถน"

2. ผีคนตาย ได้แก่ผีที่เชื่อกันว่า เป็นวิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว ผีชนิดนี้มีทั้งผีดีและผีไม่ดี ซึ่งผีดีที่คนนับถือยังแบ่งย่อยเป็นอีก 3 ระดับ คือ ผีเรือน เป็นผีประจำครอบครัว คนไทยโบราณและชนชาติไทบางกลุ่มเรียกว่า "ผีด้ำ" หมายถึง ผีบรรพบุรุษ หรือผีปู่ย่าตายายพ่อแม่ที่ล่วงลับไปแล้ว แต่ยังสถิตอยู่ในบ้านเรือน เพื่อคอยคุ้มครอง และดูแลช่วยเหลือลูกหลาน และลูกหลาน จะต้องเซ่นสรวงตามโอกาสอันสมควร ผีบ้าน คือ ผีประจำหมู่บ้าน บางแห่งเรียก"เสื้อบ้าน" ได้แก่ผีที่คอยคุ้มครอง และให้ความอนุเคราะห์แก่คนในหมู่บ้าน ซึ่งแต่ละหมู่บ้านมักจะมีสถานที่ สำหรับทำพิธีบูชาบวงสรวง ผีเมือง หรือบางแห่งเรียก "เสื้อเมือง" ได้แก่ วิญญาณของเจ้าเมืององค์ก่อนๆ หรือวีรบุรุษของกลุ่มชน คอยคุ้มครอง และให้ความอนุเคราะห์ดูแลคนทั้งเมืองหรือรัฐ บางแห่งก็เรียก "เทพารักษ์" และมักมีการสร้างศาลให้เป็นที่สถิต

3. ผีไม่ปรากฎรายละเอียดในด้านความเป็นมาได้แก่ ผีที่ประจำอยู่กับสิ่งต่างๆ ที่มีในธรรมชาติ เช่น ผีป่า ผีเขา ผีน้ำ ผีประจำต้นไม้ เป็นต้น ผีดังกล่าวให้คุณและโทษได้ จึงต้องเซ่นสรวงให้ถูกวิธี โดยเฉพาะเมื่อต้องการความช่วยเหลือ หรือขออนุญาตใช้ประโยชน์

นอกจากนี้ ยังมีผีตามสภาพที่ปรากฏ เช่น บอกสภาพการตาย ได้แก่ ผีตายโหง ผีหัวกุด ผีตายทั้งกลม เป็นต้น ต่อไปนี้จะขอแนะนำผีแต่ละจำพวกให้ได้รู้จักกัน ดังนี้ ผียอดนิยม ซึ่งเป็นที่รู้จักและมักถูกนำมาสร้างหนัง/ละครบ่อยๆ ได้แก่

- ผีกระสือ คือผีที่เข้าสิงในตัวผู้หญิง และชอบกินของโสโครก คู่กับผีกระหัง ที่ชอบเข้าสิงผู้ชาย เชื่อกันว่าผีกระหังเป็นผู้ชายที่เรียนวิชาอาคม เมื่อแก่กล้าก็มีปีกมีหาง จะไปไหนก็ใช้กระด้งต่างปีก สากตำข้าวต่างขา สากกะเบือ ต่างหาง ชอบกินของโสโครกเช่นเดียวกับกระสือ

- ผีปอบ คือ ผีที่สิงอยู่ในตัวคน พอกินตับไต้ไส้พุงหมดแล้วก็จะออกไปและคนๆ นั้นก็จะตาย

- ผีดิบ คือ ผีที่ยังไม่ได้เผา หรือผีดูดเลือด ผีตายทั้งกลม คือ หญิงที่ตายในขณะที่ลูกอยู่ในท้อง

- ผีตายโหง คือ คนที่ตายผิดธรรมดา เช่น ถูกฆ่าตาย ตกน้ำตายหรือตายด้วยอุบัติเหตุ

- ผีพราย หมายถึงหญิงที่ตาย อันเนื่องมาจากคลอดลูกหรือตายในขณะที่ลูกเกิดมาได้ไม่นาน เชื่อกันว่าวิญญาณหญิงดังกล่าว จะมีความร้ายกาจมาก ,ส่วนผีพราย อีกประเภทหนึ่ง คือคนแก่ที่ป่วยไข้ออดแอด จนไม่มีกำลังต้องนอนซมอยู่เสมอ แต่พอคนอื่นไม่อยู่หรือเผลอ คนแก่นั้นก็เปลี่ยนไป ดวงตากลับวาวโรจน์ และมีเรี่ยวแรงลุกไปหาของกินที่เป็นของสดหรือมีกลิ่นคาว หากมีใครมาพบ ก็จะทำท่าหมดแรงต้องนอนซมเหมือนเดิม บางแห่งก็ว่าผีพรายสามารถจำแลงกายเป็นสัตว์ต่างๆ ได้ โดยเฉพาะนกเค้าแมว หากบ้านไหนมีคนป่วยและมีนกเค้าแมวมาเกาะ จะเชื่อกันว่าผีพรายแปลงกายมาซ้ำเติมคนป่วยให้ตายโดยเร็ว ส่วนผีที่มีลักษณะคล้ายกับกลุ่มข้างต้น แต่ชื่ออาจจะไม่ค่อยคุ้นหูสักเท่าไรก็ได้แก่

- ผีโพง และ ผีเป้า คือผีที่ชอบกินของสด ของคาว เช่น เลือดสด และสิงในคนได้ บ้างก็ว่าผีโพงสิงคนแล้ว จะทำให้มีแสงสว่างออกมาทางจมูกเวลาหายใจ และชอบหากินเวลากลางคืน

- ผีโขมด เป็นพวกเดียวกับผีกระสือหรือผีโพง เห็นเป็นแสงเรืองวาวในเวลากลางคืน ทำให้เข้าใจผิดคิดว่าคนถือไฟอยู่ข้างหน้า

- ผีกองกอย คือ ผีชนิดหนึ่งที่มีตีนเดียว ไม่มีสะบ้าหัวเข่า จึงต้องเดินเขย่งเกงกอย ชอบออกมาดูดเลือดที่หัวแม่เท้าของคนที่นอนหลับพักแรมในป่า
สำหรับผีที่ให้คุณก็มี ผีขุนน้ำ คือ อารักษ์ประจำต้นน้ำแต่ละสาย ซึ่งสถิตอยู่บนดอยสูง ผีขุนน้ำมักอยู่ตามต้นไม้ใหญ่ ชาวบ้านจะอัญเชิญมาสถิตที่หอผี ที่ปลูกอย่างค่อนข้างถาวรใต้ต้นไม้เหล่านี้ ผีขุนน้ำที่อยู่ต้นแม่น้ำใด ก็มักจะได้ชื่อตามแม่น้ำนั้น เช่น ขุนลาว เป็นผีอยู่ต้นแม่น้ำลาว ในจ.เชียงราย ผีมด และ ผีเมง คือ ผีบรรพบุรุษตามความเชื่อชาวล้านนา ( คำว่า "มด" หมายถึงระวังรักษา) ส่วนผีเมงนี้เข้าใจกันว่ารับมาจากชนเผ่าเม็ง หรือมอญโบราณ ผีเจ้าที่ คือผีที่รักษาประจำอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เป็นผู้ดูแลรักษาเขตนั้นๆ ดังนั้น คนโบราณเมื่อเดินทางและหยุดพักที่ใด มักจะบอกขออนุญาตเจ้าที่ทุกครั้ง

- ผีเจ้านาย คือ ผีที่มาประทับทรงเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ของชาวบ้านชาวเมือง แต่มิใช่เสื้อบ้าน เสื้อเมืองหรือผีปู่ย่าตายาย ผีย่าหม้อหนึ้ง เป็นผีจำพวกผีเรือนสถิตอยู่กับหม้อที่ใช้นึ่งข้าว เมื่อใครจะเดินทางไกลก็นำข้าวเหนียวหนึ่งปั้น และกล้วยหนึ่งผล ไปสังเวยบอกกล่าวผีย่าหม้อหนึ้งเพื่อให้คุ้มครอง หรือหากลูกหลานไม่สบายร้องไห้โยเยกลางคืน ชาวบ้านก็มักไปเอายาจากผีย่าหม้อหนึ้งโดยขูดเอาดินหม้อ ที่ติดกับหม้อไปผสมน้ำให้ลูกอ่อนกิน นอกจากดูแลคุ้มครองทรัพย์สินในครัวเรือนแล้ว ยังมีอำนาจในการพยากรณ์ได้ด้วย ซึ่งการลงผีย่าหม้อหนึ้งนี้ มักทำเมื่อบุตรหลานไม่สบายหรือของหาย
นอกเหนือไปจากผีดังกล่าวแล้ว ในแต่ละท้องถิ่นยังมีผีอีกหลายประเภท ซึ่งหลายคนอาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อน อาทิผีกละ หรือ ผีกะเป็นผีที่มักเข้าสิงคนเพื่อเรียกร้องจะกินอาหาร เมื่อเข้าสิงใคร ก็จะแสดงกิริยาผิดปกติไป เมื่อคนสังเกตเห็นก็มักร้องขอกินอาหารและจะกินอย่างตะกละตะกลาม จึงเรียกผีกละตามลักษณะการกิน แต่มักเขียนเป็นผีกะ ผีกละยักษ์ เป็นผีที่อยู่รักษาสถานที่ต่างๆ เช่น วัดร้าง ถ้ำ หรือที่ซึ่งมีสมบัติฝังหรือซ่อนอยู่ ผีกละยักษ์จะคอยพิทักษ์สมบัติเหล่านั้น จนกว่าเจ้าของจะรับทรัพย์สินเหล่านั้นไป

ในกรณีผีกละยักษ์ที่อยู่ในวัด เล่ากันว่า มักจะเป็นวิญญาณของพระหรือเจ้าอาวาสที่ผิดวินัย เมื่อตายแล้วไปเกิดไม่ได้ จึงต้องทำหน้าที่พิทักษ์วัดไปจนกว่าจะสิ้นกรรม รูปร่างของผีกละยักษ์ ไม่แน่นอน บ้างก็ว่าเป็นหมูตัวใหญ่ที่มีร่างกายเป็นทองแดง บ้างก็ว่าเป็นสุนัขใหญ่สีดำสนิททั้งตัว ผีตามอย (อ่านว่า ผี-ต๋า-มอย) หมายถึงผี 2 ชนิด ชนิดแรกเป็นผีที่อาศัยอยู่ในเขตที่มีคน ผีชนิดนี้จะคอยมาเลียก้นคนที่ไปถ่ายอุจจาระ เพราะคนสมัยก่อนมักไปถ่ายตามขอนไม้ เมื่อถ่ายเสร็จก็จะใช้ไม้แก้งขี้ปาดไปตามร่องก้นให้สะอาด ถ้าแก้งขี้ไม่สะอาดก็จะถูกผีตามอยมาเลียก้น ทำให้เจ็บไข้ได้ วิธีแก้คือให้เอาดุ้นไฟสุดหรือไม้ที่เหลือจากไฟไหม้แล้วมาแก้งขี้เสีย (แก้ง-หมายถึงขูดให้สะอาด)

ผีตามอย อีกชนิด เป็นผีที่คอยจับเอาหนุ่มหรือสาววัยรุ่นที่แตกกลุ่มเพื่อนที่เข้าไปในป่าหรือในดง นำไปมีเพศสัมพันธ์กับตน โดยคนที่ถูกกุมไปมักมีสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น ผีโป่ง เป็นผีที่อยู่ตามโป่งซึ่งอาจเป็นโป่งดิน คือบริเวณที่มีดินเค็มซึ่งสัตว์มักไปแทะกิน หรือโป่งน้ำ คือที่มีน้ำผุดออกมาจากดิน ผู้ที่ไปสู่บริเวณโป่ง หากไม่สำรวมอาจจะถูกผีโป่งทำร้าย ทำให้เจ็บปวดที่เท้าหรือขา หรืออาจมีอาการเจ็บไข้รักษาไม่หาย
นอกจากผีลักษณะต่างๆ ตามที่กล่าวมาแล้ว เรายังมีทั้งการละเล่น สำนวน ช่วงเวลา กิริยาอาการและคำหลายคำที่เกี่ยวกับผี เช่น ผีด้งหรือผีนางด้ง เป็นผีที่หนุ่มสาวในท้องที่จะเชิญมาเล่นตามลานบ้านช่วงสงกรานต์, ผีถ้วยแก้ว เป็นการเล่นทรงเจ้าเข้าผีโดยผู้เล่นเอานิ้วแตะก้นแก้ว ให้เคลื่อนไปตามตัวอักษร เพื่อสื่อความหมาย, ผีถึงป่าช้า หมายถึงจำใจทำเพราะไม่มีทางเลือก, ผีบุญ คือ ผู้อวดคุณวิเศษว่ามีฤทธิ์ทำได้ต่างๆ นานา, ผีบ้านไม่ดี ผีป่าก็พลอย หมายถึง คนในบ้านเป็นใจให้คนนอกบ้านเข้ามาทำความเสียหายได้,

ผีซ้ำด้ำพลอย คือ ถูกซ้ำเติมเมื่อพลาดพลั้งหรือเมื่อคราวเคราะห์ร้าย, ผีอำ คือ อาการที่ปรากฏเมื่อเวลานอนเคลิ้มไปว่ามีคนมาปลุกปล้ำหรือยึดคร่า ทำให้มีอาการเหนื่อยหอบจนตื่นขึ้น บางคนก็เรียก ผีทับ จะมีอาการอึดอัด พูดจาไม่ได้ ลุกไม่ได้ ผีผลัก คืออุบัติเหตุที่ทำให้บาดเจ็บหรือล้มตาย เนื่องจากใช้ของแหลมมาจี้ใส่กันเป็นเชิงล้อเล่น, ผีเจาะปาก หมายถึงมีปากก็สักแต่พูดเรื่อยเปื่อย พูดไม่มีสาระ,

ผีพุ่งไต้ หมายถึงดาวตก ผีตากผ้าอ้อม หมายถึง แสงแดดที่สะท้อนกลับมาสว่างในเวลาเย็นจวนค่ำ มีสีส้มอมเหลือง, ผีขนุน หมายถึงหญิงขายบริการตามต้นขนุนริมคลองหลอด กรุงเทพฯ, ผีเพลีย คือดิถีวันห้าม ไม่ให้แรกนา ฯลฯ (ดิถี คือการนับวันตามจันทรคติ เช่น ขึ้น 1 ค่ำ แรม 2 ค่ำ เป็นต้น)ทั้งหมดที่กล่าวข้างต้น แม้จะเป็นเพียงบางส่วนของเรื่องผีๆ แต่เชื่อว่าคงจะทำให้ท่านได้รู้จัก "ผีของไทย"มาก ยิ่งขึ้น





หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 23:35:22
พลิกตำนานเล่าขาน ?อาถรรพณ์ สน.บางเขนกับศาลเจ้าพ่อไทร?
(http://images.thaiza.com/32/32_20070702124840..jpg)


หมายเหตุ-หลังจากเกิดเหตุการณ์โจรยิง 2 สายตรวจ สน.บางเขนจนเสียชีวิตในคืนที่ผ่านมา ทีมข่าวอาชญากรรม ซึ่งเคยนำเสนอบทความนี้ไปแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ จึงนำกลับมาเสนออีกครั้ง ซึ่งเรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

หลังเกิดเหตุการณ์คนร้ายยิง ด.ต.วัชระ สตารัตน์ ผบ.หมู่งานป้องกันปราบปราม สน.บางเขน เสียชีวิต ขณะปฏิบัติหน้าที่ ทำให้"ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์" เข้าเกาะติดการคลี่คลายคดีนี้อย่างใกล้ชิด เพราะคนร้ายก่อเหตุอย่างอุกอาจ ไม่เกรงกลัวกฎหมาย เหมือนเป็นการ "ตบหน้า" เจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างจัง

จากเหตุนี้เองทำให้"ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์" ได้รับการบอกเล่าจากชาวบ้านในพื้นที่ ถึงเรื่องราวอาถรรพ์ ที่มักจะเกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.บางเขนถึง "อาถรรพ์แห่งเจ้าพ่อต้นไทร" ที่ตั้งอยู่ด้านหลังโรงพัก ความเชื่อของตำรวจประจำสน. และชาวบ้านในพื้นที่ ที่รับรู้ "ความเฮี้ยน" ของเจ้าพ่อต้นไทร โดยเฉพาะเมื่อช่วง 10 ปีก่อน ที่มีตำรวจบางเขน เสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง เสมือนเป็น"เครื่องเซ่น สังเวย" ให้กับเจ้าพ่อต้นไทร "ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์" จึงอยากนำเสนอมุมมองที่แตกต่าง ด้วยการนำความเชื่อของคนในพื้นที่ มาบอกเล่าให้รับรู้ นอกเหนือไปจาก การจากไปอย่างกล้าหาญของด.ต.วัชระ ที่ต้องจบชีวิตลงด้วยน้ำมือโจรสวะ 3 คน

ด.ต.วิกรม ตังศุภศิริ ผบ.หมู่สน.บางเขน เจ้าหน้าที่งานธุรการ ฝ่ายเปรียบเทียบปรับ อายุ 52 ปี คือแหล่งข่าวที่ "ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์" เสาะหาจนพบ เนื่องจากทราบข้อมูลว่านายดาบคนดังกล่าว รับราชการตำรวจที่สน.บางเขนมาตั้งแต่ช่วงปีพ.ศ. 2511 นับรวมอายุราชการที่อยู่สน.บางเขนแล้ว มากกว่า 30 ปี จึงน่าจะมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องอาถรรพ์ อันเป็นที่ร่ำลือในหมู่ตำรวจ และชาวบ้านในพื้นที่สน.บางเขน

ด.ต.วิกรมได้ทบทวนความจำ และเล่าประวัติความเป็นมาของ "ศาลเจ้าพ่อทองคำ" ให้ "ทีมข่าวอาชญากรรมผู้จัดการออนไลน์" ฟังว่า ก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ช่วงเริ่มก่อตั้งโรงพักบางเขน มีต้นกระทุ่มตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลังโรงพักซึ่งเป็นพื้นที่โล่งว่าง จากนั้นได้มีการก่อสร้างศาลขึ้น ตำรวจและชาวบ้านในละแวกนั้น จึงเรียกชื่อศาลว่า "ศาลเจ้าพ่อต้นกระทุ่ม" ต่อมาได้มีต้นไทรขึ้นโอบล้อมต้นกระทุ่มที่อยู่ข้างศาลกระทั่งต้นกระทุ่มตายลงไป

ด.ต.วิกรม ท้าวความให้ฟังอีกว่า ในช่วงที่ พ.ต.ต.บุญเลิศ มณีกาญจณ์ มาดำรงตำแหน่งเป็น สว.จร.ที่สน.บางเขน ได้ทำการบูรณะศาลขึ้นมาใหม่ เนื่องจากมีสภาพทรุดโทรม มีการเชิญคนเข้าทรงมาทำพิธีตามความเชื่อ และตั้งศาลใหม่ขึ้นมาบริเวณต้นไทรหลังสน. พร้อมกับใช้ชื่อว่า "ศาลเจ้าพ่อทองคำ" ซึ่งเป็นที่นับถือของเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.บางเขนทุกนาย รวมถึงประชาชนทั่วไปที่มีความเชื่อ เดินทางมาเคารพสักการะ

นายดาบตำรวจผู้นี้ บอกกับเราอีกว่า ในส่วนของความเชื่อที่ว่า "เจ้าพ่อต้นไทร" นำชีวิตของตำรวจสน.บางเขนไปรับใช้ในทุกๆ ปีนั้น โดยส่วนตัวแล้วก็มีความเชื่อบ้าง เพราะก่อนหน้าเมื่อช่วงราว 10 ปีก่อน มีเหตุให้เจ้าหน้าที่สน.บางเขน ต้องมีอันเป็นไปอย่างต่อเนื่อง แต่ก็เป็นเพียงความเชื่อที่มีการเล่าต่อกันมาเท่านั้น ซึ่งทางสน.ได้มีการทำบุญให้กับ "ศาลเจ้าพ่อทองคำ" ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ของทุกปี

"ตำรวจทุกนายที่อยู่สน.บางเขน จะร่วมกันทำบุญให้กับศาลเจ้าพ่อทองคำในช่วงวันสงกรานต์ มีการถวายหัวหมู อาหาร และเชิญร่างทรงมาทำพิธี เพื่อแสดงความเคารพ สักการะต่อเจ้าพ่อ" ด.ต.วิกรม กล่าว

ขณะที่ พ.ต.อ.สันติ แสงเพ็ญจันทร์ ผกก.สน.บางเขน (ในขณะนั้น) บอกว่า ได้รับรู้ถึงเรื่องเล่าขาน และอาถรรพ์ของ "ศาลเจ้าพ่อทองคำ"เป็นอย่างดี จึงให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำบุญเป็นประจำทุกปี โดยผู้กำกับสันติบอกกับ "ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์" ทิ้งท้ายว่า เชื่อไม่เชื่อก็ต้องเคารพ ไม่เคยลบหลู่

ด.ต.บัญชา ประสงค์ อายุ 50 ปี ผบ.หมู่ จร. เล่าให้ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์ฟังว่า เกิดและอาศัยอยู่ที่นี่มาตลอด อีกทั้งก็รับราชการตำรวจมาตั้งแต่ พ.ศ. 2520 ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ประจำอยู่ที่ สน.บางเขนมาตลอด แต่ย้ายมาเมื่อ พ.ศ. 2536 และก็อาศัยอยู่ที่นี่ไม่เคยย้ายไปที่ไหน เพราะบิดาเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจนกระทั่งเกษียณอายุราชการอยู่ที่นี่

ด.ต.บัญชา ย้อนอดีตให้ฟังว่า เดิมทีศาลเจ้าพ่อนั้นเป็นเพียงศาลเล็ก ๆ มีต้นกระทุ่มขึ้นอยู่ข้างศาล ต่อมามีต้นไทรขึ้นมาทับจนต้นกระทุ่มตายลง และศาลก็ทรุดโทรมไปตามกาลเวลาเพราะขาดคนดูแล ชาวบ้านรวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงช่วยกันบูรณะใหม่ โดยช่วยกันออกค่าใช้จ่ายในการบูรณะ เพราะทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและบุคคลที่อาศัยอยู่ในย่านนี้ต่างก็เคารพนับถือศาลเจ้าพ่อทั้งนั้น

สำหรับศาลเจ้าพ่อทองคำนั้น ตนก็ให้ความเคารพนับถือ โดยมักเรียกติดปากว่า "ศาลพ่อปู่" ทุกครั้งที่ออกจากบ้านจะต้องไหว้สักการะศาลเจ้าพ่ออยู่เสมอมิเคยขาด และมักจะขอให้พ่อปู่ ช่วยคุ้มครองดูแลเสมอทุกครั้ง

ด.ต.บัญชา เล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ที่เชื่อว่า ศาลพ่อปู่คอยคุ้มครองคือ เมื่อวันที่ 5 ม.ค. 2548 ขณะที่กำลังออกปฏิบัติหน้าที่ในช่วงเช้าตามปกติ ก็ต้องมาประสบอุบัติเหตุอย่างรุนแรงจนต้องนอนพักรักษาตัวนานกว่า 2 เดือน

"วันนั้นเป็นช่วงเช้า หลังจากปล่อยแถวจราจร ผมซึ่งต้องเข้าเวรป้อมจราจรที่แยกมัยลาภ ได้ขับรถยนต์กระบะ ไมตี้เอ็กซ์ ส่วนตัวเพื่อปฏิบัติหน้าที่ ขณะที่กำลังเลี้ยวรถเพื่อเข้าจอด จังหวะนั้นเองได้มีรถบรรทุก 6 ล้อ วิ่งฝ่าไฟแดงเข้ามาชนกลางลำ จนผมสลบ ไปรู้สึกตัวอีกครั้งที่โรงพยาบาล"

ด.ต.บัญชา ยังเล่าให้ฟังอีกว่า ผลจากการถูกชนนั้นทำให้หางคิ้วซ้ายแตก หมอต้องผ่าตัดเพื่อดามเหล็ก และเย็บถึง30 เข็ม และยังได้รับบาดเจ็บตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอีกหลายแห่ง แต่เมื่อดูจากสภาพรถที่พังยับทั้งคันจนไม่สามารถซ่อมได้ ทำให้เชื่อว่าเป็นบารมีของ พ่อปู่ ที่ตนกราบไหว้และให้ช่วยคุ้มครองอยู่เสมอ จึงรอดชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นมาได้ราวปาฏิหาริย์

ส่วนที่มีคำร่ำลือถึงอาถรรพ์ ศาลเจ้าพ่อทองคำนั้น ด.ต.บัญชา ได้กล่าวว่า ตั้งแต่ตนอาศัยอยู่ที่นี่มาจนบัดนี้ก็อยู่ในช่วงปลายของการรับราชการ ไม่เชื่อว่าการที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเสียชีวิตนั้นจะเป็นเพราะอาถรรพ์ของเจ้าพ่อ เนื่องจากเจ้าพ่อจะคอยคุ้มครองตำรวจของ สน.บางเขน และทุกคนที่นี่ให้ความเคารพนับถือเจ้าพ่อทุกคน จึงไมน่าจะมีความเป็นไป

"ผมคิดว่าการที่มีเจ้าหน้าที่เสียชีวิต คงเป็นเรื่องของเวรกรรมมากว่า ส่วนข่าวที่เกิดขึ้นผมคิดว่าน่าจะเป็นข่าวลือ ที่เกิดจากปากต่อปาก จนทำให้คิดว่าเมื่อมีตำรวจตาย จึงเป็นการเซ่นสังเวยแก่เจ้าพ่อ ทั้งที่เจ้าพ่อคอยคุ้มครองแล้ว เจ้าพ่อจะเอาชีวิตตำรวจทำไม" ด.ต.บัญชา ตั้งข้อสังเกต

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงมุมมองหนึ่งของตำรวจสน.บางเขน ความเชื่อ หรืออาถรรพ์ที่ว่า จะเป็นจริงตามคำล่ำลือหรือไม่ ส่วนหนึ่งเชื่อว่า เกิดจากการกระทำของตัวบุคคลนั้นๆมมากกว่า หากระมัดระวัง หรือดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท ก็ย่อมที่จะช่วยผ่อนคลายทุกอย่างได้ดี เพียงแต่อาชีพ ตำรวจ ทหาร และแม้กระทั่งคนร้าย ย่อมมีชีวิตที่ค่อนข้างเสี่ยงกว่าบุคคลปกติทั่วไปเท่านั้นเอง





ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์
 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 23:35:36
"เจ้าแม่แก่นจันทร์" ตำนานแห่งเทพเมืองราชบุรี
 
ในความเชื่อและศรัทธาของคนไทยนั้น มีความนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่หลายประเภท ชาวราชบุรีก็มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้คอยยึดเหนี่ยวจิตใจ ซึ่งเขาให้ความเลื่อมใสศรัทธามาช้านานนั่นก็คือ "เทพเจ้าแม่แก่นจันทร์"
         ตำนาน "เจ้าแม่แก่นจันทร์" เล่ากันมาว่า ท่านเป็นเทพที่สถิตอยู่ในไม้แก่นจันทร์ ซึ่งเป็นไม้ที่มีกลิ่นหอม มีอายุนานนับร้อยปี จึงมีความศักดิ์สิทธิ์มาก โบราณว่าไว้ ต้นไม้ต้นใดที่มีแก่นสูงตั้งแต่ 1 คืบขึ้นไป จะมีวิมานของรุกขเทวดาสถิตอยู่ เพื่อคอยดูแลรักษาผู้ที่มากราบไหว้บูชา และมักจะเรียกชื่อของรุกขเทวดาประจำต้นไม้ตามชื่อของต้นไม้นั้น เช่น ต้นตะเคียนทองก็จะเรียกชื่อรุกขเทวดาว่า "เจ้าพ่อหรือเจ้าแม่ตะเคียนทอง" ดังนั้น "ไม้แก่นจันทร์" จึงมีผู้เลื่อมใสตั้งให้เป็น "เจ้าแม่แก่นจันทร์"
         ความเป็นมาของ "เจ้าแม่แก่นจันทร์" ที่ชาวราชบุรีให้ความเคารพศรัทธานิยมมากราบไหว้ขอบารมีคุ้มครองนั้น มีมานานหลายสิบปี ศาลเจ้าแม่แก่นจันทร์ตั้งอยู่ใน อ.เมือง บริเวณใกล้เชิงเขาแก่นจันทร์ ตัวศาลสร้างเป็นแถวยาวชั้นเดียว แต่เดิมศาลเจ้าแม่เป็นศาลไม้เล็กๆ ตั้งตรงข้ามศาลหลังใหม่ที่เห็นในปัจจุบัน
        จากตำนานที่เล่ากันต่อๆมา ความว่า เดิมทีเจ้าแม่องค์เดิมเป็นท่อนไม้แก่นจันทร์ แต่ภายหลังมีหญิงสาวไปเข้าฝันชาวบ้านคนหนึ่งบอกว่าไม่อยากอยู่ในสภาพขอนไม้แบบนี้อีกแล้ว อยากมีรูปร่างเป็นมนุษย์ ครั้งแรกชาวบ้านก็ไม่เชื่อไม่สนใจ เจ้าแม่จึงไปเข้าฝันชาวบ้านอีกหลายๆคน เมื่อฝันประหลาดตรงกันชาวบ้านจึงเริ่มเชื่อและได้ทำการแกะสลักไม้แก่นจันทร์ให้มีรูปร่างเป็นหญิงสาว
         เมื่อแกะสลักเสร็จเรียบร้อยก็ทำพิธีอัญเชิญให้ขึ้นไปประดิษฐานในศาลไม้หลังเก่า แต่เจ้าแม่ก็มาเข้าฝันชาวบ้านอีกว่าที่ตั้งของศาลไม่ถูกทิศ ท่านต้องการให้ย้ายตัวศาลไปอยู่ฝั่งตรงข้าม แต่ชาวบ้านก็ยังไม่ย้าย เพราะการย้ายศาลค่อนข้างยุ่งยาก และเมื่อยังไม่ย้ายพวกลูกหลานชาวบ้านก็เริ่มปวดหัว ตัวร้อน ไม่สบายกันเป็นแถวๆ เป็นต่อๆกันไปทุกบ้าน และบริเวณที่ตั้งของศาล ซึ่งเป็นทางโค้งก็มักจะมีอุบัติเหตุรถราเฉี่ยวชนล้มคว่ำกันเป็นประจำ ชาวบ้านจึงอัญเชิญเจ้าแม่มาประทับทรง ท่านบอกว่าเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของภูตผีปีศาจ องค์ท่านไม่ได้ประทับอยู่ในศาลนานแล้ว ชาวบ้านจึงถามเจ้าแม่ว่าทำไมจึงทิ้งพวกเขาไป ท่านก็บอกว่าท่านไม่อยากทิ้งชาวบ้านไปหรอก แต่ท่านอยู่ที่ศาลนี้ไม่ได้ เพราะทิศทางที่ตั้งศาลไม่ถูกต้อง ท่านเคยบอกแล้วแต่ไม่มีใครเชื่อ ท่านจึงต้องไป แต่ถ้าตั้งศาลอย่างถูกต้องท่านก็จะกลับมาประทับอีก ต่อมาชาวบ้านจึงช่วยกันย้ายศาลของเจ้าแม่มาตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นที่ตั้งในปัจจุบัน
         ความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแม่แก่นจันทร์ ไม่ใช่แค่จะแสดงให้ชาวบ้านรู้เห็นอยู่กลุ่มเดียวเท่านั้น ข้าราชการระดับผู้ใหญ่ใน จ.ราชบุรี ท่านหนึ่งก็เคยรู้เห็น และได้สัมผัสกับปาฏิหาริย์ขององค์เจ้าแม่มาแล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นกับอดีตนายอำเภอเมืองของ จ.ราชบุรี เมื่อ พ.ศ. 2538 ขณะที่ท่านมาประจำอยู่ที่นั่น ปีนั้นเป็นปีที่ จ.ราชบุรี เกิดน้ำท่วมหนัก หน่วยงานราชการต้องระดมกำลังออกช่วยเหลือชาวบ้านตลอดทั้งวันทั้งคืน ข้าราชการทุกคนรวมทั้งท่านนายอำเภอต้องทำงานอย่างหนัก และยังต้องผจญกับอุปสรรคนานัปการ หลายๆวันเข้าร่างกายก็เริ่มอ่อนล้า จนวันหนึ่งขณะที่นายอำเภอนั่งพัก จู่ๆท่านก็เกิดวูบ หน้ามืดขึ้นมากะทันหัน พยาบาลจึงพาท่านไปนอนพัก พอไปถึงที่พักท่านก็วูบหลับไปทันทีด้วยความอ่อนเพลีย ขณะที่กำลังหลับสนิทท่านก็ฝันเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งร่างกายมอมแมม ผ่ายผอมกำลังนั่งร้องไห้ ดูน่าสงสาร น่าเวทนามาก ท่านจึงตกใจตื่น และเหมือนเป็นอุปาทานที่ยังคงได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กคนนั้นก้องอยู่ในหูตลอดเวลา โดยสามัญสำนึกที่ผ่านประสบการณ์มานาน ทำให้ท่านพอจะรู้ว่าสิ่งที่สัมผัสได้ในฝันน่าจะเป็นนิมิตที่เป็นจริง เด็กหญิงคนนั้นจะต้องรอการช่วยเหลืออยู่ที่ไหนสักแห่ง ท่านจึงวิทยุสั่งการให้เจ้าหน้าที่ออกค้นหาเด็กคนนั้นทันที ทั้งที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนกันแน่ และขณะเดียวกันท่านนายอำเภอก็พยายามนึกทบทวนเหตุการณ์ในฝันอย่างช้าๆ
         แล้วจู่ๆ ท่านก็เห็นภาพของศาลแห่งหนึ่งแว็บเข้ามา เห็นภายในศาลมีรูปปั้นของผู้หญิง ท่านจึงบอกให้เจ้าหน้าที่ทราบ เมื่อเจ้าหน้าที่รู้ว่าภายในศาลมีรูปปั้นของผู้หญิงอยู่ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งจึงพูดว่า "สงสัยจะเป็นศาลเจ้าแม่แก่นจันทร์" แล้วพวกเขาก็รีบเดินทางไปที่ศาลเจ้าแม่ทันที และก็เป็นที่น่าตกใจเมื่อเจ้าหน้าที่เดินทางไปถึงศาลเขาก็พบกับเด็กผู้หญิงหน้าตามอมแมมนอนขดอยู่ภายในศาลเพียงลำพัง ในสภาพร่างกายผอมโซและมีไข้สูง แพทย์จึงรีบทำการปฐมพยาบาลให้เด็กคนนั้นอย่างเร่งด่วน และยังบอกแก่นายอำเภอด้วยว่า หากเด็กมาถึงมือหมอช้ากว่านี้นิดเดียวจะต้องตายแน่นอน เพราะไม่ได้กินอาหารมาหลายวันแถมยังติดเชื้อจากน้ำดื่ม และหมอเองก็ยังสงสัยว่านายอำเภอรู้ได้อย่างไรว่ามีเด็กติดอยู่ในศาล นายอำเภอก็เล่าไปตามความจริง
         หลังจากนั้นราว 2 อาทิตย์ เมื่อระดับน้ำท่วมในตัวเมืองราชบุรีเริ่มลดลง ท่านนายอำเภอก็กลับไปเยี่ยมเด็กคนนั้นอีกครั้ง ซึ่งเด็กก็มีอาการดีขึ้นแล้ว แกเล่าให้นายอำเภอฟังว่าอาศัยอยู่กับยายเพียงสองคน พ่อแม่ตายหมดแล้ว ตอนน้ำท่วมยายได้พามาอาศัยอยู่ที่ศาลเจ้าแม่แล้วยายก็จากไป จากนั้นก็ไม่พบเจอยายอีกเลย แล้วตอนนั้นระดับน้ำบริเวณหน้าศาลเจ้าแม่ก็สูงมาก ไม่มีใครผ่านมาเลย ไม่รู้จะขอให้ใครช่วย มีสิ่งเดียวที่จำได้ เพราะยายบอกไว้ก่อนไปว่า "เจ้าแม่แก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์มาก ใครเดือดร้อนก็จะนึกถึงท่าน" เด็กหญิงคนนั้นจึงอธิษฐานจิตขอให้เจ้าแม่ช่วย
         สิ่งที่เกิดราวปาฏิหาริย์ถ้าไม่ใช่เรื่องอันเกิดจากบุญฤทธิ์ของเจ้าแม่แก่นจันทร์แล้วจะเรียกว่าอะไร และในโลกนี้ก็ยังมีเรื่องราวแปลกๆแบบนี้เกิดขึ้นกับบางคนอยู่เป็นประจำเสียด้วย เขาจึงบอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมคุ้มครองคนดี เพราะฉะนั้นจงคิดดีและทำดีให้สม่ำเสมอ เมื่อถึงคราวเคราะห์ความดีที่ตนเคยสร้างบวกกับแรงปาฏิหาริย์จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรามองไม่เห็นก็จะช่วยให้พ้นภัยได้







ข้อมูลจาก http://www.yingthai-mag.com/ 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 23:36:25
หลวงพ่อเกษม เขมโก เผชิญอสุรกาย ป่าช้าแม่อาง
 
ชื่อเสียงกิตติคุณของหลวงพ่อ เกษม เขมโก เมื่อครั้งที่ท่านยังไม่ละสังขารขันธ์ ขจรขจายเลื่องลือกว้างไกล ไปในหมู่พุทธบริษัท ณ ที่ท่านจำพรรษา มีพุทธศาสนิกชน ไปกราบไหว้สักการะด้วยความเคารพศรัทธาท่าน เนืองแน่นทุกวัน แม้จะไม่ได้ พบตัวท่าน ก็ขอได้กราบนมัสการ กุฏิหลังน้อย ที่ท่านพักผ่อน อยู่ภายใน ก็เกิดปีติปราโมทแล้ว

เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ผู้ใกล้ชิดที่สุด ได้มาจากบันทึกสั้น ๆ เป็นคำบอกเล่า ของเจ้าประเวท ณ ลำปาง ซึ่งเป็นหลานของท่าน มีความว่า....

เวลานั้นเจ้าประเวทบวชเป็นสามเณรคอยรับใช้อุปัฏฐาก หลวงพ่อเกษม อยู่ที่ป่าช้าแม่อาง ปฏิปทาของหลวงพ่อเกษม ท่านพอใจจำพรรษา ในป่าช้ามาโดยตลอด เสนาสนะของท่านคือกระต๊อบหลังเล็ก ๆ ที่ญาติโยมปลูกสร้างถวาย ขณะที่เกิดเหตุนี้ สามเณรประเวท นอนอยู่กับพระหวันอีกที่หนึ่ง (พระหวันบวชหน้าไฟเพียง ๗ วัน เนื่องจากบุพการีเสียชีวิต แล้วนำศพมาเผา ที่ป่าช้าแม่อาง ในวันนั้นพระหวันบวชแล้วก็ขออยู่ในป่าช้ากับหลวงพ่อเกษม)

เช้าวันรุ่งขึ้น... สามเณรประเวทมาหาหลวงพ่อเกษมที่กระต๊อบกุฏิเพื่อปรนนิบัติท่าน เมื่อพบหน้ากันหลวงพ่อเกษม ถามสามเณรหลานด้วยความสงสัย

"เมื่อคืนนี้ มาที่นี่หรือ? ใครบุกเข้ามาเมื่อคืนนี้ มาจับมือเรา"
"ผมไม่ได้ขี้นไปครับ ผมอยู่ข้างล่าง..." สามเณรเจ้าประเวทตอบตามความเป็นจริง
"ถ้าอย่างนั้น อสุรกายก็มาจับมือเรา...."

จากนั้นหลวงพ่อเกษมได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ให้สามเณรเจ้าประเวทฟังว่า

เมื่อคืนนี้เวลาประมาณตีหนึ่ง ขณะหลวงพ่อเกษมนั่งภาวนาอยู่ในกระต๊อบกุฏิ ท่านรู้สึกว่ามีมือใครคนหนึ่งเอื้อมมาจับข้อมือท่าน ซึ่งกำลังประสานฝ่ามือไว้บนหน้าตัก จับข้อมือไว้แล้วบีบเสียแน่น แม้จะมีผู้ล่วงเกินท่านขณะกำลังเจริญภาวนา หลวงพ่อเกษม ก็มิได้สะดุ้งหวั่นไหว ท่านคงเจริญภาวนาต่อไป โดยท่านเล่าว่า

"จับมือเราก็ให้จับ ภาวนาติ๊ก ๆ..." หมายถึงหลวงพ่อเกษมภาวนาไปเรื่อยๆ ครู่หนึ่งมือลึกลับ ที่มาจับข้อมือของท่าน ก็ถอนออกไป แต่ไม่ยังยอมผละจากไปเลย กลับมาบีบนวดที่เอวของท่านแทน จนท่านอดรนทนไม่ไหวเอื้อมมือ มาจับแขนนั้น เพื่อห้ามมิให้รบกวนท่านอีก สัมผัสที่หลวงพ่อเกษมรับรู้ก็คือแขนข้างนั้นรุงรังไปด้วยขนหยาบ ๆ แล้วแขนข้างนั้น ก็อันตรธานหายไป แต่มีเสียงกระซิบที่หูท่านว่า "อยู่ดี ๆ เน้อพ่อเน้อ..."
ต่อจากนั้นก็ไม่มีอะไรมารบกวนท่านอีกตลอดคืน ตราบได้อรุณของวันใหม่
เจ้าประเวทเล่าว่าตอนเช้าที่มาหาหลวงพ่อเกษมและถูกท่านซักถามดังกล่าวข้างต้น เจ้าประเวทยังจับข้อมือ ของหลวงพ่อเกษม มาดู เห็นรอยแดงเป็นจ้ำตรงข้อมือท่านชัดเจน

นี่คือประสบการณ์เกี่ยวกับวิญญาณ ที่หลวงพ่อเกษม เขมโก เล่าไว้เพียงเรื่องเดียวในอัตประวัติของท่าน อาจจะมีวิญญาณ ที่ทุกข์ทรมาน มาขอความเมตตาจากพระอริยะสงฆ์เช่นท่านอีกก็ได้ เพียงแต่ไม่เป็นที่เปิดเผยเท่านั้น....




หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 23:36:50
คิดสักนิด...ก่อนคิดจะลอง (ของ)
 
เรื่องของเรื่องเริ่มต้นจากตัวผมเอง เพราะ?? เพราะอะไรไม่รู้

  เหตุเกิดที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง แต่ก่อนที่จะเข้ามาศึกษาในมหาวิทยาลัยและเป็นส่วนหนึ่งนั้น ทางมหาลัยจะต้องมาการเข้ามาไหว้ขอขมาแก่เจ้าที่ ในบริเวณศาลภายในหาวิทยาลัย แต่เนื่องด้วยผมติดธุระจึงไม่สามารถมาไหว้ขอขมาในครั้งนั้น จึงเข้ามาศึกษาและอยู่อาศัยภายในมหาวิทยาลัยเลย (เรื่องที่เกิดตอนอยู่ปี 1)

  เหตุเกิดขึ้นที่หอพักนักศึกษาในมหาลัย เนื่องจากตัวอาคารเป็นอาคาร 2 ชั้นและมีอายุสิบกว่าปีแล้วจึงทำหใอคารค่อนข้างเก่าและทรุดโทรม วันที่เกิดเรื่องนั้น เพราะอะไรไม่รู้ ทำให้ผมพูดท้าทายสิ่งศักสิทธิ์ไปว่าภายในหอพักนักศ฿กษา "กูไม่กลัวผีหรอก กูอยากเห็นว่ะ ถ้ามีจิงมาให้กูเห็นหน่อยสิ" มันก็เป็นคำพูดเดิมๆของคนที่ชอบท้าทาย ซึ่งฟังกันมาบ่อยๆ และหลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรครับ จบ

ล้อเล่นน่ะครับ!!

  หลังจากนั้นผมก็ได้เข้านอนซึ่งภายในตัวห้องที่ผมพักอยู่นั้นเป็นเตียงสองชั้น มีอยู่ 2 เตียง ผมนอนอยู่เตียงทางติดประตูบานเกล็ดฝั่งซ้ายทางด้านบนโดยที่ห้องอยู่ได้4คน แต่เพื่อนๆย้ายไปอยู่หอนอกหมดแล้วทำให้ผมก็นอนค้างอยู่เพียงคนเดียว(ตอนนี้ยังพักอยู่ในชั้นที่ 1 ของพอพัก) ตอนนั้นดึกมากแล้ว และผมก็เริ่มง่วงในไม่ช้าผมก็หลับ และเหตุที่ผมไปพูดท้าทายไว้ก่อนนอนนั้น ตอนนั้นมันกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว ซึ่งตอนนั้นไม่รู้ว่าเวลาเท่าไหร่แต่รู้ว่าดึกมาก เพราะเงียบเสียงจากนักศึกษาภายในหอพักหมดแล้ว และไม่นานผมก็เริ่มรู้สึกอึกอัด ทั้งหนักทั่งแน่นอย่างบอกไม่ถูก ผมจึงพยายามดิ้นแต่ไม่เป็นผล เพราะมันสายไปแล้ว ผมลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย และทั้นใดที่ลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่ามีร่างดำๆมานั่งทับไว้ที่ตัวผมแล้ว โดยใช้ขาสองข้างของเค้าทับแขนผมไว้ และร่างดำๆนั้น ได้บีบคอผมไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
  ตอนนั้นผมไม่ง่วงแล้วครับ ผมก็พยายามสู่ดิ้นให้แรง แต่ก็ไร้ผลซึ่งผมก็พยายามดิ้นอยู่นาน แล้วก็เริ่มหายใจไม่ออก ผมจึงพูดในใจว่ากับเงาดำ "..คุณ..จะยังไง" แต่ก็ไม่มีการตอบรับ หนำซ้ำยังบีบคอผมจนหายใจไม่ออกแล้วในตอนนี้ ผมเองก็ไม่อยากจะพูดคำขอขมาเพราะจำได้ดีว่าไปกล่าวลบลู่เอาไว้ สุดท้ายเมื่อรู้ว่าไม่มีทางชนะและไม่มีอากาศให้หายใจต่อแล้ว เป็นทางเดียวที่คิดว่าทำแล้วจะรอดคือ ผมต้องพูดขอขมาตรงนั้น ทั้งที่ร่างดำๆยังทับอยู่บนยอดอก ผมพูดขึ้นว่า "ผมยอมแล้วครับ ผมไม่พูดแล้ว ปล่อยผมไปเถอะ อโหสิที่ผมพูดไม่ดีด้วยเถอะ." ซึ่งตอนนั้นผมพูดอะไรก็จำไม่ค่อยได้แล้วเพราะไม่มีอากาศหายใจ และหลังจากนั้นร่างดำๆที่ทับและบีบคอผมไว้ก็หายไปในความมืด
  ผมจึงลุกขึ้นมาจากเตียง หายใจยังติดๆขัดๆอยู่ หอบเลยทีเดียวเหงื่อแตกพรักเลย จึงลงจากเตียงมาล่างหน้าและนั่งรอเวลาให้ถึงตอนเช้า รุ่งเช้าก็อาบน้ำไปเข้าชั่วโมงเรียนตามปรกติ ทั้งที่เรื่องเมื่อคืนผมจำได้ว่าร้องให้คนช่วยแต่กลับไม่มีใครได้ยิน แปลก??? และเรื่องนี้ก็ไม่มีใครทราบ จนผ่านมาสัก 2 - 3 วันได้ เพื่อนสนิทผมเองชื่อโอ๋นครับ จบมาจากโรงเรียนเดียวกันห้องเดียวกันด้วย วันมันก็มานั่งคุยเล่นไปเรื่อยกับผมในห้องตอนนั้นเราคุยกันและเปิดไฟไว้ตลอด และเรื่องที่เกิดกับผมนั้นผมยังไม่ได้บอกอะไรกับมัน เราคุยกันไปได้สักพักเพื่อนผมมันก็เงียบไปผมก้มลงไปมองเตียงชั้นล่างซึ่งผมนอนอยู่ชั้นบนปรกติอยู่แล้ว ก็เห็นเพื่อนมันหลับไปแล้ว ตอนนั้นประมานสามทุ่มกว่าเมื่อเพื่อนมันหลับผมก็ไม่มีใครคุยด้วยก็เลยหลับไปอีกคนครับ นอนทั้งที่ไม่ปิดไฟ ปรกติถ้ามีแสงไฟผมจะนอนไม่หลับครับ จนกระทั่งเวลาประมาณห้าทุ่มกว่าไอ้โอ๋นเพื่อนผมมันตื่นขึ้นมาอย่างเสียงดัง(ผมไม่รู้ว่ามันหลับรึเปล่าและตื่นมาตั้งแต่ตอนไหน) จนทำให้ผมตื่นขึ้นมาด้วย มันทำท่าทำทางลุกลี้ลุกลน สีหน้ามันไม่ค่อยจะดีเลยในตอนนั้นแล้วมันก็.........บอกผมว่า
โอ๋น:เอ้ย! เมื่อกี้ผีบีบคอกูว่ะ ..คุณ..ไม่เห็นเหรอ ทำไม..คุณ..ไม่ช่วยกูว่ะ
ผม :ไม่เห็นว่ะกูหลับ กูไม่เห็นมีรัยเลย
โอ๋น:ไม่มีไงว่ะ เมื่อกี้ยังบีบคอกูอยู่เลย กูร้องให้ช่วย..คุณ..ไม่ได้ยินรึไงว่ะ
ผม:ไม่ว่ะ กูไม่ได้ยินอะไรเลย
โอ๋น:เอ้ย! เป็นไปได้ไงว่ะ กูเรียกให้ช่วยตั้งหลายครั้ง
ผม:ถ้าได้ยินเพื่อนห้องข้างๆเค้าก็มาช่วยแล้วสิว่ะ
โอ๋น:มันทำหน้างงๆ สีหน้าไม่ค่อยดีแล้ว กูไม่นอนเล่นแล้วห้องนี้
ผม:เออๆ ตามใจ..คุณ.. ก่อนมันจะลุกเดิน ผมบอกว่าเมื่อ 2 - 3 วันก่อนกูก็เจอเหมือนที่..คุณ..เจอมา
โอ๋น:ทำหน้างง ..คุณ..เจออะไรว่ะ
ผม:ผีบีบคอกูเหมือน..คุณ..เลย แต่กูไม่ได้บอก..คุณ..
โอ๋น:มันทำหน้าเสียแล้วรีบออกจากห้องผมไปเลย

หลังจากนั้นผมก็สวดมนต์ไหว้พระแล้วก็นอนทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่คิดในใจถ้าวันนี้ผีกลับมาบีบคอเราอีกจะทำไงว่ะ นอนคนเดียวด้วย เรื่องนี้ก็จบลง

  ไม่นานหนักพอดีเพื่อนในหอเดียวกันมาบอกว่าห้องว่างโดยมีเพื่อนคนนี้นอนอยู่คนเดียว เพื่อนคนนี้ชื่อป๋อง ผมจึงไม่รอช้ารีบย้ายของออกจากห้องเก่าทันที เพื่อไปอยู่กับเพื่อนห้องของเพื่อนมีลักษณะเช่าเดียวกับห้องผมเพราะเป็นหอพักนักศึกษา ห้องนี้อยู่กันได้ 4 คน แต่ผมอยู่กันแค่สองคนกับเพื่อน และห้องที่ผมย้ายไปเป็นห้องบ้วยหรือห้องสุดท้าย อยากจะบอกว่าห้องนี้มันแปลก เพราะเมื่อถึงหน้าหนาวอากาศมันหนาวสิครับ<---แปลกตรงไหนว่ะไอ้บร้า ก็มันหนาวยังกับห้องดับจิตเลยล่ะครับ แล้ว สี่ห้องสุดท้ายน่ะครับเวลาเดินผ่านจะรู้สึกว่ามันเย็นถึงขั่วหัวใจเลย นอนในห้องนี้สั่นๆทั้งคืนเลยครับ ถ้ามีเวลาว่างผมจะออกมานั้งตากแดดตรงระเบียงครับแต่มันไม่ช่วยอะไรสักเท่าไหร่เลย
  และเหตุการณ์ก็เกิด ในช่วงหน้าหนาว คือนั้นก็ปรกติดีอากาศกำลังดีเลย ผมเละเพื่อนๆจำได้ซื้อของมาทานกันในห้อง ซึ่งสองห้องของเรานั้นห้องจะตรงกันและมีทางเดินขั้นกลางเท่านั้น เมื่อเปิดประตูทั้งสองห้องก็จะเห็นภายในห้องทั้งสองได้เลย วันนั้นเราซื้อของมากินกันอย่างสนุก และเราก็เปิดประตูห้องไว้ เพราะว่ากลัวใครมาหาจะไม่เจอ จึงเปิดไว้ระหว่างสองห้อง ไม่นานเราก็กินอาหารจนหมด และผมก็เห็นคนสวมเสื้อดำเดินมามองหลบๆทางประตูนิดหน่อย เห็นเฉพาะช่วงบน แล้วเค้าคนนั้นก็หายไป เพราะผมลุกออกไปเปิดประตู่ตามไปดู ผมก็เอ๋ยปากว่า "เมื่อกี้ใครมาว่ะ หายไปไหนแล้ว มาหาพวก..คุณ..เปล่าว่ะ" มีผมกับเพื่อนอีกคนหนึ่งที่เห็นคนเสื้อดำนั้น แต่อีกสามคนที่นั่งด้วยกันกลับไม่เห็น แถมบอกว่ามีใครมาเมื่อไหร่ ทำไมเห็นกันแค่สองคนว่ะ เราก็ไม่ได้ติดความอะไร แต่ผมมานึกดูกับเพื่อนอีกคนที่เห็นก็รู้ว่าเมื่อครู่นี้คงไม่ใช่คนแล้วล่ะ พอตกดึกก็แยกย้ายกันเข้าห้อง ไม่นานหนักก็มีเสียงนกแซกมาร้องไกล้ๆห้อง เพื่อนผม ไอ้ป๋องมันก็พูดขึ้นว่าสงสัยคงจะมีใครตายอีกแล้ว ผมก็เงียบสักพักแล้วบอกว่าไม่มั่ง ไม่มีอะไรหรอก จากนั้นเราก็นอน เวลาประมาณตี3 แม่ของไอ้ป๋องโทรมาบอกว่า พ่อของมันเสียแล้ว โอ้ว!....อะไรกันนี้ ที่นกมันร้องเพราะเหตุนี้เหรอ แล้วคนเสื้อดำที่เห็นนั้นคงไม่ใช่ใครนอกไปจาก.....................

 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 23:39:42
หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม สอนผีให้รับศีล
 
       หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม แห่งวัดอรัญญวิเวกบ้านข่า ตำบลบ้านข่า อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม ท่านเป็นศิษยองค์สำคัญรูปหนึ่งของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต
หลวงปู่ตื้อ เป็นพระสุปฎิปันโน ผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ ปฎิบัติตรงต่อ องค์มรรคคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นิสัย, จิตใจของท่านเป็นคนจริง คนตรง คิดอย่างไรก็จะพูดอย่างนั้น ไม่นิยมปรุงแต่งถ้อยคำวาจาให้ไพเราะรื่นหู ดังนั้นการแสดงธรรมคำสอนของท่านจึงเผ็ดร้อนไม่มีอ้อมค้อมเยิ่นเย้อ ว่ากันว่าคนหน้าบาง หรือมีกิเลสครอบงำอย่างหนา เจอถ้อยคำวาจาของ หลวงปู่ตื้อ
เข้าถึงกับหูร้อนฉ่า ผิวหน้าผะผ่าวไปเลยทีเดียว
คำพูดของปลวงปู่ตื้อเป็นที่เลื่องลือว่าตรงไปตรงมา จี้จุดเข้าเป้าตรงเผ็ง ถ้าจะให้อุปมาก็คงเปรียบได้ดั่งขวานใหญ่คมกริบที่หวดกระน่ำเข้าผ่าท่อนฟืน เปรี้ยงเดียว ท่อนฟืนถูกผ่าตั้งแต่หัวยันท้าย
แยกกระเด็นเป็นสองซีกทันที
ปฎิปทาอันโลดโผนโผงผาง และตรงไปตรงมาของท่านนั้นเป็นจริตนิสัยที่ไม่มีการปรุงแต่งใดๆ ทั้งสิ้น ผิดหรือถูกชั่วหรือดีท่านแยกแยะจนกระจ่างชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องเทศนาสอนคนด้วยแล้ว ท่านสอนชนิดเผ็ดร้อนถึงใจทีเดียว หลวงปู่ตื้อมักพูดเสมอว่า
"เราเทศน์เรื่องจริง เราไม่เอาใจใคร เอาใจผู้คนก็เท่ากับเลี้ยงกิเลสให้อ้วนพี เรามีความจริงใจ
เราไม่ได้เทศน์เอาบุหรี่เกล็ดทองของใคร"

เช่นครั้งหนึ่ง หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม มีหมายกำหนดการไปเทศนา และอบรมกรรมฐานที่วัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ สานุศิษย์และศรัทธาญาติโยมไปประชุมกันเนืองแน่นเต็มศาลาใหญ่
ในวันนั้นหลวงปู่ตื้อเทศนาแสดงธรรมได้กระจ่างชัด ทั้งเบื้องต้น เบื้องกลาง กระทั่งปริโยสาน ท่านชี้ให้เห็นตัวทุกข์ เหตุแห่งความทุกข์ และวิธีจะดับทุกข์ได้อย่างไร พร้อมกันนั้นท่านยังอรรถาธิบายถึงความยึดติดยึดมั่นความเป็นตัวตนของกูตัวกูไม่ยอมปล่อยไม่ยอมวาง หากปล่อยวางเสียได้ จิตใจย่อมจะผ่องใสปลอดโปร่ง ความโกรธ ความโลภ ความหลงใดๆ ก็จะผ่อนคลายเบาบางและถึงขั้นอันตรธานสิ้นไป เหลืออยู่แต่ความเบาสบายในที่สุด
อุบาสก อุบาสิก ศรัทธาญาติโยมรับฟังแล้วและใช้ความคิดพินิจไตร่ตรองตามข้อธรรมที่ท่านแสดง ต่างบังเกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและเห็นจริงตามความเป็นจริง จิตใจเริ่มปล่อยวางจากความเป็นตัวตนของตน ไม่อยากยึดมั่นถือมั่นต่อไปอีก
อุบาสิกาท่านหนึ่ง มีความซาบซึ้งดื่มด่ำในธรรมที่หลวงปู่ตื้อแสดงอย่างยิ่ง เมื่อเทศน์จบลง
อุบาสิกาท่านนี้ก็คลานคล้อยเข้าไปเบื้องหน้าธรรมาสน์ที่ท่านนั่งแสดงธรรม พนมมือนมัสการกราบเรียนหลวงปู่ว่า " หลวงปู่เจ้าค่ะ อีฉันได้ฟังหลวงปู่เทศนาแล้ว เบากายเบาใจเหลือเกิน อีฉันปล่อยวางได้หมดแล้วเจ้าค่ะ"
"อนุโมทนาด้วยคุณโยม ที่เกิดดวงตาเห็นธรรม"
"อีฉันไม่ยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไปแล้วเจ้าค่ะหลวงปู่"
หลวงปู่ตื้อนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัดว่า
"อีตอแหล!"
สิ้นคำหลวงปู่ อุบาสิกาท่านนั้นถึงกับหน้าแดงก่ำทั้งโกรธทั้งอาย ต่อว่า
หลวงปู่ตื้อเสียงสั่นว่าทำไมท่านจึงมาด่าว่าตรนท่ามกลางสาธารณชนเช่นนี้ หลวงปู่ตื้อได้แต่หัวเราะหึๆ ไม่อธิบายโต้ตอบอะไร ขณะที่คนทั้งศาลา หัวเราะกันครืน
เพราะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า อุบาสิกาปล่อยวางอะไรไม่ได้เลย และยังยึดมั่นตัวตนของตนอย่างเหนียวแน่นครบถ้วน
นี่ละ...คือปฎิปทาโลดโผนโผงผางของหวงปู่ตื้อ

       หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม มีเหื่อนสหธรรมมิกที่สนิทกันอย่างมากรูปหนึ่ง ท่านผู้นั้นคือ หลวงปู่แหวน สุจณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่ ความสนิทสนมเป็นที่ถูกอัธยาศัยของหลวงปู่ทั้งสองนี้ออกจะเป็นเรื่องแปลกไม่น้อย เนื่องจากจริตนิสัยของแต่ละท่านห่างไกลกันชนิดสุดขั้ว
หลวงปู่ตื้อเป็นคนพูดจาโผงผาง ตรงไปตรงมาและพูดเก่ง แต่หลวงปู่แหวนไม่ชอบพูด วันทั้งวันไม่ได้ยินเสียงพูดของท่านเลยก็ว่าได้ หากไม่มีความจำเป็นท่านจะไม่พูด ทว่าท่านทั้งสองกลับถูกอัธยาศัยกันอย่างยิ่ง
หลวงปู่ตื้อพบกับหลวงปู่แหวนครั้งแรก ขณะที่ท่านทั้งสองเพิ่งจะเริ่มออกจาริกธุดงค์ได้ไม่นานและยังเป็นพระมหานิกายอยู่ ไปพบกันในป่าบนเทือกเขาภูพานโดยต่างฝ่ายต่างมาคนละทิศ หลังจากท่านทั้งสองสนทนาปราศรัยกันพอสมควรจึงทราบจุดประสงค์เหมือนกันอีกว่า ปรารถนาจะไปฝากตัวเป็นศิษย์ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต เพื่อศึกษาข้อธรรมกระทำความเพียงให้ถึงที่สุด เมื่อยังไม่มีวาสนาได้พบท่านพระอาจารย์ใหญ่ก็จะจาริกธุดงค์กระทำความเพียรไปเรื่อยๆ
เมื่อจะเป็นพระใหม่อ่อนพรรษา แต่พระหนุ่มทั้งสองรูปมีส่วนหนึ่งที่เหมือนกันคือ มีความองอาจกล้าหาญที่จะจาริกไปตามป่าเขาแนวไพรเพียงรูปเดียว เพื่อบำเพ็ญธรรมกระทำความเพียรอย่างแน่วแน่ มิได้หวั่นไหวพรั่นพรึงต่อความยากลำบากใดๆ ทั้งสิ้น
เมื่อหลวงปู่ทั้งสองต่างสบอัธยาศัยต่อกันยิ่ง จึงได้ตกลงร่วมทางจาริกไปยังฝั่งลาวด้วยกัน โดยออกจากเขตไทยทางอำเภอเชียงคานข้ามแม่น้ำโขงไปสู่ราชอาณาจักรลาว สมัยนั้นแผ่นดินลาวยังมีป่าอุดมสมบูรณ์ครอบ
คลุมไปทั่วประเทศ นับเป็นสถานรื่นรมย์ของพระธุดงค์กรรมฐานที่จะท่องเที่ยวจาริกไปเพื่อบำเพ็ญสมณธรรม
กระทำความเพียร
เหตุการณ์เผชิญวิญญาณ ซึ่งเป็นประสบการณ์ธุดงค์ของ หลวงปู่ตื้อและหลวงปู่แหวน ที่จะนำมาแสดงครั้งนี้ เกิดขึ้นคราวที่ท่านทั้งสองจาริกธุดงค์ ไปยังประเทศลาวและพม่า กระทั่งกลับคืนสู่ประเทศไทยทาง
"กอกะเรก" เข้ามายังอำเภอแม่สอดจังหวัดตาก เมื่อถึงแผ่นดินไทยแล้วท่านก็มุ่งหน้าสู่จังหวัดเชียงใหม่ เนื่องจากทราบข่าวว่าท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโตอยู่ที่เชียงใหม่ เส้นทางซึ่งหลวงปู่ทั้งสองจาริกไปนั้นผ่านป่ามาโดยตลอด
ไม่พบหมู่บ้านหรือผู้คนสัญจร แม้แต่คนเดียว
ระหว่างทางพบศาลาเก่าๆ หลังหนึ่งปลูกสร้างอยู่กลางป่า แสดงว่าคงมีหมู่บ้านไม่ไกลนัก ศาลาแห่งนี้ชาวบ้านคงปลูกสร้างไว้เพื่อให้เป็นที่พักชั่วคราวสำหรับคนเดินทาง หลวงปู่ตื้อกับหลวงปู่แหวนตกลงพักอยู่ที่ศาลานี้โดยแขวนกลดไว้ตรงมุมศาลาคนละฟาก คืนนั้นผ่านไปโดยปกติ เช้ารุ่งขึ้นท่านทั้งสองก็ออกโคจรบิณฑบาตไปที่หมู่บ้าน ได้อาหารกลับมาที่ศาลาแล้ว พอวางบาตรลงเท่านั้นก็เกิดเรื่องทันที
หลวงปู่แหวนซึ่งนั่งอยู่บนพื้นศาลา พลันมีกิริยาอาการผิดปกติขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ ท่านเอนตัวไปข้างหน้า เอมมือสองข้างยันพื้นกระดานไว้ ขากรรไกรแข็ง น้ำลายไหลยือ หน้าท้องก็แข็งไปหมด หลวงปู่ตื้อเห็นตอนแรกคิดว่าเพื่อน สหธรรมมิกเป็นลม จึงถามไปว่า
"ท่านแหวนเป็นอะไร"
หลวงปู่แหวนไม่ตอบ ได้แต่นั่งตัวแข็งน้ำลายไหลไม่หยุด คราวนี้หลวงปู่ตื้อ ฉุกคิดสงสัยขึ้นมาว่าคงไม่ได้การแน่ ท่านจึงฉุกคิดสงสัยขึ้นมาว่าคงไม่ได้การแน่ ท่านจึงกำหนดจิตเข้าสมาธิพิจารณาดูก็รู้ว่ามีผีบังอาจกระทำฤทธิ์กับหลวงปู่แหวน
เมื่อถอนจิตออกจากสมาธิแล้วหลวงปู่ตื้อยังไม่รู้จะกำราบปราบผีด้วยวิธีไหน เนื่องจากขณะนั้นท่านกับหลวงปู่แหวนยังฝึกจิต ไม่ถึงขึ้นมีอำนาจกล้าแข็งเท่าไหร่ วิชาอาคมอะไรก็ไม่ได้เรียนมา
แต่จะให้หลวงปู่ตื้อยอมพ่ายแพ้ต่อฤทธิ์อำนาจภูตผีวิญญาณง่ายๆ ย่อมมิใช่วิสัยของท่าน หลวงปู่จึงข่มขู่ด่าว่าผีที่กำลังกระทำต่อหลวงปู่แหวนไม่ยั้งกันหละ แต่ผีมันไม่กลัวท่านเอาเสียเลย หลวงปู่ตื้อต้องหาอุบายใหม่ จัดแจงหอบ ใบไม้แห้งมากองไว้แล้วจุดไฟ พอไฟลุกท่านก็เอาก้อนดินแห้งใส่เข้าไปเผาจนร้อน แล้วเอาไม้มาทำเป็น ไม้หนีบคีบดินร้อนๆ ขึ้นมา พลางขู่ผีเสียงดังลั่นว่า
"คราวนี้ ถ้าเจ้าไม่ออกจากร่างพระสงฆ์องค์เจ้า ไม่เกรงกลัวบาปกรรมละก้อเราจะเผาเจ้า"
ยื่นไม้หนีบก้อนดินร้อนฉ่าไปใกล้ๆ หน้าหลวงปู่แหวนเพื่อนข่มขู่ผีที่เข้าสิงท่าน แต่ผีมันยังไม่กลัวอีก
ขัดใจขึ้นมาหลวงปู่ตื้อไม่คิดแค่ขู่แล้ว หากเอาจริงๆ
"หากเจ้าไม่ออก เราจะเผาเจ้าด้วยดินจี่นี่ให้ดู"
ว่าแล้วหลวงปู่ตื้อก็เอาดินเผาไฟร้อนฉ่าวางลงบนศรีษะหลวงปู่แหวนจริงๆ ผีเจอเข้าแบบนี้มันถึงกับยอมออกไป หลวงปู่แหวนจึงกระดุกกระดิกได้ เมื่อรู้ตัวเป็นปกติแล้วหลวงปู่แหวนบอกแก่เพื่อนสหธรรมมิกของท่านสั้นๆ ว่า " มันเอาผมตายจริงๆ นะ ท่านตื้อ"
เช้าวันนั้น หลังจากฉันเสร็จ ล้างบาตรเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่แหวนเก็บอัฐบริขารเพื่ออกจาริกต่อไป
แต่หลวงปู่ตื้อไม่ยอมไป ท่านบอกกับหลวงปู่แหวนว่า
"ท่านแหวนไปรอข้างหน้านะ ผมจะจัดการกับผีตนนี้สักหน่อย"
หลวงปู่แหวนไม่ยอมอยู่ด้วย เก็บอัฐบริขารเสร็จก็เดินล่วงหน้าไปเพียงลำพัง ปล่อยให้หลวงปู่ตื้อรับมือกับผี ที่ศาลากลางป่าเพียงรูปเดียว
ตลอดวันนั้นหลวงปู่ตื้อนั่งเจริญสมาธิ เดินจงกรมอยู่ศาลา กลางป่าเป็นปกติ กระทั่งเวลาล่วงเข้าสายัณห์สมัย ท่านก็ทำวัตรสวดมนต์อันเป็นกิจของสงฆ์ จากนั้นจึงเข้าที่ภาวนาภายในกลด กำหนดจิตเข้าสู่สมาธิตามลำดับ เมื่อ จิตรวมเป็นหนึ่งเดียวก็บังเกิดแสงโอภาสสว่างไสวไปทั่ว
ขณะอยู่ในสมาธิได้เกิดนิมิตเป็นผีผู้หญิงผุดขึ้นมาเบื้องหน้า และผีตนนั้นก็ดิ่งเข้ามาหาหลวงปู่ตื้อด้วยกิริยาไม่น่าไว้วางใจ วิสัยของหลวงปู่ตื้อท่านไม่เคยหวาดหวั่นพรั่นพรึงต่อสิ่งใดอยู่แล้ว เมื่อเห็นผีตรงรี่เข้ามาหาท่านจึงเพิ่งจิตเข้าหยุดมันให้ชะงักงัน แล้วท่านก็ถามว่า " เจ้ามาจากไหน จึงกล้าล่วงเกินต่อพระภิกษุผู้ทรงศีล"
ผีนางนั้นตอบว่า "ฉันตายทั้งกลม ลูกตายทั้งกลม ลูกตายในท้อง เขาเอามาฝังไว้ที่นี่"
หลวงปู่ตื้อถามอีกว่า "เจ้าใช่ไหมที่กระทำต่อพระภิกษุ" ผีก็รับว่า "ใช่"
ท่านถามต่อไปอีกว่า " ทำไมบังอาจกระทำเช่นนั้น ไม่รู้หรือว่าเป็นบาปกรรม"
ผีตอบว่า "ฉันชอบพระรูปนั้น ท่านสวยดี ฉันจะเอาพระรูปนั้นไปเป็นผัว"
หลวงปู่ตื้อได้ฟังแล้วก็เกิดความสลดสังเวช พิจารณาเห็นภัยแห่งกามกิเลส ซึ่งร้อยรึดมัดตรึงจิตใจของสัตว์โลกให้ตกต่ำมืดอยู่กับดำกฤษณา ไม่รู้ดีรู้ชั่วถึงเพียงนี้ ดูเช่นผีตายทั้งกลมนางนี้เอาเถิด ขนาดตายไปผุดเกิดอยู่ในภูมิอัน เป็นทุกข์ ก็ยังไม่วายจะเกิดอารมณ์ปฎิพัทธ์รักใคร่พระภิกษุที่ตนพึงใจอย่างหน้ามืดตามัว ไม่กลัวบาปกรรมใดๆ ทั้งสิ้น
หลวงปู่ตื้อเห็นนางผีมีอกุศลเช่น ท่านจึงว่ากล่าวให้รู้ว่าเจตนา และการกระทำของมัน ที่ล่วงเกินพระภิกษุผู้กำลังบำเพ็ญสมณธรรมเพื่อการหลุดพ้นจากสังสารวัฎเช่นนี้เป็นบาปกรรมอันหนักยิ่ง ตนเองเป็นผีเป็นเปรตได้รับทุกขเวทนาสาหัสอยู่แล้วยังอยากจะตกนรกหมกไหม้หนักเข้าไปกว่าเดิมอีกหรือ หลังจากชี้แจงแสดงเหตุผลให้เห็นถึงบาปบุญคุณโทษแล้ว หลวงปู่ตื้อก็ให้ผีตายทั้งกลมรับศีลไปปฎิบัติรักษา เพื่อจะได้มีโอกาสไปผุดเกิดในภพภูมิอันประเสริฐยิ่งกว่าที่เป็นอยู่
นี่ละ คือ หลวงปู่ตื้อ แม้แต่ผีท่านก็ยังให้รับศีลจนได้
ผีตายทั้งกลมนางนั้นหลังจากได้รับการอบรมจากหลวงปู่ตื้อ มิจฉาทิฐิก็ผ่อนคลายลง เริ่มรู้ดีรู้ชั่วมากข้นกว่าเดิม ผีสารภาพว่าไม่รู้หลวงปู่แหวนเป็นพระภิกษะ เห็นท่านสวย ผิวขาวผ่องใส ก็เกิดนึกรักอยากจะให้มาอยู่ด้วยกัน
แสดงว่าขณะที่ผีตนนั้นเป็นมนุษย์คงไม่รู้จักพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เป็นคนบ้านป่าถิ่นเถื่อนห่างไกลความเจริญอย่างแท้จริง
หลวงปู่ตื้อพักอยู่ที่ศาลาแห่ง นี้เป็นเวลา 1 เดือนเต็มๆ ตลอดระยะเวลาเหล่านั้นท่านแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้ผีตายทั้งกลมสม่ำเสมอ และสอนนางผีตนนั้น ให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ กระทั่งจิตวิญญาณอ่อนโยนลง
คร้นเห็นผีเกิดกุศลความดีขึ้นในจิตพอสมควรแล้วจึงสั่งสอนเป็นครั้งสุดท้ายว่า
"ตั้งแต่นี้ต่อไป เจ้าจงอย่างกระทำล่วงเกินพระธุดงค์ที่จาริกผ่านมาเป็นอันขาด เห็นท่านพบท่านจงอนุโมทนาสงเคราะห์ทุกรูป ทุกองค์ไป"
จากนั้นหลวงปู่ตื้อก็เก็บอัฐบริขารจาริกออกจากศาลากลางป่าติดตามหลวงปู่แหวนไปที่เชียงใหม่ เมื่อพบหลวงปู่แหวนแล้วท่านทั้งสองพากันไปกราบนมัสการพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ซึ่งขณะนั้นจำพรรษาอยู่ที่เชียงใหม่ และถวายตัวเป็นศิษย์ท่านตั้งแต่บัดนั้น......



หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 23:40:47
เมื่อหลวงปู่ศุข เจอผีสมภารวัดร้างลองดี

(http://images.thaiza.com/32/32_20070606154836..jpg)
หลวงปู่ศุข เกสโร (พระครูวิมลคุณากร)
วัดปากคลองมะขามเฒ่า ตำบลมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท

เป็นพระอาจารย์ที่เคารพนับถือของ พล.ร.อ.พระบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตต์อุดมศักดิ์ พระบิดาแห่งกองทัพเรือ ท่านเป็นพระอภิญญาที่ทรบงบารมีธรรม และทรงคุณวิเศษในเวทวิทยายากจะหาผู้ใดเทียบเท่า

ตลอดช่วงชีวิตแห่งการครองเพศสมณะ เชื่อได้ว่าหลวงปู่ศุขย่อมมีประสบการณ์เผชิญกับวิญญาณมาไม่น้อย เพียงแต่ท่านไม่เปิดเผยให้ผู้ใดมีโอกาสได้รับรู้ นอกจากเรื่อง
"ผีสมภารวัดร้าง" ซึ่งนายยอด สุขทอง ลูกศิษย์คนหนึ่งของท่านรับฟังมาและนำมาเล่าต่อ ดังมีรายละเอียดดังนี้

ครั้งนั้นหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่าจาริกธุดงค์ ไปนมัสการพระพุทธบาทจังหวัดสระบุรี เมื่อท่านได้ถวายอภิวาทต่อรอยพระบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความปิติอิ่มใจแล้วจึงได้เดินธุดงค์กลับวัดปากคลองมะขามเฒ่าของท่าน ระหว่างเดินทางกลับ

ท่านได้จากริมาพบวัดร้างแห่งหนึ่งในเวลาเย็นย่ำสนธยา ซึ่งถึงกาลอันสมควรหาสถานที่เหมาะสมเพื่อปักกลด หลวงปู่ศุข พิจารณาวัดร้างแห่งนี้เห็นว่าพอจะอาศัยเป็นสถานที่พักผ่อนในราตรีกาลที่จะมาถึงได้ ท่านจึงแบกกลดเข้าไปในเขตธรณีสงฆ์แห่งนั้น

บริเวณทั่วไปของวัดร้างสงัดเงียบ มีโบสถ์ ศาลาการเปรียญและกุฎิ พระครบสมบูรณ์ เพียงแต่ปราศจากพระเณรจำพรรษาคอยดูและรักษาทำนุบำรุง เสนาสนะต่างๆ ดังนั้นศาสนสถานโดยทั่วไปจึงชำรุดทรุดโทรมผุพังเป็นที่น่าสังเวช หลวงปู่ศุขรู้สึกแปลกใจระคนสงสัยทีวัดนี้ ไม่ควรจะปล่อยร้างวังเวงดังที่เห็น เพราะสังเกตดูที่ตั้งขอวัดก็อยู่ในพื้นภูมิทำเลที่เหมาะสม ไม่ใกล้ไม่ไกลจากหมู่บ้านชุมชนเท่าไหรนัก เหตุใดจึงขาดผู้มีจิตกุศลศรัทธาอุปัฎฐากพระเณรถึงเพียงนี้

หลวงปู่เพียงแค่สงสัย แต่ไม่คิดใฝ่ใจใคร่รู้สาเหตุที่มาของวัดร้าง ท่านจึงมองหาที่พักสำหรับคืนนี้ เห็นบริเวณระเบียงด้านหน้ากุฎิหลังใหญ่ดูกว้างขวาง และเปิดโล่งโปร่งสบายก็ตรงไปยังที่น้น วางอัฐบริขารลง แล้วไปเก็บแขนงไม้มารวมกันปัดกวาดพื้นให้สะอาดพอปูอาสนะได้

ขณะที่หลวงปู่ศุขกำลังปัดกวาดอยู่นั้น มีชาวบ้านเป็นชาย 2 - 3 คน เดินมาหาท่านแล้วนังยกมือไหว้นมัสการ คนที่มีอาวุโสที่สุดถามขึ้นว่า "หลวงพ่อมาจากไหนขอรับ" พวกกระผมเห็นหลวงพ่อเดินลัดตัดทุ่งตรงมาที่นี่ จึงรีบมาพบ"
"อาตมาไปนมัสการพระพุทบาทสระบุรีมา กำลังจะกลับวัดปากคลองมะขามเฒ่า คืนนี้คงต้องพักที่วัดนี้ชั่วคราว พวกโยมเป็นคนบ้านี้กระมัง"

"ใช่ขอรับ กระผมเองอยูเลยหลังวัดนี้ไปไม่เท่าไหร่ เอ้อ หลวงพ่อขอรับ ท่านพักอยู่ตรงระเบียงหน้ากุฎินี้เห็นทีจะไม่เหมาะสมกระมังครับ"
"ทำไมหล่ะโยม อาตมาเห็นว่าเป็นวัดร้างไม่มีใครดูแลเป็นเจ้าของจึงไม่ได้ขออนุญาตใคร"

" ไม่ใช่เรื่องขออนุญาต หรือไม่ขออนุญาตหรอกขอรับ แต่พวกกระผมเป็นห่วงหลวงพ่อ กลัวว่าหลวงพ่อจะเจอเรื่องไม่ดีไม่งามเข้าตอนกลางค่ำกลางคืน "
"เรื่องไม่ดีไม่งามที่โยมว่านั่นน่ะ มันเรื่องอะไร" ชายสูงวัยทำท่าอึกอักก่อนจะตัดสินใจไปกราบเรียน "ผีที่นี่เฮี้ยนเหลือกำลังขอรับหลวงพ่อ สาเหตุที่วัดนี้กลายเป็นวัดร้าง ก็เพราะผีดูนี่แหละครับ กระผมเองเคยเป็นมัคทายกวัดนี้รู้เรื่องดีเชียวละ"

แล้วอดีตมัคทายกก็เล่าเรื่องผีวัดร้างให้ปลวงปู่ฟังว่า เมื่อก่อนวัดนี้มีพระเณรจำพรรษาไม่เคยขาด ชาวบ้านร้านตลาดมาทำบุญทำทานกันตลอดเวลา
ต่อมาสมภารเจ้าวัดมรณภาพ ยังไม่ทันจะหาสมภารรูปใหม่มาปกครองดูแลวัด ผีสมภารเปิดฉากออกอาละวาดหลอกหลอนแทบทุกคืนจนพระเณรอกสั่นขวัญหาย แม้ชาวบ้านจะร่วมกันทำบุญแผ่กุศลสักเท่าไหร่ ผีสมภารก็ไม่ยอมไปผุดไปเกิด ยังคงหลอกหลอนเหมือนเดิม กระทั่งพระเณรทนไม่ไหวพากันหนีหายย้ายไปอยู่วัดอื่นหมด

เคยมีพระใหม่ใจกล้ารับอาสาจะมาช่วยบูรณะวัดฟื้นฟูวัด แต่อยู่ได้ไม่กี่วันก็หอบอัฐบริขารจากไป เพราะผีสมภารเล่นงาน
หลวงปู่ศุขรับฟังอดีตมัคทายกวัดเล่าเรื่อผีสมภารโดยสงบมิได้แสดงความคิดเป็นแต่ประการใด เมื่อมัคทายกกราบเรียนแนะนำให้ท่านย้ายที่ปักกลดไปอยู่นอกเขตวัดจะดีกว่า ท่านก็เฉยเสีย บอกแต่เพียงว่าคงไม่เป็นไร เพราะท่านมาอาศัยคืนเดียวแล้วก็ไป ผีสมภารคงไม่ทำอะไร เมื่อหลวงปู่ยืนยันเช่นนี้ ชาวบ้านก็จำต้องนมัสการกราบลากลับไป ทั้งที่ห่วงใยท่านจะทานวิญญาณร้ายของสมภารเจ้าวัดที่ตายไปไม่ไหว

หลวงปู่กางกลด จัดวางบริขารและปูอาสนะเรียบร้อย เมื่อความมืดของราตรีมาเยือน วัดก็ยิ่งวังเวงหนักขึ้น หลวงปู่ไหว้พระสวดมนต์ทำวัตรเย็นตามกิจของท่านแล้วเข้ากลด เจริญสมาธิภาวนาเช่นที่เคยปฎิบัติมา โดยไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น

ตราบกระทั่งดึกสงัด ก็ปรากฎเสียงบานหน้าต่างของกุฎิหลังใหญ่กระแทกเปิดปิดดังสนั่น ทั้งๆ ที่ประตูหน้าต่างใส่ดาลลั่นกลอนปิดสนิท จะเป็นเพราะลมก็ไม่ใช่เพราะเวลานั้นลมสงบเงียบเชียบ

หลวงปู่ศุข กำลังพักผ่อนต้องลุกขึ้นมานั่ง คอยดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไปอีก ท่านก็ไม่ต้องคอยนาน เมื่อตรงหน้ากลดนั้นร่างดำมึนดูทะมึนของสมภารวัดได้ผุดวูบขึ้นมาให้เห็นถนัดชัดเจน พร้อมกับพูดขึ้นด้วยเสียงแหบห้าวดุจไม่พอใจ
" มาทำไม?"

"ผมไปรุกขมูลมา จะขออาศัยนอนที่นี่สักคืน" หลวงปู่ศุข ตอบ
ผีสมภารนิ่งแล้วหายวับ คราวนี้เกิดเสียงดังโครมครามสนั่นหวั่นไหว ภายในกุฎิไม่ยอมหยุด ประหนึ่งต้องการขับไล่หลวงปู่ศุข ทว่าหลวงปู่มิได้หวั่นไหวต่อการแสดงฤทธิ์ของผีสมภาร

ยิ่งไปกว่านั้น ท่านยังรู้สึกสงสารเวทนาต่อดวงวิญญาณมิจฉาทิฐิที่หลงวนเวียนยึดเหนี่ยวในสถานที่นี้ไม่ยอมไปผุดไปเกิดในภพภูมิที่ดีกว่า ทั้งๆที่บวชเรียนในพระพุทธศาสนามานานถึงขึ้นเป็นสมภารเจ้าวัด

หลวงปู่ศุขสำรวมจิตแผ่เมตตาไปให้ แต่เสียงสนั่นหวั่นไหวภายในกุฎิ ก็ไม่ยอมหยุด สวดมนต์อีกหลายบท ผีสมภารก็ยังไม่รับรู้ มิหนำซ้ำ ผีสมภารยังมาปรากฎร่างยืนตระหว่างตรงหน้ากลด แผดเสียงหัวเราะเย้ยหยันแล้วคำรามลั่นบอกว่า "ไม่กลัวหรอก มีคาถาอะไรก็ว่ามาอีกซิ"

หลวงปู่ศุขเห็นผีสมภารดื้อด้านถึงเพียงนี้ ท่านจึงกล่าวออกมาดังๆว่า
"อนิจจาเอ๋ยไม่เคยเห็น ผีตายหรือจะสู้กับผีเป็น นะโมพุทธายะ"

ด้วยถ้อยคำประโยคนี้ ผีสมภารก็หายวับไปไม่มีเสียงโครมครามใดๆ ตามมาอีก และหลวงปู่ศุขก็ไม่ใส่ใจสนใจอีกต่อไป เอนกายลงพักผ่อนตามปกติของท่าน
เช้าวันรุ่งขึ้นอดีตมัคทายกและชาวบ้านกลุ่มใหญ่รีบมาที่วัดแต่เช้า เห็นหลวงปู่ศุขเป็นปกติดีไม่มีอะไร ต่างปีตีดีใจเข้ามากราบไหวันมัสการสอบถาม ว่าเมื่อคืนมีเหตุการณ์ร้ายๆอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ หลวงปู่ไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มๆ ทำนองมิให้ซักไซร้ให้มากความ ชาวบ้านจึงไม่กล้าละลาบละล้วงถามอีก

จากนั้นก็กลับไปจัดหาภัตราหารเช้ามาถวาย
เมื่อท่านกระทำภัตกิจเรียบร้อย ชาวบ้านนิมนต์ให้ท่านพักอยู่ที่นี่ก่อน เพื่อพวกเขาจะได้มีโอกาสทำบุญสร้างกุศลกันบ้าง หลวงปู่ศุขก็เมตตารับนิมนต์
หลวงปู่พำนักอยู่ที่กุฎิร้างของสมภารเก่า ๕ คืน ไม่กรากฎมีผีสมภารออกอาละวาดอีกเลย

ท่านเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วจึงเก็บอัฐบริขารเพื่อเดินทางต่อไปชาวบ้านอ้อนวอนให้ท่านเป็นสมภารวัดร้างแห่งนี้ แต่หลวงปู่ไม่อาจรับศรัทธาญาติโยมข้อนี้ได้






หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 23:44:21
เขตหวงห้ามเกี่ยวกับเรื่องพญานาค
 
ท่านที่เดินทางผ่านจังหวัดเพชรบูรณ์บ่อย ๆ อาจเคยเห็นปั๊มน้ำมันร้างแห่งหนึ่ง มีขนาดใหญ่โตกว้างขวาง มีทั้งบ้านพักเจ้าของและสำนักงาน มีมินิมาร์ท อีกทั้งทำเลก็ไม่เลวนัก แต่ทำไมผู้เป็นเจ้าของจึงเลิกกิจการปล่อยทิ้งทรุดโทรมไว้เช่นนั้น

แรกเริ่มเดิมทีนั้น บริเวณแถบดังกล่าวยังไม่ค่อยมีผู้ไปจับจองทำประโยชน์นัก
มีสภาพเป็นป่าละเมาะกลาย ๆ ต่อมาเมื่อความเจริญขยายตัวขึ้น ผู้คนก็มองหาที่ดินทำมาหากิน แล้วก็เลยมาครอบครองที่บริเวณนี้ เพื่อใช้ในการเลี้ยงสัตว์ โดยมีการสร้างคอกเลี้ยงวัวไว้ ซึ่งดูๆ ไปก็เหมาะสมดี เพราะไม่ไกลจากตัวหมู่บ้านเท่าใดนัก

แต่เขาหารู้ไม่ว่า ที่ดินที่มีสภาพปกตินี้ มีความน่ากลัวแฝงอยู่

โดยในยามดึก ฝูงวัวในคอกจะมีอาการตื่นกลัวโดยหาสาเหตุไม่ได้ มันทั้งร้องและตะกายคอก ไม่เป็นอันหลับนอน จนเจ้าของต้องมานอนเฝ้าดูแล แต่แล้วคนเฝ้าเองก็กลับฝันร้ายทุกคืน หนัก ๆ เข้าก็ทนไม่ไหว จึงต้องถอนวัวออกไปเลี้ยงยังเนินที่อยู่ห่างออกไปจาก เดิม

ติดกับบริเวณที่เคยเป็นคอกวัวนั้น มีสระน้ำที่มีน้ำใสเต็มเปี่ยมตลอดปีแม้ในยามแล้ง ริมสระมีต้นโพธิ์และต้นไทรใหญ่ขึ้นอยู่อย่างละต้้น มีเหตุการณ์แปลก ๆ ที่เกิดขึ้นต่อสายตาชาวบ้านเป็นประจำ เช่น พอถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ จะมีลูกไฟลอยขึ้นจากพื้นดินและสระน้ำ วันดีคืนดีก็จะมีงูใหญ่เลื้อยผ่านหมู่บ้าน แล้วเลื้อยลงสระน้ำหายไปอย่างไร้ร่องรอย ในช่วงฤดูฝน แม้ท้องฟ้าจะโปร่งใส แต่ก็มีสายฟ้าฟาดดังกัมปนาทจนแผ่นดินสะเทือน

ที่ดินบริเวณนี้แม้จะมีผู้ปันส่วนจับจองหลายคน แต่ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะกล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยว ต่างรู้ถึงอาถรรพณ์ที่แฝงอยู่ในที่ดิน หากทว่าทุกคนก็เงียบไม่ปริปากให้คนภายนอกได้รับ รู้ เพราะกลัวที่ดินจะไร้ราคานั่นเอง

หลายปีผ่านไป มีนายทหารยศพันตรีจากต่างถิ่น ผ่านมาเห็นที่ดินผืนนี้เข้าก็เกิดความพอใจ ติดต่อขอซื้อจากชาวบ้าน แต่มีเงื่อนไขว่าต้องถากถางปรับพื้นที่ดินให้
ราบเรียบเสียก่อน เจ้าของที่ดินต่างก็ดีใจที่จะได้รับเงินโดยไม่คาดฝัน จึงเอารถไถมาช่วยกันขับปรับที่ แต่พอรถไถแล่นมาถึงต้นโพธิ์ ต้นไทรทีไร เครื่องยนต์ก็ดับทุกที ทั้ง ๆ ที่ตรวจดูเครื่องยนต์ก็เรียบร้อยดี

เมื่อนึกถึงคำเล่าของคนเก่าแก่ที่บอกว่า ที่ดินผืนนี้มีอาถรรพณ์ จึงเกิดมีคนอุตริคิดแก้อาถรรพณ์ โดยนุ่งแต่กางเกงในขับรถไถ ปรากฏว่าเครื่องรถไถทำงานได้โดยไม่ติดขัด แต่ยังไม่ทันใช้งานได้มากนัก ก่อนบ่ายสามโมงก็มีข่าวแจ้งมาบอกให้หยุดการทำงานทุกอย่าง เพราะผู้พันรถคว่ำ...เสียชีวิตแล้ว!

เรื่องยังไม่จบเพียงแค่นี้ เนื่องจากนายคนที่อุตริขับรถไถโดยนุ่งกางเกงในตัวเดียว อยู่ ๆ ก็เกิดล้มป่วยลงอย่างกะทันหันในวันรุ่งขึ้นนั่นเอง หมอมาดูอาการก็ไม่พบสาเหตุ อาการทรุดหนักลงเรื่อยๆ สองสามวันต่อมาก็ถึงขั้นอาเจียนเป็นเลือด แล้วก็สิ้นใจ

สิ่งที่เกิดขึ้นยิ่งย้ำเตือนถึงความเชื่อของชาวบ้าน

อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่องดังกล่าวซาลงไป ก็มีญาติต่างถิ่นของชาวบ้านมาเยี่ยมเยียน แล้วเกิดชอบใจที่ดินแปลงนั้น โดยไม่ฟังคำตักเตือนของญาติ ๆ ความโลภได้เข้ามาบังตาจนไม่ฟังเสียงใด เขาวางแผนสร้างปั๊มน้ำมันใหญ่โต กะจะร่ำรวยมหาศาล หลังจากตกลงซื้อขายที่ดินจากญาติได้ในราคาถูกเหมือนได้เปล่า เขาก็ลงมือดำเนินการก่อสร้าง มีทั้งบ้านพักและมินิมาร์ท สมบูรณ์เพียบ

เมื่อเริ่มเปิดบริการ สิ่งประหลาดก็เกิดขึ้น นั่นคือ รถบางคันทำท่าจะเลี้ยวเข้ามาในปั๊ม แต่แล้วก็หันหัวออกไปเหมือนเข้าใจผิดอะไรบางอย่างราว กับไม่มีปั๊มอยู่ตรงนั้นงั้นแหละ จากเพียงแค่คันสองคันในระยะแรก ต่อมาก็กลายเป็นรถแทบทุกคัน ที่แล่นผ่านไปเติมน้ำมันในปั๊มที่อยู่ถัดไป เล่นเอาเจ้าของปั๊มหน้ามืด กิจการที่ลงทุนไปมากมาย มีเค้าว่าจะล้มละลาย

ในที่สุด เจ้าของปั๊มก็หันไปพึ่งพระภิกษุสายวิปัสสนากรรมฐาน ทั้ง ๓ รูปที่อยู่คนละแห่งต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ที่ดังกล่าวมีลักษณะเป็นประตูสู่บาดาลของพญานาคสามเศียร ท่านพิโรธที่ไปสร้างปั๊มบดบังสถานที่บำเพ็ญเพียรของท่าน
จึงบันดาลให้ผู้ผ่านไปมามองไม่เห็นปั๊ม และเนื่องจากบริเวณนั้นเป็นที่สถิตของท่านมาช้า นาน การแก้ไขคงจะกระทำไม่ได้ มีแต่จะต้องรื้อถอนปั๊มออกไป

และก็ด้วยเหตุการณ์ดังกล่าวนี้เอง ปั๊มแห่งนี้จึงได้ปิดกิจการ
และปล่อยร้างตั้งแต่นั้นมา

อ้อ...ก็ไม่ถึงกับร้างเสียเลยทีเดียวเพราะบางวันบางคืน ชาวบ้านจะเห็นหญิงชายวัยชราแปลกหน้าเดินจงกรมอยู่ในบริเวณนั้น แล้วลงสระหายไป



 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 23:44:55
ตำนานเร้นลับแห่ง "ถ้ำจอมพล"
 
         อีกหนึ่งตำนานความเชื่อที่เกี่ยวโยงกับความเร้นลับของสถานที่หนึ่งในอำเภอจอมบึง จ.ราชบุรี ที่นั่นมีเรื่องราวเล่าขานเกี่ยวกับอาถรรพณ์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในถ้ำแห่งหนึ่ง ถ้ำแห่งนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพราะในอดีตได้มีพระมหากษัตริย์ไทยถึง 3 พระองค์ รวมทั้งเชื้อพระวงศ์เคยเสด็จประพาส
         ถ้ำจอมพล มีตำนานความเร้นลับและอาถรรพณ์เกิดขึ้นมากมาย ที่มาของชื่อถ้ำจอมพลได้รับการพระราชทานนามจาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อคราวที่พระองค์ท่านได้เสด็จฯพร้อมด้วยสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ มาเยือนที่ถ้ำแห่งนี้ เมื่อปีพุทธศักราช 2438 ทรงทอดพระเนตรความงดงามตามธรรมชาติภายในถ้ำ ซึ่งมีหินงอกหินย้อยที่วิจิตรพิสดาร จึงทรงจินตนาการไปว่าสวยงามราวกับริ้วไหมอินทรธนูบนบ่าของท่านจอมพลสมัยก่อน พระองค์ยังทรงสลักพระปรมาภิไธย จปร.114 ไว้ตรงปากทางเข้าถ้ำก่อนเสด็จกลับ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า ครั้งหนึ่งพระองค์เคยเสด็จฯมาเยือน

          นอกจากรัชกาลที่ 5 แล้ว มาถึงสมัยรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เคยเสด็จประพาสที่ถ้ำจอมพลถึง 2 ครั้งเช่นกัน โดยครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2457 พระองค์ได้นำพลเสือป่ามาซ้อมรบ ณ บริเวณนี้ และครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ.2457 ในคราวเสด็จฯวางศิลาฤกษ์โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ได้ทรงหยุดประทับเพื่อเสวยพระกระยาหารกลางวันที่สวนรุกขชาติหน้าถ้ำจอมพล
          ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ก็เคยเสด็จฯพร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ และสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ มาประพาสที่ถ้ำจอมพลพร้อมทั้งได้ทรงปลูกต้นสัก กัลปพฤกษ์ และต้นนนทรีไว้เป็นที่ระลึก พระองค์ยังทรงสลักสัญลักษณ์พระปรมาภิไธย ภปร.99 ไว้บนหินผาบริเวณปากทางเข้าถ้ำ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2499
         ถ้ำจอมพลนี้ ข้างในถ้ำยังมีพระนอนอันศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนนิยมมาสักการะ ถ้ำนี้มีขนาดกว้าง 30 เมตร ยาว 240 เมตร สูง 25 เมตร มีบันไดทางขึ้นสู่ถ้ำ 57 ขั้น ภายในมีหินงอกหินย้อยสวยงาม และมีชื่อเรียกอย่างไพเราะ เช่น ผาวิจิตร แส้จามรี ธาตุเนรมิต บรมอาสน์ มัสยาสถิตย์ เกศาสยาม สร้อยระย้า และประสิทธิ์เทวา ซึ่งนอกจากความสวยงามของถ้ำแล้ว ภายในถ้ำจอมพลยังมีเรื่องเล่าถึงอาถรรพณ์มากมาย โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับ หินฤาษี และ รูปปั้นฤาษี

          หินฤาษี นี้เป็นก้อนหินที่มีรูปร่างประหลาด คล้ายฤาษีกำลังนั่ง แล้วยิ่งมีผู้เอาผ้าลายหนังเสือไปห่มคลุม ก็เลยยิ่งดูขลังไปกันใหญ่ ชาวบ้านแถบนี้เรียกหินฤาษีว่า พ่อปู่ฤาษี ทุกคนเชื่อว่าท่านมีความศักดิ์สิทธิ์ บันดาล โชคลาภ และความสุขความเจริญมาให้ เล่ากันว่าพวกนายหน้าค้าที่ดินชอบมาบนบานและมักประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะเรื่องเลขหวยนั้น เขาบอกว่าท่านมักให้อย่างแม่นยำโดยเฉพาะคนต่างถิ่น ทุกๆงวดจะเห็นมีคนเอาของมาแก้บน เป็นผลไม้ หมากพลู และผ้าลายหนังเสือ
         นอกจากนี้ใกล้ๆหินพ่อปู่ฤาษีก็ยังมีหินที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายคน 2 คน กำลังยืนกอดกัน ซึ่งชาวบ้านเล่าให้ฟังว่า ก้อนหินทั้งสองนี้เป็นแม่ลูกกัน แล้วยังมีหินอีกก้อนที่มีลักษณะเหมือนคน ซึ่งเขาบอกว่าเป็นพ่อ และมีตำนานเล่าว่า พ่อ แม่ ลูก ครอบครัวนี้ถูกพ่อปู่ฤาษีสาปให้กลายเป็นหิน จึงได้กลายเป็นอาถรรพณ์ชวนขนหัวลุกว่า ในวันดีคืนดีในยามค่ำคืน ชาวบ้านแถบถ้ำจอมพลจะได้ยินเสียงคนคุยกัน บางครั้งก็จะมีเสียงเด็กร้องลั่นถ้ำ และบางคืนก็จะได้ยินเสียงกรีดร้อง โหยหวน ดังออกมาจากถ้ำ จึงสันนิษฐานกันว่าน่าจะมาจากหินทั้ง 3 ก้อนนี้
         เรื่องราวอาถรรพณ์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในถ้ำจอมพลยังไม่หมดเพียงแค่นี้ เพราะยังมีเรื่องเล่าของใครอีกหลายๆคน เล่ากันว่านอกจากในถ้ำจะมีหินฤาษีที่มีความอัศจรรย์อยู่แล้ว ก็ยังมีรูปปั้นของฤาษีอีกฅนหนึ่ง ที่มีความมหัศจรรย์ไม่แพ้กัน เรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากพระภิกษุรูปหนึ่งที่เฝ้าถ้ำว่าเป็นความจริง รูปปั้นฤาษีตนนี้อยู่ด้านในสุดของตัวถ้ำ ชาวบ้านเรียกว่า ฤาษีพ่อแก่ ที่น่าประหลาดคือที่หน้ารูปปั้นของฤาษีพ่อแก่จะมีป้ายเขียนไว้ว่าห้ามถ่ายรูป ซึ่งเมื่อสอบถามจากหลวงพ่อในถ้ำก็ได้ความว่า ฤาษีตนนี้ไม่ชอบให้ใครมาถ่ายรูปท่าน หลายคนไม่เชื่อคำเตือน ชอบลองของท้าทายท่าน ถ่ายรูปท่านไปไม่นานก็ต้องรีบเอารูปที่ถ่ายไปมาคืน
         มีเรื่องเล่าว่ามีชายคนหนึ่งอยู่จังหวัดสุพรรณบุรี พาครอบครัวมาเที่ยวถ้ำจอมพล แล้วถ่ายรูปฤาษีพ่อแก่ไป 3 ใบ พอถึงบ้านตกกลางคืนขณะกำลังหลับเขาก็ฝันเห็นฤาษีตนหนึ่ง ที่แต่งตัวเหมือนฤาษีในถ้ำจอมพล เหาะลงมาจากฟ้าตรงมาที่ตัวเขาแล้วใช้เท้าเหยียบที่หน้าอกพร้อมชี้หน้าว่า เอ็งนี่ดื้อรั้นนัก ข้าบอกแล้วว่าห้ามถ่ายรูปข้าอย่างเด็ดขาด ในเมื่อเอ็งไม่เชื่อข้าก็ต้องสั่งสอน เอ็งต้องเอารูปไปคืนที่ถ้ำ ถ้าไม่เชื่อเอ็งจะได้เห็นดี เมื่อฤาษีตนนั้นจากไป เขาก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา แล้วยังรู้สึกเจ็บหน้าอกเหมือนถูกเหยียบจริงๆ ดังนั้น พอรุ่งเช้าเขาจึงรีบเดินทางมายังถ้ำ เพื่อเอารูปถ่ายมาคืนทันที เพราะเกรงว่าถ้ายังขืนไม่เชื่ออีก ก็ไม่รู้ว่าจะโดนอาถรรพณ์อะไรอีกบ้าง
         ผู้เขียนเองก็ไม่กล้าลบหลู่ ลองดีกับ ฤาษีพ่อแก่ เช่นกัน เพราะฉะนั้นก็เลยไม่มีรูปของท่านมาให้ดู แต่อยากจะให้คนอ่านที่ชื่นชอบเรื่องราวเร้นลับเหล่านี้ลองมาเยี่ยมเยือนที่ถ้ำจอมพล อ.จอมบึง นี้ดู ระยะทางจากตัวเมืองราชบุรีไปยังถ้ำจอมพลประมาณ 30 กิโลเมตรเท่านั้น แล้วที่นั่นใกล้ๆกันยังมีสวนรุกขชาติและมีพันธุ์ไม้แปลกๆสวยงามหายากอีกมากมาย ซึ่งดูแล้วสบายตาสบายใจ


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 23:48:40
 ที่มาของการห้อย ตุ๊กตา ท้ายรถ
 
ในเริ่มแรกเดิมทีนั้น
ตอนแรกๆจะห้อยตุ๊กตาที่มีรูปร่าง "เหมือนคน"  พวกตุ๊กตาบาบี้ หรืออะไรก็ได้ ที่ดูออกว่า "เป็นรูปคน"

แล้วเค้าห้อยทำไม ... การห้อยตุ๊กตารูปคน ทำเพื่อแก้เคล็ด
สำหรับรถที่เคย "ลากคนไปอยู่ใต้ท้องรถ" มาแล้ว
ด้วยความเชื่อที่ว่า เพื่อไม่ให้วิญญาณคนที่ถูกลาก ตามติดอยู่ใต้ท้องรถตลอดไป จะขายราคาก็ตก เงินก็ไม่มี เดี๋ยวไม่มีรถใช้

[คล้ายๆกับเรื่องที่เราไปแย่งนอนเตียงผี ถ้าเราไปนอนแทน ผีก็นอนไม่ได้]

เรื่องตุ๊กตาห้อยท้องรถก็เช่นกัน ห้อยไว้ เพื่อเอาตุ๊กตามา "แย่งที่" ไม่ให้วิญญาณ มาอาศัยใต้ท้องรถเราอยู่

บางคนซื้อรถมือสอง แล้วเห็นอะไรแปลกๆขณะขับรถ หรือไม่ไว้ใจประวัติรถ ก็มักจะมาห้อย กันเอาไว้ก่อน

มาตอนนี้กลายเป็นว่า ... ห้อยเป็นแฟชั่น

แต่การห้อยเป็นรูปตุ๊กตาหมีหรืออะไรต่างๆน่ะ กันวิญญาณไม่ได้
แต่อาจจะทำให้วิญญาณเร่ร่อน ตามติดรถไปได้อีก การโชว์ ตุ๊กตา หรืออะไรต่างๆที่เป็นของที่มนุษย์ใช้ที่มันดูน่ารักน่าเล่นน่ะ
ไม่ต่างอะไรกับการ "เชื้อเชิญ" ถ้าใส่ไว้ในรถจะไม่เป็นไร แต่ถ้านอกรถเป็นการ แสดงการเชื้อเชิญ
[คล้ายๆกับการตอบ "ครับ" หรือเปิดประตูรับ ทำให้วิญญาณเข้ามาในบ้านเราได้]

ถ้าเผลอไปลากคนไปอยู่ใต้ท้องรถมาแล้ว ไม่จำเป็นต้องห้อยตลอดไป แค่ 49 วันก็พอ กลัวนับผิด จะห้อยเกินไปบ้างก็ไม่เป็นอะไร

วิญญาณใต้ท้องรถน่ะ แม้โดนแย่งที่ แต่มีสิ่งเหนี่ยวอยู่สิ่งเดียว ก็คือใต้ท้องรถที่ลากเค้าน่ะแหละ วิญญาณที่สามารถยึดติดอยู่กับสิ่งเหนี่ยวได้ จะไม่ไปผุดไปเกิด

แต่ถ้าไม่สามารถยึดติดได้ จะไปผุดไปเกิดในช่วง 49 วัน

ฉะนั้น ถ้าเผลอห้อยแล้วหลุด หรือโดนหมางับหายไป ให้เริ่มต้นห้อยและนับ 1 ใหม่ ไปอีก 49 วัน

นั่น คือ สาเหตุ และ ดูเหมือนการห้อย จะมีผลร้าย ด้านความเชื่อ ซึ่ง ถ้า ไม่ห้อยรูป คน อาจทำให้มีวิญญานติด รถไปได้

สรุป ให้เข้าใจง่ายๆ ว่า

ห้อยตุ๊กตารูปคน = กันผี = แฟชั่น = ห้อยได้ไม่มีผลเสีย

ห้อยรูป อื่นๆที่ไม่ใช่รูปคน = เรียกผีมา = แฟชั่น = น่ารัก แต่อาจมีวิญญาณคนตายตามท้องถนนติดมา = มีผลเสีย (ถ้าไม่เชื่อ ก็ไม่เป็นไร)

ถ้าอยากห้อยรูป อื่นๆที่ไม่ใช่รูปคน = ห้อยได้ตามปกติ = แฟนชั่นสวยงาม = ดึงดูดผีตามตุ๊กตามา = มีผีติดรถ = เอาพระมาห้อยในรถ = ผีจะโดนพระไล่ไปเองโดยอัตโนมัติ = ผีตัวไหม่ไม่รู้ว่ามีพระ ก็ เข้ามาตามตุ๊กตาอีก = โดนพระไล่ ไปอีก เป็นแบบนี้ เรื่อยไป
 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 23:49:14
ถ้ำปลาอาถรรพณ์
 
สาวน้อย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากถ้ำปลา แม่ฮ่องสอน

ดิฉันเป็นคนกำแพงเพชรค่ะ ตอนแรกว่าจะเล่าเรื่องผีดุที่บ้านเมืองตัวเองก่อน คิดดูซิคะ จังหวัดดิฉันน่ะเป็นเมืองเก่าแก่ เจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยทวาราวดี เป็นที่ตั้งของเมืองโบราณมากมาย คิดว่าหลายๆ ท่านคงจะเคยผ่านหูผ่านตามาแล้ว

เช่น เมืองนครชุม เมืองชากังราว เมืองไตรตรึงษ์ เมืองเทพนคร เป็นต้น

ข้อสำคัญคือ กำแพงเพชรยังเป็นจังหวัดที่สอง ที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ครองเมือง มีบรรดาศักดิ์เป็น พระยาวชิรปราการ

เมืองเก่าแก่ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย มีฐานะเป็นเมืองลูกหลวง แถมเป็นเมืองหน้าด่านอีกต่างหาก ต้องรับศึกสงครามอย่างโชกโชน ผู้คนสารพัดเผ่าพันธุ์ต้องรบราฆ่าฟันกันจนล้มตายตั้งหลายพันหลายหมื่น กองกระดูกทับถมกันแทบทุกตารางนิ้วก็ว่าได้...ยังงี้จะไม่ให้กำแพงเพชรเป็นเมืองผีดุ - วิญญาณเฮี้ยนได้ไงคะ?

แต่บังเอิญดิฉันกับเพื่อนๆ ไปพบเรื่องราวน่าขนหัวลุกที่ "ถ้ำปลา" จังหวัดแม่ฮ่องสอนเสียก่อน เลยถือโอกาสนำมาเล่าสู่กันฟังวันนี้ค่ะ

ลุงวินัย พ่อของโอ่งกับโอ๋เพื่อนสนิทของดิฉัน ชักชวนครอบครัวและเพื่อนสนิทของลูกๆ ไปเที่ยวด้วยรถตู้ มีคนขับที่ชำนาญทาง ไว้ใจได้ เพราะการไปแม่ฮ่องสอนทางรถยนต์ต้องใจถึงจริงๆ มีโค้งตามไหล่เขาน่ากลัวถึงพันกว่าโค้ง...ทั้งเสียวทั้งน่าสนุก

ตอนนั้นเกือบปลายเดือนมกราคม เราผ่านเชียงใหม่ไปทางแม่สะเรียง มีโปรแกรมว่าขากลับจะลงมาแวะเที่ยวงานพืชสวนโลกเพราะใกล้จะสิ้นสุดตอนปลายเดือน

อากาศหนาวเหลือเชื่อ แต่ทิวทัศน์บนยอดเขาสูงๆ ก็น่าตื่นตาตื่นใจจนพวกเราเพลิดเพลินไปตามๆ กัน

คืนแรกนอนพักที่ปายรีสอร์ตในอำเภอเมือง ดูผู้คนดำรงชีวิตอย่างเรียบง่ายสงบสุข เห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติหนาตา พวกเขาคงจะชื่นชอบกับธรรมชาติที่เป็นป่าเขาของเรามากๆ นะคะ ส่วนมากมักสะพายเป้เที่ยวกันคึ่กๆ ต่อมาแวะที่อำเภอปายเห็นพวกหนุ่มสาวชาวตะวันตกมาเที่ยวเตร่กันมากมายแทบไม่น่าเชื่อ

โอ่งกับโอ๋ไปเที่ยวกรุงเทพฯ บ่อย บอกว่ามีนักท่องเที่ยวฝรั่งมาเดินถนนกันคึ่กๆ แบบเดียวกับถนนข้าวสารเลยค่ะ!

วันรุ่งขึ้น ตื่นตั้งแต่ตี 5 น้ำค้างตกจนสนามหญ้าและทางเดินเปียกโชกไปหมด มิน่าล่ะ เขาถึงมีร่มห้อยอยู่หน้ารีสอร์ตสองคัน อากาศหนาวขนาดใส่เสื้อตั้ง 3-4 ชั้น ยังไม่วายสะท้าน

ไหนๆ มาเที่ยวทั้งที ถ้ามัวแต่อาลัยอาวรณ์ที่นอนอุ่นๆ ก็ไม่คุ้มหรอก นอนอยู่บ้านดีกว่า...เราไปเที่ยวตลาดสด และใส่บาตรพระเณร สังเกตว่าเป็นเด็กๆ แทบทั้งนั้นลุงวินัยให้ความรู้ว่าเป็นสามเณรทั้งหมด เขาเรียกว่า "ลูกแก้ว" รีบออกมาบิณฑบาตก่อนภิกษุ ที่ท่านจะออกมาได้ก็ต่อเมื่อมองเห็นลายมือได้ชัดเจนแล้ว

ไม่ว่าจะพระหรือเณรเราก็เต็มใจทำบุญใส่บาตรนะคะ มีอาหารถุงตั้งโต๊ะขายถุงละ 20 บาท เณรน้อยท่านเข้าแถวคอยรับบาตรยาวเหยียดเลย พ่อเพื่อนบอกว่าคนพื้นบ้านเขานิยมใส่บาตรด้วยข้าวเหนียวอย่างเดียวเหมือนที่หลวงพระบาง...จะวัฒนธรรมของพม่าหรือลาวก็ไม่ทราบแน่ชัด ส่วนกับข้าวและขนมเขาจะนำไปถวายที่วัดค่ะ

ดิฉันเดินดูตลาดกับเพื่อน เห็นโจ๊กกับเลือดหมูน่าทานเชียว โอ่งกับโอ๋ชวนกันซื้อน้ำมันงา ดิฉันออกมาพบสามเณรพอดีเลยใส่บาตรด้วยปัจจัยรูปละ 20 บาท...แหม! ได้รับพรจากท่านมาเพียบเชียวค่ะ

หน้าตลาดมีคุณตำรวจ 2 - 3 นายคอยดูแลความสงบเรียบร้อยด้วยนะคะ

กลับโรงแรม ทานอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์แล้วออกเดินทางไปเรื่อยๆ จนถึงน้ำตกผาเสื่อและถ้ำปลา มี "ภูโคลน" เป็นจุดหมายสุดท้าย พวกคุณป้าคุณน้าตื่นเต้นกันใหญ่...อยากไปถึงเร็วๆ เพื่อเสริมสวยด้วยการใช้โคลนพอกหน้า กำจัดสิวฝ้าและทำให้ผิวพรรณเต่งตึง อ่อนกว่าวัย ได้ข่าวว่ากำลังนิยมกันมาก

น้ำตกผาเสื่อมีน้ำน้อยจนไม่ค่อยสวย...จนกระทั่งถึงถ้ำปลา!

มีศาลานิทรรศการอยู่ด้านหน้า เชื้อเชิญพวกเราไปฟังเพลงอนุรักษ์ธรรมชาติจากหนุ่มๆ สาวๆ ที่ตั้งวงดนตรีเล็กๆ น่ารัก ดูเหมือนจะเป็นพวกสะล้อ ซอ ซึง อะไรนี่แหละค่ะ บอกว่าเป็น...ท่วงทำนองแห่งสำเนียงไพร ผ่านการร้อยเรียงจากจินตนาการ เพื่อสืบสานงานอนุรักษ์ป่าไทย

ฟังแล้วชื่นใจที่คนรุ่นใหม่ยังรู้จักหวงแหนแผ่นดินและผืนป่า เอาไว้ให้อนุชนรุ่นหลัง ก่อนที่ป่าเมืองไทยจะถูกทำลายไปแทบหมดสิ้น น่าใจหายจริงๆ ค่ะ

เราช่วยซื้อซีดีเพลง แล้วเดินไปตามทางร่มรื่นจนถึงบริเวณถ้ำปลา มีแผงขายอาหารปลาที่เป็นผืชพัก ถุงละ 10 บาท ปลาพวกนี้ถือศีลกินเจ คือเป็นปลามังสวิรัติ พวกเราจึงซื้อติดมือคนละถุงสองถุงไต่บันไดไปที่ปากถ้ำที่มีนักท่องเที่ยวขึ้น - ลงราว 10 คน

...ถ้ำปลาเป็นถ้ำใต้เชิงเขา มีน้ำไหลออกมาทั้งปี สามารถมองเห็นปลาขนาดใหญ่ มีสีดำอมเทาอมฟ้าอยู่กันเป็นจำนวนมาก เรียกว่าปลามุงหรือปลาพลวงหิน...ในฤดูหนาวและฤดูร้อนจะมีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากเนื่องจากมีลำธารน้ำไหลตลอดปี

มีป้ายห้ามพิงราว เดี๋ยวตกลงไปในถ้ำปลาละแย่เลย!

เราชะโงกมองอย่างตื่นเต้น โอ่งกับโอ๋ถ่ายรูปกันเป็นว่าเล่น ผักกาดและแครอตที่เราโยนลงไปก็มีปลาฝูงใหญ่แย่งกันฮุบโผงผางน่าตื่นเต้น...มีช่องเล็กๆ ใต้เพิงผาให้ปลาลอดออกมาสู่ลำธารและสระขนาดใหญ่ภายนอก...ลมพัดซ่าจนทำให้ขนลุกเกรียวเลยค่ะ

เมื่อลงมานั่งพักที่เก้าอี้ยาวข้างสระ โอ่งก็โชว์ภาพถ่ายจากกล้องดิจิตอลให้ดูทั้งภาพพวกเราและปลานับร้อยๆ ตัวเต็มบ่อ...มีภาพใบหน้าสาวสวยปรากฏชัดเจนอยู่กลางฝูงปลา...ใครไม่ขนหัวลุกก็ประสาทแข็งเต็มทีนะคะ! บรื๋อส์!!

 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 23:49:42
ผีวัดข่อย
 
"เด็กหลังวัด" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อไปเก็บมะม่วงกะล่อน

ผมเป็นเด็กแม่น้ำน้อย จังหวัดอ่างทอง หรือจะให้ชัดๆ กว่านั้นก็คือเด็กอำเภอวิเศษชัยชาญ ดินแดนที่มีวีรชนบางระจัน 2 ท่านคือ นายดอกกับนายทองแก้ว พวกเราสร้างอนุสาวรีย์ไว้เพื่อระลึกถึงคุณงามความดีที่พลีชีพเพื่อรักษาแผ่นดินไว้ให้ลูกหลาน

เรียกท่านว่า "ปู่ดอกกับปู่ทองแก้ว" มาจนถึงทุกวันนี้

บ้านผมเป็นจังหวัดเล็กๆ แต่อุดมสมบูรณ์อย่าบอกใครเชียว ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว แถมชื่อจังหวัดอ่างทองนอกจากจะเป็นสิริมงคลเหลือหลายแล้ว ยังเป็นศูนย์รวมใจของชาวอ่างทองทุกคนอีกต่างหาก

นอกจากนั้นยังมีคำขวัญประจำอำเภอทุกอำเภอ เป็นสำนวนเก่าๆ ที่พูดติดปากกันมาโบร่ำโบราณแล้วครับ

1. ใครอยากมีเมียให้ไปป่าโมก

2. ใครอยากมีโชคให้ไปโพธิ์ทอง

3. ใครอยากมีน้องให้ไปไชโย

4. ใครอยากเป็นนักเลงโตให้ไปวิเศษชัยชาญ

5. ใครอยากเป็นสมภารให้ไปแสวงหา

6. ใครอยากกินผักกินปลาให้ไปสามโก้

7. ใครอยากคุยโม้ให้ไปอำเภอเมือง

แต่ละคำขวัญก็ล้วนแต่มีที่มาที่ไป คิดว่าท่านผู้อ่านคงจะพอเดาได้ อย่าง อ.ป่าโมก มีสาวสวยเยอะ หรืออย่างอ.ไชโยนี่ชาวบ้านชอบเรียกคนต่างถิ่นว่า "พี่" กันทั้งนั้น ไม่สนใจอายุว่าจะมากน้อยยังไง ตัวเองจะแก่กว่าแค่ไหน หรืออย่างอำเภอเมืองที่ว่าคุยโม้ชนิดสะบั้นหั่นแหลกน่ะ พอจะยกตัวอย่างให้ฟังนิดหน่อยก็ยังได้

"แหม! บ้านฉันน่ะปลาชุมมาก ต้องแหวกปลาก่อนถึงจะเอาแหลงน้ำได้"

"ซี่โครงปลาตะเพียนเอามาทำด้ามมีด เกล็ดมันก็เอาไปมุงหลังคา!"

อ้าว? ตั้งใจจะเล่าเรื่องขนหัวลุกให้ฟังแท้ๆ แต่ขอบรรยายฉากแม่น้ำน้อยให้ฟังซะก่อน จะได้เห็นภาพว่าตอนกลางวันสวยงาม ร่มรื่น มีแต่ความอุดมสมบูรณ์แค่ไหน...แหม! ตกกลางคืนกลับเปลี่ยวจับใจ

คนวิเศษฯ นิยมสร้างวัดครับ เรียงรายสองฝั่งแม่น้ำเชียวละ ชื่อสั้นๆ อย่างวัดนก, วัดอ้อย, วัดข่อย, วัดตูม ฯลฯ ริมฝั่งมีกอกกดกหนาคอยต้านทานกระแสน้ำไม่ให้เซาะตลิ่งพังง่ายๆ พวกมะม่วง, มะปราง, มะพร้าว ถือว่าธรรมดามาก เรียกว่าปลูกกันให้ครึ่ด

น้ำเหนือบ่ามาทีพวกมะม่วงบ้านอยู่ได้ไม่เกินเดือนก็ยืนต้นตาย ยกเว้นพวกมะม่วงป่า เช่น มะม่วงกะล่อน มันกะล่อนสมชื่อ ต้นสูงใหญ่ ลูกเล็กๆ แต่รสหอมหวานเหลือเชื่อ ตกกลางคืนมันหล่นตุ๊บตั๊บเป็นร้อยๆ ลูก แต่พวกบ้านผมไม่ค่อยแลหรอกครับ...แหม! มะม่วงแก้ว, อกร่อง, พิมเสนมัน, น้ำดอกไม้, ทะวาย...เยอะแยะ เก็บกินแทบไม่หวาดไม่ไหวอยู่แล้ว ยกเว้นเด็กๆ ที่ชอบกินกับไปเก็บเอาสนุก

ที่ขึ้นเรียงรายแทบไม่ว่างเว้นคือต้นกุ่มกับต้นมะกอกน้ำซีครับ

ดอกกุ่มสีชมพูอมแดงเป็นพุ่มๆ สวยเหลือใจ เก็บยอดอ่อนมาดองแบบดองผักเสี้ยนแหละครับ กินกับน้ำพริกกะปิ น้ำพริกปลาร้า อร่อยอย่าบอกใครเชียว!

ลงมาชายน้ำก็เก็บดอกโสน ยอดโสน ผักบุ้ง ผักกระเฉด บนบกก็มีดอกแค ยอดแค ชะอม...โอ๊ย! เอามาต้มจิ้มน้ำพริก มีปลาทูทอดหอมกรุ่นซะหน่อย เล่นเอากินข้าวขอดหม้อจนท้องกางไปตามๆ กัน

ผมเป็นเด็กวัดข่อย เขาว่าสมัยก่อนมีพ่อค้าแม่ค้าชาวมอญ ขายหม้อขายไหมาจอดเรือพักแรม แถวนั้นเป็นป่าข่อยครับ เลยเรี่ยไรกันสร้างวัดขึ้นมา ชื่อว่าวัดข่อยมาถึงทุกวันนี้ แม้ว่าต้นข่อยแทบจะหาทำยายากแล้วก็ตาม

ตอนผมเด็กๆ จำได้ว่ามีมะม่วงกะล่อนต้นใหญ่อยู่หน้าวัด ใกล้ๆ กับศาลาท่าน้ำ ทางซ้ายมีศาลาเปรียญกับเมรุเผาผี ทางขึ้นกุฏิสมภารด้านหน้ามีต้นมะขามเฒ่าเรียงราย ฝักแก่ๆ เต็มต้น ไม่เห็นมีใครมาเก็บมาสอย ตอนค่ำๆ ลมพัดมาเกิดเสียงแกรกๆ น่าวังเวงใจไม่หยอกเหมือนกัน

วันเกิดเหตุตอนปิดเทอมปลาย มะม่วงกะล่อนสุกเต็มต้น แปลกอย่างที่ตอนกลางวันมันไม่ค่อยหล่น แต่พอตกกลางคืน โอ้โฮ! เสียงร่วงตุ๊บตั๊บยังกะฝนตก เกลื่อนกลาดเต็มโคนต้น พวกเด็กวัดเด็กบ้านคอยจ้องกันตาเป็นมัน...คอยเก็บมะม่วงไปกินน่ะซี!

ผมกับไอ้แกละเพื่อนเกลอ บ้านอยู่หลังวัดก็ไม่ยอมน้อยหน้าหรอกครับ

ส่วนมากเด็กอื่นๆ จะมาตอนค่ำมากหน่อย เรารู้แกวก็ตัดหน้าไปเร็วขึ้น...ไปฉายกับตะกร้าเป็นอุปกรณ์สำคัญ กะว่าพอไปถึงมะม่วงก็ได้ฤกษ์หล่นตุ๊บๆ ตั๊บๆ เราก้มลงเก็บแทนไม่ทัน เพราะพอลูกแรกๆ หล่นดิน คราวนี้ก็ตามเป็นพรวนเชียว

คืนนั้นก็เช่นกัน!

เรารีบออกจากบ้านมายังจุดหมาย หมาเจ้ากรรมหอนโจ๋ว ลมแม่น้ำน้อยพัดโชยมาเย็นยะเยือกชอบกล เสียงตุ๊บๆ ยั่วใจให้เก็บมะม่วง ชนิดที่หล่นรอบตัวจริงๆ ขนาดหัวเรายังโดนมะม่วงหล่นใส่เลยครับ

แสงไฟฉายกราดวูบวาบมาทางเมรุเผาผี...เอ๊ะ! ทำไมคนอื่นมันมากันเร็วนัก? หรือจะรู้แกว? แต่เราเก็บเต็มตะกร้าก็ยังเหลือมะม่วงอีกบานตะเกียงนี่นา

"ใครวะ?" ไอ้แกละร้อง ลุกขึ้นยืนพร้อมกับผม...แสงไฟฉายวาบๆ มาหาเราหลายดวงจนน่าสงสัย...พอเราหันไฟฉายไปหาก็ต้องยืนตะลึง เพราะมีแต่แสงไฟฉาย ไม่มีใครซักคนเดียว! นอกจากเสียงลมพัดซ่า...หมาหอนโบร๋ว...ไอ้แกละร้องเอิ๊บ! แล้วกระโจนพรึ่บไม่คิดชีวิต

โธ่! ผมจะอยู่ได้ไงล่ะครับ เผ่นตามมันไปติดๆ กว่าจะถึงบ้านก็เหนื่อยแทบขาดใจ ไฟฉายกับตะกร้าหลุดกระเด็นไปเมื่อไหร่ไม่รู้ ไม่ดีฝ่อตายก็ถือว่าเป็นบุญแล้วครับ!
 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 23:50:23
ชอบกินดีงู .... แปลงร่างเป็นงู
 
บนถนนจงหัว ณ อำเภอแห่งหนึ่ง มีแผงงู 1 แห่ง
พอพลบค่ำจะมีคนห้อมล้อมดูการแสดงฆ่างูเพื่อเอาดีงูออกมา เขาเล่ากันว่า ดีงูมีประโยชน์มากต่อดวงตา คนที่หลงเข้าใจผิดได้ทุ่มเงินเพื่อได้ดีงูสด ๆ มารับประทาน คนที่กินดีงูมิโหด..น่ารัก..มไปหรือ ถึงแม้การกินดีงูอาจทำให้สายตาของเขาดีขึ้นบ้าง แต่ผลที่ตามมาเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก คนที่พบเห็นจะสะดุ้งได้ เนื่องด้วยความพยาบาทของวิญญาณงู เกาะติดกับคนที่ชอบกินดีงู
ดวงตาของเขาจะมีแสงสีเขียวที่ดูแล้วน่ากลัว ดวงตาของเขาจะคล้ายกับดวงตาของงู แสงสีเขียวในดวงตาจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการกินดีงูมากน้อยนั่นเอง
เมื่อวิญญาณคนกับวิญญาณงูผสมผสานเข้าหากันแล้ว วิญญาณของเขาจะแฝงด้วยความพยาบาทของงู นั่นเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก หวังว่าท่านทั้งหลายควรสังวรไว้

มีทหารคนหนึ่งออกไปซ้อมรบในป่า ถูกงูพิษกัด สลบไสล ได้ถูกนำส่งโรงพยาบาลเพื่อช่วยชีวิต หลายวันต่อมา ข้าพเจ้าไปเยี่ยมไข้ทหารคนนั้น ใช้ญาณวิเศษเพ่งดู ใบหน้าของเขามีวิญญาณงูทั้งใหญ่เล็ก ปรากฏบนใบหน้าของเขา เมื่อเขาเจ็บปวดร้องครวญคราง พวกวิญญาณงูจะร่าเริงดีใจ

ข้าพเจ้าเลยฉวยโอกาสนี้ได้แนะนำเขาว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเขาจะต้องละเว้นการกินเนื้องู ดีงูอีกต่อไป ควรหมั่นสวดคาถาเจ้าแม่กวนอิมและสาบานจะร่วมทุนพิมพ์หนังสือธรรมะทุกเดือน อุทิศส่วนกุศลให้กับวิญญาณงู หวังว่าการแนะนำของเรา เขาจะได้สำนึกผิดและทำตาม

ถาม : บัดนี้มีคนถามว่า กรรมเก่าของงูมีอะไรบ้าง ?

ตอบ : งูเป็นสัตว์ประเภทเลือดเย็น คนกลัวงู งูก็กลัวคน แท้จริงชาติก่อนของงูก็เป็นคน แต่เนื่องด้วยกรรมเก่าจึงมาเกิดเป็นงูในชาตินี้

สาเหตุที่ต้องมาเกิดเป็นงูมีหลายข้อ
1) สมัครใจเป็นโสเภณีหรือเป็นพาร์ตเนอร์ เพื่อเร่ขายเนื้อสดหรือให้ชายกอดเต้นรำ หากไม่รีบเปลี่ยนอาชีพ ชาติหน้าก็เกิดเป็นงู โบราณกาลมา มีการแสดงระบำเปลือย บ้างก็เปลือยกายแสดงพร้อมกับงูใหญ่ แสดงท่าต่าง ๆ เป็นที่อุจาดตา ลองคิดดูให้ดี นั่นมิใช่เป็นหลักฐานอย่างหนึ่งหรือ

2) มีอาชีพโสมม เช่นเป็นคนติดต่อค้ากามหรือเปิดซ่องบังคับสาวบริสุทธิ์หรือหญิงดี ๆ ให้ค้าประเวณี การกระทำเช่นนั้นล้วนเกิดเป็นงูในภพหน้า ให้คนฆ่าและกินดีงู ได้รับความทุกข์ทรมานที่ถูกถลกหนังเป็นการชดใช้กรรม

3) เป็นคนชอบใช้เล่ห์กลอุบายใส่ร้ายผู้บริสุทธิ์ ปากหวานอาบยาพิษ ทำร้ายคนด้วยเลือดเย็น เมื่อตายจากโลกนี้ไป ย่อมไปเกิดเป็นงูพิษที่มีลิ้นสีแดง เขี้ยวก็อาบยาพิษด้วย

 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 23:52:30
ผู้มาจากอดีต
"ปริศนา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ้านเกิด

บ้านดิฉันสร้างขึ้นเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อน บนเนื้อที่เกือบสามไร่ย่านบางกะปิ ตอนนั้นดิฉันเพิ่ง 2 - 3 ขวบเท่านั้นเอง คุณพ่อเจตนาจะให้อยู่กันชั่วลูกชั่วหลาน ท่านมีลูก 4 คน ดิฉันเป็นคนที่สอง มีพี่ชายหนึ่ง น้องสาวอีก 2 คน

ระยะเวลาห้าสิบกว่าปีที่บ้านนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ส่วนใหญ่เป็นความสุขและความผูกพัน ดิฉันจึงใจหายเมื่อคิดทบทวนถึงผู้คนที่เคยอยู่รวมกับเราในบ้านหลังนี้มาก่อน

ไม่น่าเชื่อเลย ผู้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็คือคุณพ่อคุณแม่ ดิฉัน พี่ชายและน้องสาวทั้งสอง เรียกว่าอยู่ครบหกคนพ่อแม่ลูก แต่นอกนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนรับใช้ คนรถ คนสวน แม่บ้าน ที่คอยดูแลเรามา ต่างล้มหายตายจากกันไปทุกคน

ดิฉันหมายถึงคนรุ่นแรกๆ ที่อยู่กับเรามาตั้งแต่สร้างบ้านใหม่ๆ นะคะ!

คนรับใช้และบริวารสมัยโน้น ซื่อตรงจงรักและไม่จากเราไปไหน ไม่เปลี่ยนงานบ่อยอย่างคนรับใช้สมัยนี้ เรารักเขาเหมือนญาติ เขาเองก็ผูกพันกับเรา! คิดดูสิคะ พวกเขาอยู่กับเรา 24 ชั่วโมงทุกวัน ติดต่อกันนับสิบปี ในที่สุดบางคนก็ไปแต่งงาน บางคนไม่สบายขอกลับไปรักษาสุขภาพที่บ้านเดิมต่างจังหวัด

คนรุ่นเก่าจากไป คนรุ่นใหม่ก็เข้ามา....

เรือนคนใช้และห้องหับต่างๆ ยังอยู่เหมือนเดิม พลังชีวิตของคนรุ่นเก่าก็ยังอยู่ ดิฉันมองไปยังห้องเหล่านี้แล้วอดนึกถึงพวกเขาไม่ได้ คิดถึงก็ไม่รู้จะติดต่อกันอย่างไร...เพราะพวกเขาจากโลกนี้ไปหมดแล้ว!

บ้านดิฉันไม่มีผีสิง ไม่มีคนตายที่นี่ แต่มีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นประจำจนพวกเราชิน มันอาจจะเพราะบ้านของเราอยู่ตรงทางสามแพร่งก็ได้ค่ะ

เมื่อก่อนที่นี่มีชีวิตชีวา สว่างไสว แต่ทุกวันนี้เหลือแต่ดิฉัน คุณพ่อคุณแม่น้องสาวคนหนึ่งกับสามี และลูกชายทั้งสองของเธอ พวกพี่ชายกับน้องอีกคนหนึ่งแต่งงานแยกบ้านไป ทำให้บ้านที่กว้างขวางดูวังเวง ตอนกลางคืนน่ะมืดสนิทเชียว

ลองนึกถึงสภาพตึกใหญ่ทรงยาว มีต้นไม้ร่มครึ้ม ตอนกลางวันเขียวขจี แต่พอสิ้นแสงตะวันมันค่อนข้างเหงาหงอยจนน่าวังเวงใจเลยค่ะ

น้องสาวกับครอบครัวเธอ ปลูกบ้านหลังเล็กแยกไปต่างหากในพื้นที่เดียวกัน บนตึกใหญ่เหลือแต่ดิฉันกับคุณพ่อคุณแม่เท่านั้นเอง!

ตรงกลางระหว่างตึกใหญ่กับเรือนคนใช้ซึ่งติดกับโรงครัว เป็นลานโล่งกว้างขนาดสนามบาสเกตบอลแน่ะค่ะ ตอนเล็กๆ ดิฉันกับน้องๆ วิ่งเล่น หัดขี่จักรยาน เล่นแบดมินตันกันก็ตรงนี้ มันกว้างดี! เวลามีงานเลี้ยงอย่างวันเกิด วันปีใหม่ ก็จะตั้งโต๊ะเลี้ยงดูแขกเหรื่อได้สบาย

ทุกวันนี้ ตอนกลางคืน ดิฉันกับน้องสาวและหลานๆ ยังชอบมานั่งดูพระจันทร์ ดูดาว แสงจันทร์ส่องลงมาเจิดจ้าสวยมาก แต่บางคืนจะดูมลังเมลืองเหมือนแดนมหัศจรรย์!

บางคืน ดิฉันเดินเข้าครัวคนเดียว ทำข้าวต้มให้คุณพ่อคุณแม่ หรือต้มบะหมี่ให้หลานๆ ตามลำพัง ดิฉันเคยได้ยินเสียงลากรองเท้าแตะมากระทบหู...

เสียงแชะ...แชะ...ที่ลานนี้ชัดเจนเชียวค่ะ!

เอ...สาวใช้คนใหม่ก็ดูทีวีอยู่ในห้องของเธอ ปิดประตูสนิท...

ดิฉันไม่ได้คิดอะไรมาก หวาดๆ เหมือนกัน แต่ไม่ถึงกับกลัว มีบางทีถ้าเสียวไส้ก็จะชวนหลาน หรือเรียกสาวใช้มาอยู่เป็นเพื่อน

เมื่อเดือนก่อน ลูกหลานของคนสวนเก่าแก่แวะมาเยี่ยมเรา พวกเขามาไกลค่ะ จากเชียงรายโน่น คุณแม่ดิฉันชักชวนให้ค้างที่เรือนคนใช้...ห้องที่พ่อของเขาเคยอยู่มานานสมัยอดีต...

ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี จนกระทั่งเช้ามืด เขาตื่นขึ้นมาช่วยเช็ดรถดิฉันอย่างมีน้ำใจ เหตุการณ์น่าขนลุกก็ถูกถ่ายทอดออกมา...

เขาบอกว่าไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นความจริงหรือฝัน? เขาเห็นพี่เลี้ยงของดิฉันซึ่งเสียชีวิตไปนานแล้ว เดินออกมาจากโรงครัวแล้วชวนเขาคุย ซึ่งเขาก็คุยด้วยอาการคล้ายละเมอเหมือนหลับในแล้วฝันไป มือก็เช็ดรถไปด้วยค่ะ!

พอเขาเล่าแบบนี้ ดิฉันก็เลยไม่รู้ว่าวิญญาณพี่เลี้ยงดิฉันมาจากปรโลกจริงหรือเปล่า?

ดิฉันเคยเดินเล่นรอบๆ บ้านตอนหัวค่ำ หลังมื้อเย็น บ้านเรามีดอกราตรี ดอกแก้ว พุดซ้อน และจำปีหอมกรุ่น กำลังเดินอยู่เพลินๆ มีมือมาจับที่บ่าและโอบกอดเอว...ทีแรกนึกว่าน้องสาว ดิฉันยังยิ้ม แต่พอหันไป...ปรากฏว่าพบแต่ความว่างเปล่า ทั้งๆ ไออุ่นของมือที่ทาบบ่ากับเอวยังอยู่เลยค่ะ...ยอมรับว่าขนลุกซู่เลย ตอนนั้นน่ะ!

สองคืนก่อน หลานชายวัยรุ่นของดิฉันเกิดหิวขึ้นมาตอนห้าทุ่ม อ้อนให้ป้าทำบะหมี่ให้กิน ดิฉันชวนเขาเข้าครัวไปต้มบะหมี่กันสองคนป้าหลาน รอบบ้านมืดเพราะไม่ได้เปิดไฟ มีแต่แสงจันทร์ส่องลงมาบนลาน...

ทันใดนั้น เราทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงลากรองเท้าแตะ เหมือนมีคนเดินจากตึกใหญ่ลงมาหาเราที่โรงครัว พอเดินจวนจะมาถึงเรา..จู่ๆ เสียงนั้นก็ขาดเงียบไปเฉยๆ ดิฉันเหลียวมอง ไม่เห็นใครเลยแม้แต่คนเดียว!

หลานสบตาดิฉัน และถามว่าได้ยินมั้ย? ดิฉันพยักหน้า นึกเห็นภาพใครคนนั้นเดินมาแล้วหายไปกลางทาง...กลางอากาศ...

รอบบ้านเงียบสงบ ห้องต่างๆ ที่เคยมีพวกเขาอยู่ปิดสนิท แต่อะไรก็ไม่รู้ทำให้ดิฉันจินตนาการว่า พวกเขายังอยู่ในห้องเหล่านั้น ด้วยความผูกพัน ใครบางคนอาจคิดถึงและกลับมาหาอีกครั้ง...จากโลกวิญญาณ!


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 23:56:51
หมู่บ้านร้าง
 
หมู่บ้านร้าง
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 8 ปีที่แล้ว พงษ์จบจากมหาลัยเชียงใหม่ ในคืนวันเลี้ยงส่งนั้น พงษ์ก็ออกไปฉลองกับรุ่นน้องที่คณะมีแจน ต่าย ไอ้ป๋อง ป๋องเป็นคนที่บ้าบิ่น ไม่กลัวความมืดและเป็นคนโผงผาง แต่รักเพื่อนฝูงมาก แล้วก็มีจอห์นซึ่งเป็นคู่หูกับป๋อง รวมพงษ์ด้วยทั้งหมดก็ 5 คน หลังงานเลี้ยงฉลอง แน่นอนทุกคนยังไม่อยากกลับเลยถาม
"พี่พงษ์ จะไปต่อที่ไหนดี"
"จะต่อไหน ตี 2 ครึ่งเค้าปิดกันทุกที่แหละ กลับเถอะ คืนนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน"
"ไปหมู่บ้านร้างกันกูรู้จัก" จอห์นพูดขึ้น
"เอออ ดีๆๆๆ ไปนะพี่พงษ์ ไปด้วยกัน"

ด้วยความที่พงษ์เป็นคนที่กลัวผีมากพงษ์ก็ปฎิเสธไป
"อย่าเลยไปลบหลู่เค้าไม่ดีหรอก"
" ไม่ได้ไปลบหลู่แต่ไปเอาบรรยากาศ" ต่ายกับแจนพูดขึ้น
 พงษ์ด้วยความเป็นรุ่นพี่กลัวจะเสียฟอร์ม เลยตกลงทั้งห้าคนก็ขับรถไปกันโดยมีจอห์นเป็นคนขับ ลักษณะรถเป็นรถจิ๊ปไม่มีหลังคา
พอไปถึงปรากฏว่าประตูใหญ่หน้าหมู่บ้านปิดอยู่ จอห์นเลยโชว์สปิริตลงจากรถไปเปิดประตูหน้าหมู่บ้าน

พงษ์ถึงกับตกใจอย่างแรง ..... เมื่อมองไปทางจอห์น แล้วเห็นจอห์นไม่มีหัว เดินไปเปิดประตู
พงษ์เริ่มมีเหงื่อออกทั้งๆ ที่เวลานั้น อากาศค่อนข้างเย็น ยะเยือก.....
ในทางกลับกันคนอื่นๆ ก็ไม่แสดงอาการอะไรไม่แสดงความตกใจเหมือนพงษ์ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะตัวเองก็กินเข้าไปเยอะเหมือนกัน
คงเป็นจังหวะที่จอห์นเดินก้มหน้าพอดี จอห์นค่อยๆ ขับรถเข้าไปช้าๆ ประมาณเกียร์ 1 ระหว่างขับรถเข้าไปสำรวจจอห์นก็เล่าว่า.....
......หมู่บ้านนี้เจ้าของเค้าเป็นโรคหัวใจตายก่อนเปิดจอง ลูกๆ หลานๆ เลยไม่กล้าสานต่อ เพราะกลัวว่าธุรกิจไม่ดีโครงการก็เลยคาอยู่แบบเนี่ย บ้านก็ดูสวยดีระหว่างที่ทุกคนกำลังเพลินๆ กับบรรยากาศ จอห์นก็หยุดกระทันหัน
"เฮ้ย"
"เฮ้ยอะไรวะ ชอบแกล้งอยู่เรื่อย"
"ไม่ได้แกล้งโว้ย มีแมวดำวิ่งตัดหน้าเมื่อกี้ พวก..คุณ..ไม่เห็นเหรอ" .........
ระหว่างทางพงษ์เริ่มสังเกตเห็น .... แจนซึ่งยืนอยู่ข้างหลังลงมานั่งก้มหน้า
ในตอนนั้นแจนเห็นอะไรบางอย่างบนหลังคาบ้านหลังหนึ่ง .........
มันคล้ายผู้ชายนั่งชันเข่าอยู่บนหลังคา แต่ไม่มีหัว แจนไม่กล้าที่จะเล่าให้ใครฟังได้แต่ร้องไห้
"เฮ้ยเป็นไร ร้องไห้ทำไม"
"กลับหอเถอะ"
จอห์นบอกว่า "เดี๋ยวก็ถึงทางออกแล้ว"
ลักษณะหมู่บ้านจะมีประตูทางเข้าและทางออกอยู่ฝั่งละด้าน เนื่องจากวัยรุ่นกลุ่มนี้จะค่อนข้างเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น แต่ก็ไม่เคยเห็น และไม่อยากเห็นด้วย แต่ตอนนั้นบรรยากาศเริ่มเงียบ (ตั้งแต่แจนก้มหน้านั่งร้องไห้) เจ้าที่เจ้าทางก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏให้ทุกคนเห็นพร้อมกัน พงษ์เลยคิดถึงตอนทางเข้าหมู่บ้านว่าตาของตนคงไม่ได้ฝาด
ต่ายเป็นผู้หญิงที่ใจแข็ง เธอเริ่มเห็นสิ่งผิดปกติ ......
เธอสะกิดป๋องให้แหงนหน้ามองไปบนต้นไม้ต้นหนึ่ง .............
ภาพที่เห็น.............. ผู้หญิงใส่เสื้อผ้าเก่าๆ ยืนอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่บนต้นมะขาม
ต่ายกับป๋องมองหน้ากันแต่ต่างคนต่างไม่พูดกัน
พงษ์เป็นคนเดียวในกลุ่มที่เห็นทุกอย่าง...........
คนบนหลังคา
ผู้หญิงบนต้นไม้
แต่พงษ์ไม่กล้าทัก เพราะคนโบราณบอกว่าถ้าเจออะไรแนวๆนี้แล้ว อย่าทัก เดี๋ยวจะเข้าตัว
เฮ้อ .... ถึงหน้าประตูทางออกแล้ว จอห์นรีบเดินไปเปิดประตูด้วยความรวดเร็วไม่เหมือนตอนขาเข้า
ระหว่างที่ขับออกไปนั้น จอห์นหันไปมองกระจกหลัง
"เฮ้ย"
"อย่าพูดอะไรนะจอห์น ขอร้อง"
สิ่งที่จอห์นพบก็คือ...
กลุ่มคนกำลังยืนโบกมือให้..............

 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 23:57:04
อาถรรพณ์ขุมทรัพย์สมเด็จพระนเรศวรฯ
 
อาถรรพณ์ขุมทรัพย์สมเด็จพระนเรศวรฯที่วัดป่าแก้ว
     เรื่องนี้มีหลักฐานและถูกเล่าขานกันนานแล้ว เป็นเรื่องจริงจากคำบอกเล่าของพระธุดงค์หลายรูป ที่เล่าตรงกันเกี่ยวกับขุมทรัพย์โบราณมูลค่ามหาศาลภายใน "วัดป่าแก้ว" หรือ วัดใหญ่ชัยมงคล จ.พระนครศรีอยุธยา วัดนี้ตามประวัติกล่าวไว้ว่า เดิมเป็นวัดราษฎร์เรียกกันว่าวัดป่า ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับวัดสำคัญประจำนครอโยธยาเดิมคือวัดพนัญเชิง วัดมเหยงค์ วัดกุฎีดาว และวัดอโยธยา ครั้งถึงแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ได้ทรงให้ขุดศพเจ้าแก้วเจ้งไท เชื้อพระวงศ์ที่เป็นอหิวาตกโรคตาย ขึ้นพระราชทานเพลิงที่วัดนี้แล้วทรงซ่อมแซมบูรณะเจดีย์วิหาร ก่อนจะทรงสถาปนาขึ้นเป็นพระอารามหลวง พระราชทานนามว่า "วัดเจ้าพญาไท" ให้เป็นที่พำนักของพระพนรัต ซึ่งเป็นพระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสี และด้วยอาณาเขตของวัดที่กว้างใหญ่ ชาวบ้านจึงนิยมเรียกชื่อ "วัดใหญ่" ตั้งแต่นั้นมา
     จนล่วงมาถึงปี พ.ศ. 1991 - 2031 ในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระสงฆ์ไทยคณะหนึ่งนำกันออกไปอุปสมบทแปลงเป็นสิงหนีนิกาย และศึกษาพระพุทธศาสนา ณ สำนักพระพนรัต มหาเถระในลังกาทวีป สำเร็จแล้วกลับมาตั้ง "คณะป่าแก้ว" ที่ "วัดเจ้าพญาไท" จึงนิยมเรียกชื่อกันว่า "วัดเจ้าพญาไทคณะป่าแก้ว" ภายหลังเรียกเหลือสั้นลงแค่ "วัดป่าแก้ว" และเปลี่ยนเป็น "วัดใหญ่ชัยมงคล" ในปัจจุบัน
วัดโบราณเก่าแก่ในเขต จ.พระนครศรีอยุธยา หลาย ๆ วัดเป็นที่รู้จักดีในหมู่เซียนพระ และนักเล่นของเก่าแก่ว่าจะต้องมีสมบัติมีค่ามหาศาลฝังไว้ใต้ดิน และแน่นอนว่าแต่ละที่จะต้องมี "ภูต" ที่เรียกว่า "ปู่โสม" เฝ้าอยู่ คนที่เชื่อและขยาดในอิทธิฤทธิ์มักไม่กล้าเข้าไปยุ่ง แต่กับกลุ่มคนที่ชอบลักลอบเข้าไปขุด พวกนี้จะมองเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะกิเลสและความละโมบที่มีอยู่ ทำให้ตามืดบอด มองไม่เห็นหายนะและความตายจากคำสาปแช่งที่กำลังจะมาถึง
     วัดป่าแก้วหรือวัดใหญ่ชัยมงคล ในอดีตมักจะมีพระธุดงค์แวะเวียนมาปักกลดแสวงหาความวิเวกอยู่เป็นประจำ สมัยนี้เล่ากันว่าบริเวณวัดมีแต่ต้นไม้ขึ้นหนาแน่นและเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย เช่น งูเหลือม งูจงอาง เป็นสถานที่อันตราย เปลี่ยว และยังลือกันว่า "ผีดุ" จนชาวบ้านได้กล้าย่างกรายเข้าไป แต่ก็ยังมีพระภิกษุรูปหนึ่ง ใช้สถานที่นี้เป็นที่ปักกลดท่านคือ "หลวงปู่สีโห" พระป่ากรรมฐาน ซึ่งเป็นศิษย์ใกล้ชิด หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระปรมาจารย์กรรมฐานแห่งภาคอีสาน
     "หลวงปู่สีโห" ท่านเป็นศิษย์หลวงปู่มั่นรุ่นเดียวกัน หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่ขาว อนาลโย และหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ท่านเป็นพระที่เคร่งในพระธรรมวินัย แต่ไม่ชอบอยู่วัดเพราะท่านรักที่จะอยู่ตามป่า ท่านเป็นพระที่มีชื่อเสียงในทาง "วิปัสสนากรรมฐาน" มากจนได้รับการยกย่องว่า มีเมตตาและพลังจิตแก่กล้า มีอำนาจแห่งอิทธิฤทธิ์และอภิญญา
     หลวงปู่สีโหท่านเคยมาปักกลดอยู่ในวัดป่าแก้ว ใกล้กับพระเจดีย์องค์ใหญ่ที่สมเด็จพระนเรศวรฯ ทรงสร้างเฉลิมฉลองพระเกียรติ ภายหลังที่มีชัยแก่พม่าแล้ว ขณะที่ท่านพำนักอยู่ได้มีคนกลุ่มใหญ่พากันเข้ามาภายในวัดมองดูลักษณะคล้ายพวกโจร คนเหล่านี้มาขอร้องให้หลวงปู่ถอนกลดย้ายไปจากที่นั่น หลวงปู่ถามว่าเหตุใดจึงมาไล่ท่าน คนพวกนั้นตอบตามตรงว่าพวกเขาจะมาขุดทรัพย์ตามลายแทง แต่ไม่อยากให้หลวงปู่ร่วมรับรู้ด้วย และยังได้เล่าต่อไปว่าภายในเขตกรุงศรีอยุธยานี้มีลายแทงโบราณ บอกที่ซ่อนทรัพย์สมบัติไว้มากมายถึง 713 แห่ง พวกเขาขุดพบมาแล้ว 5 แห่ง และตามลายแทงยังบ่งบอกไว้ว่าในบริเวณรอบพระเจดีย์ใหญ่ที่สมเด็จพระนเรศวรฯ สร้างนี้มีขุมทรัพย์อยู่ถึง 27 ขุม มีข้าวของเงินทอง และเพชรนิลจินดาอยู่มากมาย จากนั้นกลุ่มชายฉกรรจ์ก็ได้เอาสมุดข่อย ซึ่งเขียนด้วยอักขรไทยโบราณมีรูปแสดงที่ตั้งขุมทรัพย์ใต้ดินในบริเวณรอบ ๆ พระเจดีย์ให้หลวงปู่ดู นอกจากนี้ในสมุดข่อยยังมีแผนที่แสดงขุมทรัพย์ต่าง ๆ ทั่วกรุงศรีอยุธยาอีกมากมายนับไม่ถ้วน และที่น่ากลัวก็คือ ภายในสมุดข่อยเล่มนั้นมีอยู่หน้าหนึ่งเป็นผ้าเยื่อไม้ซีด ๆ ปรากฏคำสาปแช่งเอาไว้ด้วยโดยที่ไม่รู้ว่า กลุ่มโจรพวกนี้ จะเห็นหรือไม่
     เรื่องขุมทรัพย์รายรอบพระเจดีย์นี้เป็นเรื่องที่คนโบราณว่าไว้จริง ซึ่งหัวหน้าแม่ชีท่านหนึ่งที่วัดใหญ่ชัยมงคลเคยเล่าให้ผู้เขียนฟัง ในสมัยที่ท่านเข้ามาอยู่ที่วัดนี้ใหม่ ๆ นอกจากจะได้เห็น "ดวงพระวิญญาณ สมเด็จพระนเรศวรฯ" แล้วท่านยังเคยเห็น "ทองลุก" ซึ่งเป็นไฟพะเนียงพุ่งขึ้นไปบนฟ้าตรงบริเวณหน้าพระเจดีย์องค์นี้ ซึ่งคนโบราณบอกไว้ว่าถ้าเห็นลักษณะนี้แสดงว่า ใต้ดินบริเวณนั้นต้องมีสมบัติฝังอยู่แน่นอน สำหรับที่มาของขุมทรัพย์เหล่านี้ตามลายแทงโบราณได้บอกไว้ว่าเป็นมหาสมบัติอันล้ำค่า ของอดีตพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยาหลายพระองค์ ที่สมเด็จพระนเรศวรทรงขุดพบ และนำมาฝังไว้ตามคำแนะนำของสมเด็จพระพนรัตน์ป่าแก้ว ผู้เป็นอาจารย์ของพระองค์จุดประสงค์ก็เพื่อเป็นการบูชาพระรัตนตรัย แก้อาถรรพณ์ดวงเมืองที่ตกต่ำ ร่วงโรยมานานให้รุ่งเรืองขึ้นในยุคสมัยของพระองค์
     การขุดสมบัติของกลุ่มโจรในวันนั้นเล่าว่ามีการนำอาจารย์ทางไสยศาสตร์มาทำพิธีด้วย มีการเสกไข่เสี่ยงทายและพบไข่เป็นสีต่าง ๆ เช่น สีเหลือง แดง เขียว ดำ ซึ่งบอกให้รู้ว่ามีขุมทรัพย์ประเภททองคำ เพชรนิลจินดา และเงินตราโบราณอยู่มากมาย ทำให้พวกโจรดีใจกันมาก แล้วก็ช่วยกันทำการขุด เมื่อขุดลงไปประมาณ 7 ฟุต ก็พบโครงกระดูก 4 โครง นอนหัวชนกันหันเท้าชี้ไป 4 ทิศ และพอขุดลงไปอีกจอบก็ไปกระทบกับพื้นคอนกรีตโบราณ ซึ่งเป็นหลังคาอุโมงค์เก็บสมบัติ จึงพยายามช่วยกันแซะปากอุโมงค์ให้กว้างขึ้น และน่าประหลาดที่ภายในอุโมงค์มีกระแสลมแรงมาก พัดออกมาตลอดเวลา คล้ายมีพัดลมขนาดใหญ่อยู่ข้างใน อาจารย์ทางไสยเวทย์ที่ร่วมทีมจึงทดลองเอาด้ามเสียมแหย่ลงไปดูปรากฏว่า เสียมถูกกระแสลมตีเศษเหล็กกระจาย ทำให้แน่ใจว่าภายในหลุมนี้มี "หุ่นพยนต์" หรือ "จักรพยนต์" ที่คนโบราณผูกไว้สำหรับป้องกันขุมทรัพย์
     "หุ่นพยนต์" หรือ "จักรพยนต์" นี้ทำด้วยเหล็กกล้าเนื้อดี และคมกริบเคลื่อนไหวด้วยกลไกที่ผลักดันจากแสง และอากาศที่อัดลงไป นอกจากนี้ยังมีการปลุกเสกลงอาถรรพณ์ ด้วยเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้มีวิญญาณสิงสถิตย์อยู่ หากจะทำลายก็ต้องแก้ด้วยเวทมนตร์ แต่สำหรับกลุ่มโจรเหล่านี้ แม้จะมีอาจารย์ทางไสยศาสตร์ มาคอยแก้อาถรรพณ์อยู่ด้วยก็ยังทำได้ยาก เพราะขณะกำลังทำพิธีล้างอาถรรพณ์หุ่นพยนต์นั้น อุโมงค์ขุมทรัพย์ก็ได้เลื่อนออกไป เสียงดังครืด ๆ เป็นที่น่าอัศจรรย์ หนำซ้ำยังมีดินถล่มลงมาถมปากอุโมงค์จนเต็ม เป็นการปิดไม่ให้คนเหล่านั้นได้ล่วงล้ำเข้าไปอีก แต่ถึงจะเจออภินิหารซึ่งหน้าเช่นนี้ กลุ่มโจรก็ยังไม่ย่อท้อ ตั้งใจว่าจะเริ่มขุดใหม่ในวันรุ่งขึ้น

     ดึกดื่นคืนนั้นพวกโจรกลับกันหมดแล้ว ได้ปรากฏร่างใหญ่โตของคน 4 คน ซึ่งไม่มีหัวมายืนอยู่หน้ากลดหลวงปู่สีโห ทั้งหมดคือภูตที่คอยเฝ้ามหาสมบัติให้สมเด็จพระนเรศวรฯ มาแจ้งให้หลวงปู่ทราบว่า กลุ่มโจรเหล่านี้มาขุดพระราชทรัพย์อันศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าฟ้าพระมหากษัตริย์ที่ทรงสาปแช่งไว้ แล้วยังทำพิธีไสยศาสตร์ ทำลายข่ายอาถรรพณ์ที่พระครูปุโรหิตโบราณาจารย์ทำไว้ให้เสื่อมอีก เท่ากับเป็นการทำลายดวงชะตาของบ้านเมือง พวกตนจะมาเอาชีวิตไปให้หมดแต่ติดขัดว่ามีหลวงปู่อยู่ด้วย จึงมาแจ้งให้ทราบ แต่หลวงปู่สีโห ซึ่งท่านได้ชื่อว่าเป็นพระที่มีจิตเมตตา ท่านจึงได้ขอบิณฑบาตชีวิตคนเหล่านั้น ขอแค่ดัดนิสัยให้เข็ดหลาบก็พอ ทำให้วิญญาณทั้ง 4 นิ่งอึ้ง และบอกว่าต้องให้หลวงปู่ลองพูดกับพญายมบาลเอง พวกเขาไม่มีอำนาจอะไร เพียงแต่ทำตามหน้าที่เท่านั้นพูดเสร็จก็เดินหายเข้าไปในองค์พระเจดีย์

     หลวงปู่สีโหจึงเข้าฌานติดต่อกับพญายมบาล เมื่อพญายมบาลเปิดบัญชีดูจึงรู้ว่าพวกขุดลักพระราชทรัพย์เหล่านี้ ดวงยังไม่ถึงฆาตในตอนนี้ แต่กรรมหนักกำลังจะตามมาในไม่ช้า แต่ถึงอย่างไรพวกนี้ก็ควรจะได้รับผลจากคำสาปแช่งบ้างจะได้หลาบจำ เป็นอันว่าท่านพญายมตกลงจะไว้ชีวิตพวกโจร ครั้นรุ่งเช้าหลวงปู่สีโหตื่นขึ้นจะไปสรงน้ำ เพื่อออกบิณฑบาตก็ได้เห็นโจรกลุ่มนั้นกำลังนอนดิ้นทุรนทุราย เอามือกุมท้องบิดไปมาด้วยความเจ็บปวด ขอให้หลวงปู่ช่วย ขณะเดียวกันบนองค์พระเจดีย์ใหญ่ก็เกิดเสียงดังครืน ทำให้ทุกคนหันไปดู เพราะคิดว่าพระเจดีย์จะถล่ม แต่แล้วก็พากันตกตะลึง เมื่อเห็นชายผู้หนึ่งเดินลงมาจากพระเจดีย์พร้อมด้วยผีหัวขาดร่างใหญ่โต และพากันเดินหายไปทางกำแพงแก้วด้านทิศใต้ พวกโจรในที่นั้นร้องอุทานด้วยความตกใจสุดขีด หลวงปู่จึงบอกว่า "พวกเขาคือปู่โสมเฝ้าทรัพย์ที่จะมาเอาชีวิตพวกเจ้า" พอได้ยินหลวงปู่พูดเช่นนี้ พวกโจรทั้งหมดก็เกิดความกลัว ตาหูเหลือกลาน จนอาการปวดท้องกำเริบ ทำให้หมดสติไปตามๆกัน หลวงพ่อเห็นแล้วก็ยิ่งเกิดความสังเวชที่เห็นโจรเหล่านี้ถูกลงโทษ เช้าวันนั้นท่านจึงจาริกออกจากอยุธยาไป ปล่อยให้โจรเหล่านั้นนอนสลบไสลเฝ้าขุมทรัพย์ภายในวัดป่าแก้วไปตามยถากรรม

     "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" นั้นมีจริงหากใครไม่เชื่อคิดลบหลู่ลองของก็เชิญพิสูจน์ได้ที่ "วัดป่าแก้ว" หรือ "วัดใหญ่ชัยมงคล" จ.อยุธยา เพราะสมบัติมีค่ามหาศาล ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรฯ ณ ปัจจุบันก็ยังคงฝังอยู่ใต้ดินรอบองค์พระเจดีย์นั่นเอง ซึ่งคงต้องรอผู้มีบุญ ผู้มีวาสนาขุดขึ้นมาใช้เป็นพระราชทรัพย์บำรุงแผ่นดิน และพระพุทธศาสนาในยุคต่อ ๆ ไป

 ยาวสักหน่อยแต่ก็ทำให้ได้รู้ว่าสมบัติชาติ สมบัติแผ่นดิน ไม่ควรตกเป็นของใครคนใดคนหนึ่งแต่ผู้เดียวค่ะ


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 23:57:52
พระวิญญาณเสด็จ ณ วัดอินทาราม
 
        จากหัวเรื่อง ทำไมต้องเขียน "พระวิญญาณเสด็จที่วัดอินทาราม" นั่นก็เพราะว่า ครั้งหนึ่งเคยมีผู้สัมผัสกับดวงพระวิญญาณสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ที่นั่น
        วัดอินทารามมีความสำคัญอย่างไรกับพระองค์ท่าน ก็เพราะเป็นวัดที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เคยเสด็จฯ มาทรงประกอบพระราชกุศลและปฏิบัติกรรมฐาน และที่นี่ยังเป็นที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระราชชนนี แม้เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ สวรรคต ก็มีการนำพระศพของพระองค์มาฝังไว้ที่วัดอินทารามนี้ ภายในวัดยังมีโบราณวัตถุที่เกี่ยวเนื่องกับพระองค์ท่าน ขณะยังมีพระชนมชีพอยู่มากมาย เช่น พระราชอาสน์ที่พระองค์ประทับทรงศีล และเจริญกรรมฐาน พระแท่นบรรทม รวมไปถึงพระเจดีย์บรรจุพระบรมอัฐิของพระองค์และพระอัครมเหสี
         ความเป็นมาของวัดอินทารามนี้ สมัยก่อนเล่ากันว่า มีอาณาบริเวณกว้างขวางใหญ่โตกว่าปัจจุบันมาก แต่ปัจจุบันเหลืออยู่เพียง 20 กว่าไร่ วัดอินทารามจัดเป็นพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดวรวิหาร ตั้งอยู่ริมถนนเทอดไทย แขวงบางยี่เรือ เขตธนบุรี กรุงเทพฯ วัดนี้เป็นวัดโบราณมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมเรียกว่า "วัดบางยี่เรือนอก" คู่กับ "วัดบางยี่เรือใน" คือวัดราชคฤห์ วัดอินทารามไม่ปรากฏว่าผู้ใดสร้างและสร้างมาแต่ครั้งใด ปรากฏอยู่ในพงศาวดารสมัยกรุงศรีอยุธยาก็ร่วงโรยมาก และเป็นวัดเล็ก ต่อเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานี ทรงพบวัดนี้เป็นที่พอพระราชหฤทัย จึงทรงมาบูรณะปฏิสังขรณ์ แล้วสถาปนาขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นเอกพิเศษ วัดอินทารามในสมัยโบราณเรียกว่าวัดบางยี่เรือนอก เพราะเดิมในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เมืองธนบุรีตั้งอยู่ที่วัดคูหาสวรรค์ (วัดศาลาสี่หน้า) ในคลองบางกอกใหญ่ จากเมืองเก่าต้องถึงวัดราชคฤห์ก่อน จึงเรียกวัดนี้ว่าวัดบางยี่เรือใน และถึงวัดจันทาราม ซึ่งอยู่ตรงกลาง จึงเรียกวัดบางยี่เรือกลาง แล้วจึงถึงวัดอินทาราม จึงเรียกวัดนี้ในอดีตว่าวัดบางยี่เรือนอก

        บางยี่เรือในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีลักษณะเป็นป่าสะแกทึบ แต่ฝั่งตรงข้ามเป็นที่ลุ่ม และมีกกขึ้นอยู่ในน้ำตื้นๆคล้ายป่าพรุ ถ้ามีเรือล่องมาในลำคลองจะต้องอ้อมคุ้งมองเห็นได้ชัด จึงเหมาะเป็นชัยภูมิ ซุ่มยิงได้ดี จึงเรียกว่า "บังยิงเรือ" ต่อมาได้เพี้ยนเป็นบางยี่เรือ เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงปราบดาภิเษกแล้ว ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์วัดอินทาราม และทรงถวายพระเพลิงพระบรมศพพระราชชนนี ในวันพฤหัสบดี แรม 5 ค่ำ เดือน 6 พ.ศ. 2318 ซึ่งเป็นงานใหญ่โต มีการละเล่นมหรสพต่างๆ จำนวน 522 โรง แสดงประมาณ 29 วัน
         มาในยุคปัจจุบัน วัดอินทารามเป็นวัดที่เคยปรากฏเรื่องเล่าถึงดวงพระวิญญาณสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ซึ่งชาวฝั่งธนบุรีเชื่อว่าดวงพระวิญญาณของพระองค์ท่านยังสถิตอยู่ ณ วิหารน้อย วัดอินทาราม เพื่อคอยปกปักรักษาลูกหลานไทย และทุกปีในวันที่ 28 ธ.ค. ซึ่งเป็นวันตากสินมหาราช ชาวฝั่งธนบุรีจะประกอบพิธีบวงสรวงที่วิหารน้อยอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงตรากตรำทำสงครามเพื่อคนไทยมาตลอดชีวิตของพระองค์
         ชาวธนบุรีเคยมีเหตุการณ์ประหลาดอันเกี่ยวเนื่องกับสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เมื่อหลายสิบปีก่อนตรงกับพุทธศักราช 2498 ครั้งนั้นมีการแยกการปกครองของกรุงเทพฯ ออกเป็น 2 ส่วน แบ่งเป็นเทศบาลนครกรุงเทพฯ และเทศบาลนครธนบุรี ทำให้ความเจริญทั้งหลายหลั่งไหลไปอยู่ที่เทศบาลนครกรุงเทพฯหมด ส่วนเทศบาลนครธนบุรีหรือกรุงธนบุรีเดิมนั้นห่างไกลความเจริญไปทุกขณะ น้ำก็ไม่ไหล ไฟก็ไม่มี ถนนหนทางคับแคบ สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนชาวธนบุรี เสียงร่ำร้องคงกึกก้องไปถึงพระองค์ท่าน วันหนึ่งจึงเกิดปาฏิหาริย์ดวงพระวิญญาณเสด็จมาที่วัดอินทาราม

       วันนั้นคือ วันที่ 12 กรกฎาคม 2498 เวลา 08.00 น. เล่ากันมาว่า ขณะที่แม่ชีเหรียญคนดูแลวิหารน้อย เอากุญแจมาเปิดวิหารตามปกติเพื่อให้คนมาสักการบูชาดวงพระวิญญาณพระเจ้าตากสินฯ เมื่อแม่ชีปัดกวาดเช็ดถูเสร็จก็กลับออกไป จากนั้นเวลาประมาณเก้าโมงเศษ ก็มีหญิงแปลกหน้าวัยกลางคนสวมเสื้อผ้าชุดแดงทั้งชุดเดินเข้ามาในวิหารน้อย เมื่อมาถึงก็ก้มลงกราบที่หน้าพระแท่นบรรทม จากนั้นก็ก้าวขึ้นไปนั่งหลับตาทำสมาธิเป็นเวลานาน ทำให้สตรีที่เห็นเหตุการณ์ผู้หนึ่งไม่พอใจ ตรงเข้าไปต่อว่าที่หญิงชุดแดงทำตัวไม่เหมาะสม แต่พอหญิงคนนั้นได้เห็นแววตาและใบหน้าของหญิงในชุดแดงจังๆก็ถึงกับเข่าอ่อน ต้องทรุดลงนั่งกราบอยู่ตรงนั้น
       เธอเล่าว่ามองเห็นใบหน้าของคนโบราณไว้หนวดยาวเฟื้อยซ้อนอยู่กับใบหน้าหญิงชุดแดงคนนั้น และยังตวาดเธอดังลั่นว่า "..คุณ..บังอาจมาก ก็ที่ของกูเคยประทับ กูจะขึ้นมามิได้รึ ..คุณ..จงรู้เถิดว่า กูพระเจ้ากรุงธนบุรีได้มาอาศัยร่างของอีคนนี้ มาพบปะกับพวก..คุณ.. เพราะวันหนึ่งๆ พวก..คุณ..พากันร่ำร้องถึงความเดือดร้อนจนกูอยู่ไม่เป็นสุข กูจึงต้องมาพบพวก..คุณ.."
         วันนั้นที่วัดอินทารามผู้คนไม่รู้มาจากแห่งหนตำบลไหนพากันแห่มาดูพระเจ้าตากสินฯที่วิหารน้อยกันเนืองแน่น จนการจราจรที่หน้าวัดติดขัด เพราะบ้างก็มาขอพร มากราบ และมาขอหวย บางคนรู้เรื่องประวัติศาสตร์ดีก็มาถาม จนสุดท้ายตำรวจต้องมาพาหญิงชุดแดงไปสอบสวนที่โรงพัก ปรากฏความจริงว่า หญิงชุดแดงนั้นชื่อ นางเพี้ยน ลิ้มลาย อายุ 35 ปี ขายยาเส้นอยู่ใกล้วัดอินทาราม สติไม่ดี อ่านและเขียนหนังสือไม่เป็น ไม่เคยมีความรู้ในประวัติศาสตร์มาก่อน และยังไม่รู้ตัวด้วยว่าเข้ามาในวิหารน้อยได้ยังไง แถมยังพูดจาฉะฉาน ตอบคำถามในเรื่องประวัติศาสตร์ได้เป็นอย่างดีและถูกต้อง
         สรุปว่าชาวบ้านฝั่งธนบุรีต่างเชื่อสนิทใจว่าเป็นเพราะดวงพระวิญญาณฯ เสด็จผ่านร่าง และที่ทรงเลือกหญิงสติไม่ดีก็เพื่อให้คนแน่ใจว่าเป็นพระองค์มาจริงๆ ไม่ได้เป็นการแกล้งทำ ลูกหลานไทยทุกคนมีแผ่นดินอาศัยอยู่จนทุกวันนี้ก็เพราะพระบารมีของพระองค์ท่าน ซึ่งเป็นบุญคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม ในฐานะผู้เขียนได้เขียนเรื่องนี้ขึ้นก็เพื่อให้คนไทยได้เข้าใจประวัติศาสตร์ในความเป็นจริงอีกแง่มุมหนึ่ง และเพื่อเป็นการระลึกถึงพระองค์ท่าน "สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช" ของเราชาวไทยตลอดกาลนาน


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 19 กรกฎาคม 2009 23:58:29
ป่าช้าวัดดอน จาก 'สุสาน' สู่ 'สวนสวย'
 
(http://images.thaiza.com/33/33_20070517144035..jpg)   


       จากเรื่องราวความน่ากลัวที่ถูกกล่าวขานมาเนิ่นนาน บัดนี้ ?ป่าช้าวัดดอน'กลายเป็นเพียงตำนานที่ต้องเก็บไว้เล่าให้ลูกหลานฟังเท่านั้น เพราะไม่ว่าจะมองไปบริเวณไหน จะเห็นเพียงความร่มรื่นของไม้ยืนต้นที่แผ่ขยายร่มเงาให้ผู้ไปเยือนได้พักพิง สนามหญ้าเขียวชะอุ่ม ลู่วิ่งและลานออกกำลังกายที่รองรับคนรักสุขภาพตั้งแต่เช้า จรดเย็น และฮวงซุ้ยเดิมที่แฝง อยู่กับลานกิจกรรมเป็นภาพแบคกราวน์ เพิ่มความเงียบสงบยิ่งขึ้น อาจขนานนามได้ว่า ?สวนสวยในป่าช้า' แห่งนี้ เป็นสุสานเพื่อออกกำลังกายแห่งเดียวในประเทศไทย
       
       ย้อนอดีตป่าช้าวัดดอน
       
        ในอดีต ?ป่าช้าวัดดอน' เคยเป็นสุสานขนาดใหญ่ มี พื้นที่มากกว่า 150 ไร่ เป็นที่ฝังศพนับหมื่น ป่าช้าแห่งนี้ อยู่ในความดูแลของ 3 องค์กร ได้แก่ สมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันเป็นสถานที่ตั้งของสวนสวยในป่าช้าแห่งนี้ มูลนิธิปอเต็กตึ้ง และสมาคมไหหลำด่านเกเต้
       
        อาณาบริเวณของป่าช้าแห่งนี้ ครอบคลุมตั้งแต่ซอย เจริญกรุง 57 เชื่อมต่อไปจนถึงเซ็นต์หลุยส์ ซอย 3 อยู่ในพื้นที่แขวงทุ่งวัดดอน เขตสาธร กทม. โดยสุสานใน ส่วนของสมาคมแต้จิ๋วฯ มีพื้นที่ประมาณ 87 ไร่ ตั้งอยู่ บริเวณด้านหลังของสมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย และมีรั้วรอบขอบชิด
       
        ที่ผ่านมาป่าช้าวัดดอนมีศพที่ฝังในลักษณะฮวงซุ้ย ถึง 7,961 ศพ ศพที่บรรจุเฉพาะอัฐิอีก 1,800 กว่าศพ และศพที่ไม่มีญาติบรรจุรวมกันไว้อีกมากกว่าหมื่นศพ เมื่อก่อนบริเวณนี้ ได้เปิดให้ประชาชนเข้าไปในสุสานได้ เฉพาะในเทศกาลเช็งเม้ง (เทศกาลไหว้บรรพบุรุของชาว จีน)เท่านั้น จึงทำให้พื้นที่ดูรกร้าง แถมยังมีสัตว์เลื้อยคลานอาศัยอยู่มากมาย ยิ่งเพิ่มความน่ากลัวเข้าไปอีก
       
        และยิ่งนอกรั้วบริเวณสุสานแต้จิ๋ว เคยเป็นสถานที่ ชำรุดทรุดโทรม มีน้ำท่วมขัง และขาดการดูแล ถึงขนาด มีศพไร้ญาตินอนแช่น้ำอย่างน่าเอนจอนาถ อีกทั้งชาวบ้านยังนำเอาขยะ เศษหิน เศษปูน มาทิ้งทับถม เพิ่มความสกปรก วังเวง และน่ากลัวยิ่งขึ้น

        ส่วนพื้นที่ของมูลนิธิปอเต็กตึ๊ง มีบริเวณกว่า 30 ไร่ เป็นจุดที่น่ากลัวยิ่งกว่าบริเวณอื่นๆ เพราะเป็นที่สำหรับฝังศพไม่มีญาติ ศพที่ตายด้วยอุบัติเหตุ สามารถฝังได้กว่า 4,000 ศพ และถูกล้างป่าช้า เพื่อนำศพใหม่มา ฝังอยู่ตลอดเวลา ทำให้บริเวณนี้ถูกกล่าวขวัญในเรื่อง ความน่ากลัวมากที่สุด
       
        ไม่เพียงแค่ความน่ากลัวจากเรื่องเล่าอาถรรพ์จาก ดวงวิญญาณในสุสานวัดดอนเท่านั้น แต่เพราะความ เงียบ น่ากลัว ที่นำไปสู่ความวิเวก ไร้ผู้คนสัญจร ทำให้บริเวณป่าช้าวัดดอน ขึ้นชื่อเรื่องการปล้นจี้อีกด้วย
       
       ปรับโฉมป่าช้าเป็นสวนสาธารณะ
       
        ความน่ากลัวถูกเปลี่ยนแปลงสู่ความร่มรื่น เมื่อสำนักงานเขตสาทร จัดยุทธศาสตร์ การทำเมืองน่าอยู่ (Healthy City) การพัฒนาป่าช้าวัดดอนให้เป็นป่าช้าน่าอยู่ จึงเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ ที่จะทำให้เขตสาทรเป็นเมืองน่าอยู่ และลบภาพความน่ากลัวในอดีตไปเสียสิ้น
       
        จรูญ มีธนาถาวร ผู้อำนวยการเขตสาธร กล่าวถึง ที่มาของการเปลี่ยนป่าช้าให้เป็นสวนสาธารณะว่า "ทางเขตสาธรมีโครงการสวนสวยในป่าช้า ซึ่งเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2539 โดยทางผู้อำนวยการเขต สาธรในขณะนั้น ได้ไปบุกเบิกนำต้นไม้ไปปลูกในป่าช้า วัดดอน บริเวณที่ในกรรมสิทธิ์ของสมาคมแต้จิ๋ว และทางเขตฯ ก็เข้าไปร่วมพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นแหล่งออกกำลังกายแห่งใหม่ในเขตสาธร โดยได้รับการอนุญาตจากทางสมาคมฯ ทำลู่วิ่ง ทำลานกีฬาประเภทA ของกรุงเทพมหานคร จนกระทั่งปัจจุบันมีชมรมมากมายในสวยสวยแห่งนี้ ตั้งแต่เด็กๆ ไปจนถึง ผู้ใหญ่อายุ 80 ปี และมีผู้มาออกกำลังกายและพักผ่อน ราว 1,000 คนต่อวัน"

       นอกจากการเกิดโครงการสวนสวยในป่าช้าแล้ว บริเวณใกล้เคียง ได้มีการตัดถนนสายเหนือ-ใต้ ใต้ทาง ด่วนขั้นที่ 1 ส่วน B และระบบทางด่วนในบริเวณนี้ เป็นทางขึ้นลง เชื่อมต่อกับถนนสาธร ถนนจันทน์ ทำให้ พื้นที่รกๆ และน่ากลัว ถูกปรับปรับปรุงให้สวยงามยิ่งขึ้นตามไปด้วย
       
        ลักษณะของป่าช้าวัดดอนในปัจจุบัน เป็นสุสานปิด ไม่มีการนำศพมาฝังหรือเผาเพิ่ม ชาวจีนที่เคยนำศพ มาฝังบริเวณนี้ ก็นำศพไปฝังที่จังหวัดสระบุรี หรือชลบุรีแทน ในบริเวณป่าช้าของมูลนิธิปอเต็กตึ้งก็ไม่มีการนำศพมาฝังหรือมาเผา ทิ้งไว้เพียงที่ร้างว่างเปล่า รอการพัฒนาเท่านั้น แม้แต่ที่วัดดอนเองก็ยังไม่มีการเผาศพอีกต่อไป และที่ผ่านมา ทางเขตก็ได้ดำเนิน การล้างป่าช้าไปแล้วถึง 2 ครั้ง ทำให้ความน่ากลัวในบริเวณนี้หมดไปโดยสิ้นเชิง
       
        สำหรับสวนสวยในป่าช้าแต้จิ๋ว 100 กว่าไร่ ถูกจัดสรรปันส่วนให้เป็นสถานที่ออกกำลังกาย สถานที่ พักผ่อน และยังคงเป็นที่ตั้งของฮวงซุ้ยเดิมของคนจีน มีมุมของบ้านหนังสือของกรุงเทพฯ ส่วนของลานกีฬา คนเมือง ส่วนของลานนาบุญอันเป็นสวนสงบ เปิดให้ผู้คนมานั่งพักผ่อน อ่านหนังสือ บริเวณของสวนสนุก เพื่อให้เด็กๆ มาเล่นชิงช้า ม้าโยก ภายใต้บรรยากาศอันร่มรื่น ปกคลุมด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม

       เตรียมพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว
       
        ผู้อำนวยการเขตฯ กล่าวว่า "ทุกอย่างในสุสานแห่งนี้ เกิดจากความร่วมมือของทางภาครัฐและเอกชน ทางเขตฯ จะดูแลความเรียบร้อย ความสะอาด ซ่อมถนน ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมในบริเวณสวน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่มาออกำลังกาย ในขณะที่ประชาชน ก็ ร่วมกันบริจาคสิ่งของจำเป็น เช่น เสาไฟฟ้า ก็ได้จากการร่วมมือของชาวบ้าน คนนั้นมาบริจาคหนึ่งต้น คนนี้บริจาคอีกหนึ่งต้น และที่สำคัญทางสมาคมแต้จิ๋วก็อนุญาตให้ทางเขตฯ เข้าไปพัฒนา ซึ่งในส่วนของลานกีฬาก็ได้บรรดาชมรมต่างๆ ร่วมกันรักษาความสะอาด บริจาคค่าน้ำ ค่าไฟ เพื่อบำรุงสวนสวยในป่าช้า"
       
        ส่วนผู้ที่เข้ามาออกกำลังกายในสวนสวยแห่งนี้ ทางผู้อำนวยการเขตฯ ยืนยันว่า ไม่มีในลักษณะมั่วสุม หรือ เป็นแหล่งของยาเสพติด "คนที่เข้ามาค่อนข้างมีฐานะ และดูแลกันเอง เราห้ามไม่ให้วัยรุ่นมาเตะฟุตบอล และก่อความวุ่นวาย เนื่องจากยังมีบริเวณฮวงซุ้ยเดิมตั้งอยู่ อาจก่อให้เกิดความเสียหาย" ผู้อำนวยการเขตฯ กล่าว
       
        เนื่องจากในเขตสาธร ยังไม่มีสวนสาธารณะเปิดให้ บริการแก่ประชาชน ที่มีอยู่ก็เป็นเพียงบรรดาฟิตเนสของ เอกชนเท่านั้น สวนสาธารณะในสุสานแห่งนี้ จึงเปรียบเสมือนปอดของคนกรุงอีกแห่งหนึ่ง ที่เปิดบริการให้คนทั่วกรุงเทพฯ มาพักผ่อนและออกกำลังกายฟรี!!!
       
        สำหรับอนาคต ทางเขตสาธร หมายมั่นปั้นมือว่า จะพัฒนาสุสานแห่งนี้ ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของประเทศ เช่นเดียวกับสุสานทหารสัมพันธมิตร ที่จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งแทนที่ประชาชนจะมาออกกำลังกายอย่างเดียว ก็สามารถมาท่องเที่ยวและสร้างรายได้ ให้ชุมชนได้อีกหนึ่งทาง

       หลากกิจกรรมในสุสาน
       
        เมื่อตำนานความน่ากลัวถูกทำให้จางหาย บริเวณป่าช้าแต้จิ๋ว จึงกลายเป็นสวนสาธารณะ ที่ชาวสาธรได้ใช้ เป็นสถานที่ออกกำลังกาย และยังได้ตั้งชมรมต่างๆ กว่า 30 ชมรม เพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน อาทิ ชมรมเพาะกาย ชมรมแบดมินตัน ชมรมหมากรุก ชมรมเทควันโด้ ชมรมแอโรบิก โดยมีสมาคมนักวิ่งแต้จิ๋วเป็นชมรมหลัก
       
        สำหรับจุดเด่นของสวนสาธารณะแห่งนี้ เพียงขับรถ ผ่านประตูเข้าไป ก็จะเจอฮวงซุ้ยนับร้อย ตั้งเรียงราย รอต้อนรับผู้มาเยือน แต่เมื่อผ่านเข้าไปได้ไม่ไกลนัก เป็นบริเวณของลานคนเมือง ชมรมนักวิ่ง ของสมาคม แต้จิ๋ว ซึ่งมีนักกล้ามทั้งหลาย ออกกำลังกาย ฟิตกล้าม กันอย่างแข็งขัน
       
        "เฮียยักษ์" เทรนเนอร์ของ ชมรมเพาะกาย ผู้บุกเบิกสุสาน แห่งนี้ ให้กลายเป็นยิมสำหรับนักเพาะกายคนแรกๆ กล่าวว่า "ผมมาเล่นที่นี่เกือบ 10 ปี แล้ว ตอนแรกที่นี่ก็น่ากลัว เพราะพื้นที่ดูรกร้าง มีสุสานที่ถูกพงหญ้าปกคลุม เมื่อพวกเราช่วยกัน
       พัฒนา มีไฟ มีน้ำ ก็ดีขึ้น ตอนนี้ชินแล้ว และความรู้สึกก็กลาย เป็นความสงบ คนที่มาเล่นใหม่ๆอาจจะกลัวๆกันบ้าง แต่เดี๋ยวนี้ ตี 5 ผู้คนก็มาวิ่งกันแล้ว ตอนกลางคืนก็มีแสงไฟ ดูไม่น่ากลัวเลย"
       
        โดยปกติแล้วในส่วนของเพาะกายนี้ จะได้รับความนิยมเป็นพิเศษ เนื่องจากเปิดให้บริการฟรี แถมยังมีเทรนเนอร์ คอยแนะนำอย่างใกล้ชิด ผู้ที่เข้า มาเล่นก็มีความเป็นกันเอง จนเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน
       
        นอกจากลานเพาะกายตรงนี้แล้ว ยังมีลานโล่ง ซึ่งเป็นส่วนของสนามแบดมินตัน ที่เปิดโอกาสให้ชมรมแบดมินตัน ทั้งเด็กเล็กและผู้ใหญ่ มาตีแบดกลางแจ้ง กันอย่างสนุกสนาน และแม้จะมีลมพัดโชย แต่ทางชมรมก็ไม่ได้คิดจะสร้างอาคารขึ้นมา เนื่องจากเป็นการทำลายบรรยากาศและทิวทัศน์ ในสุสานแห่งนี้
       
        สำหรับกิจกรรมของชมรมแบดมินตันนั้น จะเริ่มตั้งแต่เช้า โดยให้เหล่าสมาชิกเข้ามาวิ่งรอบสวน จากนั้นก็ตีแบดกันตอน 8 โมงเช้า ทานข้าวเช้าร่วมกัน และมีการสังสรรค์์ถึงขนาดตั้งวงกันร้องเพลงคาราโอเกะติดกับฮวงซุ้ยที่ตั้งเรียงรายกันเลยทีเดียว กิจกรรมของชมรมแบดมินตันมีไปจนถึงเที่ยงวัน และต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน

       ชาญศักดิ์ โสภณทวีทรัพย์ หนึ่งในสมาชิกชมรมแบดมินตันเล่าถึงความเป็นมาของชมรมว่า เราตั้งชมรม กันมา 3-4 ปีแล้ว เพราะเมื่อก่อนป่าช้าแห่งนี้มีแต่ลู่วิ่ง และยังดูเวิ้งว้าง จนมีคนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงได้รวมกลุ่ม กัน และรู้จักกัน จนต่างคิดว่าที่นี่เป็นบ้านหลังหนึ่ง "ผมไม่รู้สึกกลัว เพราะผมไม่ได้มาทำอะไรไม่ดี และไม่ได้ ลบหลู่ แต่เมื่อสมัยเป็นเด็กๆ ยอมรับว่ากลัว เมื่อผู้ใหญ่ พูดถึงป่าช้าวัดดอน แต่ตอนนี้เด็กๆ น่าจะกลัวคนมาก กว่านะ" ชาญศักดิ์บรรยายความรู้สึก
       
        สำหรับความคิดเห็นของเหล่าผู้รักสุขภาพ ที่เลือกมาออกกำลังกายในบรรยากาศสุสานนั้น มีเพียงว่า ที่นี่ใกล้บ้าน และบริการฟรี อีกทั้งความแตกต่างที่ชัดเจนคือ ได้ความเยือกเย็น สงบ มีต้นไม้ใหญ่ที่ให้ความร่มรื่น และการได้รู้จักกันแบบครอบครัว ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แม้แต่การทำความสะอาด ที่ทางสมาชิกของแต่ละชมรม จะเป็นผู้มีส่วนร่วมในการดูแล ความเรียบร้อยและรักษาความสะอาดกันเอง เพื่อรวบรวมให้ทางเขตฯ มาเก็บไปทิ้ง
       
        นอกจากกิจกรรมของประชาชนแล้ว ทางสำนักงานเขตสาธร ยังเลือกไปจัดกิจกรรมประจำปีที่สุสานแห่งนี้ทุกๆ ปี โดยได้มีการจัดโต๊ะจีนสังสรรค์ ซึ่งส่วนใหญ่ ต่างก็ไม่ได้คิดถึงความวังเวง หรือความน่ากลัว ของฮวงซุ้ยที่ตั้งเรียงรายอยู่ เปรียบเสมือนว่า คนเป็นและคนตายสามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้
       
        ป่าช้าวัดดอนวันนี้ จึงมิได้เนืองแน่นเฉพาะร่างของผู้ที่ไร้วิญญาณเท่านั้น แต่กลับเต็มไปด้วยผู้คนที่เดินเข้าออกในยามที่ยังมีลมหายใจ เคลื่อนไหวทำกิจกรรม นานาชนิด เพื่อใช้ชีวิตขณะมีลมหายใจให้คุ้มค่าคุ้มประโยชน์มากที่สุด
       
       (จากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลา ฉบับที่ 77 เม.ย. 50 โดย จรินทร์ คำชัย)
 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 20 กรกฎาคม 2009 00:00:08
?พระนางเรือล่ม? ดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่วัดกู้
 
(http://images.thaiza.com/32/32_20070928155433..jpg)

ณ ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา "วัดกู้" ซึ่งตั้งอยู่ใน ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ในอดีตสถานที่นี้คือ จุดเกิดโศกนาฏกรรมครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ ยุคแผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5


       เหตุครั้งนั้นทำให้พระนางอันเป็นที่รักยิ่งของเจ้าแผ่นดินต้องมาสังเวยชีวิตสิ้นพระชนม์ลง ณ กลางแม่น้ำนั้น
       เหตุการณ์คราวนั้นถึงกับทำให้ "เจ้าเหนือหัว" ของคนไทย "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" ถึงกับทรงพระกรรณแสง เพราะเป็นที่รู้กันตามประวัติศาสตร์ว่า ในบรรดาพระมเหสีและเจ้าจอมทั้งหลายนั้น "สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี" หรือที่เราคนไทยคุ้นกับพระนามของพระองค์ว่า "พระนางเรือล่ม" นั้นทรงเป็น "ที่รัก" และโปรดปรานยิ่งของ "องค์พระพุทธเจ้าหลวง"

       พระประวัติ "พระนางเรือล่ม" พระองค์ทรงเป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ลำดับที่ 50 พระมารดาคือ สมเด็จพระปิยมาวดีศรีพัชรินทรมาตา (เจ้าจอมมารดาเปี่ยม) ประสูติเมื่อวันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน ปีวอก พ.ศ. 2403 ณ พระบรมมหาราชวังทรงถวายองค์เป็นพระมเหสีในรัชกาลที่ 5 เมื่อเจริญพระชนมายุได้ 17 พรรษา ด้วยมีพระสิริโฉมงดงาม พระสติปัญญาฉลาดเฉียบแหลม จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอิสริยยศขึ้นเป็น "พระอัครมเหสี" และยังเป็นที่โปรดปรานสนิทเสน่หายิ่งกว่าพระอัครมเหสีองค์อื่น ๆ

       สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯ ทรงมีพระราชธิดา พระองค์แรกเมื่อพระชนมายุได้ 19 พรรษา ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรรณาภรณ์ เพชรรัตน์ จวบกระทั่งวันที่เสด็จทิวงคตเพราะเรือล่ม ณ วันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2423 ขณะกำลังเสด็จฯ มายัง พระราชวังบางปะอินพระองค์ก็ทรงพระครรภ์ได้ 5 เดือน

       เหตุสลดในวันนั้นเล่ากันว่า สาเหตุที่ทำให้เรือของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯ ล่ม เนื่องเพราะเรือพระพันปีหลวง หรือสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถบรมราชชนนี พันปีหลวงแล่นแซง ประกอบกับนายท้ายเรือของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯ เมาเหล้า ขาดสติในการควบคุมเรือเรือจึงล่ม และทั้งที่พระองค์ก็ทรงว่ายน้ำได้ แต่เพราะความที่ทรงห่วงพระราชธิดา จึงต้องสิ้นพระชนม์ไปพร้อม ๆ กัน รวมทั้งพระพี่เลี้ยง รวมทั้งสิ้น 4 ศพ ที่จมอยู่ใต้ท้องเรือโดยที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วย เพราะติดอยู่ที่กฎมณเฑียรบาลว่า ห้ามผู้ใดแตะต้องพระวรกายพระมเหสีมิฉะนั้นจะถูกประหารทั้งโคตร

       โศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นนี้ก่อนเกิดเหตุ ได้มีลางร้ายมาเตือนล่วงหน้าแล้วโดยก่อนที่เรือจะล่มในคืนหนึ่ง สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯ ได้ทรงพระสุบินว่า พระธิดาของพระองค์ตกลงไปในน้ำ ด้วยความตกพระทัยจึงรีบคว้าพระธิดาจนตกลงไปในน้ำด้วยกัน แล้วได้ตื่นจากบรรทม ครุ่นคิดถึงการเสด็จฯ ไปพระราชวังบางปะอิน ในวันรุ่งขึ้นว่าต้องมีเหตุอะไรเกิดขึ้นกับพระองค์เป็นแน่ แต่ก็ยังหลีกเลี่ยงชะตากรรมไม่ได้จนพบจุดจบในที่สุด

การสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯ ในครั้งนั้นมีเสียงร่ำลือในวังหลวงอย่างอื้ออึงว่า เพราะเป็นแผนการที่จงใจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุ จากความอิจฉาริษยาของบรรดามเหสี และสนมนางในที่คิดหาหนทางกำจัด จนทำให้พระนางอันเป็นที่รักของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ต้องมาสิ้นพระชนม์ท่ามกลางข้อกังหา และเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของชาวบ้าน และชาววังในยุคนั้น ก็ยังมีเรื่องน่าพิศวงอันเกิดจากอาถรรพณ์ของดวงพระวิญญาณตามมาด้วย

       เล่ากันว่าขณะกำลังงมค้นหาพระศพในวันที่เรือพระที่นั่งล่ม โดยชาวบ้านแถวนั้นทนเห็นเหตุการณ์ไม่ไหว พยายามช่วยลงมางมค้นหาพระศพก็เกิดเหตุอัศจรรย์ที่หาเท่าไหร่ก็ไม่พบ ถึงขนาดทำพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ก็ไม่สามารถพบพระศพ จึงต้องไปเชิญหลวงจีนท่านหนึ่งนามว่า "สกเห็ง" ซึ่งเชี่ยวชาญทางวิปัสสนานั่งทางในมาทำการเสี่ยงทาย โดยเสกถ้วยน้ำชาให้ลอยไปตามกระแสน้ำหากถ้วยชาจมลงตรงจุดใด ก็ให้ชาวบ้านและทหารช่วยกันลงไปงมหา ซึ่งในที่สุดก็สามารถหาพระศพจนพบ ลักษณะพระศพที่เห็นนำความเศร้าสลดมาสู่สายตาผู้พบเห็นยิ่งนัก เป็นภาพพระนางโอบพระธิดาไว้แนบอก และพระศพที่พบก็จมอยู่ใต้ซากเรือพระที่นั่งนั่นเอง

       และเพราะเหตุที่สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯ ทรงสิ้นพระชนม์จากเรือพระที่นั่งล่มที่หน้าวัดกู้ กลางลำน้ำเจ้าพระยา จ.นนทบุรี ชาวบ้านจึงได้ร่วมใจตั้งศาลพระนางเรือล่มขึ้น เพื่อเป็นอนุสรณ์ว่าครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ บริเวณนี้เคยเป็นสถานที่กู้พระศพของพระองค์ ซึ่งต่อมาหลังจากผ่านเหตุการณ์นี้มานานมากแล้ว ก็ยังเกิดเรื่องเล่าถึงดวงวิญญาณพระนางเรือล่มตามมามากมาย

       มีผู้พบเห็น และร่วมอยู่ในเหตุการณ์ความศักดิ์สิทธิ์ของดวงพระวิญญาณพระนางเรือล่มหลายครั้ง โดยชาวบ้านในละแวกวัดเล่าว่า ในสมัยก่อนที่หน้าศาลของพระนางเรือล่ม มักมีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นเสมอโดยหลาย ๆ ครั้งจะมีฝูงจระเข้ว่ายน้ำมาคำนับที่หน้าศาลอยู่เป็นประจำ ทั้งที่ปกติจระเข้มักว่ายอยู่ใต้น้ำ แต่อาจเป็น เพราะจระเข้รับรู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ท่าน ดังนั้นเวลาว่ายน้ำผ่านหน้าศาลทีไร จระเข้ทุกตัวเป็นต้องลอยตัวขึ้นมาคำนับทุกครั้งไป

       นอกจากนี้ยังเคยเกิดเหตุการณ์แปลก ๆ ขึ้นกับคนต่างถิ่น ที่ไม่เคยรู้จักเรื่องราวของพระองค์ท่าน บางคนดั้นด้นมาที่วัดกู้ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยมา ก็เพราะเขาฝันว่ามีผู้หญิงสูงศักดิ์ท่านหนึ่งมาเข้าฝันบอกให้มาที่วัดกู้แล้วจะมีโชค เมื่อมาถึงก็ต้องตกตะลึง เมื่อมาเห็นภาพ และพระรูปปั้นที่อยู่ในศาลนั้นเหมือนกับผู้หญิงในความฝันไม่ผิดเพี้ยน

       อาถรรพณ์จากความศักดิ์สิทธิ์ของพระนางเรือล่มยังมีเล่ากันต่อมาอีกว่า เคยมีบางคนลบหลู่ไม่เชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ พูดจาดูหมิ่นขณะพูดจบไม่ทันไรก็มีอาการแปลก ๆ เกิดขึ้น โดยจู่ ๆ ก็วิ่งไปที่ท่าน้ำไม่รู้เนื้อรู้ตัวทำท่าจะกระโดดน้ำตาย หรืออย่างบางคนที่ชอบมาท้าสาบานที่ศาลของพระองค์ว่า ถ้าผิดจริงขอให้จมน้ำตาย ปรากฏว่าได้ตายสมใจ โดยตายอยู่ในอ่างน้ำตื้น ๆ ดังนั้นถ้าใครคิดมาลองสาบานอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าที่ศาลพระนางเรือล่ม ที่วัดกู้ ต้องขอบอกก่อนว่าอย่าเสี่ยงเป็นอันขาด

       ทุกวันนี้ชาวบ้านแถบ จ.นนทบุรี และผู้ที่มาจากต่างจังหวัดยังคงแวะเวียนมากราบไหว้พระนางเรือล่มที่ศาลอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่นิยมนำมาถวายพระองค์ท่านก็คือกล้วยเผา มาพร้าวอ่อนและพวงมาลัยมะลิสด ส่วนศาลที่เห็นในปัจจุบันจะมี 2 ศาล คือศาลที่อยู่ริมน้ำกับศาลที่ตั้งอยู่ภายในวัด ซึ่งศาลนี้อันที่จริงเป็นศาลเดิม เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ศาลนี้เดิมก็อยู่ริมน้ำ แต่เพราะเวลาผ่านไปทำให้ดินทับถมกลายเป็นแผ่นดินงอกใหม่ ศาลนี้เลยกลายเป็นตั้งอยู่บนดินไป

 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 20 กรกฎาคม 2009 00:00:50
ช็อก-ฉี่ใต้ต้นไม้ ศพหล่นตุ้บ ร่วงลงพื้นต่อหน้า
(http://images.thaiza.com/32/32_20070925103324..jpg)


หนุ่มยืนฉี่ใต้ต้นไม้ใหญ่เจอเต็มๆ จู่ๆ ซากศพครึ่งท่อนล่างหล่นโครมลงมาต่อหน้า หนอนที่ไต่ยั้วเยี้ยกระเด็นกระจายว่อน พอแหงนไปมองบนต้นไม้ ก็เห็นศพคนครึ่งท่อนบนห้อยต่องแต่งบนกิ่ง วิ่งหนีกระเจิงไม่คิดชีวิต นึกว่าเจอผีหลอกกลางวันแสกๆ ตร.รับแจ้งเหตุรีบมาดู ที่แท้เป็นศพคนผูกคอตายมานานร่วม 10 วันแล้ว พอดีตัวเปื่อยขาดลงมาตอนมีคนมายืนฉี่ข้างล่าง กลายเป็นประสบการณ์เขย่าขวัญที่ยากจะเกิดกับใคร ทางด้านเพื่อนคนตายโผล่ยัน หลายวันมาแล้ว คนตายถือเชือกมากินเหล้าด้วย บ่นอยากตายเพราะทะเลาะกับเมีย กับปัญหาหนี้สินรุมเร้า

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 24 ก.ย. ร.ต.ท.ประสิทธิ์ เหล็กดี ร้อยเวรสอบสวน สภ.อ.บางละมุง จ.ชลบุรี รับแจ้งมีคนผูกคอตายเหตุเกิดบริเวณริมคลองบางละมุง ข้างวัดบางละมุง ม.9 ต.บางละมุง อ.บางละมุง หลังรับแจ้งจึงนำกำลังพร้อมด้วยหน่วยกู้ภัยมูลนิธิสว่างบริบูรณ์พัทยา รีบรุดไปตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุอยู่ริมคลองติดกับวัดบางละมุง มีเรือประมงจอดอยู่หลายลำ บริเวณโคนต้นแสมขนาดใหญ่ สูงเกือบ 20 เมตร พบชาวบ้านกำลังมุงดูชิ้นส่วนร่างกายท่อนล่างของชายไทยในสภาพเน่าเฟะ เหลือแต่โครงกระดูก สวมกางเกงยีนส์ขายาวสีน้ำเงิน ส่วนท่อนบนตั้งแต่เอวขึ้นไปมีเชือกไนลอนสีขาวยาวประมาณ 2 เมตร ผูกอยู่ที่คอห้อยต่องแต่งบนกิ่งต้นแสม สูงจากพื้นประมาณ 8 เมตร สภาพศพสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำลายจุด ร่างกายเปื่อยเน่าจนแทบจำเค้าโครงเดิมไม่ได้ คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 10 วัน หน่วยกู้ภัยจึงช่วยกันนำศพส่วนบนลงมาจากต้นไม้อย่างทุลักทุเล ค้นในตัวพบกระเป๋าสตางค์ภายในมีเอกสารระบุชื่อผู้ตายคือ นายดาว รุ่งเริง อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 81 ม.5 ต.บางละมุง อ.บางละมุง

จากการสอบสวนนายสิงหา สังนวม อายุ 29 ปี พนักงานท่าเรือแหลมฉบัง ผู้พบศพคนแรกให้การว่า ก่อนพบศพ นำเรือเล็กออกไปตกปลาหมึกกลางทะเล ขากลับได้นำเรือมาจอดบริเวณใกล้เคียงที่เกิดเหตุ เพื่อขึ้นฝั่งกลับบ้าน แต่พอดีปวดปัสสาวะจึงวิ่งไปยืนถ่ายปัสสาวะที่โคนต้นแสม ระหว่างนั้น ได้กลิ่นเหม็นเน่าคล้ายซากศพ แต่ไม่ได้เอะใจ นึกว่าเป็นกลิ่นคาวปลาที่ติดมากับเรือประมง ขณะที่ยืนฉี่อย่างสบายอารมณ์อยู่นั้น จู่ๆ ชิ้นส่วนมนุษย์ท่อนล่าง ก็ร่วงตกลงมาจากต้นไม้จนหนอนที่กำลังไต่ยั้วเยี้ยบนซากศพกระเด็นกระจาย พอแหงนขึ้นไปดูบนกิ่งไม้ต้องขนหัวลุกซู่ เมื่อพบชิ้นส่วนท่อนบนของผู้ตายแขวนคออยู่กับกิ่งแสม ด้วยความตกใจสุดขีดนึกว่าผีหลอกกลางวันแสก จึงวิ่งหน้าตั้งไปแจ้งให้พระและชาวบ้านที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงพากันมาดู และแจ้งให้ตำรวจทราบดังกล่าว

ต่อมาได้มีนายอิสระ เสือเหม็ง อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 14 ม.4 ต.บางละมุง อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เดินทางมาดูศพพร้อมกับแจ้งว่า ผู้ตายเป็นเพื่อนของตน โดยนายอิสระให้การว่าประมาณ 10 วันก่อน ผู้ตายได้ไปหาตนที่บ้านในช่วงเช้าตรู่พร้อมกับถือเชือกไนลอนสีขาวไปด้วย จากนั้นจึงชักชวนตนดื่มสุราและเล่าความทุกข์ใจให้ตนฟังว่า ทะเลาะกับภรรยามา และมีภาระหนี้สินมากมาย อยากตายจากโลกนี้เร็วๆ ตนจึงปลอบใจไม่ให้คิดอะไรมาก ภายหลังดื่มสุราจนหมดขวดผู้ตายจึงขอตัวกลับ กระทั่งภรรยาของผู้ตายโทรศัพท์มาหาตนว่าสามียังไม่กลับเข้าบ้าน ตนจึงช่วยตามหาแต่ไม่พบ กระทั่งทราบว่ามีคนผูกคอตายจึงมาดูศพ ก็พบว่าเป็นเพื่อนของตัวเองตัดสินใจลาโลกไปแล้วอย่างที่บ่นๆ ออกมา

ภายหลังการสอบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษ ฐานว่า ผู้ตายอาจมีปัญหาคิดไม่ตก จึงเครียดหนักเลยตัดสินใจผูกคอตาย เบื้องต้นได้ติดต่อไปที่ภรรยาเพื่อให้มารับศพนำไปบำเพ็ญกุศลตามพิธีกรรมทางศาสนาต่อไป
 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 20 กรกฎาคม 2009 00:01:07
สามล้อเมืองคอน
 
"ไข่นุ้ย" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากหอพระอิศวร

ผมเป็นเด็กตลาดแขก อยู่ในเมืองนครศรีธรรมราช ปีนี้บ้านผมเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมกีฬาแห่งชาติ บรรยากาศที่ซบเซาลงไปหน่อยตอนเดือนกรกฎาฯ-สิงหาฯ ก็กลับมาคึกคักอีกครั้งในเดือนกันยายน

ถึงจะสู้นักกีฬาจากกรุงเทพฯ ไม่ได้ ตามมาระดับที่ 4 ที่ 5 ก็ดีถมไปแล้วละน่า

จังหวัดผม หรือที่พวกเราเรียกสั้นๆ ว่า "เมืองคอน" ที่นี่มีตำช้าตำนานเยอะครับ

ไหนจะเป็นชุมชนขนาดใหญ่ในคาบสมุทรไทยมาตั้ง 1,700 ปี เป็นแหล่งอารยธรรมเก่าแก่ มีชื่อต่างๆ เช่น ตามพรลิงค์, ตั้งหมาหลิ่ง, โลแค็ก, ศรีธรรมาโศกราชศิริธรรมนคร, นครดอนพระ และลิกอร์ เป็นต้น

นครศรีธรรมราช มีความหมายว่า "นครอันงามสง่าแห่งพระราชาผู้ทรงธรรม"

สมัยผมเด็กๆ มีเรื่องขำขันเล่าว่า ขอทานตาบอดแถวตลาดแขกแกนั่งร้องโนราอยู่ข้างถนน แม่สาวชาวกรุงกลุ่มหนึ่งผ่านก็วิพากษ์วิจารณ์กันสนุกปากว่า แหม...ขอทานคนนี้แกเสียงดีไม่เบานะ แม่เพื่อนสาวทำเสียงดูหมิ่นว่า...โธ่เอ๊ย! เสียงดีแต่ว่าตาบอดย่ะ!

เท่านั้นแหละครับ เหมือนไปสะกิดต่อมยัวะชายเนตรพิการเข้าจังๆ แกขยับลูกคอขึ้นมาทันใด "ถึงหน่วยตาพี่บอด แต่ยอดตาพี่ยัง จะลองดูมั่งก็เป็นไร!"

เล่าเรื่องนี้ที่ไหน รับรองว่าฮากระจายที่นั่น

ภาษาใต้ของพวกผมค่อนข้างแตกต่างกันไปตามท้องที่นะครับ ไหนๆ ก็ไหนๆ ขอถือโอกาสเล่าให้ฟังซะเลย เช่น ผลไม้เป็นต้น คนนครเรียก "ฝรั่ง" ว่า "ชมพู่กัว" แต่คนสมุยหรือ "เกาะหมุย" เรียกว่า "ยามูร์" ออกเสียงเป็น "หญ้าหมู" เพราะเป็นภาษามลายูน่ะซีครับ

อะไรก็ไม่ตลกเท่ากับ "มะม่วงหิมพานต์" ตามชื่อที่คนกรุงเทพฯ เขาเรียก

บ้านผมเรียก "ยาร่วง" แต่คนสมุยเรียก "ม่วงเล็ดล่อ" ตาเทียบ-คนท่าวังนิสัยครึกครื้นขี้เล่น ค่อนข้างเจ้าบทเจ้ากลอน แกเรียกว่า "นารีเยี่ยมห้อง" ตอนแรกก็ยังงงๆ พอรู้ความหมายเล่นเอาขำกลิ้งไปตามๆ กัน แต่พวกผู้หญิงน่ะค้อนควักตาคว่ำตาหงายเชียวครับ

ตาเทียบแกอ้างว่า...ทีลูก "นารีพิศวง" หรือ "นารีรำพึง" ยังพลิกลิ้นเรียก "รำเพย" ได้นี่นา "รักเร่" ก็เรียก "รักแรง" "แห้ว" ก็กลายเป็น "สมหวัง" แล้วทำไมมะม่วงหิมพานต์ที่มีเม็ดแผล็มออกมานอกเนื้อจะเรียก "นารีเยี่ยมห้อง" ไม่ได้ละวะ? จะไม่ให้หนุ่มๆ ฟังแล้วหัวเราะจนน้ำตาเล็ดได้ไง?

คนที่เจอะเจอเรื่องขนหัวลุกเข้าเต็มรักก็ตาเทียบนี่เอง!

สมัยหนุ่มๆ แกปั่นสามล้อหากิน ส่วนมากจะปักหลักอยู่หน้าสถานีรถไฟ คอยรับนักท่องเที่ยวไปโรงแรมต่างๆ ไม่ว่าใกล้ไกล อย่างมณเฑียร, เพชรไพลิน, หรือแกรนปาร์ค, นครการ์เดน ไปยันทักษิณ ตอนนั้นยังไม่มีมอเตอร์ไซค์หนาตาแทบเต็มเมืองอย่างทุกวันนี้ ตาเทียบจึงหากินได้คล่องๆ

บ่ายนั้น ฟ้าครึ้มฝนชอบกล ตาเทียบแวะเข้าไปโจ้ขนมจีนถาดใหญ่ที่ร้าน "พานยม" จนอิ่มแปล้ เพราะมีทั้งแกงน้ำยา, น้ำพริก, น้ำยาป่า, แกงต่างๆ มาให้ราดขนมจีนกินได้ตามใจชอบ แถมผักอีกกระจาดใหญ่

ตาเทียบถีบรถเอื่อยๆ อย่างมีความสุข จนเห็นคนแต่งชุดขาวกลุ่มใหญ่อยู่ข้างหน้า พอใกล้เข้าไปก็เห็นเสาชิงช้ากับหอพระอิศวร ตรงข้ามกับพอพระนารายณ์พอดี!

ลมแรงพัดวูบมาเย็นซ่า...ฟ้าหนักอึ้ง ไม่รู้ว่าเทวดาจะเทฝนห่าใหญ่ลงมาเมื่อใด...พอดีเห็นชายผิวดำในชุดขาว นุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อแขนยาว ห่มผ้าสไบเฉียง...ขาวโพลนไปหมด ยกเว้นใบหน้าและนัยน์ตาดำขลับที่จ้องมอง โบกมือเป็นสัญญาณให้จอดรับ

ดูๆ ก็ไม่น่าแปลกประหลาดอะไร เพราะเมืองนครศรีฯ ได้ชื่อว่าเป็นที่รวมของหลายศาสนา ทั้งพุทธ, คริสต์, อิสลาม, พราหมณ์, ขงจื๊อ...ไม่ว่าโบสถ์หรือสุเหร่า ศาลเจ้า วัดแขก โบสถ์ฝรั่งมีทั้งนั้นแหละครับ

ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็คนไทยเหมือนกัน อยู่ร่วมกันอย่างสันติ สงบสุขตั้งแต่สมัยโบราณมาถึงทุกวันนี้!

พอสามล้อจอดปุ๊บ ร่างสูงใหญ่ในชุดขาวก็ก้าวขึ้นมานั่ง เล่นเอารถยุบฮวบ...ผู้โดยสารรายนี้คงมีน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 100 กิโลกรัมแน่ๆ บอกเสียงแหบว่า...ไปวัดมเหยงคณ์!

ตาเทียบถีบรถไม่เร่งร้อนเพราะเป็นทางตรง...ผ่านวัดเสมา สนามหน้าเมือง...เลยหน้าสถานีตำรวจ พ้นสี่แยกไปหน่อยก็จะถึงจุดหมายปลายทาง

ท้องฟ้าชักมืดครึ้มลงทุกที....

เสียงดนตรีแปลกๆ ล่องลอยมากระทบหู ตามด้วยเสียงสวดงึมงำ สูงๆ ต่ำๆ ดังมาจากไหนไม่รู้ กลิ่นกำยานหอมเอียนๆ อวลซ่านมากระทบจมูก เล่นเอาตาเทียบชักปากคอแห้งผาก เย็นวาบๆ ที่แผ่นหลังชุ่มเหงื่อ...รู้สึกว่าน้ำหนักท้ายรถชักจะเพิ่มมากขึ้นจนน่าเอะใจ

"เข้าวัดหรือเปล่าคร้าบ...?" ตาเทียบถามเมื่อมองเห็นประตูวัดอยู่เบื้องหน้า นึกสงสัยอยู่ว่าเป็นพราหมณ์จะเข้าวัดไปทำไมกัน...แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบ แกเลยหันกลับไปมอง

ไม่มีใครนั่งอยู่ที่เบาะหลังเลย! เล่นเอาสารถีร่างผอมกะหร่องเบรกรถกึก ร้องเฮ้ย! ออกมาอย่างลืมตัว ขนลุกซ่า...รีบปั่นสามล้ออ้าวๆ ผ่านเทศบาลไปหมดแรงที่หน้าไทยโฮเต็ล ทั้งที่รถเบาหวิวขึ้นพะเรอ

ตาเทียบเลิกอาชีพขี่สามล้อแต่นั้นมา พวกเรายั่วว่าแกขี่มอเตอร์ไซค์ไม่ไหวเพราะแก่แล้วใช่ไหมล่ะ? แต่ตาเทียบทำตาเขียวเข้าใส่...กูขี่ไหว แต่ถ้าเกิดมีใครมาซ้อนท้ายกูแล้วหาย ตัวไปอีก มิช็อกตายคาที่เรอะ? บรื๋อส์!

 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 20 กรกฎาคม 2009 00:01:48
บ้านปริศนา
 
"จันทร์ฉาย" เล่าประสบการณ์สยองขวัญ

เรื่องลึกลับน่าสยองขวัญในบ้านริมแม่น้ำ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี เกิดขึ้นมาเกือบยี่สิบปีแล้ว แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครตอบได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งว่า มันเกิดขึ้นจากอะไรกันแน่?

ผู้ใหญ่อาจจะไม่กลัว หรือไม่ก็ลืมเลือนเรื่องราวเหล่านั้นไปจนหมดสิ้นแล้ว แต่สำหรับเด็กๆวัยสิบขวบเศษอย่างดิฉันกับเพื่อนๆ ภาพหลอนอารมณ์สุดขีดยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ ชนิดที่ไม่มีวันจะลบเลือนไปได้ง่ายๆ แน่นอน

สมัยนั้น พวกเราเรียกว่า "บ้านผีสิง" ค่ะ!

จากสถานีรถไฟ ผ่านตลาดไปสู่ถนนเลียบแม่น้ำ มีบ้านเรือนเก่าแก่ปลูกกันห่างๆ ส่วนมากเป็นบ้านสองชั้น ที่เป็นชั้นเดียวก็นิยมลาดปูนใต้ถุนเรือน มีโต๊ะใหญ่สารพัดประโยชน์ ตั้งอยู่หน้าห้องครัวและห้องน้ำ เป็นทั้งโต๊ะกินข้าว โต๊ะทำงานและโต๊ะรับแขกพร้อมสรรพ

มองจากหน้าบ้านเข้าไปมักจะเป็นที่โล่งๆ มีโต๊ะหินสำหรับนั่งเล่น บางบ้านก็มีกรงนกเขาแขวนที่ระเบียง แม่ไก่คุมฝูงลูกเจี๊ยบคุ้ยเขี่ยหากินเป็นภาพที่เห็นจนเจนตาเจนใจ

ทั่วๆ ไปมักไม่มีรั้วหรอกค่ะ นิยมปลูกมะพร้าว มะละกอ ขนุน มะม่วงหรือมะยมไว้หน้าบ้าน อย่างดีก็ปักเสาห่างๆ ใช้ไม้ไผ่พาดตามขวางไว้ 3-4 ท่อน บางบ้านก็ปลูกดอกไม้อย่างดาวเรือง บานชื่น บานไม่รู้โรยไว้ข้างรั้ว

บ้านติดๆ กับดิฉันคือลุงยิ่งกับป้าแย้ม มีอาชีพค้าขายในตลาด ลูกสาวคนเดียวชื่อลำไย อายุราว 17 ปี หน้าตาสะสวยคมคาย รูปร่างสูงโปร่ง เรียนแค่ ม.3 ก็ออกมานั่งๆ นอนๆ อยู่กับบ้าน บางวันโดนพ่อแม่เคี่ยวเข็ญถึงจะยอมออกไปช่วยขายของ

ลำไยชอบหัวเราะต่อกระซิกกับพวกหนุ่มๆ นัยน์ตาแวววาวหยาดเยิ้มที่ชาวบ้านนินทาว่า "เจ้าชู้" ตกเย็นลุงยิ่งเมาเหล้าเข้าไปเป็นร้องด่าลูกสาว หาว่าชอบให้ท่าผู้ชาย พอป้าแย้มร้องห้ามก็ยิ่งยั่วโทสะให้เสียงดังเหมือนตะโกน มีการทุบตีลูกเมียจนดังโครมครามน่าตกใจ

ค่ำวันหนึ่ง หลังจากเสียงทะเลาะกับเสียงทุบตี ตามด้วยเสียงหวีดร้องของลำไย...ก็ได้ข่าวว่าป้าแย้มตกบันไดลงมาคอหักตาย!

ลุงยิ่งจมอยู่กับขวดเหล้า ลำไยก็เอาแต่ร้องไห้จนกระทั่งงานศพผ่านไป...

ไม่มีใครเห็นหน้าลำไยอีกเลย ลุงยิ่งก็เลิกไปขายของที่ตลาด นานๆ ถึงจะขับรถกระบะออกจากบ้าน ซื้ออาหารทั้งสดและแห้งมาตุนไว้ มีคนเล่าว่าแกรูปร่างผ่ายผอมผิดตา หน้าดำคล้ำ นัยน์ตาลึกโหลแดงก่ำเหมือนกะปูด มองใครก็มีแววขุ่นขวางคล้ายคนวิกลจริต

ทุกคนพูดตรงกันว่า ลุงยิ่งเหม็นสาบเหม็นสางราวกับคนจรจัด ใครถามถึงลูกสาวลุงยิ่งก็ขบกราม นัยน์ตาขุ่นขวางยิ่งกว่าเดิม ตอบห้วนๆ ว่า...มันหนีตามผู้ชายไปแล้ว...

นอกจากลำไย ดูเหมือนลุงยิ่งก็สูญหายไปอีกคน!

ไม่มีใครเห็นแกนั่งดื่มเหล้าที่โต๊ะใหญ่ใต้ถุนบ้าน เพื่อนฝูงจากตลาดมาหา ทั้งตะโกนทั้งกดแตรเรียกก็ไม่ได้ยินเสียงขานตอบ...บางคนก็เดาว่าลุงยิ่งคงจะออกไปตามหาลูกสาว แต่บาง คนก็เดาว่า แกคงจะเมากลิ้งอยู่บนบ้าน หรือไม่ก็ขาดใจตายไปแล้วโดยไม่มีใครล่วงรู้

แต่ยังหรอกค่ะ...ลุงยิ่งยังไม่ตาย! เพราะตอนกลางคืนพวกเราเห็นไฟสว่างจ้าที่ชั้นบน บางคืนก็เห็นเงาตะคุ่มๆ ของแกยืนทะมึนอยู่ที่หน้าต่าง เป็นสิ่งยืนยันว่าลุงยิ่งยังมีชีวิตอยู่...

ตอนเย็นๆ พวกเราชอบไปเดินเล่นที่ริมตลิ่ง ลมจากแม่น้ำพัดโชยเข้ามาเยือกเย็น แต่บางวันก็พัดแรงจนดิฉันขนลุกเกรียว...ตกค่ำเดินกลับบ้านก็อดมองไปทางบ้านลุงยิ่งไม่ได้...มันมืดครึ้มน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับจะมีความชั่วร้ายบางอย่างแอบแฝง ซุกซ่อนไว้ในนั้นอย่างน่าสยดสยอง...

จู่ๆ ก็มีไฟเปิดพรึ่บขึ้นที่ชั้นบน ดิฉันเงยหน้ามองก็เห็นลุงยิ่งยืนจังก้า สองมือเท้าขอบหน้าต่าง ท่าทางเหมือนจะกระโจนลงมาหาในพริบตา

วิ่งซีคะ...รวดเดียวถึงบ้าน หอบแฮกๆ แทบจะขาดใจตาย!

ชาวบ้านพูดกันว่า ลุงยิ่งคงเสียใจสุดขีด ไหนจะเมียตายอย่างน่าสยอง ไหนจะลูกสาวหายสาบสูญไปโดยไม่มีร่องรอย จนแกสติแตก ไม่ยอมคบค้าสมาคมกับใคร ไม่โผล่ไปให้ใครเห็นหน้า คล้ายจะเก็บตัวอยู่โดดเดี่ยวจนถึงวันตาย! บางคนส่ายหน้า บอกว่าหมกอยู่กับน้ำเมาทั้งวันทั้งคืนจนกว่าจะหมดสติ ไม่ช้าก็คงตายตามป้าแย้มไปจริงๆ

บางคนก็หลุดปากว่า...ตายิ่งแกอาจจะฆ่าลูกสาวหมกไว้หลังบ้านที่เป็นป่าละเมาะก็ได้? แกคงเมาจนขาดสติ พลั้งเผลอทำอะไรลงไป แต่โดนขัดขืนก็เลยบันดาลโทสะ กลายเป็นฆาตกรใจโหดในพริบตา!

บ้านนั้นกลายเป็นบ้านปริศนา ใครผ่านก็หันมอง วิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา...จนกระทั่งมีคนสังเกตว่า ไม่มีแสงไฟในยามค่ำคืนมานานแล้ว หน้าต่างยังเปิดโล่งตามเดิม แต่ไม่มีใครเห็นลุงยิ่งมายืนที่หน้าต่างอีกต่อไป

ในที่สุด มีญาติจากราชบุรีมาหา...ครั้นรู้เรื่องจากชาวบ้านก็ชวนกันเข้าไปดูให้รู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้น? ชาวบ้านตั้งสิบกว่าคนที่ตามเข้าไป รวมทั้งเด็กๆ อยากรู้อยากเห็นอย่างพวกเรา

ดิฉันใจเต้นตึกตัก มือเย็นเท้าเย็นไปหมด นึกวาดภาพว่าจะเห็นศพลุงยิ่งอยู่ในห้องนอน กำลังขึ้นอืดหรือเน่าเฟะ แต่ก็ไม่ได้กลิ่นเหม็นเน่าอะไร นอกจากกลิ่นอับๆ และสาบสางเตะจมูก...ไม่มีวี่แววของลุงยิ่งหรือลำไยในบ้านนั้นเลย!

หลายๆ คนเข้าไปสำรวจหลังบ้าน ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ เช่นหลุมศพของลำไยที่ลือกันว่าถูกพ่อฆ่าแล้วฝัง...คนทั้งสองดูเหมือนจะหายสาบสูญไปโดยไร้ร่องรอยใดๆ ทั้งสิ้น

พวกญาติลุงยิ่งมาขนข้าวของใส่รถบรรทุกไป บอกฝากขายบ้านไว้ด้วย...ยังไม่ทันมีใครจะมาติดต่อขอซื้อหรือขอดู จู่ๆ บ้านหลังนั้นก็เกิดไฟไหม้กลางดึก รุ่งเช้าก็เหลือแต่เถ้าถ่านกองใหญ่ ควันลอยกรุ่น...ติดหูติดตาดิฉันมาจนถึงทุกวันนี้!

 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 20 กรกฎาคม 2009 00:01:57
ตาลยอดด้วน!
 
"นายต้น" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในคืนตีกบ

ผมเคยเป็นเด็ก อ.บ้านนา จ.นครนายก อาชีพทำไร่ทำนามาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ ที่เขาเคยยกย่องว่าเป็นกระดูกสันหลังของประเทศนั่นล่ะครับ แต่ต่อมาคงจะมองเห็นความจริงว่ากระดูกสันหลังล้วนผุกร่อนแทบจะหักกลางทั้งนั้น คำว่ากระดูกสันหลังของชาติก็เลยค่อยๆ ซาไป

ยุคต่อๆ มาพวกลูกๆ หลานๆ ของชาวนาก็ไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ อยู่กับญาติบ้าง อาศัยข้าวก้นบาตรของหลวงอาหลวงลุงประทังชีวิตบ้าง...จบออกมาเป็นเจ้าใหญ่นายโตกันนับไม่ถ้วนแล้ว ที่ไม่มีปัญญาเล่าเรียนก็เร่ร่อนออกไปหางานทำสารพัดชนิด

สมัยนี้ตามท้องไร่ท้องนาไม่ค่อยมีหนุ่มๆ สาวๆ แล้วล่ะครับ เหลืออยู่แต่คนเฒ่าคนแก่กับเด็กๆ ที่ยังไปไหนไม่ไหว...อีกหน่อยก็คงไม่เหลือชาวนา-คนปลูกข้าวให้เรากินแล้ว

อ้าว? ผมว่าจะเล่าเรื่องขนหัวลุกนะเนี่ย...ไม่รู้ไปพูดถึงเรื่องน่าเศร้าทำไม?

สมัยผมเด็กๆ น่ะ หน้าร้อนกับหน้าหนาวสนุกที่สุด หน้าฝนแย่หน่อย แต่พวกเด็กๆ ก็หาเรื่องสนุกจนได้ ไม่ว่าการหากุ้งหาปลามาให้แม่เป็นกับข้าว ถ้าวันไหนฝนตกแรงๆ ตอนเย็น คืนนั้นเราก็เตรียมตัวออกไปตีกบกันให้สนุกครึกครื้น โอ้อวดกันว่าใครจะเก่งกว่าใคร?

เรื่องโดนผีหลอกตอนไปตีกบนี่มีเยอะครับ ผมได้ยินพวกรุ่นพี่มันเล่าเขย่าขวัญน่าดู ไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือแหกตา เพราะไม่อยากให้พวกเราไปแย่งตีกบกับพวกมันน่ะสิคุณ

แหม! บรรยากาศตอนค่ำคืนตามท้องไร่ท้องนาน่ะมันชวนขวัญหายไม่หยอก จะบอกให้!

พี่เต๋า เล่าว่า กำลังตีกบอยู่ดีๆ ก็เจอเด็กแปลกหน้าไว้จุกมายืนอยู่ข้างๆ หันไปเจอเข้าเล่นเอาสะดุ้งโหยง ได้เด็กเปรตนั่นตาแดงก่ำเชียว บอกเสียงแหบๆ ว่า...ไม่ได้กินอะไรมานานแล้ว ขอกบตัวอ้วนมากินหน่อยสิ!

ว่าแล้วเจ้าจุกมหากาฬก็ยื่นหน้าเข้ามาหา แลบลิ้นแผล็บๆ เหมือนจะเลียหน้า เล่นเอาพี่เต๋าร้องจ๊าก ไฟฉายกับไม้ตีกบหล่นจากมือ หันกลับได้ก็วิ่งอ้าวไม่คิดชีวิต...ตอนหลังเลยไม่กล้าออกไปตีกบคนเดียว แต่ต้องชวนพรรคพวกไปเป็นแพเชียวเพราะกลัวเจอเด็กผีเข้าให้

พี่โจ๊ก อายุแก่กว่าผมราว 3-4 ปีก็เล่าเรื่องมหาโหดอย่าบอกใครเชียว

ที่กลางนามีตาลยอดด้วนเพราะโดนฟ้าผ่าเมื่อปีกลายอยู่ต้นหนึ่ง ยืนโด่เด่อยู่เดียวดาย มองไกลๆ คล้ายกับเปรตยืนสูงลิ่วขึ้นไปบนฟ้า พี่โจ๊กบอกว่าเจอผีที่ดุร้ายสาหัสยิ่งกว่าพี่เต๋าเจอะเจอมาซะด้วยซ้ำไป เพราะตาลยอดด้วนกลายเป็นเปรตร้องวี้ดๆ ตาแดงจ้า เดินโย่งเย่งเข้ามาหาจนแทบช็อกคาที่...วิ่งหนีล้มลุกคลุกคลานจนถึงบ้าน ไม่รู้ว่ารอดตายมาได้ยังไง?

ผมกับ เจ้าต๋อง เพื่อนซี้ผู้มีบ้านอยู่ใกล้ๆ กัน หันหน้าไปอมยิ้มทางอื่น...แหม! เรารู้ทันน่ะสิครับว่าพวกรุ่นพี่เล่าเรื่องแหกตา พวกเราจะได้ปอดกระเส่า ไม่กล้าไปหาตีกบแถวนั้นแข่งกับพวกแกน่ะสิ โธ่เอ๊ย!

คืนนั้น ฝนตกหนักมาตั้งแต่เย็นจนมืดค่ำถึงได้ซาเม็ด ผมกับเจ้า ต๋องชักชวนกันออกไปตีกบแต่โดยพลัน

ใกล้ตายอดด้วนเข้าไป กบตัวอ้วนๆ ยิ่งหนาตาจนเราหวดปั๊บๆ จับใส่ตะข้องแทบไม่ทัน เห็นแสงไฟของนักตีกบคนอื่นๆ วูบวาบที่นั่นที่นี่ แต่เราไม่อยากสนใจให้เสียเวลา

ขณะที่กำลังก้มๆ เงยๆ มองหาเหยื่อตัวอวบอ้วนอยู่นั้น จู่ๆ ฟ้าก็ร้องครืนๆ ก่อนจะแลบวาบ ผ่าเปรี้ยงจนแสบแก้วหูใกล้ๆ กับตาลยอดด้วนดังโครมสนั่น...แต่ตอนที่ฟ้าแลบวาบนั่นน่ะ ผมมองไปทางตาลยอดด้วนเดี่ยวๆ เหมือนเปรตจำแลงนั่นพอดี...เอ๊ะ! ทำไมมีสองต้น?!

หลังจากฟ้าผ่าก็จ้องมองไปที่ต้นตาลนั่นอีกที เพราะมีอะไรผิดหูผิดตาบอกไม่ถูก...ในความมืดสลัวของราตรี เห็นทิวไม้เบื้องหน้าลิบๆ ตาลยอดด้วนโดดเด่นสะดุดตา...แต่ว่ามันไม่ได้มีอยู่ต้นเดียวตามเดิมซะแล้วสิ...

จู่ๆ ก็มีตาลยอดด้วนยืนติดกัน 3 ต้นขึ้นมาดื้อๆ ซะงั้น!

เพ่งมองจนปวดตา ใจเต้นตุ๊บๆ ชอบกล...ต้นตาลต้นหนึ่งหรือสองต้นกำลังเดินโยกเยกเข้ามาหาช้าๆ ครั้นใช้หลังมือขยี้ตา แหงนเถ่อขึ้นไปจ้องมองอีกครั้งให้แน่ใจ ก็ยังเห็นตาลบ้าๆ ทั้งสองต้นเดินเข้ามาหา ไม่ใช่ตาลยอดด้วนเสียแล้ว เพราะมีมือทั้งสองข้างแกว่งไกว...สองต้นนั่นคือสองขาที่กำลังก้าวเข้ามาหา

ยอดตาลคือใบหน้าดำเกรียม ดวงตาแดงฉาน ส่งเสียงวี้ดๆๆ เคล้ามากับสายลมตลอดเวลา...หัวโตขนาดพ้อมใส่ข้าวก้มต่ำลงมาหา ตาแดงก่ำจ้องมองอย่างดุร้าย

เสียงร้องเอะอะคล้ายจะจางหายไปในเสียงฟ้าร้องครืนๆ ผมกับเจ้าต๋องกันกลับออกวิ่งไม่คิดชีวิต ร้องโว้ยๆ ไปด้วยอย่างไม่รู้ตัว เจ้าต๋องตะโกนแต่ว่า...ไป๊! อย่าตามกูมาเลย...กูกลัวแล้วโว้ย! โอ๊ย...จะตามกูมาทำมั้ย?

"คว้ากกก..!" เสียงอุบาทว์ทำให้เบรกพรืดจนหัวแทบคะมำ ส่วนเจ้าต๋องถึงกับล้มแผละลงบนดินลื่นๆ หันขวับไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจ

ตอนแรกนึกว่าเปรตมันแหกอกหลอกอย่างที่เขาเล่าเรื่องผีดุกัน...แต่เปล่าหรอกครับ อสุรกายตนนั้นใช้มือกระชากหัวของมันออกมากวัดแกว่งต่างหากล่ะ ก่อนจะโยนโครมเข้าใส่ เล่นเอาผมกระโดดตัวลอย เจ้าต๋องที่นอนแอ้งแม้งก็กลับเด้งผึงขึ้นมาด่าขรม ออกตะกายหนีกันไม่คิดชีวิต

นรกเป็นพยาน! หัวอุบาทว์นั่นกลิ้งหลุนๆ เข้าใส่ พร้อมกับเสียงหัวเราะแหบโหยดังสะท้านสะเทือนเข้าไปถึงหัวใจ

กว่าจะซมซานมาถึงบ้านก็เหน็ดเหนื่อยแทบจะขาดใจตายไปตามๆ กัน...ผมเชื่อพี่เต๋ากับพี่โจ๊กแล้วว่าแถวตาลยอดด้วนผีดุจริงๆ ถ้าไม่ไปเป็นโขยงรับรองว่าไม่กล้าออกไปตีกบเด็ดขาดเลยครับ... บรื๋ออออ!

 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 20 กรกฎาคม 2009 00:08:00
บ้านผีอยู่
 
"อานนท์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อไปค้างบ้านเพื่อน

ผมไม่เคยไปนอนค้างที่บ้านเจ้าไว-เพื่อนที่ทำงานเดียวกันมาก่อน แต่เมื่อไปครั้งแรกก็เจอดีเข้าเต็มเปา ถึงกับต้องสบถสาบานกับตัวเองว่าชาตินี้จะไม่ยอมไปนอนบ้านใครๆ อีกแล้วจนวันตาย

แน่ละ! ถึงผมจะไม่บอกคุณๆ ต้องรู้อยู่แก่ใจว่า...ผมโดนผีหลอกเข้าเต็มเปาน่ะซี!

เรื่องของเรื่องก็ไม่มีอะไรมาก ผมกับเจ้าไวสนิทสนมกันมาเกือบสองปีแล้ว แถมยังไม่ได้มีครอบครัวเป็นหลักเป็นฐานเหมือนกันทั้งคู่

อ๊ะๆ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด คิดว่าเราเป็นพวกแอบจิต เกย์กับตุ๊ด หรือนิยมชมชอบไม้ป่าเดียวกันนะครับ ขอยืนยันนอนยันว่าเราเป็นผู้ชายเต็มร้อย มีแฟนมาพอสมควรแต่ยังไม่ถึงกับป?กอกปักใจแน่นอนว่าจะเลือกใครมาเป็นแม่ของลูกเท่านั้นแหละ

เราเคยไปมาหาสู่กันเฉพาะตอนกลางวัน พ่อแม่เจ้าไวก็รักใคร่เอ็นดูผมเหมือนลูกหลานคนหนึ่ง แต่วันดีคืนดีผมก็ต้องไปนอนค้างบ้านเพื่อนคนนี้โดยไม่ได้ตั้งอกตั้งใจมาก่อน

เรื่องเป็นยังงี้ครับ

เย็นวันศุกร์เลิกงานเราก็ออกมาหาอะไรกินกันแถวสวนลุมพินี สนุกสนานเฮฮากันเต็มที่จนปาเข้าไปสองยามกว่า คนอื่นๆ แยกย้ายกันกลับ บ้างก็นึกมันเขี้ยวจะไปเดินชมสาวสวนลุมฯ ที่มาอ้อล้อจับเหยื่อกันเพียบ ส่วนผมว่าจะเรียกแท็กซี่กลับบ้านที่บางอ้อ แต่เจ้าไวดันชวนไปค้างบ้านมันแถวถนนเชื้อเพลิงใกล้ๆ นั่นเอง

เป็นอันว่าตกลงตามนั้น...

ห้องนอนเจ้าไวอยู่ชั้นบนติดระเบียงข้างรั้วใกล้ๆ กับห้องพ่อแม่ มีห้องน้ำกั้นกลาง...หลังจากอาบน้ำอาบท่า อาศัยชุดนอนของเพื่อนแก้ขัด อ้าว? ผมเกิดหูตาสว่างขึ้นมาดื้อๆ เลยผลักประตูไปสูบบุหรี่ที่ระเบียง ส่วนเจ้าไวนอนดูทีวีเพราะหายง่วงเหมือนกัน

บ้านติดๆ กันเป็นตึกสองชั้นทาสีชมพูหวานแหววเชียว มีสนามเล็กๆ ร่มรื่นน่ารักแต่เจ้าไวเคยบอกว่าเป็นบ้านร้างมานานแล้ว...

เอ๊ะ! ทำไมแสงไฟสว่างที่ห้องนอนชั้นบน ได้ยินเสียงหนุ่มสาว หัวเราะต่อกระซิกคล้ายกำลังหยอกล้อกันอย่างมีความสุข มองเห็นเงาวับๆ แวมๆ ดูวูบวาบยังไงพิกล...ผมสูบบุหรี่หมดมวนแล้วก็เดินเข้าห้องนอนไปหาเพื่อน

ไม่รู้นึกยังไง ผมหลุดปากต่อว่าเพื่อนที่โกหกว่าเป็นบ้านร้าง ที่แท้ก็มีคนอยู่ แต่เจ้าไวลุกขึ้นมาหัวเราะฟันขาวอย่างอารมณ์ดี "ผีละมั้ง? เพราะเป็นบ้านร้างจริงๆ ว่ะ"

"แล้วทำไมเปิดไฟโร่ แถมกำลังหัวเราะคิกคัก แหม! เสียงผู้หญิงน่ะฟังแล้วเซ็กซี่เป็นบ้า...หรือว่าจะมีคนย้ายมาอยู่ใหม่แล้วลื้อไม่รู้เรื่อง?"

"บ้าซี่! ใครย้ายมาอยู่บ้านติดๆ กันจะไม่รู้ได้ยังไงวะ?" เจ้าไวหัวเราะตามเคย

"แต่อั๊วเห็นจริงๆ หน้าต่างเปิดมองเข้าไปเห็นเค้ากำลังหยอกกัน..." ผมยืนยันเสียงแข็ง "ไม่เชื่อก็ออกมาดูเลยซี่"

คราวนี้เจ้าไวหยุดหัวเราะ หน้าดำๆ คล้ายจะขาวผ่องขึ้นมา

"อย่าพูดเล่นน่า เขาห้ามพูดถึงเรื่องผีๆ สางๆ ตอนกลางคืนรู้มั้ย? บ้านนั้นน่ะผัวฆ่าเมียเพราะความหึงหวง แล้วก็ยิงตัวตายตามเมียไปอีกคน...ปิดร้างมาเกือบสองปีแล้ว แต่ไม่เคยมีข่าวว่าผีดุนี่หว่า"

คราวนี้ผมกระเดือกน้ำลายอึกใหญ่ รู้สึกหนาวยะเยือกไปทั้งหัวใจยังไงชอบกล รีบปราดไปฉุดแขนเพื่อนให้ลุกออกมาดูด้วยนัยน์ตาตัวเอง อยากรู้เหมือนกันว่าของจริงคืออะไร?

เพียงแต่เราก้าวออกไปที่ระเบียง เจ้าไวก็ชะงักกึกเมื่อเห็นแสงไฟสว่างไสวอยู่ในห้องนอนนั้นจริงๆ ครางแต่ว่า...อะไรกันหว่า? บ้านนี้ยังไม่มีใครมาอยู่นี่นา...

แทบจะไม่ขาดเสียง ประตูห้องนอนนั้นก็เปิดออกช้าๆ เสียงดังเอี๊ยดดด...แล้วร่างของหนุ่มสาวคู่หนึ่งก็เดินคลอเคลียกันออกมา โบกมือให้เราอย่างร่าเริง ผมโบกมือตอบอย่างงุนงง ส่วนเจ้าไวผงะหน้า ตาเหลือกลาน ทำเสียงครอกๆ ก่อนจะครางกระเส่า

"ผีหลอก...เขาตายไปแล้ว..."

ผมร้องเฮ้ย! แทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง เสียงหมาหอนโหยหวนมา แต่ไกล ยอดไม้ไหวซ่า อากาศยามดึกสงัดลดตัววูบลงจนเย็นเฉียบ... ขณะที่ร่างทั้งสองค่อยๆ เลือนรางจางหายไปในแสงสว่างเยือกเย็น... ไฟในห้องนอนก็พลันดับวูบลง!

เราวิ่งพรวดเข้าห้องแทบจะชนกันตาย อกสั่นขวัญแขวนจนสว่างคาตา...ผมสาบานกับตัวเองว่าเป็นตายยังไงก็จะไม่ยอมไปค้างบ้านคนอื่นชั่วชีวิตสลาย...กลัวเจอบ้านผีอยู่น่ะซีครับ! บรื๋ออออ..
 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 20 กรกฎาคม 2009 00:08:34
โทรศัพท์สยอง
 
"วรรณจันทร์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากมือถือ

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลาสองทุ่มครึ่งของวันพุธที่ 7 มกราคม ปีใหม่ 2552 นี้เองค่ะ ตอนนั้นดิฉันนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน โต๊ะที่มีหนังสือนานาประเภทกองอยู่เต็มไปหมด จนเหลือที่ว่างเพียงนิดเดียวที่พอจะเขียนหนังสือได้เท่านั้น

ถึงจะดูรกหูรกตา แต่มันก็ดึงดูดความสนใจของคนทั้งบ้านได้เสมอ

คืนนั้นก็เช่นกัน ลูกชายคนโตวัย 19 ปีของดิฉันเตร่เข้ามายืนข้างๆ วางโทรศัพท์มือถือแปะลงบนกองหนังสือที่อยู่สุดริมโต๊ะ จากนั้นก็ก้มๆ เงยๆ เลือกว่าจะเอาเล่มไหนไปอ่านดี...ทันใดนั้น แสงสว่างก็วาบขึ้นจากโทรศัพท์ หน้าจอปรากฏข้อความชัดเจนว่ากำลังโทร.ออกมาจากเบอร์ของดิฉัน!

วินาทีต่อมา โทรศัพท์มือถือของดิฉันก็ส่งสัญญาณเรียกให้รับสาย

ดิฉันกับลูกชายมองหน้ากันอย่างงงงัน โทรศัพท์โทร.เองได้ยังไง ทั้งๆ ที่มันล็อกอยู่ และเจ้าของก็ไม่ได้แตะต้องแม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตาม ดิฉันยังรับสายและมันก็เงียบกริบ เราสองคนแม่ลูกลืมสนิทไปเลยว่ากำลังทำอะไรอยู่ เราถกเถียงหาสาเหตุทุกอย่างเท่าที่มันน่าจะเป็นไปได้ แต่ดูเหมือนไม่มีทางเลยค่ะ ที่จะมีความผิดพลาดทางเทคนิคใดๆ ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ได้

ลูกชายคนโตเรียกน้องและน้ามาช่วยกันวิเคราะห์

และฉับพลันนั้นเอง มันก็เกิดซ้ำอีก...ต่อหน้าพวกเราทุกคน!

โทรศัพท์มือถือของลูกชายที่สไลด์ปิดเรียบร้อย สว่างเรืองขึ้นมาอย่างน่าขนลุก หน้าจอบอกว่ากำลังโทร.เข้าเครื่องของดิฉัน คราวนี้ทันทีที่สัญญาณดังขึ้น ดิฉันก็กดปุ่มรับ

เสียงคล้ายคลื่นแทรกดังคล่อกแคล่ก เหมือนเปิดวิทยุไม่ตรงคลื่นดังออกมาจากโทรศัพท์ โดยที่ดิฉันยังไม่ทันกดปุ่มใช้ลำโพงเลยค่ะ...

และท่ามกลางเสียงเหมือนมีไฟฟ้ารบกวน พวกเราทุกคนก็ได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งและผู้หญิงอีกคน พูดอะไรบางอย่างแบบรัวเร็ว...ทั้งสองไม่ได้พูดโต้ตอบกันเองนะคะ แต่มันเหมือนกับพวกเขาพยายามจะบอกอะไรเรา ทว่าเราจับคำพูดไม่ได้เลย...มันดังอยู่ราวสิบวินาทีแล้วก็เงียบกริบไปเอง

คราวนี้เราขนลุกซ่า มองหน้ากันไปมาและอึ้งกันทุกคน!

พวกเราเกือบผวา เมื่อโทรศัพท์ของลูกชายวาบแสงขึ้นมาอีกครั้ง และโชว์หน้าจอว่ากำลังต่อสายเข้าเบอร์ดิฉันเอง แต่หนนี้เครื่องดิฉันไม่มีสัญญาณเรียกเข้า...และอีกไม่กี่วินาทีต่อมา หน้าจอของเครื่องลูกชายก็ปรากฏความว่า "จบการสนทนา"

ทุกคนยืนล้อมโทรศัพท์สองเครื่องที่วางห่างกันราวสองฟุต จ้องมองและรอคอยด้วยใจระทึกว่ามันจะแสดงอะไรให้เราดูอีก แต่มันก็นิ่งสนิท ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย...จนกระทั่งต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำกิจกรรมของตัว ด้วยความคิดว่า...ไม่มีอะไรอีกแล้วละ!

ดิฉันลุกจากโต๊ะเดินเข้าห้องน้ำไปซักผ้าขนหนูผืนเล็ก น้องสาวดิฉันนั่งลงกินข้าวที่โต๊ะอาหาร ลูกคนโตคว้ามือถือออกไปนั่งเล่นที่โต๊ะริมสนามกับน้องชาย

ขณะกำลังซักผ้า ดิฉันก็ได้ยินเสียงคนหลายคนวิ่งตึงตังมาหา แต่ละคนแย่งกันพูด

"เอาอีกแล้ว...แม่! โทรศัพท์ถึงกันเองอีกแล้ว!!"

คราวนี้เครื่องของดิฉันโทร.เข้าเครื่องลูกชายค่ะ เบอร์หน้าจอโชว์หราแบบไม่ต้องเถียงให้เสียเวลาเลย...ทว่า โทรศัพท์สีชมพูสวยงามของดิฉันมันวางอยู่เฉยๆ บนโต๊ะเหมือนไม่รู้ไม่ชี้อะไร ขณะโทรศัพท์ของลูกชายส่งสัญญาณเรียกดังลั่น และโชว์เบอร์ว่ามาจากเครื่องของดิฉันชัดเจน...มันเป็นไปได้ยังไงคะ?

วินาทีต่อมา สัญญาณเรียกก็ดับลง พร้อมกับมีข้อความว่า "จบการสนทนา"

จากสองทุ่มครึ่งถึงห้าทุ่มครึ่ง มีบันทึกการใช้โทรศัพท์ในเครื่องมือถือของลูกชายว่าโทร.เข้าเครื่องดิฉัน 22 ครั้ง! และเมื่อเช็กค่าโทร.ซึ่งลูกชายได้บัตรเติมเงินแล้ว ปรากฏว่ามันยังอยู่ครบเท่าเดิม ส่วนเครื่องของดิฉันมีบันทึกการโทร.เข้าเครื่องของลูกเพียงครั้งเดียว ไม่มีบันทึกการโทร.ออก ไม่มีบันทึกสายที่ไม่ได้รับ

มันต้องมีเหตุผลซิคะ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโทรศัพท์มือถือทั้งสองเครื่องนี้ ระบบมันรวนที่ตรงไหนกันแน่ หลายคนที่ทราบเรื่องประหลาดนี้ในวันรุ่งขึ้น พูดตรงกันว่า "ผีหลอก!"

มีอะไรบางอย่างพยายามจะสื่อสาร หรือส่งข่าวคราวถึงเราอย่างเอาเป็นเอาตาย

ลองนึกดูว่าพอจะเป็นใครได้บ้าง?

หนึ่งในนั้นคือญาติสนิทของเราที่ไปตั้งรกรากอยู่ถึงอเมริกา และขาดการติดต่อกับเราโดยสิ้นเชิงไปสี่ปีแล้ว ทางเราก็ติดต่อกับเขาไม่ได้ เขาอยู่คนเดียวโดยไม่มีครอบครัว และเราห่วงเขาเหลือเกิน...ปีใหม่นี้ผ่านไปโดยเขาไม่ได้โทร.มาอีกเช่นเคย

นอกจากเขาแล้วยังมีญาติและเพื่อนที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อไม่นานมานี้ จะเป็นไปได้ไหมคะ ที่พฤติกรรมประหลาดของโทรศัพท์มือถือสองเครื่องจะเป็นฝีมือจากผู้ที่อยู่ในโลกอื่น...ที่เราเรียกว่า

"โลกหลังความตาย"

เรื่องแปลกชวนขนหัวลุกนี้ต้องมีคำตอบ เพียงแต่เรายังไม่พบเท่านั้น!
 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 20 กรกฎาคม 2009 00:09:37
ศุกร์ 13 วันอาถรรพ์ ความเชื่อ หรือ ความจริง???
 
"ศุกร์นี้เดือนกุมภาพันธ์ เป็น ศุกร์ 13"

ตัวเลข 1 กับ 3 บนปฏิทินยืนยันให้เห็นเป็นประจักษ์พยาน หลายคนเริ่มรู้สึกและตั้งคำถาม "จะมีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้นไหมนะ?"

หลายเสียงตอบคำถามแตกต่างกันไป บ้างว่า..ต้องระวังของอย่างนี้มันมีอาถรรพ์ บ้างว่า..ล้าสมัยไม่มีใครเขาคิดอย่างนี้กันแล้ว คำตอบจะเป็นอย่างไร มิอาจตัดสิน เพราะเป็นเรื่องความเชื่อส่วนบุคคล

แต่ถ้าหากถามว่า "ศุกร์ 13 เป็นวันอาถรรพ์จริงหรือ?" ก็คงตอบชัดเจนไม่ได้ นอกจากจะมีเรื่องราวมาเล่าให้ฟัง...

เริ่มจากความเชื่อของฝรั่งตาสีฟ้าทั้งหลาย โดยเฉพาะนิกายคาทอลิกที่เห็นว่า "เลข 13" เป็นเลขโชคร้าย ไม่ดีถ้าเป็นฤกษ์ยามจะทำกิจการต่างๆ ก็นับเป็นฤกษ์ยามที่ไม่ดีเอาเสียเลย

ฝรั่งถือว่าเลข 13 เป็นเลขอับโชค ยิ่งเป็น "ศุกร์ 13" ด้วยแล้วยิ่งมหาอับโชค (ฝรั่ง) หลายๆ คน จึงไม่ยอมออกจากบ้านไปไหน เพราะเกรงว่าจะประสบกับความโชคร้าย เช่น เกิดอุบัติเหตุ หรือมีอันเป็นไปต่างๆ นานา เป็นต้น

แม้จะมีการแก้เคล็ดด้วยการเรียกเลข 13 เป็น "ลัคกี้นัมเบอร์" แต่ก็มิได้ทำให้ภาพลักษณ์ของเลข 13 ของฝรั่งดูดีมีโชคขึ้น ยังคงสร้างความหวาดหวั่นให้กับผู้คนที่เชื่อเรื่องโชคลาง

ความน่ากลัวของ "ศุกร์ 13" มาเพิ่มขีดมากขึ้นเมื่อมีภาพยนตร์เรื่อง "ศุกร์ 13 ฝันหวาน" ออกมาหลอกหลอนผู้คน ไม่ว่าจะทำภาคไหนออกมาก็ยังคงขายดิบขายดีขายได้

ความเชื่อเรื่องเลข 13 เริ่มแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วข้ามน้ำข้ามทะเลมาฝั่งเอเชีย และเอเชียอาคเนย์ ด้วยเหตุเพราะกระแสแห่งโลกาภิวัตน์ ส่งผลให้บางคนบางพวกในเมืองไทยพลอยเชื่อเรื่อง อาถรรพ์เลข 13 ไปด้วย

ฉะนั้น บรรดาอาคารสำนักงานและโรงแรมจำนวนมากที่ก่อสร้างเป็นอาคารสูง และมีจำนวนชั้นมากกว่า 12 ชั้นขึ้นไปจะไม่มีชั้น 13 เป็นการเว้นไว้และเรียกชื่ออื่นแทน เช่น อาคารเอ็มบีเค ทาวเวอร์ ที่ก่อสร้างขึ้นเมื่อ 26 ปีก่อน เป็นอาคารสำนักงานสูง 20 ชั้น แต่ไม่มีชั้นที่ 13 โดยผู้สร้างเปลี่ยนเป็นเรียกชั้น 12 A แทนเช่นเดียวกับโรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส ที่เป็นอาคารสูง 29 ชั้นก็ไม่มีชั้น 13 โดยมีชั้น 12 แล้วเป็น ชั้น 14 เลย เว้นเลข 13 ไว้

เหตุผลประการหนึ่งเพราะโรงแรมต้องรองรับลูกค้าซึ่งส่วนมากเป็นลูกค้าต่างประเทศ โดยเฉพาะฝรั่ง

ตำนานของอาถรรพ์เลข 13 นั้น เชื่อกันว่า อาถรรพ์เลข 13 มีความเชื่อมโยงกับ "เดอะ ลาสต์ ซัพเปอร์" เรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลที่มีคน 13 คนร่วมรับประทานอาหารมื้อสุดท้ายกับพระเยซู ก่อนที่พระองค์จะถูกนำตัวไปตรึงบนไม้กางเขนในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็น "วันศุกร์"

(http://images.thaiza.com/34/34_20081008105929..jpg)

แต่ก็มีอีกหลายตำรา บ้างก็ว่ามาจากความเชื่อและตำนานของ "ชาวนอร์ส" ในดินแดนสแกนดิเนเวียที่เกี่ยวกับ "เทพ 12 องค์" มารวมกันจัดงานเลี้ยงในห้องโถงของเอกีร์ เทพแห่งมหาสมุทร แล้วเทพแห่งไฟที่ชื่อ "โลกิ" ซึ่งไม่ได้รับเชิญมาร่วมงานจึงพังประตูรั้วเข้ามาร่วมงานในฐานะแขกคนที่ 13 และให้ "เทพฮอด" ซึ่งเป็นเทพแห่งความมืดมิดเพราะตาบอด โยนกิ่งของพืชกาฝากใส่ "บาลเดอร์" เทพแห่งความสุขและความยินดี จนบาลเดอร์สิ้นลมหายใจไปในทันที

ทำให้โลกต้องตกอยู่ในความมืดมิดและความเศร้าสลด

นิทานของชาวสแกนดิเนเวียยังมีเวอร์ชั่นอื่นอีก รวมถึงมีผู้แย้งว่าในบทกวีของโลกาเซนนา ที่เป็นภาษานอร์สโบราณได้กล่าวถึงชื่อของเทพทั้ง 17 องค์ที่ไปร่วมในงานเลี้ยง โดยเหตุการณ์ครั้งนั้นเทพโลกิเป็นผู้พังประตูรั้วเข้าไปจริง แต่กลับไม่ใช่คนที่ 13 และก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับจุดจบของเทพบาลเดอร์อีกด้วย

เพราะฉะนั้น ความเชื่อที่เก่าแก่ว่าด้วยอาถรรพ์เลข 13 จึงนิยมที่จะอ้างอิงเรื่องของเดอะ ลาสต์ ซัพเปอร์ มากที่สุด กระทั่งมีการบันทึกไว้เมื่อศตวรรษที่ 18 ว่า..

เชื่อกันว่าเมื่อใดก็ตามที่มีคน 13 คนมานั่งร่วมรับประทานอาหารในโต๊ะเดียวกัน คนที่ลุกจากโต๊ะไปเป็นคนแรกจะเป็นคนแรกที่ต้องตาย

สำหรับเหตุผลที่เจาะจงว่าจะต้องเป็น "วันศุกร์" นั้น นอกจากกรณีที่ว่าพระเยซูถูกนำไปตรึงกางเขนในวันศุกร์แล้ว ในตำราของฝรั่งยังว่า "วันศุกร์" เป็นวันที่ใช้ประหารนักโทษ ทั้งยังถือว่าเป็นวัน "ทิป ทอด เดย์" (Tip Tod Day) หมายความว่าเป็น "วันปีศาจ" ชาวประมงในสมัยก่อนจึงไม่ออกทะเลในวันศุกร์

ความเชื่อแต่โบร่ำโบราณของฝรั่งยังห้าม "ไม่ให้ตัดเล็บในวันศุกร์" เพราะแม่มดจะมาขโมยเล็บเอาไปเสกให้เจ้าของเล็บกลายเป็นแม่มด

รวมทั้งเชื่อว่าเมื่อครั้งที่พระเจ้าสร้างโลกขึ้นมาใหม่ๆ วันที่อีฟและอดัมละเมิดคำสั่งพระเจ้า กัดกินผลไม้ต้องห้ามในสวนอีเดนนั้นเป็น "วันศุกร์" และวันที่ทั้งสองถูกพระเจ้าลงโทษให้ลงมาชดใช้โทษที่โลกมนุษย์ก็เป็น "วันศุกร์" อีกเช่นกัน

เหตุฉะนี้เมื่อ "ศุกร์ 13" มาเยือน (ฝรั่ง) หลายๆ คนจึงปริวิตกหวาดผวาจนขึ้นสมอง กลายเป็น "โรคกลัววันศุกร์ที่ 13" ซึ่งมีชื่อเรียกยาวๆ ว่า "พาราสเคฟดิคาเทรียโฟเบีย" (paraskevidekatriaphobia) หรือโรค "ฟริกกาทริสไคเดคาโฟเบีย" (friggatriskaidekaphobia)

มีการศึกษาประเมินกันว่า คนอเมริกันเป็นโรคพาราสเคฟดิคาเทรียโฟเบีย ถึง 21 ล้านคน หรือประมาณ 8% ของอเมริกันชนที่ยังอยู่ในความเชื่อเรื่องนี้

อย่าหัวเราะเยาะว่า โรคกลัววันศุกร์ที่ 13 เป็นเรื่องเล่นๆ

เพราะมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ อย่างแน่นอน เรื่องนี้มีสถิติเกิดขึ้นแล้ว ที่ศูนย์จัดการความเครียดและสถาบันบำบัดอาการกลัวในเมืองแอชวิลล์ มลรัฐนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเริกา ประเมิน ว่า..

ในแต่ละครั้งที่มีวันศุกร์ที่ 13 สหรัฐ อเมริกาต้องสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นเงินถึง 800-900 ล้านเหรียญสหรัฐ ทีเดียว เพราะว่าประชาชนบางคนไม่กล้าเดินทางไปไหนและไม่กล้าแม้แต่จะไปทำงาน

และเมื่อเปิดดูสถิติอุบัติเหตุในเรื่องจาก "ศุกร์ 13" ยิ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลก เมื่อผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ใน บริติช เมดิคัล เจอร์นัล เมื่อปี ค.ศ.1993 เรื่อง "Is Friday the 13th Bad for Your Health?" ศึกษาความเกี่ยวเนื่องกันระหว่างความเชื่อเรื่องศุกร์ 13 กับพฤติกรรมและสุขภาพ โดยเปรียบเทียบวันศุกร์ที่ 6 กับวันศุกร์ที่ 13 พบว่า

อัตราการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ในวันศุกร์ที่ 13 มีมากกว่าวันศุกร์ที่ 6 อย่างเห็นได้ชัด และในขณะที่น้อยคนเลือกที่จะขับรถออกจากบ้านในวันศุกร์ 13 แต่ตัวเลขคนที่ประสบอุบัติเหตุกลับมากกว่าวันศุกร์อื่นๆ ถึง 52%

กลับมาที่ประเทศไทย เรื่องของ "ศุกร์ 13" จะเป็นอาถรรพ์แบบฝรั่งหรือไม่ คงต้องใช้วิจารณญาณในการพิจารณาของแต่ละบุคคล อาจมีบางคนเชื่อ บางคนไม่เชื่อ เหมือนกับเรื่องของโชคลางอื่นๆ เรื่องของโชคชะตา เรื่องของดวง ฮวงจุ้ย ว่าแต่ว่า..

ศุกร์นี้ 13 กุมภา โปรดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนเดินทางออกจากบ้าน!!!
 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 20 กรกฎาคม 2009 00:10:28
?ไสยศาสตร์? ความหมายและลักษณะพิเศษ
 


"ไสยศาสตร์" ถือว่าเป็นศาสตร์ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยในบรรดาศาสตร์ทั้งหลาย เป็นสิ่งที่มีความเป็นมาที่ยาวนานที่สุดศาสตร์หนึ่ง

ความเป็นมาของความรู้สายนี้นั้น ยังเป็นที่ถกเถียงกันมาตลอดว่า เป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือ หรือเป็นสิ่งที่หลอกลวง นำไปสู่ความงมงาย ความชัดเจนของศาสตร์แขนงนี้ในสังคมไทย ซึ่งเป็นสังคมที่วิทยาการสมัยใหม่กำลังเจริญรุ่งเรือง "ไสยศาสตร์" ถูกมองว่าเป็นรากเหง้าของความหลงงมงาย อันทำให้ประชาชนหลงเชื่อในสิ่งที่ไร้เหตุผล

ในประเทศไทยมีความพยายามอธิบายที่มาของ "ไสยศาสตร์" ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยการวิเคราะห์ศัพท์จากภาษาบาลี ที่พบกันบ่อย มักมีการให้อรรถาธิบายว่า คำว่า "ไสย" มาจากคำว่า "เสยฺย" ในภาษาบาลี ซึ่งแปลว่า "ประเสริฐ" จึงทำให้แปลว่า "ไสยศาสตร์" ว่า เป็น "ศาสตร์อันประเสริฐ"

กระนั้นเอง การอธิบายทฤษฎีนี้ ก็มิได้ให้ความสนใจแก่คำว่า "ศาสตร์" ซึ่งเป็นศัพท์จากภาษาสันสกฤต ขณะเดียวกัน บางท่านอธิบายว่า คำว่า "ไสย" มาจากคำว่า "ไสยาสน์" ซึ่งแปลว่า "นอน" และแปลคำว่า "ไสยศาสตร์" ว่าเป็น "ศาสตร์แห่งความหลับใหล" กระนั้นก็มิได้ให้อธิบายที่มาของศัพท์นี้ว่า มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤตเช่นกัน

ดร.นพ.มโน
ดร.นพ.มโน เมตตานันโท เลาหวณิช ที่ปรึกษาพิเศษในเลขาธิการใหญ่องค์การสมัชชาศาสนาเพื่อสันติแห่งโลก (ดับเบิลยูซีพีอาร์) บอกว่า เหตุผลสำคัญที่ทำให้การตีความของคำว่า "ไสยศาสตร์" ตามทฤษฎีทั้งสองประการข้างต้นนี้ มิได้มีความสัมพันธ์กับหลักฐานทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมของอินเดียและไทยเลย หากพิจารณ์ด้วยเหตุผลทางไวยากรณ์สันสกฤต และข้อมูลที่ได้รับจากการศึกษาประวัติศาสตร์ โบราณคดี และวรรณกรรมสามารถสรุปได้ว่า

คำว่า "ไสยศาสตร์" เป็นคำศัพท์ที่รากมาจากภาษาสันสกฤตโดยตรง คือ เป็นคำสมาส "ศาสตร์" หมายถึงแขนงหนึ่งของความรู้ และ "ไสย" มาจาก "ไศวะ" ซึ่งเป็นศัพท์สันกสฤต ที่เกิดจากการพฤตสระจากคำว่า "ศิวะ" โดยที่สระอิถูกพฤตให้เป็นสระ "ไอ" และ "ว" แปลงสภาพเป็น "ย" ซึ่งเป็นปรากฏการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายตามหลักของภาษาศาสตร์ เพราะทั้ง "ว" และ "ย" นั้น เป็นพยัญชนะกึ่งสระ ซึ่งมีฐานกรณ์เดียวกัน เสียง "ว" จึงกลายเป็น "ย" ได้อย่างง่ายดาย

ในขณะเดียวกัน "ศ" กลายเป็น "ส" ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางเสียงที่เกิดขึ้นได้ง่ายในภาษาไทย เนื่องจาก "ศ" "ษ" และ "ส" นั้น ต่างออกเสียงเหมือนกัน คือ "ส" แทนได้ทั้งหมด

"ไสยศาสตร์ เป็นคำศัพท์ในภาษาไทย ซึ่งมีรากเดิมจากภาษาสันสกฤตจากศัพท์ของคำสมาสว่า "ไศฺวศาสฺตร" (อ่านว่า ฉัย-วะ-ฉาสฺ-ตฺระ) ซึ่งแปลว่า "ศาสตร์ที่เนื่องด้วยจากพระศิวะ" หรือ "ศาสตร์ที่มาจากพระศิวะ" ดร.นพ.มโน กล่าวสรุป

พร้อมกันนี้ ดร.นพ.มโน ยังบอกด้วยว่า ลำพังการวิเคราะห์ศัพท์ให้ถูกต้องตามหลักวิชาไวยากรณ์สันสกฤตมิได้หมายความว่า สิ่งที่คนไทยมองเห็นว่าเป็นเรื่องไสยศาสตร์อันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการใช้เวทมนตร์ โองการและพิธีกรรมต่างๆ นั้น จะเป็นสิ่งที่ตรงกับความเชื่อในอินเดีย ซึ่งถือว่าเป็นความรู้ที่มาจากพระศิวะจริง เพราะความเชื่อและวัฒนธรรมประเพณีที่เกิดขึ้นในประเทศหนึ่ง ที่มีความแตกต่างทางค่านิยมดั้งเดิมของตนเองนั้น จะยังคงรักษาความดั้งเดิมไว้ได้เหมือนเมื่อครั้งอยู่ในประเทศต้นกำเนิด

นอกจากนี้แล้ว ความเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของภาษาสันสกฤต เป็นมูลเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดศาสตร์ที่ต่อมารู้จักกันในหมู่คนไทยว่า "ไสยศาสตร์"

แต่เนื่องจากพิธีกรรมที่ถูกจำกัดให้อยู่ในหมู่พราหมณ์ และการปฏิบัติกับคนต่างวรรณะในเชิงดูถูกและรังเกียจเดียดฉันท์ คัมภีร์ของศาสตร์ที่เนื่องด้วยพระศิวะเหล่านี้ ต่อมาภายหลังจึงสูญหายไป และต่อมาเมื่อพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น คัมภีร์ภาษาบาลีจึงได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพในความศักดิ์สิทธิ์ในรูปแบบเดียวกัน และการใช้คัมภีร์บาลีของเถรวาทแทนสันสกฤต จึงเกิดขึ้น และเป็นที่แพร่หลายในเขมรและไทย ในขณะที่สัญลักษณ์และศัพท์ต่างๆ ที่เคยใช้กันมาอย่างคุ้นเคยจากสันสกฤต และศาสตร์ของพราหมณ์สายไศวะยังได้รับการยกย่องนับถือเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เกิดการผสมผสานเป็นไสยศาสตร์แบบไทย ซึ่งแตกต่างไปจากไสยศาสตร์แบบเขมร และอินเดียประเทศต้นตำรับอย่างสิ้นเชิง

ในที่สุดไสยศาสตร์ได้เข้ามาผสมผสานกับความเชื่อเรื่องผีของบรรพบุรุษไทยอย่างกลมกลืน

ลักษณะพิเศษ
ไสยศาสตร์ นั้น มิใช่เรื่องไม่มีเหตุมีผล แต่เป็นเรื่องของการใช้ "อำนาจ" ซึ่งมีระบบของเหตุผล หลักการ แหล่งของอำนาจหรือความศักดิ์สิทธิ์ อุปกรณ์ และกระบวนการต่างๆ อันมีขั้นตอน เพื่อให้ได้มาซึ่งวัตถุประสงค์ ที่ผู้ประกอบพิธีตั้งความปรารถนาไว้ ปัจจัยต่างๆ ของพิธีกรรมทางไสยศาสตร์นั้น มีศูนย์กลางอยู่ที่ผู้ประกอบพิธี มิใช่เกิดขึ้นลอยๆ โดยที่ประกอบพิธีนั้น เป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุด สามารถบงการให้เกิดสิ่งต่างๆ ซึ่งอยู่นอกกรอบของเหตุผลของสามัญสำนึกของสามัญชนจะคาดหวังได้

พิธีกรรมทางไสยศาสตร์นั้น จะบรรลุผลได้ก็ต่อเมื่อเงื่อนไขของพิธีกรรมทั้งหมดได้บรรลุ สิ่งนี้อาจเรียกได้ว่า เป็นการควบคุมคุณภาพของผู้ประกอบพิธีกรรม ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ โดยมีการแบ่งแยกที่ชัดเจน ระหว่างผู้ประกอบพิธี (คนใน) และผู้อื่นที่เข้าร่วมพิธี (คนนอก) ยิ่งพิธีกรรมที่มีความศักดิ์สิทธิ์เท่าใด ช่องว่างและเงื่อนไขที่แบ่งแยกระหว่างคนในและคนนอกยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้นเท่านั้น พร้อมกันนั้น คือ ความลึกลับที่คนในเท่านั้นที่มีสิทธิ์ที่จะเข้าใจ ส่วนคนนอกเป็นพวกที่ไม่มีสิทธิ์จะเรียนรู้สาระของพิธีกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นเลย

ปัจจัยที่สำคัญที่สุดของไสยศาสตร์ คือ การร่ายมนตร์ หรือ คาถา ของผู้ประกอบพิธี ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ต้องกระทำให้ได้จังหวะที่พอเหมาะพอดีกับขั้นตอนต่างๆ ตลอดพิธีกรรม

แนวคิดในเรื่องการสาธยายมนตร์นี้ คือ ความเชื่อที่ว่า "อักขระนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีวันสูญสลาย" และมนตร์ต่างๆ ที่ผู้ประกอบพิธีได้เปล่งออกจากปากของตนแล้ว ถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ สามารถยังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เกิดขึ้นได้ตรงตามวัตถุประสงค์ และหากเปล่งออกมาผิด ผลกระทบก็จะกลับเป็นวิบากแก่ผู้สาธยายนั้นเอง

นั่นหมายถึงความเป็นมงคลต่างๆ จะกลายเป็นอัปมงคล โชคจะกลายเป็นเคราะห์ และอำนาจที่ถูกใช้ไปเพื่อประทุษร้ายผู้อื่น อำนาจนั้นก็จะย้อนกลับมาประทุษร้ายผู้ร่ายเวท และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน

 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 20 กรกฎาคม 2009 00:10:39
หาดผีสิง
 
"สายัณห์"เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากหาดจอมมณี

เมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง ผมเพิ่งเคยไปเที่ยวจังหวัดหนองคายเป็นครั้งแรกในชีวิต...รถไฟคือพาหนะที่ดีที่สุด ออกจากหัวลำโพงตอนค่ำไปถึงหนองคายตอนเช้า เจ้าเจตน์เพื่อนรักสมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกันเป็นคนชวนครับ

เพื่อนคนนี้เรียนจบก็รับราชการทันที ตอนแรกเลือกไปอยู่แถวอีสานบ้านเกิด...ล่าสุดเจ้าเจตน์มาปักหลักอยู่หนองคายนี่เอง!

มีเจ้าภาพที่เป็นเพื่อนสนิทนี่สบายไปแปดร้อยอย่าง จ่ายแค่ค่ารถไปกลับเท่านั้นก็พอแล้ว นอกนั้นไม่ว่าจะเป็นการกินอยู่ เที่ยวเตร่เฮฮา เจ้าภาพจงเจริญรับหน้าที่หมดทุกอย่าง

จากสถานีมันก็รับผมไปเปิดโรงแรมใจกลางเมืองทันที อย่างว่าละ...ถึงแม้หนองคายจะเป็นจังหวัดเล็ก แต่ก็มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ หรือแหล่งสำราญของพวกผู้ชาย บาร์ สปา คาราโอเกะ โรงนวดมีพรักพร้อมครบเครื่อง

ตอนกลางคืนมีถนนสายใหญ่ใจกลางเมือง ขายอาหารเพียบขนาดน้องๆ เยาวราชแน่ะคุณ สองฟากฝั่งมีของกินละลานตา แสงไฟสว่างไสว ร้านข้าวต้มโอ่อ่า คนแน่นเหมือนกินฟรี ได้ลองแล้วติดใจครับ เพราะอาหารน่ากิน อร่อย บริการฉับไวได้การเชียวละ

ต้องยอมรับว่าวันแรกค่อนข้างเพลีย เพราะไม่คุ้นกับการนอนบนรถไฟ เล่นเอาหลับๆ ตื่นๆ มาตลอด เลยได้แต่ขอตัวนอนพักก่อนจะออกไปลุยราตรี

เจ้าเจตน์ขับรถมารับแต่เช้า ผมสดชื่นกระปรี้กระเปร่าเต็มที่...อย่างน้อยผู้ชายวัยสี่สิบต้นๆ ก็ยังไม่ถึงกับบ้อลัดสารพัดโรคเหมือนคนแก่เฒ่าหรอกครับ เจ้าเจตน์พาไปเที่ยววัดก่อนเพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนจะไปชมตลาดท่าเสด็จริมแม่น้ำ...ผ่านซอกซอยออกไปสู่ลานกว้างริมฝั่งโขง เวิ้งว้างกว้างใหญ่ น่าตื่นตาตื่นใจไม่เบา

จากนั้นก็ไปวัดโพธิ์ชัย เพื่อกราบไหว้หลวงพ่อพระใส-พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดหนองคาย

ที่ฝาผนังอุโบสถด้านในใกล้ๆ กับประตูเข้าออก มีรูปประเพณีงานสงกรานต์เมื่อปีกลายในหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ "ข่าวสด" ติดหรา มองเห็นผู้คนหลั่งไหลกันมาทำบุญและเที่ยวงานกันมืดฟ้ามัวดินเชียวละคุณ

เห็นแล้วปลื้มใจแทนหนังสือพิมพ์ข่าวสดซะไม่มี!

"ไหนๆ มาถึงหนองคายทั้งทีก็ต้องไปขึ้นสะพานมิตรภาพไทย-ลาว" เจ้าเจตน์บอกกล่าว ก่อนจะขับรถบึ่งออกนอกเมืองไปถึงสะพานข้ามโขงที่โดดเด่นอยู่ทางขวามือ...น่าแปลกอย่างตรงที่ฝั่งเรามีธงชาติติดไสวไปถึงกลางสะพานอันถือว่าเป็นเส้นแบ่งอาณาเขต แต่ทางฝั่งลาวไม่ยักมีธงชาติหรอกแฮะ

บ่ายแก่ๆ พยาธิชักกวน เจ้าเจตน์ก็ไปจอดรถที่ใต้สะพานแล้วนำหน้าดุ่มเดินผ่านศาลาทางหลวงลงไปที่หาดจอมมณี...แหม! ข้างทางเห็นดงหญ้าคาดกหนาสะพรั่งตา เพื่อนผมอดหัวเราะไม่ได้...บ้า! นั่นตะไคร้ต่างหากล่ะ ไอ้โง่!

ร้านสุราอาหารเรียงรายเต็มหาด ผู้คนคึ่กๆ ผมเล็งร้านเจนนี่แอนด์จูเนียร์เอาไว้ แต่เห็นวิวลำน้ำโขงสวยงามใกล้ชิดเป็นครั้งแรกเลยขอเดินไปชมให้ชื่นใจก่อน แว่วเสียงเพลง "ขุ่นลำโขง" ของหม่อมถนัดศรีขึ้นมาทันใด

"...สองข้างตลิ่งห่างเสียจริงเจียวหนอ คิดไปใจพี่ท้อ พี่นี้รอเดียวแด โอ้หนอแม่คุณเอย..."

ใครจะคิดตื้นคิดลึกยังไงก็แล้วแต่จะตีความหมายเอาเองละกันครับ!

เจ้าเจตน์ยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปผมตามประสาเพื่อนที่ดี เดี๋ยวมุมนั้นเดี๋ยวมุมนี้...จนผมได้ยินเสียงดังขึ้นข้างหลังว่า...มุมนี่ซีคุณ ผมว่าสวยที่สุด!

หันไปมองแทบไม่เชื่อตาตัวเอง ฝรั่งหนุ่มใหญ่รุ่นเดียวกับเรานั่งกอดเข่าอยู่บนพื้นทรายหันมามองยิ้มๆ ผมสีทองค่อนข้างยาวปลิวไสวตามแรงลม...พูดไทยชัดแจ๋วยังกับเป็นคนไทยแท้ๆ ผมเลยอดถามไม่ได้มาอยู่เมืองไทยกี่ปีแล้วถึงได้พูดไทยชัดเหลือเกิน? แกก็บอกว่าเกือบ 20 ปีแล้ว ตั้งแต่สงครามอินโดจีนสงบ มีภรรยาเป็นคนลาวอยู่ท่าเดื่อ สัญญาว่าจะข้ามฟากมาหา แต่แกรอมาตั้งแต่ก่อนสร้างสะพานมิตรภาพจนสร้างสะพานเสร็จก็ยังไม่เห็นข้ามมาซักที

ผมถามว่าทำไมยูไม่ข้ามไปหาล่ะ เดี๋ยวนี้ก็ไปมาหาสู่กันสะดวกสบายแล้วนี่นา...พอดีเจ้าเจตน์เดินมาหาพลางร้องว่า ไปหาอะไรกินกันได้แล้วว่ะ! อ้าว? แล้วนั่น..คุณ..พูดจาพยักพเยิดกับใคร? ผมหันขวับไปมองที่ชายน้ำใต้สะพานก็เห็นแต่ความว่างเปล่า เล่นเขาขนลุกซ่า ใจหายวูบทันใด

เจ้าเจตน์เล่าว่า ฝรั่งนายนั้นอกหักจากสาวลาวมานั่งดวดเหล้าที่หาดจอมมณี วันหนึ่งเกิดสติแตก ลุยน้ำจมหายไปใน "ขุ่นลำโขง" อีกสองวันศพถึงลอยขึ้นมา...วันดีคืนดีก็มานั่งเล่าความหลังให้ใครๆ ฟังอย่างนี้แหละ เจอะเจอกันมาหลายรายแล้ว...ขนหัวตั้งชันซีครับ งานนี้น่ะ!

 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 สิงหาคม 2009 22:54:52
เรื่องจริง..ที่เรารู้สึก
เรื่องนี้แม้อาจจะมองไม่เห็นโดยตรง แต่สัมผัสได้อย่างเหลือเชื่อ
ย้อนเวลากลับไป2เดือนที่แล้ว เป็นช่วงที่เรากับเพื่อนชอบไปขลุกตัวเล่นกันอยู่บ้านพี่ชายที่รู้จักกัน ระหว่างนั้นพี่ชายได้ยืมรถมอเตอร์ไซต์ของเราไปกดเงินที่ในตัวเมือง
ด้วยความที่หวงรถ และเหตุผลบางประการ เราเลยโทรไปบอกพี่ว่า''รีบกลับมา ไฟไหม้บ้าน''
มันขี่รถกลับมาแล้วบอกว่า ''บ้าน..หนองไผ่ มีคนผูกคอตาย''(บ้านหนองไผ่เป็นหมู่บ้านที่อยู่ติดๆกัน เรากับเพื่อนรีบขับรถไปดู
ภาพขณะนั้นเป็นภาพที่กู้ภัยของสว่าง..กำลังห่อศพของลุงคนนั้น
เนื่องจากเราเคยไปทำงานกับพี่ๆกู้ภัยสว่างจิตต์ศรีสะเกษ เราเลยรู้จักพี่ๆหลายคนในมูลนิธิ เราจ้องตาไม่กระพริบ ต้นไม้ต้นนั้นเป็นต้นมะม่วงขนาดกลาง
ผู้ตายอายูประมาณ40-50ปี เป็นผู้ชาย พี่ๆช่วยกันนำศพขึ้นรถแล้วเราก้อขี่ตามรถของสว่างอยู่พักนึง(ขี่รถตามศพ) จนเพื่อนเรากลัวมากเรากับเพื่อนจึงกลับไปที่บ้านโนน
หรือ บ้านพี่นั่นเอง หลังจากนั้นก้อไม่มีอะไร
เวลาผ่านไปเดือนกว่าๆ เรามีโอกาสได้ไปขี่รถเล่นกับเพื่อนอีกคน
มันชื่อ''แคท'' แคทบอกว่าอยากเข้าไปบ้านพี่จัง น้ำมันรถตอนนั้นก้อพอมีบ้างแต่ไม่เยอะ ถ้าผ่านไปทางบ้านหนองไผ่จะใกล้กว่าอีกทางนึง
จึงตัดสินใจผ่านทางนั้น พอรถจะผ่านจุดนั้นเป็นที่น่าแปลก แคทบอกว่ารถบิดไม่ค่อยออกเหมือนมีคนมาดึงไว้(แคทเปนคนขับรถให้) เราขนลุกมากรีบยกมือไว้ขอขมาเป็นการใหญ่ รถก้อเริ่มบิดได้ดีขึ้น แคทไม่รู้เรื่องที่เคยมีคนผูกคอตาย
พอกลับถึงบ้านเราเล่าให้แคทฟัง มันนั่งอึ้งไปเลย
..........หลังจากนั้นมา ต้นมะม่วงที่อย่จุดนั้นก้อถูกออกในเวลาต่อมา..............
(เค้าว่ากันว่าถ้าผีที่ผูกคอตายกับต้นไม้เฮี้ยน หรือมักปรากฏตัวให้ชาวบ้านตกใจในบริเวณที่เขาเสียชีวิต ชาวบ้านชาวอีสานมักจะตัดต้นไม้ต้นนั้นทิ้ง)

เรื่องของเรามันอาจไม่มีอะไรที่น่ากลัวมาก แต่สิ่งหนึ่งที่เรามองข้ามไปคือในเวลากลางคืนที่เปลี่ยวๆแบบนั้น มักจะมีเจ้าที่อยู่ และเราก้อไม่เคารพเค้ากระมั้ง
..ขอให้วิญญาณคุณลุงไปสู่สคติเร็วๆนะคะ


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 10 สิงหาคม 2009 22:55:38
ผีถ้วยเเก้ว
หนูเป็นคนจ.อุดรธานีจึงไม่ค่อยสนเกี่ยวกับผีถ้วยเเก้ว
เเต่หนูดันนึกอยากเล่นซะงั้น
วันหนึ่งหนูอยาลองเล่นผีถ้วยเเก้วดู
เพื่อนมันชวนเล่นพอดี
เราเล่นกันอยู่8คน(รวมหนูด้วย)
"มิ้น มาเล่นเร็ว"(เสียงเพื่อนเรียก)
พอกำลังเชิญผีเข้าเพื่อนก็เชิญผีห้องน้ำมา(เล่นใกล้ห้องน้ำ)
(ตอนนี้ดึกเเล้ว)เราก็ถามเขาว่า "พี่ ถ้าพี่ยังไม่ตายเเล้วมาเล่นผีถ้วยเเก้วพี่จะเล่นตอนไหน"พี่เขาบอกว่า"ตอนนี้เเหละ"หนูขี้เกียจถามเลยบอกว่า"ถ้าหนูเชิญพี่ออกเเล้วพี่จะมาหลอกหนูไหม"พี่เขาไม่ตอบอ่ะ เราก็เชิญพี่เขาออกเลย(เพื่อนมันบอกให้ชวนออกเลย)
พอเที่ยงคืนก็เหลือหนูคนเดียว(เพื่อนกลับบ้านหมดเเล้ว)
หนูก็รอไปเรื่อยๆทีนี้หนูเซ็งก็เลยตะโกนว่า"พี่มาหลอกหน่อย"(ซวยเเล้ว)
เเล้วก็มีผู้ชายโชกเลือดเดินมาใกล้ๆ
หนูก็ยังไม่เห็น
คราวนี้รู้สึกเหมือนมีคนมาบีบคอ
เเล้วหนูก็เห็น
หนูรีบวิ่งเข้าบ้านทันที
ป.ล.หนูพิ่งรู้ว่าเป็นรุ่นพี่ที่ผูกคอตายเเถวที่หนูเล่นกัน


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 12 สิงหาคม 2009 17:22:53
คนมาอ่าน ฃ่วยโพสให้กระทุ้นี้ด้วยน้าครับ
เดี่ยวจะมีกระทู้ ความรุ้จะไปเอาลงไว้ห้อง บทความนะครับ


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 23 สิงหาคม 2009 03:45:04
เรื่องเล่าสยอง...ก่อนตื่น

เมื่อคืนนี้...นั่งทำงานจนดึก เวลาล่วงเลยไปจนเกือบตี 3 ถึงได้เข้านอน

นึกไว้ว่า พรุ่งนี้จะตื่นเช้าหน่อย เพราะว่าจะแวะไปเอาฟิล์มก่อน

*
*
*

เสียงนก ปลุกให้ฉันตื่น...ยกหัวขึ้นมาดูนาฬิกา อ้าว เพิ่ง 7 โมงเช้า
นอนต่อดีกว่า

...รู้สึกตัวอีกครั้ง 7โมง45 อื้ม อีกนิด ถ้าแบ่งเวลาดี ดี วันนี้ต้องทำทุกอย่างทันน่า
ยังไงก็ทัน...

*
*
*

รู้สึกตัวอีกที เอ ใครมากันเต็มห้อง อ๋อ...เจ้าหวาปิง กับหวาหลินนี่เอง
พ่อกับแม่มันไปไหนนะ หวาหลิน มาชวนให้ไปเล่นด้วยกัน
...น้าจะรีบอะ เล่นด้วยไม่ได้แน่ๆ

อะไรอยู่มุมห้องน่ะ

เจ้าแสบนี่ ไปหาอะไรแปลกๆมาเล่นอีกนะ หูย เหมือนปะการังสวยงาม
เอ๊ะ ใช่ป่าวหว่า สวยดี เหมือนดอกไม้ทะเล ดาวขนนก เอ๊ะ ไปเอามาจากไหนฟะ

ดูหน่อยนะ

...เฮ้ย...เหมือนมีชีวิตเลย

อ้าว

ยังมีชีวิตอยู่นี่หว่า (รึเรายังง่วงฟะ)

ค่อยค่อย คลี่ ออกมาดู ดีกว่า

แตะหน่อย

เย้ย ... ดึ๋งๆ


เฮ้ยๆ...ไรอะ เอาไปในห้องน้ำดีก่า

ฉันเกี่ยวถุงวิ่งไปในห้องน้ำ

มันเริ่มกระดุก กระดิกมากขึ้น

มากขึ้น... เห้ย

**


ถุงมันขยายขึ้น ขยายขึ้นทุกที ไม่ไหวแล้วเฟ้ย เขวี้ยงทิ้งดีกว่า...



ปัง...เสียงถุงแตก



ฉันค่อยๆโผล่หัวเข้าไปดู นี่มันตัวบ้าอะไรเนี่ย หน้าตาเหมือนปลาปักเป้า กลมดิก มีหนาม
เหมือนปลาปักเป้า ตอนป้องกันตัว อะไรฟะ น่าเกลียดชิบ...มีเมือกๆด้วย

โดยที่ไม่ทันตั้งตัว

หลานตัวเล็กวิ่งมาจากไหนไม่รู้ กระโจนเข้าไปหามัน เหมือนถูกแรงดึงดูดให้วิ่งเข้าไป แล้วก็


ปัง...โอ้ยยยยย


ฉันโดนเศษหนามที่กระเด็นมาจากมันเฉี่ยว เลือดไหลเป็นทาง เฮ้ย ...ย หลานล่ะ


ค่อยๆมองเข้าไปในห้องน้ำ ทุกสิ่งทุกอย่างเลอะเทอะไปด้วย เศษเลือดและเนื้อ

*
*
*

น้ำตาเริ่มเอ่อ หวาหลินหายไป ไปไหน หายไปพร้อมกับ "มัน"



นี่มันบ้าอะไรเนี่ย...


ฝันรึป่าว...ตื่นสิ เฮ้ย ตื่น โอ้ย เจ็บบบบบ ฉันลงทุนหยิกตัวเอง
ตื่นแล้ว แล้วเกิดบ้าอะไรขึ้นมาละเนี่ย

หมุนซ้าย หมุนขวา...ทุกอย่างคงสภาพเดิม

หวานหลินหายไปไหน...


ไม่ได้แล้ว เจ้าตัวเล็กอีกคนยังอยู่ ไม่ปลอดภัยแน่ ว่าแล้วก็วิ่งๆๆ
ไปหาเจ้าปิง รอบบ้าน ปิง ปิง อยู่ไหนนะ

วิ่ง... หา... ค้น... รื้อ ปิง


เหนื่อย หมดแรง ...ท้อ นี่มันอะไร น่ากลัวชิบเป๋ง


น้าขา....เห้ยเสียงหวาหลินนี่หว่า ยังไม่ตายนี่ ฉันหันไปเจอหน้าหลานด้วยความดีใจ

แต่...

*
*
*

ตามเนื้อตัวหวาหลินมีรอย แดงๆ พาดเป็นจ้ำๆ เลือดยังซิบๆ อยู่ตามที่ฉันเห็น
เจ็บมั้ยคะ...ไม่เจ็บค่ะ หวาหลินไม่เจ็บแล้วค่ะ

ได้ไงอะ...โอ้ย มึน

ซักพักได้ยินเสียง แอ๊...เสียงเจ้าปิงนี่นา โอ้ย ยย ดีจัง หวาปิงยังอยู่ครบ 32

เจ้าปิงคลานเข้ามา ฉันวิ่งไปกอดด้วยความดีใจ...โอ๊ยยยย

อะไรอีกล่ะคราวนี้ ฉันดันตัวเจ้าปิงออกมา เฮ้ย

เอ้ย...ยยย


ตามตัวเจ้าปิง เต็มไปด้วยหนาม หนามปั๊กเป้านี่หว่า หนามเล็กๆ เต็มไปหมด

เด็กทั้งคู่ มองหน้าฉัน แล้ว ยิ้ม...

อมยิ้มเล็กๆ

แต่เป็นยิ้มที่ทำให้ฉัน รู้สึกสยอง....เข้าไปถึงขั้ว...


เหนื่อยว้อย...ไม่หนีแล้ว เป็นไงเป็นกัน...


ฉันต่อสู้กับความเหนื่อยอีกพักใหญ่


นาฬิกาตีบอกเวลา 8.30 พอดี เฮ้ยยยย ฝันเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้เลยอะ เวลาไม่ถึงชั่วโมง
ฟุ้งซ่านอะไรฟะ แต่ฉันก็เป็นแบบนี้บ่อยๆ นอนกลางคืนไม่เคยฝันไม่ดี แต่ถ้าตื่นแล้ว
แอบหลับไปอีก จะฟุ้งซ่านเอาหลายอย่างมาประกอบกัน...

1.เมื่อคืนไปหาหมอ เล่นกับเจ้าหวาหลินและหวาปิงแป๊ปนึง
2.เมื่อคืนก่อน นั่งดู Men in Black 1 มีแต่สัตว์ประหลาด แหยะๆ ฮาๆ
3.ดูทีวี พอดี หนังเรื่อง SAW III กำลังโปรโมตพอดี
3.เมื่อวานผ่านจอโทรทัศน์ใครไม่รู้ เห็นเรื่องดำน้ำ แล้วก็คุยกับน้องก๊วนที่เคยไปทำน้ำด้วยกัน
...เลยคิดถึงเรื่องใต้ทะเล สวยๆ
4.เหนื่อยมาหลายวัน (แล้วต้องเหนื่อยในฝันอีกหรอฟะ)

ไม่เอาแล้ว ทีหลัง ถ้าตื่นแล้วคงต้องตื่นเลย ห้ามแอบงีบอีกไม่งั้น ประสาทเสีย เป็นส่วนหนึ่งของ
ตัวละครในความฝันก่อนตื่นของตัวเองอีกแน่...ไม่ไหวๆ ไปดีกว่า

...หนีไปเหนือซัก 4-5 วัน แล้วเจอกันนะ หึหึหึ

 :emo5


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 23 สิงหาคม 2009 03:46:21
เรื่องเล่า-'สยองตึกกิจกรรม' ที่พระนครเหนือ  

 
เรื่องลึกลับของตึกกิจกรรมที่สถาบันพระจอมเกล้า พระนครเหนือเป็นที่เล่าขานกันมาหลายต่อหลายรุ่น เพราะตึกนี้จะค่อนข้างที่คึกคักมากเพราะจะมีนักศึกษาแวะเวียนไปใช้บริการบ่อย บางคนก็ขึ้นมาเล่นเพื่อเล่นกีฬา บางคนก็ขึ้นมาเพื่อทำกิจกรรมที่ชมรมชั้น6 บางคนก็ขึ้นมาติดต่อหน่วยงานต่างๆ ของกิจกรรมนักศึกษา แต่ก็จะมีนักศึกษาบางกลุ่มที่จำเป็นจะต้องใช้ตึกนี้ เป็นที่นอนค้างอ้างแรมกันบ้าง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของเหล่านักกิจกรรมอยู่แล้ว แต่ก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่ว่า พอตกดึกแล้วที่ไรที่นี่มันมักจะเกิดเหตุการณ์ประหลาดๆ ขึ้นเสมอ มิหนำซ้ำบรรยากาศก็แสนจะวังเวง ชวนขนลุกได้ทุกเมื่อ เพื่อนของฉันที่เป็นนักกีฬาคนหนึ่งที่นี่ เค้ามักจะชอบแอบมานอนค้างที่ห้องชมรม ที่นี้อยู่เป็นประจำ วันหนึ่งเพื่อนฉันคนนี้ก็แอบเข้ามานอนที่ตึกนี้อีก เค้านอนฟังเพลง อ่านการ์ตูนไปอย่างสบายใจ โดยไม่เกรงกลัวต่อคำร่ำลือใดๆ หลังจากที่เค้าเผลองีบหลับไปสักครู่ เค้าก็รู้สึกว่าเหมือนมีอะไรมานั่งทับตัวเขาอยู่ คล้ายกับโดนผีอำ เค้าเล่าว่า ตอนนั้นเค้าลืมตาอยู่แต่ขยับตัวไม่ได้ พยายามเปล่งเสียงออกมาก็ไม่ได้ หายใจแทบไม่ออก คิดในใจว่าเราต้องตายแน่ๆ เลย

ในขณะที่เค้ากำลังทุรนทุรายกับการเอาตัวรอดอยู่นั้น สายตาของเขาเหลือบไปมองที่หน้าต่างที่เปิดอยู่ มีเงาบางอย่างอยู่ที่นั่น เขารวบรวมความกล้า เพ่งมองไปยังจุดนั้น สิ่งที่เค้าเห็น คือ ร่างของใครคนหนึ่งยืนหันหน้ามาทางเขา ผ้าสีขาวที่ห่มร่างนั้นปลิวปิดหน้าปิดตา จนไม่สามารถสันนิษฐานได้ว่าเป็นใคร แต่ใครเล่าจะอุตริไปยืนอยู่ตรงนั้น ซึ่งเป็นระเบียงอยู่ที่ชั้น 10 พอดิบพอดี

ตอนนั้นเขาก็เริ่มแน่ใจแล้วว่า คงไม่ใช่คนแน่ๆ แล้วเรื่องผีๆ ก็ผุดขึ้นมาในสมองทันที จากนั้นเขาเริ่มสวดมนต์ทุกคาถาทันที ไม่ว่าคาถาวัดไหน หลวงพ่อองค์ไหนที่ใครว่าเจ๋งๆ เขาขุดเอามาสวดหมด จนรู้สึกว่าไอ้ที่รู้สึกเหมือนมีอะไรมาทับ เริ่มทุเลาลงไป เขาเริ่มขยับตัวได้ ด้วยความดีใจ เข้าฮึดเอากำลังความกล้าที่ยังพอมีเหลืออยู่ รีบเก็บข้าวของลงไปจากตึกนั้นทันที ประสบการณ์ที่เขาได้เจอมาในคืนนั้น ทำให้เค้าไม่กล้าที่จะย่างก้าวไปที่ตึกนั้นคนเดียวอีกเลย

ยังมีอีกเรื่องในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีกในตึกนี้ แต่ครั้งนี้ดันไปโผล่ที่ชั้น 6 มีรุ่นพี่ของฉันคนหนึ่งได้รับสิทธิพิเศษอีกคน ที่ได้ขึ้นไปนอนพักตากอากาศที่ตึกนี้ รุ่นพี่เล่าให้ฉันฟังว่า วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ไม่มีใครอยู่ชมรมเลยเลยซักคน เค้านั่งรอเพื่อนด้านหน้าของห้องชมรม เพราะพี่เค้ามาเป็นคนแรก และก็ไม่มีกุญแจที่จะไขเข้าไปในห้องชมรมด้วย

?พี่จำได้ว่าวันนั้นมันเงียบมาก บรรยากาศมันวังเวงชอบกล พี่ก็ไม่ได้นึกเอ๊ะใจอะไร ก็นั่งรอเพื่อนไปเรื่อยๆ สักพักพี่ก็เผลอหลับไป? รุ่นพี่นึกถึงย้อนเรื่องราวในวันนั้นรุ่นพี่เล่าต่อว่า ?จำได้คร่าวๆ ว่า เราฝัน...ฝันว่าห้องชมรมเปิดได้แล้ว พี่ก็เดินเข้าไปในห้อง เห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งหันหลังแล้วร้องไห้อยู่ ในฝันมันเหมือนจริงมาก เสียงร้องไห้ของเธอฟังแล้วรู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ ในฝันพี่ค่อยๆ ก้าวเข้าไปหาเธอคนนั้น แล้วเธอก็ค่อยๆ หันหน้ามาหาพี่อย่างช้าๆ พร้อมชี้นิ้วมายังพี่ สายตาของหล่อนที่มองมาที่พี่ เหมือนกับโกรธแค้นกันมาหลายสิบปี...แล้วพี่ก็สะดุ้งตื่นด้วยความกลัว?

?ตอนที่พี่ลืมตาขึ้นมา เพื่อนที่นัดเอาไว้ มากันพร้อมหน้า ต่างก็จ้องมาที่พี่เป็นตาเดียวกัน เพื่อนเล่าว่าพอมาถึงก็เห็นพี่นอนหลับอยู่ที่หน้าประตู พยายามเรียกพี่หลายครั้งแล้ว พี่ก็ยังไม่ตื่น...จนต้องใช้กำลัง พี่เล่าเรื่องความฝันให้เพื่อนๆ ฟัง ต่างคนก็ต่างวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา จนถึงตอนนี้พี่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่า ผู้หญิงคนนั้นคือใคร? แล้วชี้หน้าพี่ทำไม? ทำไมเขาต้องร้องไห้เสียใจขนาดนั้น? แต่ที่แน่ ๆ พี่จะไม่ยอมไปนั่งรอเพื่อนคนเดียวที่ตึกกิจกรรมชั้น 6 คนเดียวอีกแน่นอน!!?
มาถึงประสบการณ์ส่วนตัวของฉัน เกี่ยวกับตึกกิจกรรมบ้าง วันนั้นประมาณ 4 ? 5 ทุ่ม ฉันและเพื่อนๆ ทำงานกันอยู่หลายคนที่ชั้น 6 ตึกเดิม ตัวเองก็เป็นคนกลัวผีแบบบ้าจี้เหมือนกัน ถ้าเกิดไม่มีใครทักก็จะไม่คิดอะไร แต่ถ้ามีคนหลอกให้กลัวก็จะกลัว แม้กระทั่งไฟดับธรรมดา ฉันก็จะประมาณว่า...วิ่งหนีเตลิดไปเลย

?แต่ครั้งนี้สติของฉันเรียกได้ว่าสมบูรณ์ทุกประการ ฉันเริ่มทะเลาะกับเพื่อนในกลุ่มที่ทำงานด้วยกันมันก็เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ไอ้เราก็เป็นหนึ่งในผู้หญิงขี้งอนซะด้วย ถ้าคืนดีกันง่ายก็เสียฟอร์มแย่ ฉันลุกออกมาจากตรงนี้ เดินออกมานอกห้องคนเดียว (ฟอร์มว่าออกไปกดน้ำที่ตู้มาดื่ม) แต่ตอนนั้นมันก็มืดแล้ว ไม่มีใครอยู่ข้างนอกเลยสักคน มีเพียงแสงไฟจากห้องน้ำชายเท่านั้นที่ส่องมาให้แสงสว่างบนทางเดิน ฉันเดินเรื่อยๆ มาจนถึงตู้กดน้ำตรงชมรมมุสลิม ในใจก็ได้นึกถึงอะไร ฉันนั่งยองๆ กินน้ำจากตู้กดจนอิ่ม กะว่าจะกดน้ำใส่ขวดด้วย เพื่อกระหายอีกในตอนดึก??น้ำยังไม่ทันจะเต็มขวด ฉันก็ได้ยิน เสียงกดชักโครกดังมาจากห้องน้ำชาย ฉันรู้สึกตกใจและแปลกใจมากคิดในใจ อ้าวว...มีคนอยู่ด้วยเหรอ? หรือว่าอาจจะมีใครแอบมานั่งปลดทุกข์คนเดียว แหม!! เก่งจริงๆ แต่แล้วก็ไม่รู้มีอะไรมาดลใจให้คิดถึง..เรื่องผีๆ ในตึกนี้...พอนึกถึงปุ๊บ.. ขนเจ้ากรรมก็แข่งกันลุกโดยไม่ได้นัดหมาย ฉันเลยตัดสินใจหายงอนรีบกลับเข้าไปที่ห้องดีกว่า?

?แต่แล้วฉันก็เดินไปไม่ถึงไหน ไอ้ความอยากรู้อยากเห็นมันจูงใจฉัน ให้หันหลังกลับไปที่ต้นเสียงนั้นอีกครั้ง ในใจก็กลัวๆ กล้าๆ เกิดคำถามขึ้นในหัวมากมาย ...ถ้าเป็นคนก็แล้วไป ถ้าเกิดไม่ใช่คนหล่ะ จะทำอย่างไร? ฉันเดินตรงเข้าไปที่ห้องน้ำชาย เพื่อพิสูจน์ให้รู้กันไปเลยว่าใครกันที่กดชักโครก ฉันกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องน้ำ ประตูห้องน้ำทุกห้องเปิดหมด ไร้วี่แววของคนแม้แต่คนเดียว....แล้วเสียงนั้นมาจากไหน? ไฟดวงเดียวที่ให้แสงสว่างก็นึกสนุก กระพริบติดๆ ดับ สร้างบรรยากาศชวนขนหัวลุกซะเหลือเกิน....ไม่ต้องสงสัยเลย นาทีนั้น แรงมีแค่ไหน... ฉันโกยสุดชีวิต...ไม่ถึง 5 นาที ถึงห้องเลย ลืมหมดเลยที่งอนกับเพื่อนอยู่?

?เพื่อนๆ ที่นั่งอยู่ในห้องเห็นหน้าตาที่ตื่นกลัวของฉัน แล้วคงอดสงสัยไม่ได้ว่าฉันไปเจออะไรมา ต่างคนก็ยิงคำถามใส่ฉัน จนฉันแทบตั้งตัวไม่อยู่ คิดดูสิค่ะ คนที่เพิ่งโดนผีหลอกมาจะพูดอะไรได้ ฉันได้แต่นั่งเงียบอย่างเดียว ใครถามอะไรก็ไม่อยากจะตอบ รอเวลาที่ฟ้าจะสว่าง...อยากกลับบ้านเหลือเกิน ฉันนั่งรอเวลาจนในที่สุดแสงอาทิตย์ก็ส่องเข้ามาที่หน้าต่าง ชั้น 6 สักที ฉันรีบขอตัวกลับบ้าน ถึงแม้ว่าทางที่จะลงบันไดจะต้องผ่านห้องน้ำชายก็ตาม ฉันก็ไม่คิดที่จะหันไปมองที่นั่นอีกเลย?

...นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น สำหรับเหตุการณ์แปลกๆ ที่เกิดขึ้นที่ตึกกิจกรรมนี้ บางเรื่องที่เกิดขึ้นกับหลายคนที่เคยมาอาศัยหลับนอนที่นี่ เช่น บางคนเห็นเงาผู้หญิงตรงข้างหน้าต่าง บางคนรู้สึกเหมือนถูกจ้องมอง บางครั้งไฟปิดเอง หรือบางครั้งเกิดเสียงลึกลับดังมาจากห้องต่างๆ ฯลฯ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครหาข้อพิสูจน์ได้ว่ามันเกิดมาจากสิ่งไหน แต่ก็น่าแปลกที่ไม่เคยมีใครได้รับอันตรายร้ายแรงจากเหตุการณ์ทั้งหลายสักคน อาจจะเป็นเพียงการทักทายหรือล้อเล่นของผู้ที่ดูแลสถานที่แห่งนี้อยู่ก็เป็นได้ แต่ที่แน่ๆ ใครที่ไม่เชื่อก็ไม่ควรที่จะลบหลู่นะคะ ของแบบนี้มันอยู่ที่วิจารณญาณ แต่สำหรับฉันแล้ว.....ยังไม่เคยลืม ...


แหล่งที่มา  http://heyhaparty.blogspot.com/2007/11/blog-post_4187.html
 


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ลุงหนวด-(ZC72S) ที่ 23 สิงหาคม 2009 11:46:24
สุดยอดครับ...น่าอ่านมากๆ


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: Win racing shop.CBZ ที่ 23 สิงหาคม 2009 11:52:37
สุดยอดครับ...น่าอ่านมากๆ


ถ้าสุดยอดแล้วก็ลงมาคับน้า  ผมจะได้ขึ้นบ้าง :emoa


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ลุงหนวด-(ZC72S) ที่ 23 สิงหาคม 2009 11:59:15
สุดยอดครับ...น่าอ่านมากๆ


ถ้าสุดยอดแล้วก็ลงมาคับน้า  ผมจะได้ขึ้นบ้าง :emoa

มันไม่ใช้ต้นมะพร้าวครับน้า...

ปล.สงสัยไม่เคยสุดยอดมาหลายเดือนแล้วแน่เลย....อิอิ


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: Win racing shop.CBZ ที่ 23 สิงหาคม 2009 12:01:37
สุดยอดครับ...น่าอ่านมากๆ


ถ้าสุดยอดแล้วก็ลงมาคับน้า  ผมจะได้ขึ้นบ้าง :emoa

มันไม่ใช้ต้นมะพร้าวครับน้า...

ปล.สงสัยไม่เคยสุดยอดมาหลายเดือนแล้วแน่เลย....อิอิ


วันเว้นวันคับ :emotp


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ลุงหนวด-(ZC72S) ที่ 23 สิงหาคม 2009 12:05:39
สุดยอดครับ...น่าอ่านมากๆ


ถ้าสุดยอดแล้วก็ลงมาคับน้า  ผมจะได้ขึ้นบ้าง :emoa

มันไม่ใช้ต้นมะพร้าวครับน้า...

ปล.สงสัยไม่เคยสุดยอดมาหลายเดือนแล้วแน่เลย....อิอิ


วันเว้นวันคับ :emotp

จริงหรือป่าว...แล้ววันเว้นวันกะใครครับ


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: BEN AE ที่ 23 สิงหาคม 2009 12:06:54
เรื่องที่พระนครเหนือเคยได้ยิมมาเหมือนกันตั้งแต่สมัยเรียน แต่ยังเคยเจอเจอแต่สาวสวยเพียบเลย อิอิ


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 23 สิงหาคม 2009 20:28:31
เรื่องที่พระนครเหนือเคยได้ยิมมาเหมือนกันตั้งแต่สมัยเรียน แต่ยังเคยเจอเจอแต่สาวสวยเพียบเลย อิอิ
ที่เคยไป รู้สึกจะมีแต่ แหล่มๆ ครับพี่เบน อิอิ


หัวข้อ: Re: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!
เริ่มหัวข้อโดย: ~POOMZA~ ที่ 25 ตุลาคม 2009 20:14:15
ความเชื่อเกี่ยวกับการใช้เกลือไล่ผี
สำหรับความเชื่อเกี่ยวกับเกลือนี้ มีว่า เกลือสามารถขจัดสิ่งอัปมงคลและสิ่งชั่วร้ายได้ อย่างเช่นในสมัยโบราณหากมีการไปงานศพ เมื่อกลับมาถึงบ้าน ก่อนที่จะเข้าบ้านจะมีการโรยเกลือที่ทางเข้าบ้านเสียก่อนจึงค่อยก้าวเท้าเข้าบ้าน เนื่องจากชาวญี่ปุ่น(โบราณ)เชื่อกันว่า เกลือเป็นสิ่งบริสุทธิ์เมื่อก้าวข้ามทางเกลือไปแล้ว เกลือจะชำระล้างสิ่งไม่ดีที่ติดตัวมากับงานศพ แล้วยังเชื่ออีกว่า เกลือสามารถจะไล่ผีได้
ยังมีการใช้เกลืออีกทางหนึ่งซึ่งอยากเล่าคือ การใช้เกลือโรยที่รอบสนามซูโม่ก่อนการแข่ง เพราะมีเหตุผล 2 ประการที่ทำคือ


1. เพื่อชำระล้างร่างกายและจิตใจของผู้เข้าแข่งขัน แล้วยังทำให้การแข่งขันบริสุทธิ์ยุติธรรมอีกด้วย





2. การแข่งขันซูโม่ เมื่อผู้แข่งคนใดดันคู่ต่อสู้ออกนอกเส้นสนามได้คือผู้ชนะ เพราะฉะนั้นผู้ที่ถูกดันออกนอกสนามจะมีเกลือติดที่ฝ่าเท้า เป็นการง่ายต่อการตัดสิน




เกี่ยวกับการไล่ผีนั้น เชื่อว่าองเมียว(นักพลังจิตในสมัยเฮอัน)ใช้เกลือในการทำพิธีไล่วิญญานที่ชั่วร้าย เมื่อมีการทำพิธีที่ศาลเจ้าก็จะมีเกลือเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

เหตุที่เชื่อว่าเกลือสามารถทำที่กล่าวมาได้เนื่องจาก สีขาวบริสุทธิ์ของเกลือนั่นเอง เท่านี้แหล่ะค่ะ ความเชื่อเกี่ยวกับเกลือของคนญี่ปุ่น