AE. Racing Club

AE Racing Club - FreeStyle => Free Style - AE Racing Club => ข้อความที่เริ่มโดย: yoshio ae ที่ 14 กรกฎาคม 2011 16:29:33



หัวข้อ: ปวดหัวกับรถไม่ได้ขับแต่ดันมีปัญหาอีก.........
เริ่มหัวข้อโดย: yoshio ae ที่ 14 กรกฎาคม 2011 16:29:33
ปวดหัวกับรถไม่ได้ขับแต่ดันมีปัญหาอีก.........(แบทเปลี่ยนใหม่ไม่ถึง 3 เดือน)

ตั้งแต่ต้นเดือนที่แล้ว ae ไม่ค่อยจะได้ขับ แต่ติดเครื่องวอร์มทุกวัน

หลังจากนั้นเป็นเวลา 2 อาทิตย์  รถก็เงียบกริบ แบทหมด จนต้องถอดออกไปชาร์ทใหม่ 1วันเต็มๆ

ก็เอามาใส่ใช้งานได้ปกติ เลยมีข้อสงสัย ถามเจ้าของร้านไป ว่าเพราะอะไรทั้งๆที่วอร์มเครื่องทุกวัน

ได้คำตอบมาว่ามันไม่พอ ต้องเอาไปขับบ้างให้รอบมันได้ และไดร์ชาร์ททำงาน ชาร์ทไฟเข้าแบท

หลังจากนั้น ก็ ติดเครื่อง แล้วเร่งค้างไว้ที่ 3 พันรอบ นานพอสมควร แล้วเดินเบาจนอุณหภูมิใช้งานตลอดทุกวัน

และมีเอาออกไปขับบ้าง 6 วันก่อน ประมาณ 70 กิโล  และติดเครื่องวอร์มทุกวัน  แต่เมื่อวานก็ยังติดเครื่องได้ปกติ ดูเหมือนว่าทุกอย่าง จะเข้าที่ล่ะ

แต่พอเมื่อกี้นี้ลองติดเครื่องเงียบกริบ แบ็ทหมดเกลี้ยงเลย.....หลับมาสู่ปัญหาเก่าๆ

เลยอยากจะถามว่าถ้ารถไม่ได้ใช้ มีวิธีรักษาอย่างไรบ้าง รถถึงจะไม่มีปัญหาเรื่องไฟหมด (ไดร์ชาร์ทในรถไม่ได้มีปัญหาใดๆนะคับ)

หรือมันเกิดมาจากสาเหตุใดได้บ้าง  ปวดหัวมากถึงมากที่สุด

วันนี้ว่าจะขับกลับบ้าน สงสารมันเอาออกไปใช้หน่อย ดันมามีปัญหาซะได้....เซ็งเป็ด

ขอคำแนะนำทีคับ :emotn


หัวข้อ: Re: ปวดหัวกับรถไม่ได้ขับแต่ดันมีปัญหาอีก.........
เริ่มหัวข้อโดย: ajmoo ที่ 14 กรกฎาคม 2011 16:30:55
ระบบไฟรั่วหรือป่าวครับ แบบนี้ปกติไม่น่าหมดเร็วขนาดนี้ครับผม.

แนะนำว่าถ้าจอดนาน ๆ ให้ถอดขั้วแบตออกเลยครับ จะวิ่งใช้หรือวอร์ม ค่อยต่อกลับครับ


หัวข้อ: Re: ปวดหัวกับรถไม่ได้ขับแต่ดันมีปัญหาอีก.........
เริ่มหัวข้อโดย: yoshio ae ที่ 14 กรกฎาคม 2011 16:37:13
ระบบไฟรั่วหรือป่าวครับ แบบนี้ปกติไม่น่าหมดเร็วขนาดนี้ครับผม.

แนะนำว่าถ้าจอดนาน ๆ ให้ถอดขั้วแบตออกเลยครับ จะวิ่งใช้หรือวอร์ม ค่อยต่อกลับครับ

พี่หมูคับแล้วจะมีวิธีเช็คยังไงบ้างคับว่าไฟมันรั่วหรือไม่รั่วอ่ะคับ สามารถทำเองได้ไหมคับ

แล้วที่บ้านผมมีตัวตัดไฟที่เป็นตัวบิด สามารถนำมาใช้งานต่อคร่อม ได้ไหมคับ

แล้วบิดไปมาแทน การถอดใส่ขั้วทุกครั้งอ่ะคับ

ขอบคุณมากคับ


หัวข้อ: Re: ปวดหัวกับรถไม่ได้ขับแต่ดันมีปัญหาอีก.........
เริ่มหัวข้อโดย: ajmoo ที่ 14 กรกฎาคม 2011 16:42:24
ระบบไฟรั่วหรือป่าวครับ แบบนี้ปกติไม่น่าหมดเร็วขนาดนี้ครับผม.

แนะนำว่าถ้าจอดนาน ๆ ให้ถอดขั้วแบตออกเลยครับ จะวิ่งใช้หรือวอร์ม ค่อยต่อกลับครับ

พี่หมูคับแล้วจะมีวิธีเช็คยังไงบ้างคับว่าไฟมันรั่วหรือไม่รั่วอ่ะคับ สามารถทำเองได้ไหมคับ

แล้วที่บ้านผมมีตัวตัดไฟที่เป็นตัวบิด สามารถนำมาใช้งานต่อคร่อม ได้ไหมคับ

แล้วบิดไปมาแทน การถอดใส่ขั้วทุกครั้งอ่ะคับ

ขอบคุณมากคับ

ได้เอาตัวตัดไฟมาต่อคร่อมก้อได้ ง่ายสะดวก ไม่ต้องตรวจสอบด้วยครับ หารั่วหายากมาก ๆ ครับผม


หัวข้อ: Re: ปวดหัวกับรถไม่ได้ขับแต่ดันมีปัญหาอีก.........
เริ่มหัวข้อโดย: Hanuy90@LN.Z ที่ 14 กรกฎาคม 2011 17:04:10
เคยเห็นพวกร้านได้เช็ครั่ว เค้าใช้หลอดไฟ 12v ต่อขั้วนึง อีกขั้วเป็นสายไฟ แล้วลองจี้แถวๆแบต ถ้ารั่ว หลอดไฟก็จะติด
แต่ไม่รู้จะไปจิ้มตรงไหน ยังไงนี่สิ พอดีเรื่องไฟ ไม่ค่อยสันทัดครับ เอิ๊กๆๆ


หัวข้อ: Re: ปวดหัวกับรถไม่ได้ขับแต่ดันมีปัญหาอีก.........
เริ่มหัวข้อโดย: ปล่อยวาง... ที่ 14 กรกฎาคม 2011 19:32:38
ผมก็เป็นครับ ถอดขั้วอย่างเด๋วเลย..


หัวข้อ: Re: ปวดหัวกับรถไม่ได้ขับแต่ดันมีปัญหาอีก.........
เริ่มหัวข้อโดย: ----a---- ที่ 14 กรกฎาคม 2011 19:38:44
    แบ่งออกมาได้ 3 ประเด็น คือ

    ประเด็นปัญหาจาก แบตเตอร์รี่เสื่อม
    ประเด็นปัญหามาจาก ไฟ+รั่วลงกราวน์
    ประเด็นปัญหามาจาก ไดชาร์จ

ขอกล่าวถึง ประเด็นปัญหาไฟรั่วลงกราวน์ก่อนนะครับ (ข้อ 2)
เมื่อเรารู้สึกว่า จอดรถทิ้งไว้ 2 วัน สตาร์ทรถไม่ติด มีเสียงเหมือนไฟอ่อน ทำให้รู้ว่า แบตฯไม่มีไฟ จึงพาให้สงสัยว่า ไฟรั่วลงกราวน์หรือเปล่า (มีความเป็นไปได้สูง จึงขอกล่าวประเด็นนี้ก่อน) เราสามารถพิสูจน์ได้จาก การหา สายไฟมา 2 เส้น กับหลอดไฟแสงสว่างขนาด 12 โวล์ทขนาดไม่เกิน 0.5 แอมป์ 1 หลอด โดย

    ถอดขั้ว - ของแบตเตอร์รี่ออก
    เอาสายไฟเส้นที่หนึ่งต่อเข้าปลาย ขั้วหลอดไฟ ปลายอีกข้างหนึ่งไปต่อเข้าสายไฟของขั้ว - ที่ถอดออกจากแบตเตอร์รี่
    เอาปลายข้างหนึ่งของสายไฟเส้นที่ 2 ไปต่อเข้าที่ตัวเสื้อของหลอดไฟ แล้วเอาปลายสายไฟอีกข้างหนึ่งต่อจี้เข้าไปที่ขั่ว - ของแบตเตอร์รี่
    ถ้าหลอดไฟมีแสงสว่างออกมา แสดงว่า มีไฟรั่วลงกราวนด์ ให้หาจุดรั่วให้เจอ โดยใช้วิธี ถอดฟิวส์ออกทีละตัว ถ้าฟิวส์ไหนถอดออกแล้ว หลอดไฟแสงสว่างดับ แสดงว่า เป็นที่ระบบไฟของฟิวส์ตัวนั้น จากนั้นค่อยไล่หาตามสายไฟครับ

    ถ้าหลอดไฟไม่มีแสงสว่าง แสดงว่า ไม่มีไฟรั่วลงกราวนด์ครับ ก็ต้องไปไล่หาประเด็นปัญหาข้อ 1 หรือ ข้อ 3 ครับ

ประเด็นปัญหาแบตเตอร์รี่เสื่อม เก็บไฟไม่อยู่ (ข้อที่ 1)
แบตเตอร์รี่ ชนิดเติมน้ำกลั่นนั้น พอมีการเติมน้ำกรดชนิด 25% ลงในแบตเตอร์รี่ที่เปิดจากกล่องใหม่ๆ แล้วชาร์จไฟเข้า ไม่เกินกว่า 25% ของขนาดประจุไฟเข้าแบตเตอร์รี่ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 12 ชั่วโมง (เช่น แบตเตอร์รี่ขนาด 100 แอมป์ ควรชาร์จไฟไม่เกิน 25 แอมป์ (ควรต่ำกว่า 25 แอมป์ครับ) ไม่น้อยกว่า 12 ชั่วโมง) พอมีการเริ่มชาร์จไฟเข้าแบตฯ แบตฯลูกนั้น ก็จะเริ่มนับถอยหลังในการเสื่อมสภาพแล้วครับ โดยมีอายุการใช้งาน นับถอยหลัง ไม่ต่ำกว่า 1 ปี (ตามระยะการรับประกัน) แต่อายุการใช้งานจริง ควรไม่ต่ำกว่า 1.5 ปี ครับ
ดังนั้น แบตฯที่มีอายุ 1 ปีไปแล้ว โอกาสที่จะเสื่อมถอยก็มีมาก ยิ่งการดูแลรักษาไม่ดีพอ เช่น ปล่อยให้ น้ำกลั่นลดลงต่ำกว่าขีดล่างสุด จนแผ่นธาตุถูกอากาศ หรือ ใช้ไดชาร์จที่เสื่อมสภาพ บ่อยๆ ทำให้ประจุไฟเข้าแบตฯไม่เต็มซักครั้ง เป็นต้น โอกาสเช่นนี้ ยิ่งเป็นการฆ่าอายุแบตฯให้ลดลงเรื่อยๆครับ
วิธีการตรวจสอบว่า แบตเตอร์รี่ เสื่อมหรือไม่ ให้ทำดังนี้ครับ

    ให้ยกแบตฯออกจาก รถ แล้วเปิดฝาที่เติมน้ำกลั่นทุกช่องไว้
    เติมน้ำกลั่นให้ถึงขีดระดับ Max
    ชาร์จไฟเข้าแบตฯ ให้ต่ำกว่า 25 % ของขนาดประจุไฟของแบตฯ นานจนกระทั่งเข็มเกจ์ตู้ชาร์จลดต่ำลงเหลือประมาณ 10 %ของระดับเข็มเกจ์ที่ชี้ขึ้นตองชาร์จใหม่ๆ
    หรือจะใช้ ไฮดรอมิเตอร์วัดความถ่วงจำเพาะของน้ำกรอในแต่ละช่องก ็ได้ครับ โดยเกจ์จะต้องลอยในน้ำกรดถึงระดับ สีเขียว หรือ ประมาณ 1.260 หรือสูงกว่า จึงจะแสดงว่า ประจุไฟเต็มแบตฯแล้ว
    หยุดชาร์จไฟ แล้วปิดฝาช่องเติมน้ำกลั่นของแบตฯทุกช่อง

    ทิ้งไว้ 2 - 3 วัน แล้วใช้ไฮดรอมิเตอร์วัดความถ่วงจำเพาะของน้ำกรดในแบต ฯทุกช่อง จะต้องได้ตัวเลขเท่าเดิม จึงจะแสดงว่า แบตฯลูกนั้น เก็บประจุไฟอยู่ครับ ถ้า ตัวเลขลดลง แสดงว่า แบตฯลูกนั้นเริ่มเสื่อมถอยแล้วครับ

ประเด็นปัญหาของไดชาร์จเสื่อมถอย (ข้อที่ 3)
การใช้ไดชาร์จรถยนต์ไปได้ระยะหนึ่ง ทั้งจากความร้อนของเครื่องยนต์ และจาก ละอองน้ำที่กระเซ็นเข้าไปโดยไดชาร์จ ไดชาร์จก็อาจจะมีโอกาสเสื่อมได้ครับ (ไม่เสีย แต่เสื่อม โดยปล่อยกระแสไฟออกมาไม่ได้เต็มที่ควรเป็น) มีวิธีทดสอบแบบชาวบ้านง่ายๆ ดังนี้ครับ

    หาโวล์ทมิเตอร์ชนิดตัวเลขมาต่อเข้ากับระบบไฟหลัก 1 ตัว
    สตาร์ทรถยนต์ เดินเครื่องในรอบเดินเบา (ตอนเครื่องร้อนแล้วนะ ครับ เครื่องเย็นอยู่ทดสอบไม่ได้ เพราะว่ารอบเดินเบาจะสูงกว่าปกติครับ) ให้ดูที่โวล์ทมิเตอร์ ว่าตัวเลขได้เท่าไหร่ (ต้อง ไม่ต่ำกว่า 12.5 โวล์ท ซึ่งจริงๆควรได้ถึง 13 โวล์ทเป็นอย่างต่ำด้วยซ้ำครับ)
    จากนั้น ให้เปิดใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าในรถทีละอย่างจนครบทุกอย่า ง เช่น เปิดแอร์ เปิดวิทยุ เปิดไฟหน้า เปิดไฟสปอร์ตไลท์ เปิดที่ปัดน้ำฝน ไล่ฝ้า เป็นต้น เรียกว่า มีไฟฟ้าอะไร ก็เปิดให้หมด แล้่วสังเกตุตัวเลขที่โวล์ทมิเตอร์ จะค่อยๆลดลง แต่อย่างไรก็ตามจะต้องไม่ต่ำกว่า 11.5 โวล์ท ถ้าต่ำกว่านี้แสดงว่า ไดชาร์จเสื่อมถอยแล้ว ต้องซ่อม หรือเปลี่ยนครับ

    จากนั้นทดลองเร่งเครื่องยนต์ขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 2000 - 2500 รอบ ตัวเลขโวล์ทมิเตอร์จะต้องขึ้น อย่างน้อยที่สุดไม่ต่ำกว่า 12.5 - 12.8 โวล์ทครับ ถ้าต่ำกว่านี้ แสดงว่า ใช้ไม่ได้ครับ


การที่ไดชาร์จเสื่อมถอย อาจจะทำให้ แบตฯประจุไฟเข้าไม่พอ โดยเฉพาะ บางท่านใช้งานเฉพาะตอนกลางคืน นอกจากประจุไฟเข้าแบตฯไม่พอ ยังอาจจะ ดึงไฟแบตฯออกมาช่วยใช้งานด้วยซ้ำไปครับ จึงอาจจะทำให้ แบตฯเสื่อมเร็วยิ่งขึ้น หรือว่า ไฟแบตฯอ่อนจนกระทั่ง สตาร์ทรถไม่ติดก็ได้ครับ

พอดีเคยเปิดเจอในเวบน่ะครับเลยเซฟเก็บไว้ น่าจะลองเช็คเบื้องต้นได้นะครับ อาจจะยาวไปนิดนึง


หัวข้อ: Re: ปวดหัวกับรถไม่ได้ขับแต่ดันมีปัญหาอีก.........
เริ่มหัวข้อโดย: illusionx<NC.Z> ที่ 14 กรกฎาคม 2011 19:44:32
ผมก็ว่าแบบอาจานหมูครับ น่าจะไฟรั่ว

เพราะผมเคยจอดอยู่บ้าน 5 วัน สตาร์ทแค่ขยับรถหลบแดดเช้ากับเย็น แบตก็ไม่หมดนะครับ สตาร์ทแปปเดียวด้วยนะ ไม่เคยทิ้งวอร์มเลย

ปล.ตอนนั้นเป็นแบตเก่าด้วยใช้มาจะ2ปี


หัวข้อ: Re: ปวดหัวกับรถไม่ได้ขับแต่ดันมีปัญหาอีก.........
เริ่มหัวข้อโดย: yoshio ae ที่ 14 กรกฎาคม 2011 19:49:32
    แบ่งออกมาได้ 3 ประเด็น คือ

    ประเด็นปัญหาจาก แบตเตอร์รี่เสื่อม
    ประเด็นปัญหามาจาก ไฟ+รั่วลงกราวน์
    ประเด็นปัญหามาจาก ไดชาร์จ

ขอกล่าวถึง ประเด็นปัญหาไฟรั่วลงกราวน์ก่อนนะครับ (ข้อ 2)
เมื่อเรารู้สึกว่า จอดรถทิ้งไว้ 2 วัน สตาร์ทรถไม่ติด มีเสียงเหมือนไฟอ่อน ทำให้รู้ว่า แบตฯไม่มีไฟ จึงพาให้สงสัยว่า ไฟรั่วลงกราวน์หรือเปล่า (มีความเป็นไปได้สูง จึงขอกล่าวประเด็นนี้ก่อน) เราสามารถพิสูจน์ได้จาก การหา สายไฟมา 2 เส้น กับหลอดไฟแสงสว่างขนาด 12 โวล์ทขนาดไม่เกิน 0.5 แอมป์ 1 หลอด โดย

    ถอดขั้ว - ของแบตเตอร์รี่ออก
    เอาสายไฟเส้นที่หนึ่งต่อเข้าปลาย ขั้วหลอดไฟ ปลายอีกข้างหนึ่งไปต่อเข้าสายไฟของขั้ว - ที่ถอดออกจากแบตเตอร์รี่
    เอาปลายข้างหนึ่งของสายไฟเส้นที่ 2 ไปต่อเข้าที่ตัวเสื้อของหลอดไฟ แล้วเอาปลายสายไฟอีกข้างหนึ่งต่อจี้เข้าไปที่ขั่ว - ของแบตเตอร์รี่
    ถ้าหลอดไฟมีแสงสว่างออกมา แสดงว่า มีไฟรั่วลงกราวนด์ ให้หาจุดรั่วให้เจอ โดยใช้วิธี ถอดฟิวส์ออกทีละตัว ถ้าฟิวส์ไหนถอดออกแล้ว หลอดไฟแสงสว่างดับ แสดงว่า เป็นที่ระบบไฟของฟิวส์ตัวนั้น จากนั้นค่อยไล่หาตามสายไฟครับ

    ถ้าหลอดไฟไม่มีแสงสว่าง แสดงว่า ไม่มีไฟรั่วลงกราวนด์ครับ ก็ต้องไปไล่หาประเด็นปัญหาข้อ 1 หรือ ข้อ 3 ครับ

ประเด็นปัญหาแบตเตอร์รี่เสื่อม เก็บไฟไม่อยู่ (ข้อที่ 1)
แบตเตอร์รี่ ชนิดเติมน้ำกลั่นนั้น พอมีการเติมน้ำกรดชนิด 25% ลงในแบตเตอร์รี่ที่เปิดจากกล่องใหม่ๆ แล้วชาร์จไฟเข้า ไม่เกินกว่า 25% ของขนาดประจุไฟเข้าแบตเตอร์รี่ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 12 ชั่วโมง (เช่น แบตเตอร์รี่ขนาด 100 แอมป์ ควรชาร์จไฟไม่เกิน 25 แอมป์ (ควรต่ำกว่า 25 แอมป์ครับ) ไม่น้อยกว่า 12 ชั่วโมง) พอมีการเริ่มชาร์จไฟเข้าแบตฯ แบตฯลูกนั้น ก็จะเริ่มนับถอยหลังในการเสื่อมสภาพแล้วครับ โดยมีอายุการใช้งาน นับถอยหลัง ไม่ต่ำกว่า 1 ปี (ตามระยะการรับประกัน) แต่อายุการใช้งานจริง ควรไม่ต่ำกว่า 1.5 ปี ครับ
ดังนั้น แบตฯที่มีอายุ 1 ปีไปแล้ว โอกาสที่จะเสื่อมถอยก็มีมาก ยิ่งการดูแลรักษาไม่ดีพอ เช่น ปล่อยให้ น้ำกลั่นลดลงต่ำกว่าขีดล่างสุด จนแผ่นธาตุถูกอากาศ หรือ ใช้ไดชาร์จที่เสื่อมสภาพ บ่อยๆ ทำให้ประจุไฟเข้าแบตฯไม่เต็มซักครั้ง เป็นต้น โอกาสเช่นนี้ ยิ่งเป็นการฆ่าอายุแบตฯให้ลดลงเรื่อยๆครับ
วิธีการตรวจสอบว่า แบตเตอร์รี่ เสื่อมหรือไม่ ให้ทำดังนี้ครับ

    ให้ยกแบตฯออกจาก รถ แล้วเปิดฝาที่เติมน้ำกลั่นทุกช่องไว้
    เติมน้ำกลั่นให้ถึงขีดระดับ Max
    ชาร์จไฟเข้าแบตฯ ให้ต่ำกว่า 25 % ของขนาดประจุไฟของแบตฯ นานจนกระทั่งเข็มเกจ์ตู้ชาร์จลดต่ำลงเหลือประมาณ 10 %ของระดับเข็มเกจ์ที่ชี้ขึ้นตองชาร์จใหม่ๆ
    หรือจะใช้ ไฮดรอมิเตอร์วัดความถ่วงจำเพาะของน้ำกรอในแต่ละช่องก ็ได้ครับ โดยเกจ์จะต้องลอยในน้ำกรดถึงระดับ สีเขียว หรือ ประมาณ 1.260 หรือสูงกว่า จึงจะแสดงว่า ประจุไฟเต็มแบตฯแล้ว
    หยุดชาร์จไฟ แล้วปิดฝาช่องเติมน้ำกลั่นของแบตฯทุกช่อง

    ทิ้งไว้ 2 - 3 วัน แล้วใช้ไฮดรอมิเตอร์วัดความถ่วงจำเพาะของน้ำกรดในแบต ฯทุกช่อง จะต้องได้ตัวเลขเท่าเดิม จึงจะแสดงว่า แบตฯลูกนั้น เก็บประจุไฟอยู่ครับ ถ้า ตัวเลขลดลง แสดงว่า แบตฯลูกนั้นเริ่มเสื่อมถอยแล้วครับ

ประเด็นปัญหาของไดชาร์จเสื่อมถอย (ข้อที่ 3)
การใช้ไดชาร์จรถยนต์ไปได้ระยะหนึ่ง ทั้งจากความร้อนของเครื่องยนต์ และจาก ละอองน้ำที่กระเซ็นเข้าไปโดยไดชาร์จ ไดชาร์จก็อาจจะมีโอกาสเสื่อมได้ครับ (ไม่เสีย แต่เสื่อม โดยปล่อยกระแสไฟออกมาไม่ได้เต็มที่ควรเป็น) มีวิธีทดสอบแบบชาวบ้านง่ายๆ ดังนี้ครับ

    หาโวล์ทมิเตอร์ชนิดตัวเลขมาต่อเข้ากับระบบไฟหลัก 1 ตัว
    สตาร์ทรถยนต์ เดินเครื่องในรอบเดินเบา (ตอนเครื่องร้อนแล้วนะ ครับ เครื่องเย็นอยู่ทดสอบไม่ได้ เพราะว่ารอบเดินเบาจะสูงกว่าปกติครับ) ให้ดูที่โวล์ทมิเตอร์ ว่าตัวเลขได้เท่าไหร่ (ต้อง ไม่ต่ำกว่า 12.5 โวล์ท ซึ่งจริงๆควรได้ถึง 13 โวล์ทเป็นอย่างต่ำด้วยซ้ำครับ)
    จากนั้น ให้เปิดใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าในรถทีละอย่างจนครบทุกอย่า ง เช่น เปิดแอร์ เปิดวิทยุ เปิดไฟหน้า เปิดไฟสปอร์ตไลท์ เปิดที่ปัดน้ำฝน ไล่ฝ้า เป็นต้น เรียกว่า มีไฟฟ้าอะไร ก็เปิดให้หมด แล้่วสังเกตุตัวเลขที่โวล์ทมิเตอร์ จะค่อยๆลดลง แต่อย่างไรก็ตามจะต้องไม่ต่ำกว่า 11.5 โวล์ท ถ้าต่ำกว่านี้แสดงว่า ไดชาร์จเสื่อมถอยแล้ว ต้องซ่อม หรือเปลี่ยนครับ

    จากนั้นทดลองเร่งเครื่องยนต์ขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 2000 - 2500 รอบ ตัวเลขโวล์ทมิเตอร์จะต้องขึ้น อย่างน้อยที่สุดไม่ต่ำกว่า 12.5 - 12.8 โวล์ทครับ ถ้าต่ำกว่านี้ แสดงว่า ใช้ไม่ได้ครับ


การที่ไดชาร์จเสื่อมถอย อาจจะทำให้ แบตฯประจุไฟเข้าไม่พอ โดยเฉพาะ บางท่านใช้งานเฉพาะตอนกลางคืน นอกจากประจุไฟเข้าแบตฯไม่พอ ยังอาจจะ ดึงไฟแบตฯออกมาช่วยใช้งานด้วยซ้ำไปครับ จึงอาจจะทำให้ แบตฯเสื่อมเร็วยิ่งขึ้น หรือว่า ไฟแบตฯอ่อนจนกระทั่ง สตาร์ทรถไม่ติดก็ได้ครับ

พอดีเคยเปิดเจอในเวบน่ะครับเลยเซฟเก็บไว้ น่าจะลองเช็คเบื้องต้นได้นะครับ อาจจะยาวไปนิดนึง

เป็นประโยชน์มากคับ

ขอบคุณมากคับ


หัวข้อ: Re: ปวดหัวกับรถไม่ได้ขับแต่ดันมีปัญหาอีก.........
เริ่มหัวข้อโดย: jedee ที่ 14 กรกฎาคม 2011 20:46:47
ให้ถอดขั้วแบตไว้ครับ  แบตใหม่ก็มีสิททธิกลับบ้านเก่าได้ หากเราไม่ใช้มันต่อเนื่องกัน ผมก็ใช้วิธีนี้ครับ เจ้งไปสองลูกแล้ว ซื้อมาแค่สามเดือนเหมือนกัน จนช่างเขาบอกให้เราถอดขั้วไว้ครับ เวลาไม่ได้ใช้เป็นเวลานานๆ ไม่ต้องสตาร์ท จะใช้ก็ขันขั้วเข้าไป แล้วก็สตาร์ทโลด   แสดงว่าไม่ค่อยได้ขับสามห่วง แต่มีขวัญใจคนใหม่แล้วได้ใหม่ลืมเก่า ทีนี้ลองทำกลับกันดู เอาหวานใจที่ใช้ประจำจอดแบบน้องสามห่วงมั่ง แล้วใช้แต่สามห่วงดู ปัญหาเดียวกันมันก็จะเกิดกับหวานใจคันใหม่เหมือนกันครับ แต่ถ้าคุณถอดขั้วแบตไว้ จอดสังสองอาทิตย์มาสตาร์ทก็โอครับ ลองดู ๆ มันเป็นธรรมชาติของแบตที่ใช้น้ำกรดกะตะกั่วครับ


หัวข้อ: Re: ปวดหัวกับรถไม่ได้ขับแต่ดันมีปัญหาอีก.........
เริ่มหัวข้อโดย: MR_C_ รักในหลวง ที่ 14 กรกฎาคม 2011 23:49:27
 :emo2 :emotn


หัวข้อ: Re: ปวดหัวกับรถไม่ได้ขับแต่ดันมีปัญหาอีก.........
เริ่มหัวข้อโดย: osk100 ที่ 15 กรกฎาคม 2011 00:05:13
ติดเครื่องวอมอย่างเดียวผมว่าไม่พอ ชาร์ไฟไม่เต็มเเน่ครับ
รถจอดอยู่ก็ยังมีไฟมาเลี้ยงวิทยุ เพาเวอร์เเอมป์ เเละระบบกันขโมย
ถ้าเป็นเเบตใหม่ๆทิ้งไว้ 15 วัน ก็ยัง START ติด
เเต่ถ้าเป็นเเบตเก่า ไม่เกิน 3 -7 วัน เเบตก็หมดเเล้ว ครับ
หรือต้องถอดขั่วเเบตออก  ก็ต้องมานั้งตั้งmemory ของวิทยุใหม่
อีกอย่างถ้าจอดรถไว้นานควรเติมลมให้มากกว่าปกติด้วย
เหมือนรถผมสมัยก่อนก็ทำเเบบนั้น
ผลคือท่อเสียผุทั้งเส้นรวมทั้งท่อพักปลายด้วย
เพราะไอน้ำที่ออกมาจากเครื่องมันไม่ร้อนพอที่จะระเหยออกไปได้
หลังๆผมเลยต้องเอาออกมาวิ่ง
ก็พยายามใช้งาน วิ่งให้ได้ทุกๆ 3 - 4 วันต่อครั้ง ครับ


หัวข้อ: Re: ปวดหัวกับรถไม่ได้ขับแต่ดันมีปัญหาอีก.........
เริ่มหัวข้อโดย: ปล่อยวาง... ที่ 15 กรกฎาคม 2011 00:55:02
 :emo2


หัวข้อ: Re: ปวดหัวกับรถไม่ได้ขับแต่ดันมีปัญหาอีก.........
เริ่มหัวข้อโดย: ¥¥ BALL ¥¥ ที่ 15 กรกฎาคม 2011 02:14:09
ผมก็เคยเป็นครับรถใช้น้อยมากอาทิตย์นึงแทบจะไม่ได้ใช้เลยแต่ก็พยายามเอาออกมาขับบ้าง
อาศัยมาสตราทรถพอให้เครื่องร้อนก็ดับเครื่องบางทีผมก็ว่ามันมันไม่เพรียงพอต่อการชาร์ตไฟ
จนวันนึงรถผมก็มีอาการเหมือนเจ้าของกระทู้เลยสตาร์ทไม่ติดเหมือนไฟมันเข้ามาอ่อนมากๆจนเสียงเงียบหายไป
เลยยกแบตออกไปให้ร้านชาร์ตก็อยู่ได้แค่2วันก็เป็นอีกตอนแรกนึกว่าแบตเสื่อมเพราะใช้มาจะ2ปีแล้วเอาไปให้ร้านไดนาโมเช็คสรุปเป็นที่ไดชาร์ตเสียครับ
เปลี่ยนไดลูกใหม่หายเลย
ปัจจุบันนี้ก็ไม่ค่อยได้ใช้ครับแต่เปลี่ยนจากสตาร์ทเฉยๆมาเป็นขับออกไปกินลมบ้างซัก7-8โล
กลัวยางเสียด้วยจอดกับที่นานๆ
ผมว่าอาจจะเป็นที่ไดชาร์ตก็ได้นะครับลองให้ร้านไดนาโมเช็คดีกว่าครับ



หัวข้อ: Re: ปวดหัวกับรถไม่ได้ขับแต่ดันมีปัญหาอีก.........
เริ่มหัวข้อโดย: EAK400CLUB.Cz ที่ 15 กรกฎาคม 2011 03:23:45
แนทของพี่ที่อาการเดียวกะแนท กรณีของพี่นะน่าจะเกิดจากสายพานชุดที่ปั่นไดชาร์จมันหย่อนเกินอ่ะตั้งยังงัยก็หย่อน ตอนนี้เปลี่ยนเส้นใหม่แล้วหายละอาการแบตหมดอ่ะ


หัวข้อ: Re: ปวดหัวกับรถไม่ได้ขับแต่ดันมีปัญหาอีก.........
เริ่มหัวข้อโดย: อู๋ อยุธยา ที่ 15 กรกฎาคม 2011 10:16:42
เอา AE ออกไปเที่ยวทุกคืน รถทำงานใช้กลางวัน

อาการดังกล่าวหายแน่นอน


หัวข้อ: Re: ปวดหัวกับรถไม่ได้ขับแต่ดันมีปัญหาอีก.........
เริ่มหัวข้อโดย: JO_Zest ที่ 15 กรกฎาคม 2011 11:11:35
เอา AE ออกไปเที่ยวทุกคืน รถทำงานใช้กลางวัน

อาการดังกล่าวหายแน่นอน

+1


หัวข้อ: Re: ปวดหัวกับรถไม่ได้ขับแต่ดันมีปัญหาอีก.........
เริ่มหัวข้อโดย: fogafoga ที่ 15 กรกฎาคม 2011 12:48:15
รถผมใช้งานทุกวัน เช็คน้ำกลันทุกอาทิตย์ เตยจอด 5-7วัน สตาร์ทชึ่งเดียวติดตลอด วันนี้สตาร์ทดังแก๊กๆๆๆๆ เอารถอีกคันมาจ้ำแบตฯ ก็ไม่ติด ไปตามช่าง ช่างเอาแบตฯกับสายจ้ำมา ทีเดียวติด ช่างบอกแบตฯเสื่อมปี51 จัดไป 3K 45แอมป์ 1700บาทรวมเทิร์น :emoa :emoa


หัวข้อ: Re: ปวดหัวกับรถไม่ได้ขับแต่ดันมีปัญหาอีก.........
เริ่มหัวข้อโดย: yoshio ae ที่ 15 กรกฎาคม 2011 13:25:05
ให้ถอดขั้วแบตไว้ครับ  แบตใหม่ก็มีสิททธิกลับบ้านเก่าได้ หากเราไม่ใช้มันต่อเนื่องกัน ผมก็ใช้วิธีนี้ครับ เจ้งไปสองลูกแล้ว ซื้อมาแค่สามเดือนเหมือนกัน จนช่างเขาบอกให้เราถอดขั้วไว้ครับ เวลาไม่ได้ใช้เป็นเวลานานๆ ไม่ต้องสตาร์ท จะใช้ก็ขันขั้วเข้าไป แล้วก็สตาร์ทโลด   แสดงว่าไม่ค่อยได้ขับสามห่วง แต่มีขวัญใจคนใหม่แล้วได้ใหม่ลืมเก่า ทีนี้ลองทำกลับกันดู เอาหวานใจที่ใช้ประจำจอดแบบน้องสามห่วงมั่ง แล้วใช้แต่สามห่วงดู ปัญหาเดียวกันมันก็จะเกิดกับหวานใจคันใหม่เหมือนกันครับ แต่ถ้าคุณถอดขั้วแบตไว้ จอดสังสองอาทิตย์มาสตาร์ทก็โอครับ ลองดู ๆ มันเป็นธรรมชาติของแบตที่ใช้น้ำกรดกะตะกั่วครับ

ซื้อคันใหม่มือ2 มาคับน้องวีออส เพราะคันเก่าเติมน้ำมันกับบำรุงรักษาไม่ไหว

เจอโล่งซัดประจำ ต้องขับไปเยี่ยมลูกค้าทุกวัน มันก็คงสึกหรอไปตามการใช้งาน

ขับแล้วมันรู้สึกเหนื่อยๆ ช่วงล่างกระด้างมาก เบาะหลังแข็ง ครัชเย่อปวดขา  เลยหันมาใช้เจ้าคันใหม่ เพื่อช่วยเซ็ฟๆ หน่อยคับ

เอา AE ออกไปเที่ยวทุกคืน รถทำงานใช้กลางวัน

อาการดังกล่าวหายแน่นอน

ตั้งแต่ได้รถอีกคันมาผมแทบไม่เคยเอา ae กลับบ้านเลย จะเอากลับไป ในรอบเดือนครึ่ง ก็แค่ 2 วันเองคับ วันที่เค้าไปบินไม่กลับ

พ่อผมเค้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมยังไม่ได้ขายคันเก่าไป เค้าคงนึกว่าเอาไปเทรินมา ถ้ารู้หล่ะก็ โดนโบกกระบาลแน่ๆคับ

บ้านผมค่อนข้างเข้มงวด เค้าไม่ชอบให้ทำอะไรเกินความจำเป็น เพราะถ้าเค้าถามผมว่า ทำไมต้องมีรถ 2 คัน

ผมคงให้เหตุผลที่น่าฟังต่อ พ่อไม่ได้ เลยตัดปัญหาไม่อยากให้เค้าไม่สบายใจ

เลยเอาจอดไว้ที่ทำงานเลย แล้วสลับใช้ในวันที่อยากบู๊ๆหน่อยคับ

ที่ไหนได้ภาระคูณ2 จากเดิม ค่าประกัน ปีนึงก็คันละหมื่นกว่าบาท แทบร่วงแล้วคับ

คันใหม่ก็เอามาแต่งอีก เมื่อเช้าแม่ให้ไปส่งโรงพยาบาล แม่บอกว่า ทำไมเอารถไปแต่งอีกแล้ว

ไม่เข็ดหรอ...กับคันเก่า  แต่แม่ผมเค้ายังเข้าใจ ว่าผมชอบอ่ะไร ดีกว่าเอาเงินไปสำเลเทเมา แม่เค้าขอไว้เรื่อง เหล้า บุหรี่ว่าอย่า...

แต่แม่ก็เตือนๆว่า ซื้อของแต่งรถเบาๆหน่อยนะลูก มันรกบ้าน.......haha

พ่อ แม่เค้า เป็นห่วงผมหล่ะคับ แม่เค้าเคยเล่าให้ฟังว่าสมัยพ่อผมวัยรุ่น เรื่องรถ นี่ไม่ธรรมดาเหมือนกัน

จนเกือบตาย ขับรถเร็วตกคูน้ำ แต่รอดมาได้เค้าเลยไม่อยากให้ผมแต่งรถ ขับรถเร็วๆ แต่พ่อเองเค้าไม่เคยพูดอ่ะ

แต่ผมนี่เด็กดื้อจริงๆ....อิ อิ  แต่ซักพักนึงผมคิดได้ คงมีอะไร คลีคลาย..........เงิกๆ


หัวข้อ: Re: ปวดหัวกับรถไม่ได้ขับแต่ดันมีปัญหาอีก.........
เริ่มหัวข้อโดย: 7MGTE ที่ 15 กรกฎาคม 2011 15:01:43
ปวดหัวกับรถไม่ได้ขับแต่ดันมีปัญหาอีก.........(แบทเปลี่ยนใหม่ไม่ถึง 3 เดือน)

ตั้งแต่ต้นเดือนที่แล้ว ae ไม่ค่อยจะได้ขับ แต่ติดเครื่องวอร์มทุกวัน

หลังจากนั้นเป็นเวลา 2 อาทิตย์  รถก็เงียบกริบ แบทหมด จนต้องถอดออกไปชาร์ทใหม่ 1วันเต็มๆ

ก็เอามาใส่ใช้งานได้ปกติ เลยมีข้อสงสัย ถามเจ้าของร้านไป ว่าเพราะอะไรทั้งๆที่วอร์มเครื่องทุกวัน

ได้คำตอบมาว่ามันไม่พอ ต้องเอาไปขับบ้างให้รอบมันได้ และไดร์ชาร์ททำงาน ชาร์ทไฟเข้าแบท

หลังจากนั้น ก็ ติดเครื่อง แล้วเร่งค้างไว้ที่ 3 พันรอบ นานพอสมควร แล้วเดินเบาจนอุณหภูมิใช้งานตลอดทุกวัน

และมีเอาออกไปขับบ้าง 6 วันก่อน ประมาณ 70 กิโล  และติดเครื่องวอร์มทุกวัน  แต่เมื่อวานก็ยังติดเครื่องได้ปกติ ดูเหมือนว่าทุกอย่าง จะเข้าที่ล่ะ

แต่พอเมื่อกี้นี้ลองติดเครื่องเงียบกริบ แบ็ทหมดเกลี้ยงเลย.....หลับมาสู่ปัญหาเก่าๆ

เลยอยากจะถามว่าถ้ารถไม่ได้ใช้ มีวิธีรักษาอย่างไรบ้าง รถถึงจะไม่มีปัญหาเรื่องไฟหมด (ไดร์ชาร์ทในรถไม่ได้มีปัญหาใดๆนะคับ)

หรือมันเกิดมาจากสาเหตุใดได้บ้าง  ปวดหัวมากถึงมากที่สุด

วันนี้ว่าจะขับกลับบ้าน สงสารมันเอาออกไปใช้หน่อย ดันมามีปัญหาซะได้....เซ็งเป็ด

ขอคำแนะนำทีคับ :emotn
ถอดขั้ว ลบ ออกเลยคับ ถ้าไม่ค่อยได้ใช้ ถ้าเสียบกลับมาใหม่แล้วยังเป้นอีก ก็แบตไม่ดีแล้วนะคับ