พีดีพี การยางครับ เลยหมู่บ้าน พุทธธานีไปนิดนึง

เปลี่ยนแผ่นรองเม้า ดูหรือยัง ?

ประเด็นอยู่ที่น้ำมัน มันด้วยเลยครับ

ชิ้นส่วนภายในก็ เกินคำว่า ไททาเนียม เบาหวิว ทนแรงกระแทกได้เย๊อะ

STEP 2 จ้า ตามนั้นเลย

เทอร์โบดีกว่าครับ ถ้าจะติดคงต้องหาตำแหน่งวางซุป

หัวฉีดใหญ่กว่าเดิม (ต้องเผื่อเลย) เฮดใหม่ ท่อใหม่ ใหญ่ขึ้นนิสๆ เพราะมันมีแรงอัดอากาศเพิ่ม

แล้วก็ต้องมีกล่องคุมแน่นอน

ปล. เทอร์โบก็เช่นกันครับ

1.0 Turbo จ้า เห็นดูมาแว๊บๆ ม้าอยู่ 120 บิดอยู่ 170 NM แต่ยังไม่รู้ว่า รอบที่เท่าไหร่บ้าง

แต่มีแววว่า แรงบิดจากเทอร์โบ จะนอนยาว มีให้ใช้ตั้งแต่รอบต่ำแน่นอนเ้ลย

ถ้าถอดไม่ออกจากแกน แนะนำให้เอาพวงมาลัย ใส่กลับเข้าไป ขันพวงมาลัยให้แน่น

แล้วทุบพวงมาลัย สลับกันทางฝั่งซ้ายและขวา (พวงมาลัยใครดีไม่ดี วัดกันตรงนี้ เสี่ยงหักเหมือนกัน)

ทุบให้มันคลอน ให้มันสั่นแล้วค่อยดึงๆ จังหวะประมาณ ทุบ ทุบ ทุบ ทุบ ดึง แล้วก็ ทุบ ทุบ ทุบ ทุบ ดึง ประมาณนี้ครับ

4 สายแปลงดีกว่าครับ ราคาถูกกว่า แล้วก็มาจากเครื่องใหม่กว่าด้วย แค่ไฟ Engine จะขึ้น แต่ไม่ต้องตกใจครับ ถ้าสงสัยอยากเช๊ค Code

ก็ข้าม Code ถ้าจำไม่ผิด มันคือสัญญาณความเร็วรอบ 12 หรือ 14 นี่แหละครับ

เอิ่ม จะว่าไป แค่ตัว 2.5G (ยังไม่ใช่ตัว Hybrid) Jazz L15A โมไส้เต็ม ยังขึ้นยากเลยครับ ขนาดแจ๊สตัวเบานะ (ดูที่อักษะ)

แล้วก็คืนนั้นพอดี เจอ New Camry Hybrid มาเล่นด้วย (จริงๆไม่ได้เล่น แค่เค้าจะกลับบ้าน) กดกันตั้งแต่ต้นอักษะ (สาย 3)

จนถึงสุดทางอักษะ สาย4 Camry Hybrid ลากได้ยาวยั้นครึ่งถนน (ถึงสะพานตรงกลาง) ฉีกนำมาเลย หลังจากนั้นก็ค่อยๆ โดน Jazz และ

ตัวเครื่อง 2.5 สวนทีหลัง ผลสุดท้าย Camry 2.5G ก็ถึงก่อนครับ เพราะงั้นถ้าเล่นกับเจ้ารถซุ่ม นี่รถซิ่งน่าจะยากอยู่ ต้องทำให้แบตมันหมดก่อน

ถึงจะงัดมันได้ (อิอิ)

คาดว่าน่าจะเท่ากัน เพราะต่างกันที่ขนาดลูกสูบครับ

ใส่ได้ครับ แต่แค่ Exedy กล่องเงินที่มีขายทั่วไป ราคาไม่เกิน 2600 บาท แค่นั้นก็เหลือๆแล้วครับ

มีน้าๆท่านที่เคตยใช้บอกเลยว่า ห้อยเกียร์ 3 แน่นอน ขนาดไปอยู่ในเครื่องซุบ เครื่องโบยังห้อยเลย แล้ว NA จะเหลืออะไร 555

ส่วนถ้าทำไว้เล่น Gym เกียร์น่าจะพอนะครับ ลากจนสุดเกียร์ 1 ก็ยังพอไหว แต่ถ้าไม่สะใจ หรือกลัวแถ ก็หาหาเกียร์ของฝาดำ

มาเล่นก็ได้ครับ

ตามที่น้ากำพลว่าเลยครับ แค่หัวฉีด 1JZ-GE VVTi (1เจ วีวี ไม่โบ) ก็พอแล้วครับ แค่นั้นก็ท่วมแล้ว

ติ๊กเจโบถูกต้องครับ (ขอเป็นลูกเล็ก ตัวจะออกสีเขียวทหาร ตูดดำ)

ส่วนเรื่องหัวเทียน กับสายไม่ต้องครับ แต่ถ้าเล่น หัวฉีดใหญ่ แนะนำว่าต้องมีกล่องจูนครับ

ไม่งั้นมันจะสิ้นเปลือง และไม่ได้ประสิทธิภาพเต็มที่

ถ้าหาจานจ่าน 6 สายไม่ได้ ก็แปลงเอา 4 สาย ลงจิครับน้า (รถผมก็แปลงเอา 4 สายลง)

แต่มันต้องมาไล่สายไฟที่เข้าจานจ่ายใหม่ มันจะเหลืออยู่ 2 สายที่ไม่ต้องเข้าจานจ่าย (จำไม่ได้ว่าสีอะไรนะครับ)

แต่วิธีไล่สายก็ ดูปลั๊กจากกล่อง (สายไฟที่ Wiring มาที่จานจ่าย) ดูสีมันไว้ แล้วมาดูจานจ่าย 4 สาย

จัดการใส่แทนให้ตรงรูเดียวกัน ก็วิ่งได้ปกติเลยครับ แต่มีข้อเสียก็ ไฟ Engine ขึ้น ถ้าเวลาจะเช๊ค Code

แล้วขึ้น 12 (ถ้าจำไม่ผิด) เป็นสัญญาณความเร็วรอบครับ แต่รอบเครื่องก็ขึ้นปกติไม่มีปัญหาครับ

ส่วนเรื่อง ถ้าอยากได้ไฟแรง มีอยู่ 2 วิธีที่เห็นเค้านิยมทำกันคือ
-คอยด์ Rotary (จากเครื่อง Mazda) พวกนี้คอยด์ผลิตไฟได้เย๊อะ กว่าคอยด์เดิมๆรถทั่วไปแน่ เพราะ 1 รอบการหมุนของเครื่องโร
มันจุดถึง 3 รอบ แล้วมันปั่นไปนู่นนนนนนน 8000 รอบ เพราะงั้นเอามาใส่รถอย่างเราๆ ต้องบอกว่าไฟเหลือ
(แต่น้ำมันจะบางนะ เพราะมันจุดแรงมาก ต้องหาวิธีเพิ่มเชื้อเพลิงเข้าไปด้วยครับ) ส่วนสายหัวเทียน ก็มาเลือกเอาว่าจะใช้อะไร ตามใจชอบเลยครับ)
-Direct Coil ดีจริงมั๊ย ต้องตอบว่าดีครับ เพราะพวกจานจ่าย ต่อให้มีคอยด์แรงดันสูง แต่สุดท้าย เส้นทางก่อนไปถึงหัวเทียนมันก็ช่างยาวไกล
ไฟแรงดันสูง มีระยะการเคลื่อนที่ ที่ไกล (แค่จากจานจ่ายก็ถือว่าไกลแล้วครับ สำหรับไฟฟ้าแรงดันสูง) อาจเกินการไฟโดดข้ามเส้นได้ ถ้าสายหัวเทียนฉนวนไม่ดี
หรืออาจเดินไม่สะดวก (เพราะสายหัวเทียนอาจเสื่อม ค่า Ohm ก็จะมากขึ้น มันก็ต้านการไหล)

แต่ Direct Coil มันลากสายไฟมาจากกล่องควบคุมปุ๊ป เป็นไฟแรงดันต่ำ 12V ประมาณนั้น แล้วค่อยมาสร้างแรงดันไฟฟ้าที่สูง โค ตะ ระ ที่คอยด์เหนือหัวเทียน
แล้วระยะทาง เดินทางใกล้มาก ลงถึงหัวเทียนได้ทุกเม็ด เต็มหน่วยแน่นอน แต่ !!

Direct Coil มันมี Body เป็นพลาสติก แล้วมันไปอยู่ซะส่วนที่สูงสุดที่ของเครื่อง (ถ้าไม่รวมฝากระโปรงนะ) ความร้อนย่อมลอยขึ้นที่สูง
แล้วถามว่าความร้อนจากไหนบ้างล่ะ ท่อไอเสียงิ (ไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่ครับ แค่แตะมือยังไม่ได้ ฝาครอบวาล์วยังพอแตะได้บ้างนะ)
แน่นอนแหละครับ ความร้อนที่สูง ก็อาจทำให้ภายในของ Direct Coil ละลาย (เสื่อมไปตามสภาพ)

แต่ก็มีวิธีอีกนะครับ เคยเห็นรถที่ใช้ Direct Coil นี่แหละ แต่เค้าย้าย Coil ออกไปให้ห่างบนฝาครอบวาล์ว เพื่อหลีกเลี่ยงความร้อน
แล้วใช้ สายหัวเทียน เป็นสะพานทอดเชื่อมมาอีกทีนึง มองอีกแง่ก็เป็นการถนอม Coil ให้ใช้ได้นาน (แต่วัตถุดิบมันก็ออกจะเย๊อะไปนิด
ไหนจะ Direct Coil, สายหัวเทียน, ขายึดนู่นนี่เพียบ !!) แต่ที่เค้าทำเพราะรถคันนี้ เป็นรถรุ่นใหม่ที่ใช้ระบบจุดระเบิดแบบ Direct Coil
เค้าจึงไม่สามารถมาดัดแปลงอย่างพวกเรา ชาวจานจ่ายได้ ^__^

ประมาณนี้อ่ะครับ

กินน้ำมันเย๊อะ ก็หลายสาเหตุครับ ไล่แก้จาก ไม่เสียตังค์ไปจนถึง กระเป๋าฉีกได้เลยครับ

-กรองอากาศ = ใช้แบบไหน แบบแผ่นหรือกรองเปลือย ถ้าแบบแผ่นจากโรงงาน (กรองกระดาษ) ก็เอามาเป่าฝุ่นบ้างครับ
                   เป่าได้มาก ตามที่ใจปรารถนาเลย แต่ถ้าเป็นกรองเปลือย คาดว่าเป็นสาเหตุหนึ่งในการกินน้ำมัน
-หัวเทียน = เปลี่ยนครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ ใช้แบบไหน ธรรมดา > Platinum > Iridium แต่หัวเทียนที่วัสดุแตกต่างกัน
              ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้รถแรงมากกว่าเดิมเท่าไหร่ มันสำคัญที่ว่า หัวเทียนสภาพเป็นอย่างไร
              เขม่าเกาะ น้ำมันเยิ้ม แกนคุด แล้วหรือยัง ^__^
-ท่อไอเสีย = เดิมหรือว่า เดินใหม่ ถ้าเดินใหม่ ใหญ่กว่าเดิมมาก จะวิ่งไม่ออก และกินน้ำมันมากขึ้นด้วย
-สายหัวเทียน = ระบบไฟจุดระเบิด เดินดีหรือไม่ ถ้าไฟเดินไม่ดี จุดระเบิดได้ยาก ก็ทำให้กินน้ำมันมาก
-ระบบไฟอื่นๆ ทั้งในห้องเครื่องและภายในรถ = ไฟเดินไม่ดี ใช้งานมานาน อาจมีการเสื่อมบ้าง ต้องไล่เช๊คครับ
-อุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการวัดค่า มีอะไรเสียหรือเริ่มเสื่อมหรือเปล่า เช่นพวก O2 Sensor ถ้าเริ่มเสื่อมอาจจะอ่านค่าผิดพลาด
 เป็นเหตุให้กินน้ำมันมากขึ้นอีกได้
-เชื้อเพลิง + ไฟจุดระเบิด = องศาไฟจุดระเบิด ถ้าไม่เหมาะกับเชื้อเพลิงก็ทำให้สิ้นเปลืองมากกว่าเดิมแน่นอนครับผม

ประมาณนี้อ่ะครับ ลองไล่ดูก่อน

กรองอีกเสียงครับ กับอีกประเด็นคือ เปลี่ยนน้ำมันเครื่องไม่ค่อยตรงเวลา ปล่อยมันเลยไปเย๊อะ จนเศษผงมันไปตันกรอง ทำให้เดินไม่สะดวก ก็เป็นได้เหมือนกันครับ

ตกใจ เสียงเขย่าลั่นเยย รอดไปแค่ปั๊มน้ำ แต่ของผมนี่มีเสียงเหมือน Supercharge แต่ไม่ใช่

เป็นพูลเล่ย์ ปั๊มพาวเวอร์ 555 เล่นเอาช่างช๊อคไปตอนประกอบเครื่องเลย ว่าเฮ้ยอะไรมันดังวะ เปลี่ยนใหม่ทั้งหมดแล้ว

ค่าเจียเท่าไหร่อ่ะครับ ผมตอนไปเปลี่ยนผ้าครัช กับหวี ช่างก็ไม่ยอมเจีย Flywheel ให้อ่ะ

ที่ดูราคา ของผมเสียไป 200 บาทครับ เพราะทำพร้อมกับตอน Overhaul เลยฝากเค้าเอาไปทำ

พี่เจ ครับ ความรู้สึก flywheel  นี่เป็นยังไงครับ พอจะอธิบายได้ไหมครับ

เรียกซะพี่เยย ผมน้องคับ ก็จากความรู้สึก (ผมเปลี่ยนช่วงล่างทั้งหมดแล้ว ณ ตอนนั้น รวมไปถึงยางแท่นเครื่องด้วย)

เวลาออกตัว แบบไม่เร่งเครื่องคือค่อยๆ ปล่อยคลัช รอบจะตกลงเล็กน้อย แต่ว่าจะไม่สั่นมาก (ลองหารถคันที่ปกติดูครับ หรือคลัชรถใหม่ก็ได้)

อาการกระตุก เพราะเครื่องรอบต่ำ กับ Flywheel มันต่างกันนิสหน่อย อาการ Flywheel ของผมคือมันจะสั่นมาก

ต่อมา ช่วงระยะต่อระหว่างเกียร์ ปกติผมชอบเปลี่ยนเกียร์รอบต่ำๆ เช่น 2500 ก็เปลี่ยนเลยไหลๆ ไป ช่วงระยะต่อพอปล่อยคลัช

มันมีอาการกระตุก (ซึ่งตอนนี้ไม่เป็นแล้ว เพราะเจียร Flywheel และเปลี่ยนคลัชใหม่)

อาการ Flywheel ของรถผมเกิดจากตอนนั้น น้ำท่วมขับลุยน้ำเข้าบ้าน แล้วจอดเลย (เพราะไม่มีที่ให้วิ่ง ไล่ความชื้น)

ทิ้งไว้ 3 วันกลับมา เข้าเกียร์ไม่ได้ ดันอยู่อย่างแรง สุดท้ายเข้าได้ แล้วก็ไปลุยน้ำอีก ทีนี้น้ำน่าจะเข้าไปแทรกระหว่างคลัชด้วย

เพราะเหยียบยังไงความเร็วก็ไม่ไป รอบขึ้นอย่างเดียว ซักพักหลังจากนั้น รู้สึกถึงการสั่นเลยครับ

ที่เป็นยาง List ก็มีประมาณนี้น้าได้บอกมาแล้วครับ ถ้าเอาโดยละเอียด (แต่อาจจะไม่สุด เพราะรู้แค่นี้)

*ลูกหมากต่าง
-ลูกหมากปีกนกล่าง (มีแค่ล่างอย่างเดียว)
-ลูกหมากคันชักนอก
-ลูกหมากแร๊ค / คันชักใน / ไม้ตีกลอง อะไรก็ว่าไปครับ ^__^
-ลูกหมากกันโคลง (มีทั้งหน้าและหลังนะครับ)
*บู๊ชต่างๆ (ไม่ใช่ลูกหมากนะ)
-บู๊ชปีกนก
-บู๊ชกันโคลง (อยู่ระหว่างกลางตัวถัง ยึดกันโคลงไว้)
-เบ้าโช๊ค
-ยางรองสปริงบนโช๊คอัพ
-ยางรัดแร๊ค (รัดเสื้อแร๊ค)
-บู๊ชอาร์มหลัง
-ยางแท่นเครื่อง ทั้ง 4 ตัว ซ้าย ขวา หน้า หลัง

ประมาณนี้อ่าคับ ^__^