เนื่องจากวันนี้ผมรถขับกลับจากบ้านจะมาหอพักที่รังสิต ขับมาจนถึงช่วงภูเขาก่อนถึงแยกพุแคเวลาประมานสองทุ่มครึ่งมีรถผมวิ่งมาคันเดียว
ผมได้สังเกตเห็นว่ามีรถมอเตอร์ไซด์วิ่งชิดขวามาจากอีกเลนนึง ไฟหน้าไม่เปิด หลังจากผมเห็นรถมอไซด์ประมาน30วินาที
ผมก็เห็นก้อนหินขนาดเท่าลูกปิงปอง ลอยเข้ามาหาจะจกหน้ารถ ผมก็เลยเอี้ยวตัวหลบ หลังจากนั้นก็ ปุ้ง.. กระจกหน้าแตกไปแล้ว ผมก็ประคองขับมาจนถึงป้อมตำรวจทางหลวง
จอดรถลงไปบอกตำรวจว่ารถผมโดนปาหิน ตำรวจทางหลวงบอกเดี๋ยววิทยุบอกตำรวจภูธรให้ ระหว่างนี้ผมโทรบอกพ่อผมและโทรบอกพี่สตางค์ที่อยู่สระบุรี(คนในคลับAEเรา) ว่ารถผมโดนปาหิน
พอร้อยเวรมาถึงเค้าก็พูดเบี่ยงประเด็นทำเป็นว่าหินกระเด็นมาจากรถคันอื่นให้มันเป็นเหมือนอุบัติเหตุไป ผมก็เลยเถียงไปว่ารถผมวิ่งมาคันเดียว ก้อนหินมันจะกระเด็นมาจากไหนล่ะครับ
เถียงๆกันอยู่พักใหญ่ ระหว่างนั้นพี่สตางค์มาถึงพอดีก็เถียงๆกันต่อไป ตำรวจก็มีทีท่าเหมือนเดิม เหมือนไม่อยากจะตามคดีให้จะโยงไปเรื่องอุบัติเหตุอย่างเดียว
จนพ่อผมมาถึงและเราไปลงบันทึกประจำวันกันที่สถานีตำรวจ คุยกันไปคุยกันมาร้อยเวรคนนั้นก็หลุดคำพูดออกมาคำนึงว่า"เรื่องปาหินมันเรื่องใหญ่นะครับ ถ้าเป็นการปาหินจริงๆออกข่าวนี่พวกผม
ต้องทำงานหนักเป็นสองเท่าเลยนะครับ แล้วแถวนี้ก็ไม่มีเด็กแว๊นไม่มียาเสพติดหรอกครับ ผู้กำกับท่านสั่งปราบปรามหมดแล้ว(ผมนึกในใจ แถวนี้ล่ะตัวดีเลย)ในเมื่อคนไม่เป็นไรเอาเป็นว่าลงบันทึก
ไว้เป็นหลักฐานก็พอนะครับ ผมก็เลยบอกว่าต้องรอให้คนตายก่อนใช่ไหมครับ ถึงจะตามเรื่องได้อ่ะ ร้อยเวรคนนั้นก็เลยนิ่งไป ผมกับพ่อก็เลยยอมๆให้เค้าลงบันทึกไปอย่างนั้น เพราะไม่อยากจะเถียง
พี่น้องaeท่านใดใช้เส้นทางนี้ก็ระวังๆหน่อยนะครับ
ปล.พี่สตางค์เอารูปมาลงให้ทุกคนดูหน่อยนะครับผมไม่ได้ถ่ายไว้เลย
เมือ คืนนี้ ผมก็ ขับ จาก เพชรบูรณ์ มากรุงเทพ ก็ใช้ สายนี้ ออกมาก็ เกือบ ตี หนึ่ง ถึงก็ เกือบ ตีสี่ แล้ว ว่า แล้วตำรวจทางหลาง ตรงสระบุรี มีมากจัง