AE. Racing Club
18 พฤศจิกายน 2024 17:49:18 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: รู้ไหม ซี้อรถ 1 คันต้องจ่ายภาษีเท่าไหร่?  (อ่าน 4318 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
BirdZ_ZestUp
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4,066


SR20DET!!


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2008 06:20:15 »

เคยสงสัยกันบ้างไหมว่า รถยนต์ที่เราซื้อไปแต่ละคันนั้น เราได้จ่ายภาษีต่างๆ ที่รวมอยู่ในราคารถยนต์นั้นเป็นจำนวนเท่าไร คราวนี้เรามีข้อมูลการเก็บภาษีของภาครัฐที่จัดเก็บจากสินค้าประเภทรถยนต์(เฉพาะรถยนต์นั่งส่วนบุคคล)มานำเสนอ ซึ่งเมื่อดูแล้วจะทราบถึงสาเหตุที่เราต้องซื้อรถยนต์ที่ราคาสูงกว่าประเทศอื่นเขา

โครงสร้างการคิดภาษีรถยนต์ในประเทศไทยจะแบ่งออกเป็น 2 กรณี ดังนี้

เฟอรารี่ 612 สคาเลียตติ ในเมืองไทยราคาประมาณ 28 ล้านบาท ขณะที่ในอังกฤษราคาประมาณ 10 ล้านบาท

กรณีที่ 1 รถนำเข้าสำเร็จรูปจากต่างประเทศ

      การคิดภาษีสำหรับรถนำเข้านั้น จะคิดจากราคา CIF (Cost + Insurance + Freight) ซึ่งก็คือ ราคาขายของรถ บวกด้วยค่าอากร ค่าประกันภัย และค่าขนส่งจากต่างประเทศ มาถึงที่ท่าเรื่อที่ประเทศไทย ราคา CIF นี้จะถูกระบุไว้ในเอกสารการนำเข้า ในที่นี้สมมติให้ราคา CIF เท่ากับ 100 บาท ภาษีที่ต้องจ่ายจะประกอบไปด้วย
       
       1. อากรขาเข้า ภาษีแรกที่ผู้นำเข้าต้องจ่าย ณ ท่าเรือก่อนนำรถออกจากท่าเรือเข้ามาในประเทศในอัตรา 80% ของราคา CIF ซึ่งเท่ากับ 80 บาท
       
       2. ภาษีสรรพสามิต ซึ่งกรมศุลกากรจะทำการเก็บภาษีนี้ พร้อมกับอากรขาเข้า ภาษีสรรพสามิตนี้จะถูกเก็บในอัตราต่างกันตั้งแต่ 30-50% ขึ้นอยู่กับความจุกระบอกสูบ หรือขนาดเครื่องยนต์ (ดูตารางการคำนวณภาษีประกอบ) เช่น รถยนต์ขนาดไม่เกิน 2000 ซีซี ที่ถูกจัดเก็บในอัตรา 30%ของราคา CIF รวมกับภาษีอากรขาเข้า โดยใช้สูตรการคำนวณการจัดเก็บที่เรียกว่า ?ฝังใน? คือ
       = {(100+80)x30%}
           1 ? (1.1x30%)
       
       3. ภาษีมหาดไทย ชื่อภาษีมีที่มาจากภาษีที่เก็บได้นี้ถูกนำไปบริหารประเทศโดยกระทรวงมหาดไทย ซึ่งภาษีมหาดไทยจะคิดที่อัตรา 10% ของภาษีสรรพสามิต เพื่อส่งให้กระทรวงมหาดไทย
       
       4. ภาษีมูลค่าเพิ่ม ในอัตรา 7% ของราคา CIF + อากรขาเข้า + ภาษีสรรพสามิต + ภาษีมหาดไทย
       
       ซึ่งเมื่อรวมภาษีทั้ง 4 ชนิดเข้าด้วยกันแล้ว จากราคารถสมมุติที่ 100 บาทจะกลายเป็น 287.5-428.0 บาท(ขึ้นอยู่กับความจุกระบอกสูบ) ซึ่งมูลค่าดังกล่าวนี้ยังไม่รวมอัตรากำไร และค่าดำเนินการอื่นๆ ของบริษัทผู้จำหน่าย ฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เราจะเห็นรถราคา 1 ล้านในเมืองนอกมาขายที่บ้านเราในราคา 3-4 ล้านบาท เพราะภาระภาษีมันสูงเช่นนี้นี่เอง

             * และมีกำลังเครื่องยนต์ไม่เกิน 220 แรงม้า
       ** และมีกำลังเครื่องยนต์เกิน 220 แรงม้า
       *** สูตรคำนวณการจัดเก็บแบบ ?ฝังใน?


ฮอนด้า แจ๊ส รุ่นท๊อป ราคา 705,000 บาท มูลค่าภาษีประมาณ 2.8-3 แสนบาท

กรณีที่ 2 รถที่ผลิตในประเทศไทย

ผู้ผลิตจะนำชิ้นส่วนรถยนต์เข้ามาจากต่างประเทศเป็นบางรายการ ซึ่งปริมาณและสัดส่วนการนำเข้า มากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับนโยบายของบริษัทผู้ผลิต โดยรถแต่ละรุ่นภาระภาษีของผู้ผลิตจะมีความแตกต่างจากการนำเข้ารถทั้งคัน ดังนี้
       
       1. อากรขาเข้า จะถูกจัดเก็บตามอัตราที่กรมศุลกากรกำหนด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิด หรือพิกัดของชิ้นส่วนนั้น ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 30% ของราคา CIF ถ้าใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศทั้งหมดก็จะไม่เสียภาษีในส่วนนี้
       
       2. ภาษีสรรพสามิต จะถูกจัดเก็บอัตราเดียวกับการนำเข้ารถทั้งคันจากต่างประเทศ โดยคำนวณจากราคาหน้าโรงงาน และกรมสรรพสามิตจะพิจารณารับราคาหน้าโรงงานนี้ไม่ต่ำกว่า 76% ของราคาขายปลีกที่ขายให้กับผู้บริโภค คือ ถ้าราคาขายปลีกอยู่ที่ 100 บาท (รถยนต์ไม่เกิน 2000 ซีซี) ก็จะใช้ราคาหน้าโรงงานที่ 76 บาท มาคำนวณตามสูตร ?ฝังใน? เพื่อให้ได้ภาษีสรรพสามิต
       
       3. ภาษีมหาดไทย คิดที่อัตรา 10% ของภาษีสรรพสามิต เพื่อส่งให้กระทรวงมหาดไทย
       
       4. ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% กรมสรรพากรเป็น ผู้จัดเก็บ เหมือนกรณีที่ 1
       
       สมมุติให้รถขนาดไม่เกิน 2,000 ซีซี ราคารถหน้าโรงงานอยู่ที่ 100 บาท ภาษีสรรพสามิตก็จะอยู่ที่ 80.60 บาท บวกด้วยภาษีมหาดไทย 8.1 บาทและภาษีมูลค่าเพิ่ม 13.2 บาท ก็จะได้ราคาขายปลีกเท่ากับ 201.9 บาท หรือถ้าคิดในมุมกลับภาษีรวมของรถที่ผลิตในประเทศจะมีมูลค่าประมาณ 40-70% ของราคาขายปลีก ซึ่งจะขึ้นอยู่กับขนาดของเครื่องยนต์ ยิ่งปริมาตรกระบอกสูบมาก มูลค่าภาษีก็จะสูงตาม
       ตัวอย่างเช่น ถ้าซื้อรถที่ผลิตในประเทศ เครื่องยนต์ 1800 ซีซี ในราคา 7 แสนบาท หมายความว่า เราได้จ่ายภาษีให้รัฐประมาณ 2.8-3 แสนบาท
       
       ในขณะที่ภาษีรวมของรถนำเข้าจะคิดจากราคาขายปลีกไม่ได้เพราะยังไม่ได้รวมกำไรและค่าดำเนินการของผู้นำเข้า ฉะนั้นต้องคิดจากราคาทุน ซึ่งจะมูลค่าภาษีอยู่ที่ประมาณ 200-300 % ของราคาต้นทุน ตัวอย่าง เช่น ถ้ารถราคา 1 ล้านบาทในต่างประเทศ เมื่อนำเข้ามาขายที่เมืองไทย ต้องเสียภาษีรวมประมาณ 2 ล้านบาท ดังนั้น ผู้นำเข้าจึงต้องขายที่ราคา 3 ล้านขึ้นไปเพราะต้นทุนภาระภาษีที่สูงนี่เอง เพียงเท่านี้พอจะทำให้เข้าใจกันได้ว่า ทำไมเราถึงต้องซื้อรถที่แพงกว่าประเทศอื่นๆ อย่างมากมาย

แล้วภาษีทั้งหมดเป็นจำนวนเท่าไหร่?

       ตัวเลขแท้จริงเราไม่อาจทราบได้ แต่เมื่อมองถึงมูลค่าตลาดรวมเฉพาะที่รถขายในประเทศ สมมุติยอดขายรถทั้งปีที่ 600,000 คัน (ในความจริงขายมากกว่านี้) ทุกคันราคาคันละ 500,000 บาท (ห้าแสนบาท ราคาสมมุติ) มูลค่าตลาดจะเท่ากับ 300,000,000,000 บาท (สามแสนล้านบาท ยอดสมมติแต่ยอดจริงมากกว่านี้) และคิดภาษีที่ยอดต่ำสุดที่ 40% ของราคาขายปลีกเท่ากับว่ารัฐจะได้ภาษีจากประชาชนที่ซื้อรถไปทั้งสิ้น 120,000,000,000 บาท (หนึ่งแสนสองหมื่นล้านบาท)
       ขณะที่งบประมาณรายจ่ายประจำปี49อยู่ที่ 1.36 ล้านล้านบาทดังนั้นแล้วประมาณ 10% ของรายได้ภาษีที่จะนำมาจ่ายในงบประมาณมาจากเงินที่ประชาชนซื้อรถ แล้วรัฐเอาเงินภาษีของเราไปทำอะไรหว่า ประเทศถึงได้เจริญ ฮวบ ฮวบ อย่างนี้?
บันทึกการเข้า


TOCOBU
นัส@นิคมพัฒนา
นักแข่งมืออาชีพอันดับหนึ่ง
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,269


(*-*) 089-6021132


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2008 09:40:54 »

 ถอนหายใจ ถอนหายใจ โฮ้..ไม่อยากจะคิดเลย
บันทึกการเข้า
New.
Web Administrator
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6,024


Love me, love my AE


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2008 12:26:29 »

พอจำได้ว่าหาเรื่องขึ้นภาษีเพื่อแก้ปัญหาการจราจร
แต่ตอนนี้กลายเป็นว่ารถกลับเต็มถนนมากกว่าเดิมอีก ??
บันทึกการเข้า

AE92 เดิมๆ เครื่องก็ไม่แรง เชิญแซงได้เลย...
ball_dmee
มือใหม่หัดซิ่ง
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 77



ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2008 20:50:38 »

 เป็นฟืนเป็นไฟ เป็นฟืนเป็นไฟ เป็นฟืนเป็นไฟ เป็นฟืนเป็นไฟ ก้อเพราะเรามีแต่นักการเมืองที่โกงกินประเทศถึงได้เจริญ ฮวบๆ ถลุงเงินภาษีปีนึงไม่รู้เท่าไหร่ พอใกล้สิ้นปีก้อผลาญเงิน ไปดูงานต่างประเทศแต่แมร่งพาไปทั้งครอบครัว  ฉุน ฉุน ฉุน ฉุน
บันทึกการเข้า
JEAB_GZE
นักแข่งมืออาชีพอันดับหนึ่ง
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,155


^^ ชิว ชิว ^^


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2008 13:52:04 »

ภาษี...เนี่ยแหละ กินอร่อยดีจัง กิน กิน กิน
บันทึกการเข้า

เดิน           เดิน           เดิน           เดิน          เดิน          เดิน          เดิน          เดิน          เดิน
tunatae
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5 เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2008 14:23:02 »

 เอ่อ.. เอ่อ.. เอ่อ..
บันทึกการเข้า
reset
นักแข่งมือสมัครเล่น
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 369


ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 09 กรกฎาคม 2008 13:58:30 »

 ร้องไห้ ทำไมมันช่างโหดร้ายได้ถึงขนาดนี้   เอ่อ..
บันทึกการเข้า
nui007
นักแข่งมืออาชีพอันดับหนึ่ง
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,025



ดูรายละเอียด
« ตอบ #7 เมื่อ: 10 กรกฎาคม 2008 13:00:06 »

มันรับประทานกันจนลูกมันได้ไปเรียนนอก ได้ขับรถหรูๆคันละหลายล้านถึงหลายสิบล้าน      อยู่กินอย่างสุขสบาย   แต่เอาเถอะ เดี๋ยวกรรมก็ตามทันมันเอง  สบายมากๆเดี๋ยวมันก็เบาหวาน-โรคหัวใจ-ความดัน  ตายเอง   ลูกมันก็จะผลาญพ่อแม่มัน เหมือนที่มันโกงเขามา   ขับรถเดี๋ยวก็เอาไปซิ่งตายเอง 

... ผมว่ากรรมมีจริงนะ และตามทันในชาตินี้ด้วย   แต่จะช้าจะเร็ว  ขึ้นอยู่กับบุญเก่าของพวกมันว่าจะทำมามากแค่ไหน
....คนรวยด้วยความสามารถจริงๆ  ผมยอมรับ  เขาจะใช้ชีวิตแบบไหนก็เรื่องของเขา   แต่พวกรวยเพราะโกง-ทุจริต-หลบเลี่ยงหาช่องทางเพื่อตัวเอง  เห็นแล้วเสียความรู้สึกมาก....
บันทึกการเข้า

Project Vacuum Carbon Fender coming soon !!!
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006-2008, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!