บทที่ 2
Braking
การเบรก จัดเป็นทักษะพื้นที่สำคัญต่อการพัฒนาการขับขี่มากที่สุด เพราะหลังจากตอนนี้เป็นต้นไป ทักษะการเบรกจะเข้าไปแทรกตัวอยู่ในทักษะอื่นๆ มากบ้างน้อยบ้าง ไม่ว่าจะเป็น การเข้าโค้งทุกระดับฝีมือ รวมไปถึง"ทริก"หรือเทคนิคพิเศษอื่นๆ ประเด็นนจะกล่าวต่อในภายหลัง หรือหากคุณเคยชมการแข่งขันมอเตอร์ไซค์มาบ้าง คงเคยเห็นการเสียบการแซง หรือแม้แต่การเข้าโค้งที่รุนแรง สิ่งเหล่านี้ เกิดจากความสามารถควบคุมเบรกที่ดีเยี่ยม และเป็นความสัมพันธ์กันโดยตรง ถ้าหากระยะเบรกแม่นการกำหนดไลน์ เข้าโค้งก็แม่นยำ ให้ภาพการเสียบแซงจึงออกมาสุดมันอย่างที่เห็นในทีวี......
สำคัญที่เบรกหน้า ไม่ใช่หลัง
สิ่งที่คุณต้องจำไว้เสมอ คือการเบรกที่ดี สำคัญที่การใช้เบรกหน้าเป็นหลัก "ไม่ใช่"เบรกหลังอย่างที่หลายๆท่านเข้าใจ จากประสบการณ์ที่ผมเห็นนักบิดบ้านเรา 80 เปอร์เซ็นเข้าใจเรื่องการใช้เบรกผิดมากๆ
ผมเองไม่ทราบว่าค่านิยมการใช้เบรกหลัง มีมาตั้งแต่ยุคไหน แต่จะบอกย้ำอีกครั้งว่าเป็นความเข้าใจ" ผิด" และเป็นภัยร้ายแรงกับการขี่มอเตอร์ไซค์มากๆ เพื่อให้เข้าใจ ผมขออธิบายด้วยตัวอย่างให้คุณเห็นง่ายๆละกันครับ ให้คุณลองหาแก้วน้ำมาสักใบ ใส่น้ำไว้ครึ่งแก้ว วางบนโต๊ะแล้วพลักให้มันเลื่อนไปด้วยมือขวา เข้าหามือมือซ้าย ขณะที่แก้วเคลื่อนที่ จนกระทั้งหยุด ลองสังเกตุระดับน้ำในแก้วดู ตอนเริ่มต้นพลักน้ำทั้งหมดจะไปกองอยู่ด้านมือขวา(หรือด้านหลังแก้ว) แต่พอแก้วชนมือซ้าย ระดับน้ำก็จะไปกองอยู่ด้านหน้าแก้ว ก่อนจะกลับมาทรงตัว ที่ระดับเดิม จากตัวอย่าง ยิ่งคุณพลักแก้วแรงและเร็วขึ้นเท่าไหร่ เมื่อมันกระทบกับมือซ้าย น้ำก็จะไหลมากองด้านหน้ามากขึ้นเท่านั้น จนบางครั้งอาจกระเด็นออกมานอกแก้ว แบบเดียวกับรถคันเก่งของคุณครับ ถ้าคุณขับขี่รถออกตัวเร็วๆ จะมีแรงดึงให้คุณหงายหลัง แต่พอเบรก แรงดังกล่าวจะเปลี่ยนเป็นพลักให้หน้าคุณทิ่ม ไอ้เจ้าแรงที่ว่านี้ก็คือ แรงเฉื่อยครับ
คุณคงสงสัยละซิครับว่า แล้วไอ้แรงเฉื่อยเนี่ยมันมาเกี่ยวอะไรกับ เบรกหน้า หรือเบรกหลังล่ะ อืมมม์... นั่นล่ะครับตัวการเลย เรื่องของเรื่อง ไอ้แรงที่ว่านี้จะไปเกี่ยวข้องกับศูนย์ถ่วงของรถละตัวคุณ
ถ้าคุณนึกภาพอาการหน้าทิ่มที่เกิดเวลาใช้เบรกได้ นั้นเป็นตัวอย่างที่ดี ...เมื่อคุณเริ่มแตะเบรกน้ำหนักตัวของคุณและรถ พยายามจะวิ่งต่อไปข้างหน้า แรงเฉื่อยที่มีอยู่จะย้ายน้ำหนักรวมของรถจะไปตกที่ล้อหน้า ยิ่งเบรกแรงมาเท่าใดน้ำหนักที่ตกลงที่ล้อหน้าก็ยิ่งมากตาม สิ่งที่ได้ตามมาคือ แรงเสียดทานระหว่างยางกับผิดถนนก็จะมากขึ้น ตรงข้ามกับล้อหลัง บางครั้งแทบจะไม่เหลือน้ำหนักกดเลย ดังนั้นโดยหลักง่ายๆเมื่อเราเบรกจงจำไว้ว่า "เราใช้เบรกหน้าเพื่อเบรกน้ำหนักส่วนใหญ่ของรถ แต่เบรกหลังจะใช้เพื่อรักษาสมดุล และลดความเร็วของน้ำหนักส่วนท้ายเท่านั้น"
ปรับน้ำหนักการใช้เบรกหน้า และหลังใหม่
จริงๆเขามีการวิจัยเหมือนกันครับว่า การให้น้ำหนักเบรกหน้า และหลังควรจะเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ แต่คนขี่รถไม่มีใครมานั่งจำแน่นอน ดังนั้นในเบื้องต้นโรงงานจึงทำการกำหนดสัดส่วนมาให้แล้ว ด้วยประสิทธิภาพของการเบรก ตรงนี้เห็นชัดครับ หากรถคุณใช้ระบบเบรกแบบดิสก์เบรก โดยเฉพาะพวก รถสปอร์ต 150 ไปจนถึง Big Bike โรงงานเขาจะให้จานดิสก์เบรกใบโตๆ 1 หรือ 2 ใบ(แล้วแต่รุ่น...) ส่วนเบรกหลังนอกจากจะมีแค่ใบเดียวและเล็กจิ๋วแล้ว แม่ปั๊มเบรกหลังก็เล็กและมีจำนวนลูกสูบปั๊มน้อยกว่า เบรกหน้าเสมอ เมื่อคิดถึงพื้นที่สัมประสิทธิแรงเสียดทางรวม ทั้งหน้าหลังเป็น 100 % ประสิทธิภาพของเบรกหน้าจะมีมากว่าเบรกหลังราว 70-90 % เปอร์เซ็น ส่วนเบรกหลังเทียบประสิทธิภาพรวมทั้งหมด มีแค่ประมาณ 10-30 เปอร์เซ็นเท่านั้น
เราทราบในเบื้องต้นว่าเราจะต้องใช้เบรกหน้า 70-80 และหลัง 10-30 เปอร์เซ็นในสภาพวะปรกติ แต่โดยกายภาพ ระบบเบรกของรถมอเตอร์ไซค์เป็นอิสระจากกัน เปรียบเทียบกับรถยนต์แล้ว เมื่อคุณเหยียบเบรก แต่ละครั้งระบบเบรกจะทำการกระจายน้ำหนักเบรกให้โดยอัตโนมัติทั้ง 4 ล้อ ส่วนมอเตอร์ไซค์ แม้จะมีเพียง 2 ล้อแต่การทำงานของระบบแยกเป็นอิสระจากกันโดยเด็ดขาด สิ่งที่จะประสานการทำงานของเบรกทั้งสองนี้ได้มีเพียง"คนขี่"เท่านั้นเอง
วัดความแตกต่างจากระยะเบรก ด้วยตัวคุณเอง พูดกันเฉยๆ ดูแล้วคงไม่เวิร์ค หรือไม่เห็นภาพชัด ลองนำไปทดลองด้วยตัวคุณเองดีกว่าครับว่า มันเป็นจริงอย่างที่ผมโม้หรือเปล่า เริ่มต้นคุณต้องหาพื้นที่ว่างๆ ยาวสัก 80-90 เมตร เป็นอย่างน้อย จากนั้นหาอุปกรณ์ไกล้ๆ ตัวต่อไปนี้มาประยุกต์ทำเป็นสนามทดสอบครับ
อุปกรณ์ ในการทดลอง
1.ขวดน้ำพลาสติกขนาด 1-1.5 ลิตร ใส่น้ำครึ่งขวดสัก 6-8 ใบ
2.ตลับเมตรที่วัดความยาวได้ประมาณ 5 เมตร
3.ช๊อกเขียนกระดาน สัก 2-3 แท่ง หรือถ้าได้ปูนขาวสักถุงละก็แจ๋ว 4.จากนั้นทำสนามทดสอบดังรูป
การทดลอง....
1.ลองเบรกด้วยวิธีที่คุณเคยชิน เมื่อทำสนามตามผังตัวอย่างเสร็จแล้ว ให้คุณเบรกตามวิธีของคุณที่เคยใช้ปรกติ ให้ได้ระยะทางสั้นที่สุด โดยเริ่มจากเบรกที่ความเร็ว 50 กม.ต่อชม. และกดเบรกเมื่อล้อหน้าคุณวิ่งถึงระหว่างขวดน้ำ (จุด Braking Point) เมื่อรถหยุดสนิทแล้ว ให้จอดวัดระยะจากล้อหน้า ถึงเส้นช๊อกที่ขีดเอาไว้ระหว่าง ขวดน้ำ จดบันทึกไว้ ทำซ้ำอย่างเดิมประมาณ 5 ครั้ง
2.เบรกหลังอย่างเดียว ทำเหมือนกับครั้งแรกแล้วบันทึกระยะอีก 5 รอบ โดยคุณจะทำอย่างไรก็ได้ให้เบรกได้ด้วยระยะทางที่สั้นที่สุด ซึ่งจุดนี้คุณต้องระวังหน่อยนะครับ อย่าให้เบรกรุนแรงจนเกินไป
3.เบรกหน้าอย่างเดียวทำเหมือนข้อที่ผ่านมา
4.ใช้เบรกหน้า และหลังพร้อมกัน โดยเน้นน้ำหนักเบรกหน้า ส่วนเบรกหลังแตะให้เบาๆ โดยขณะเบรกต้องไม่ให้ล้อหลังเกิดอาการล๊อก หลังจากได้ระยะเบรกทั้งหมดแล้ว ให้คุณรวมระยะเบรกแต่ละหัวข้อ เข้าด้วยกันแล้ว หารด้วย 5 คุณจะได้ระยะเบรกแต่ละแบบ 4 ชุด ให้คุณเทียบระยะดูครับ ไม่ว่าคุณจะทำสักกี่รอบ ผลจะออกมาเป็นดังนี้คือ
1.เบรกหลังใช้ระยะเบรกมากที่สุด
2.เบรกหน้าใช้ระยะทางสั้นกว่าเบรกหลังมาก
3.เบรกหน้า+หลังพร้อมกัน จะได้ระยะสั้นที่สุด
4.เอาค่าทั้งหมดมาเทียบกับวิธีที่คุณใช้เบรกจนเคยชินในข้อหนึ่ง
เทียบผลการทดสอบ ดูจากระยะเฉลี่ย ถ้าวิธีเบรกตามวิธีของคุณใช้ระยะเบรกมากกว่าข้อ 1 ข้อ 2 และข้อ 3 แสดงว่าการเบรกของคุณอยู่ในขั้นใช้ไม่ได้เลย แต่ถ้าระยะเบรกสั้นกว่า ข้อ 2 แต่ยังมากกว่าข้อ 3 แสดงว่า การเบรกของคุณอยู่ในระดับที่ใช้ได้ดี และข้อสุดท้ายหากระยะเบรกที่คุณใช้แล้วถนัดนั้นสั้นกว่า การเบรกทุกแบบ แสดงว่าโดยพื้นฐานทักษะการเบรกของคุณอยู่ในระดับที่ใช้ได้ดีมาก แต่ผลตรงนี้คือผลทดสอบคราวๆ เพียงเพื่อให้คุณทราบจุดอ่อน จุดแข็งของคุณเท่านั้นนะครับว่า คุณจะต้องปรับทักษะการเบรกของคุณหรือไม่ ลองเอาผลที่ได้ทั้หมดนี้เทียบกับผลค่าเฉลี่ยที่ศูนย์ ฮอนด้า เซฟตี้ไรดิ้งได้ทำการบันทึกไว้สิครับ หากระยะเบรกคุณมากกว่า บันทึกข้างล่างนี้มากเท่าใด การใช้เบรกในหัวข้อนั้นต้องทำการปรับเป็นจุดแรก หากคุณมีจุดที่ต้องปรับเกินกว่า 2 ข้อ ก็ให้เอาการเบรกที่ด้อยที่สุดมาปรับปรุงก่อน โดยดูจากระยะเบรกเปรียบเทียบเป็นหลัก
ระยะทางจากการเบรกแต่ละแบบเมื่อวิ่งด้วยความเร็ว 60 กม./ชม เมตร
1 เบรกหน้า + หลัง พร้อมกัน สัดส่วน 70,30 18
2 เบรกหน้า อย่างเดียว 24
3 เบรกหลัง อย่างเดียว