สร้างเขื่อนปิดปากอ่าวไทย
ขณะที่ สมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการอำนวยการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ได้ให้มุมมองถึงการรับมือกับสภาวการณ์น้ำท่วมบริเวณที่ลุ่มตามชายฝั่งทะเลของประเทศไทย รวมทั้งพื้นที่ของกรุงเทพมหานครและปริมณฑลว่า การสร้างเขื่อนปิดปากอ่าวเป็นวิธีที่ดีที่สุด รูปแบบต้องเป็นเขื่อนคอนกรีตสูงประมาณ 5 เมตรยาวประมาณ 100-200 กิโลเมตร ตั้งแต่นนทบุรีไปถึงปากคลองประปา เพราะน้ำทะเลจะหนุนไปถึงคลองประปา
ควรสร้างวิ่งเลียบแม่น้ำเจ้าพระยามาตลอดไปถึงสมุทรปราการ อ้อมไปถึงบางปะกง ส่วนอีกด้านหนึ่ง สร้างจากฝั่งธนบุรี อ้อมมาถึงพระประแดง ไปสมุทรสาคร สมุทรสงคราม หากทำเขื่อนคอนกรีต รถจะสามารถวิ่งบนเขื่อนได้ รวมทั้งตรงปากแม่น้ำทำทางให้เรือสามารถลอดผ่านได้ มีช่องทางระบายน้ำ ซึ่งจะใช้งบประมาณในการก่อสร้างประมาณ 1 แสนล้าน-2 แสนล้านบาท ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นเขื่อนรูปแบบใด
การสร้างเขื่อนในลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นแล้วในต่างประเทศ อาทิ เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ ที่สำคัญการสร้างเขื่อนในลักษณะเช่นนี้ จะมีที่เก็บน้ำในลักษณะของแก้มลิงตามแนวพระ ราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งจะเป็นที่เก็บน้ำ สำรองไว้ใช้ในงานเกษตรกรรมในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งอยู่ระหว่างชายฝั่งกับแนวเขื่อน
ในขณะนี้ที่ประเทศสิงคโปร์ยังให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก โดยคณะวิจัยจากสถาบันวิทยาศาสตร์สัตว์น้ำเขตร้อนชื้นของ มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ จะใช้เวลาในช่วง 2 ปีข้างหน้าศึกษาผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพบรรยากาศโลก พร้อมตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังไปในปี 2503 เพื่อศึกษาสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ขณะนี้มีการตั้งคณะกรรมการดำเนินการแล้ว
ประธานกรรมการอำนวยการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติกล่าวต่อว่า หากสร้างเขื่อนที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งมีความคดเคี้ยว จะทำให้ระยะทางของเขื่อนมีความยาวมากและมีการก่อสร้างที่ลำบาก เพราะดินส่วนใหญ่เป็นดินเลน แต่การก่อสร้างเขื่อนบริเวณปากอ่าวไทยจะทำได้ง่าย กว่า เนื่องจากลักษณะของพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นดินทราย สามารถตอกเสาเข็มลงไปได้ ทำให้เขื่อนมีความแข็งแรงทนทาน
เขื่อนนี้นอกจากจะเป็นการกั้นน้ำทะเลไม่ให้ไหลเข้ามาแล้ว ยังสามารถใช้เป็นเส้นทางสัญจรได้อีกด้วย โดยรถที่วิ่งมา จากด้านตะวันออกต้องการลง ภาคใต้จะไม่ต้องเข้ากรุงเทพฯ สามารถวิ่งข้ามเขื่อนเพื่อเดินทางลงใต้ได้เลย เป็นการย่นระยะเวลาในการเดินทางได้ประมาณ 100 กิโลเมตร
การสร้างเขื่อนปิดปากอ่าวจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการตั้งรับ สามารถจะป้องกันน้ำท่วมในหลาย ๆ จังหวัดได้ ตั้งแต่จังหวัดสมุทร ปราการ สมุทรสาคร สมุทร สงคราม ไปจนถึงบางปะกง ถ้ามีการสร้างกั้นเฉพาะกรุงเทพฯ ก็จะไปท่วม จ.สมุทรปราการไปจนถึงบางปะกง จากนั้นน้ำก็จะไหลย้อนกลับมาเกิดเป็นปัญหาเดิม ๆ เกิดขึ้นอีก
ถ้ามีการกั้นน้ำที่ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาให้สูงขึ้นจะไม่สามารถป้องกันได้อย่างถาวร เพราะน้ำจะไปท่วมฝั่งธนบุรี พระประแดงแทน แล้วไหลย้อนกลับมา รวมทั้งการสร้างเขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยาให้สูงขึ้นจะบดบังทัศนียภาพของโรงแรมและ บ้านเรือนของประชาชน ก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้นได้ และต้องเวนคืนที่ดินอีกด้วย
ชี้จมนาน 2 เดือน
แถมคนกรุงขาดน้ำจืด
หลายคนตั้งคำถามว่าทำไมไม่ย้ายเมือง เพราะการย้ายเมืองนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล และเวลานานมาก เนื่องจากในกรุงเทพฯ มีโบราณสถาน และสถานที่สำคัญอยู่เป็นจำนวนมาก การจะย้ายวัดพระแก้ว วัดโพธิ์ วัดสุทัศน์ สถานศึกษา มหาวิทยา ลัยจะย้ายไปตั้งไว้ที่ใด หากมีการทำกำแพงกั้นโบราณสถาน สถานที่ราชการ โรงเรียน โรง แรม โรงพยาบาล ก็ไม่สามารถดำเนินการได้โดยง่าย และภูมิทัศน์ไม่สวยงาม ดังนั้นวิธีการที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาน้ำท่วมแบบยั่งยืนที่นักวิชาการหลายคนเห็นตรงกันก็คือ ต้องสร้างเขื่อน
ประธานกรรมการอำนวยการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กล่าวเตือนว่า หากไม่เร่งทำตอนนี้ ปล่อยรอให้ใกล้ ๆ เมื่อน้ำทะเลหนุน เข้ามาสูงขึ้นเรื่อย ๆ จะสร้างไม่ทันและความเสียหายจะเกิดขึ้นได้ในพื้นที่กรุงเทพฯ ระบบ เศรษฐกิจจะหยุดชะงักหมด กรุงเทพฯจะค่อยๆ จมน้ำไปเรื่อย อีกทั้งน้ำจืดก็จะไม่มีกิน เพราะน้ำทะเลจะหนุนเข้าไปในคลองประปา ทำให้น้ำประปามีรสเค็มกลายเป็นน้ำกร่อย ผู้คนเป็นล้านจะไม่มีน้ำดื่มน้ำใช้ เวลาน้ำเหนือลงมาปะทะกับน้ำทะเลที่ท่วมอยู่แล้วก็จะยิ่งไปกันใหญ่ ซึ่งอาจจะท่วมมากกว่า 2-3 เมตร ก็เป็นได้
อยากให้รัฐบาลพิจารณาเรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน เพราะเป็นเรื่องที่มีผลกระทบกับคนหลายสิบล้านคน อย่าวางใจ ชะล่าใจ ต้องรอให้เกิดวิกฤต ก่อนแล้วจึงคิดแก้ไข รัฐจะต้องมีนโยบายเป็นโครงการระดับชาติ มีการดำเนินการต่อเนื่องกันในหลายๆ รัฐบาล เพราะการสร้างเขื่อนต้องใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างประมาณ 5-8 ปี
รศ.ดร.เสรี กรรมการภูมิศาสตร์โลก และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวเสริมว่า ก่อนหน้านี้ธนาคารโลกเคยนำเสนอปัญหาดังกล่าวต่อรัฐบาลไทยแล้ว เพราะที่ประชุมคณะกรรมการภูมิศาสตร์โลกมองว่ามีความเสี่ยงสูง แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ ความนิ่งเฉยของรัฐบาลไทย ทั้งนี้เราไม่สามารถรู้ได้ว่าน้ำจะท่วมเมื่อใด
หากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงคาดว่าระดับน้ำที่ท่วมจะสูงถึง 1-2.5 เมตร สูงต่ำตามระดับพื้นดิน โดยจะรุนแรงมากในพื้นที่ฝั่งตะวันตก ฝั่งธนบุรี เขตคลองเตยจนถึงบางแค สำหรับฝั่งพระนครจะท่วมถึงบริเวณสวนหลวง ร.9 เพราะฉะนั้นประชาชนชาวกรุงเทพฯ ควรเรียกร้องให้รัฐบาลและเขตการปกครองท้องถิ่นตระหนักถึงปัญหาตรงจุดนี้ เพื่อเร่งสร้างคันกั้นน้ำให้เร็วที่สุดเพราะการก่อสร้างต้องใช้เวลานานถึง 5 ปี หากเราลงมือทำกันจริงๆ วันนี้ก็ยังแก้ปัญหาทันอยู่ เพียงแต่เรายังไม่เริ่มเท่านั้น
โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าหากไม่ทำอะไรเลยไม่ถึง 10 ปีกรุงเทพฯ จมน้ำแน่นอน และถ้าจมน้ำไม่ใช่แค่ 3-4 วันแต่จะเป็นเดือนถึงสองเดือนด้วยซ้ำ แต่ปีนี้คิดว่ากรุงเทพฯ ไม่ได้รับผลกระทบมาก เพราะเขื่อนดินที่อ่างทาง อยุทธา สิงหบุรี มันแตกหมดแล้ว น้ำเลยไหลเข้าทุ่ง คนกรุงเทพฯ เลยรับอานิสงส์ เพราะปริมาณน้ำจะผ่านไหลเข้าทุ่งไปหมด
ไทยไร้กรอบชัดเจน
แก้ไขปัญหา น้ำ
จากสถานการณ์น้ำท่วมที่ทวีความรุนแรงขึ้นและกระจายไปในหลายจังหวัดของประเทศนั้น แม้ที่ผ่านมาจะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาและหาแนวทางป้องกันต่างๆ แต่ก็ยังไม่มีเป้าหมายในการทำงานที่ชัดเจนและไม่มีใครกำหนดการทำงานที่ชัดเจน
ประเทศไทยขาดความชัดเจนในการแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำตลอดมา เป็นคำกล่าวของ อภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้อำนวยการศูนย์ประสานการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการอุทกภัย ซึ่งในความเป็นจริงนั้นแต่ละหน่วยงานที่รับผิดชอบ ต่างก็มีแผนแต่ไม่เคยนำมาเชื่อมโยงกันออกมาเป็นแผนรองรับการแก้ไขปัญหาในระยะยาว
ในภาพใหญ่ของการแก้ไขปัญหาในระยะยาว อภิรักษ์ กล่าวว่าแผนระยะยาวต้องพิจารณาใน 4 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.การบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบทั้งประเทศ 2.การทำเรื่องของโครงการแก้มลิง เพื่อรับสถานการณ์ในช่วงน้ำมาก 3.การดูแลและติดตามเรื่องของปัญหาโลกร้อน เรื่องของทรัพยากรธรรมชาติ ป่าต้นน้ำ และ 4.การเข้มงวดเรื่องของการวางผังเมือง
ทั้งนี้ ในส่วนของกรุงเทพฯ กรมทรัพยากรธรณีและธรรมชาติ กรมชลประทาน และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จะต้องมาสำรวจหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาด้านต่างๆ เกี่ยวกับน้ำที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบบนมาตรการที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการปลูกป่าชายเลนเพิ่ม การสร้างแนวกั้นน้ำในพื้นที่เสี่ยงต่างๆ รวมถึงเรื่องการจัดระเบียบใหม่ของผังเมือง เนื่องจากที่ผ่านมามีการละเมิดกฎข้อห้ามของผังเมืองในจุดพื้นที่รับน้ำ จนทำให้ปิดกั้นเส้นทางน้ำไหล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโซนด้านตะวันออกของกรุงเทพฯ
ต่อไปนี้ทุกหน่วยงานต้องลงมาดูในภาพรวมทั้งหมดรวมกันเพื่อศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาในระดับชาติไม่ใช่เพียงส่วนใดส่วนหนึ่งเท่านั้น
สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมในปัจจุบันนี้ทางศูนย์ฯ ที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นจะเป็นเสมือนจุดที่จะประสานการทำงานกับทุกๆ หน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นกรมชลประทาน กรมการป้องกันภัย ตัวแทนภาคเอกชนและภาคประชาชน โดยจะมีการเชื่อมโยงข้อมูลของแต่ละภาคส่วนเข้ามาในจุดนี้ นอกจากนี้จะมีการปรับหมายเลข 1111 ให้ใช้สำหรับการโทร.แจ้งเหตุ ปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับน้ำท่วม มีการเปิดเบอร์ SMS 4567891 และจะมีการเชื่อมโยงเครือข่ายออนไลน์เว็บไซต์
www.pm.co.th/flood กับเว็บไซต์
www.thaiflood.com ของเครือข่ายอาสาสมัครภาคประชาชน รวมถึงการประสานงานกับสื่อมวลชนทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็น วิทยุ โทรทัศน์ ในการให้ข้อมูลความเดือดร้อนของประชาชน
สิ่งที่รัฐบาลต้องการมากที่สุดคือเรื่องข้อมูลที่แม่นยำถูกต้องรวดเร็ว เนื่องจากต้องการที่จะแจ้งเดือนภัยให้กับประชาชนได้ระวังตัวและเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ได้ล่วงหน้า
อภิรักษ์ ระบุถึงสถานการณ์ขณะนี้ทางศูนย์ได้แบ่งออกเป็น 3 ลุ่มน้ำ ได้แก่ ลุ่มน้ำชี ลุ่มน้ำมูล และลุ่มน้ำเจ้าพระยา โดยมีจังหวัดที่ประสบอุทกภัยทั้งหมด 25 จังหวัด แบ่งเป็นภาคกลาง 10 จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 7 จังหวัด ภาคเหนือ 5 จังหวัด และภาคตะวันออก 3 จังหวัด มีจำนวนครัวเรือนที่ได้รับความเดือดร้อนแล้วมากกว่า 8 แสนครัวเรือน มีผู้ที่เดือดร้อนรวมมากกว่า 2,500,000 ราย
ปัญหาใหญ่ในขณะนี้คือการเฝ้าจับตาสถานการณ์เพื่อให้เกิดเหตุการณ์รุนแรง เนื่องจากหากไม่มีฝนตกหนักมาในช่วงนี้เพิ่ม และมีการควบคุมการปล่อยน้ำจากเขื่อนต่างๆ โดยกรมชลประทาน เชื่อว่าสถานการณ์น้ำท่วมในแต่ละพื้นที่จะดีขึ้น แต่ก็ยังมีจุดที่ต้องอาจมีความรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ที่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่ว่าจะเป็นอยุธยา ปทุมธานี ลพบุรี นนทบุรี รวมทั้งพื้นที่ของกรุงเทพฯ ที่จะมีวันที่จะต้องเฝ้าระวังมากที่สุดอีกหนึ่งวันคือวันที่ 8 พฤศจิกายน 2553 ที่จะถึงนี้ด้วย
ในหลวงรับสั่งหน่วยงาน
ต้องคิดแก้ปัญหาตรงกันก่อน
จากปัญหาน้ำท่วมหนักในหลายพื้น ดร.รอยล จิตรดอน ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (สสนก.) กล่าวว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้รับสั่งผ่าน ดิสธร วัชโรทัย รองเลขาธิการสำนักพระราชวัง ว่าเหตุการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นครั้งนี้ เพราะฝนมากและตกผิดที่ผิดเวลา รวมทั้งตกลงมาพร้อมกันทั้งเหนือเขื่อนและท้ายเขื่อน และในทุกพื้นที่ที่เคยเป็นที่รับน้ำหรือแก้มลิงก็มีปริมาณน้ำฝนตกค้างในพื้นที่เป็นจำนวนมาก จึงทำให้ระบายน้ำทำได้ลำบากกว่าทุกปี
นอกจากนี้การสั่งการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของรัฐบาลยังทำได้ไม่เต็มที่ในระดับนโยบาย การสั่งงานเป็นไปแบบกระจัดกระจายไม่มีการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ใดอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการสั่งการลงไปในระดับท้องถิ่นที่ยังมีปัญหาความต่อเนื่องของข้อมูลจากต้นสังกัด
ดร.รอยล กล่าวว่านายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ ควรจะตั้งทีมเฉพาะกิจระดับชาติที่มีทุกหน่วยงานมาบูรณาการเรื่องการตั้งรับและระบายน้ำออกจากพื้นที่หลักให้ทันท่วงทีมากขึ้น เพราะปริมาณน้ำจำนวนมากต้องมีเจ้าภาพหลักในการสั่งการตลอดเวลา