http://www.youtube.com/watch?v=DJLi1br9kOE Need For Speed Movie
เต็มสปีดกับฉบับภาพยนตร์ในปี 2014
Dreamworks กำหนดวันปล่อย NFS หรือ Need For Speed ฉบับภาพยนตร์ออกมาแล้ว โดยหลีกไม่ให้ชนกับ Fast & Furious 6 ที่จะลงโรงในวัน Memorial Day ปี 2013 ด้วยการเลื่อนออกไปเป็นกุมภาพันธ์ 2014 กำหนดการถ่ายทำเริ่มขึ้นในปีหน้า ส่วนชื่อโปรเจคท์อย่างเป็นทางการในเวลานี้ยังคงเป็น Need For Speed โดดๆ และไม่อิงกับเนื้อเรื่องในเกมของ Electronic Arts ภาคใด
Need For Speed จะกำกับโดยอดีตสตันท์ Scott Waugh ผู้มีเครดิตเป็นผู้กำกับร่วมใน Act of Valor หนังที่โชว์ปฏิบัติการทางทหารได้อย่างน่าตื่นเต้น ทั้งยังประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่งในด้านรายได้ โดยไม่ต้องมีนักแสดงระดับแม่เหล็ก และทุนมโหฬารนัก (ส่วนใหญ่เป็นนักแสดงจากทีวีซีรี่ส์ด้วยซ้ำ)
ผู้รับผิดชอบเรื่องบทคือ 2 พี่น้อง John และ George Gatins ผู้เขียนบทภาพยนตร์ Real Steel ซึ่งเรื่อยๆ เอื่อยๆ ตามประสาหนังเรท PG-13 ว่ากันตรงๆ ผลงานที่ผ่านมาก็ยังไม่มีอะไรเตะตาสักเท่าไหร่ อีกทั้งใน 8 เครดิตเขียนบท ส่วนใหญ่ก็เป็นงานดัดแปลงเพื่อเป็นบทภาพยนตร์เท่านั้น ไม่ใช่งานออร์ริจินัลของตัวเอง
Need for Speed ภาคล่าสุด The Run งานโฆษณาทางทีวีชุดที่เห็นนี้เป็นฝีมือการกำกับของเจ้าพ่อหนังตลาด Michael Bay
จำต้องผ่อนคันเร่ง แตะเบรคกันที่บทภาพยนตร์เอาไว้ก่อน เพราะ Dreamworks ให้ข่าวว่าอยากเห็น Need For Speed ประสบความสำเร็จ และมีแฟรนไชส์เป็นของตัวเองอย่าง Fast & Furious ซึ่งยากเหลือเกิน เพราะ The Fast and the Furious ภาคแรกนั้นมีสเน่ห์ และมีความเป็นขบถอยู่ในตัวเองบนพลอทที่แสนธรรมดาอย่างตำรวจตามจับผู้ร้าย แต่กลับสามารถสร้างปรากฏการณ์คล้ายๆ กับที่ ผกก. สาวแกร่ง Kathryn Bigelow และ Rick King (เจ้าของเรื่อง ไม่ใช่คนเขียนบท) เคยรังสรรค์ให้ Keanu Reeves และ Point Break กลับมาสร้างชีวิตชีวาให้กับหนังแอคชั่น/ดราม่าสไตล์นี้ได้ในปี 1991
อีก 2 ปีรู้ผลครับ ว่า Need For Speed ฉบับภาพยนตร์จะประสบความเร็จสูงสุดแบบเดียวกับซีรี่ส์เกมหรือไม่
Need For Speed
แฟนเกมส่วนใหญ่ในทุกแพลทฟอร์มน่าจะรู้จักกันดี และสัมผัสติดต่อกันมาหลายปี ซีรี่ส์เกม Need For Speed นั้นแบ่งเป็น 3 ยุค ยุคแรก Need for Speed ในปี 1994 มีต่อเนื่องทั้งหมด 6 ภาคจนถึง Need for Speed: Hot Pursuit 2 ในปี 2002 ยุคนี้ NFS ยังมีความเป็นเกมอาเขดอยู่มาก ตัวเกมพัฒนาโดย Distinctive Software บริษัทที่พัฒนาเอนจิ้นเกมป้อนให้ Konami, Sega และอีกหลายบริษัทตั้งแต่ปลายยุค 80
ยุคที่ 2 เป็นยุคที่ NFS โด่งดังถึงขีดสุดภายใต้การพัฒนาเอนจิ้นเกมของ Black Box Games บริษัทลูกของ EA Canada เอง และได้รับการยกย่องว่ามีการบังคับควบคุมที่ผสมผสานความเป็นอาเขด และซิมูเลเตอร์ได้ลงตัวที่สุด ยุคนี้มีทั้งหมด 6 ภาคเช่นกัน คือ Need for Speed: Underground ในปี 2003 ไล่มาจนถึง Need for Speed: Undercover ในปี 2008 จุดเด่นคือการแต่งรถได้อย่างอิสระ ซึ่ง EA กวาดลิขสิทธิ์ของอาฟเตอร์มาร์เกตมารวมไว้ในเกมอย่างมากมาย
2 คาแรคเตอร์หลักสำหรับอนิเมชั่นในภาค The Run ใช้ต้นแบบจาก Chrissy Teigen (ซ้าย) และ Irina Shayk สองนางแบบชุดว่ายน้ำจาก Sports Illustrated
ยุคปัจจุบัน นับเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 3 ของ Need for Speed ซึ่งจนขณะนี้มีทั้งหมด 6 ภาคย่อยเช่นกัน คือ Need for Speed: Shift ในปี 2009 จนถึงภาคล่าสุด Need for Speed: The Run ในปี 2011 (ยังไม่นับการคืนชีพของ Most Wanted ภาคใหม่ในปลายปีนี้) เอนจิ้นเกมพัฒนาโดย Slightly Mad Studios บริษัทเกมอินดี้จากอังกฤษ ตัวเกมเน้นความสมจริงในการควบคุมมากขึ้น ยากขึ้น และมุ่งนำเสนอความเป็นซิมูเลเตอร์เต็มตัว
ด้วยความชรา... ผู้แปลถอดใจไปตั้งแต่ Need for Speed: Shift ซึ่งเป็นซีรี่ส์แรกของยุคนี้ จากความยากที่เพิ่มขึ้นมาก (ทว่าเซียนเกมบอกหมูเหลือเกิน)
ไม่แน่ ถ้าหนังออกมาเร้าใจ ผู้แปลอาจกลับเข้าไปเล่นออนไลน์ในเวอร์ชั่น World อีกครั้ง เพราะการบังคับควบคุมลงตัวดี ให้อารมณ์กลางๆ ระหว่าง NFS ยุค 2 และยุค 3 ไม่ยาก - ไม่ง่ายจนเกินไป งานกราฟฟิคก็สวยสมจริง โดยเฉพาะบรรยากาศเนียนๆ ของสภาพแวดล้อมที่มีให้แบบ เช้า - บ่าย - เย็น - สลัว และกลางดึก