ทาคาชิ ยามานูชิ นายใหญ่ มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประกาศพลิกนวัตกรรมรถยนต์มาสด้า กับเทคโนโลยี สกายแอคทีฟ ที่ปฏิวัติการพัฒนารถทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง และแพลตฟอร์มตัวถัง เพื่อลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงลงอีก 30% เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และปลอดภัยมากขึ้น เผยเตรียมนำมาใช้กับรถยนต์ มาสด้า เดมิโอ หรือ มาสด้า2 เป็นรุ่นแรกในตลาดญี่ปุ่นช่วงปี 2554 จากนั้นจะนำมาใส่ในรถทุกรุ่นทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยในปีถัดไป ยืนยันราคายังคงเดิม ผู้บริโภคเป็นเจ้าของได้ง่าย พร้อมเดินหน้ารุกตลาดเอเชียแปซิฟิก โดยยึดไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญ ยิ่งความสำเร็จของมาสด้า2 ส่งผลให้เตรียมก้าวต่อไป ด้วยการนำเก๋งรุ่นอื่นๆ มาประกอบในไทย ขณะเดียวกันเพื่อรองรับการทิศทางตลาดรถพลังงานทดแทนที่มาแรง จึงสนใจที่จะผลิตรถยนต์ใช้น้ำมัน E85 ยืนยันกับกระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมที่จะผลิตแน่นอน เพียงแต่ขอความชัดเจนเกี่ยวกับเงื่อนไขการสนับสนุน และเรียกร้องให้เปิดกว้างกรอบกำหนดเดิม หวังนำ มาสด้า2 มาพัฒนาเครื่องยนต์ให้ใช้น้ำมัน E85 เพราะมั่นใจผู้บริโภคส่วนใหญ่จะได้ประโยชน์กว่า

ยูจิ นากามิเน
กิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลกใหญ่ๆ 2 ประการในขณะนี้ อันดับแรกเป็นการย้ายฐานการผลิตของค่ายรถต่างๆ มายังภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ไม่ว่าจะเป็นจีน อินเดีย และไทย ซึ่งเป็นตลาดที่มีกำลังเติบโตและมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำ ขณะเดียวกันภายใต้การเคลื่อนย้ายดังกล่าว อีกทางหนึ่งบริษัทรถต่างก็เร่งพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ เพื่อให้สอดรับทิศทางตลาด การลดปัญหามลพิษ และเรื่องพลังงานเชื้อเพลิง มาสด้า เป็นอีกค่ายที่อยู่ในกระแสการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยเฉพาะประเทศไทยที่ปัจจุบันถือเป็นฐานการผลิตสำคัญของมาสด้าในภูมิภาคนี้ ดังจะเห็นได้จากการเข้ามาลงทุนขึ้นไลน์ผลิตรถมากขึ้นเรื่อยๆ และยังมีอีกหลายโครงการที่กำลังจะตามมา แต่ความพิเศษของมาสด้าอยู่ที่ภาพลักษณ์เป็นรถที่ให้ความรู้สึก สปอร์ต การพัฒนารถที่จะให้ประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง เพื่อตอบรับเทรนด์ในตลาดทั่วโลกจึงท้าทายต่อมาสด้าเป็นอย่างยิ่ง
ตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง และแอฟริกาใต้ นับว่ามีทิศทางที่ขยายตัวสูง และมาสด้าให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก จึงได้มีลงทุนตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ เพื่อทำตลาดในภูมิภาคเหล่านี้ และไทยนับเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของมาสด้า ดังจะเห็นได้จากการเพิ่มการลงทุนในโรงงานออโต้อัลาลายแอนซ์ หรือเอเอที(เอเอที) เพื่อประกอบรถมาสด้า2 และปิกอัพมาสด้า บีที-50 โฉมใหม่ ล่าสุดเป็นมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท เพื่อรองรับตลาดในประเทศและส่งออกในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก
ยูจิ นากามิเน กรรมการบริหารและผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขายตลาดต่างประเทศ(เอเชียแปซิฟิก, ตะวันออกกลาง และแอฟริกาใต้) บริษัท มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยกับ ASTV ผู้จัดการมอเตอริ่ง ในช่วงการสัมนา MAZDA BRAND FORUM กับผู้สื่อข่าวจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง และแอฟริกาใต้ ที่เมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และกล่าวต่อว่า มาสด้ารู้สึกยินดีกับความสำเร็จในการลงทุนผลิตรถยนต์มาสด้า2 และการทำตลาดในไทยมาก ที่สามารถมียอดขายกว่า 2 พันคันต่อเดือน นี่จึงเป็นโอกาสสำคัญที่มาสด้าจะเติบโตในไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกต่อไป
ความสำเร็จในมาสด้า2 เป็นสิ่งที่เราจะต้องรักษาไว้ให้ได้ โดยเฉพาะการทำตลาดรถยนต์นั่ง หรือเก๋ง และจะทำให้มาสด้าพร้อมที่จะก้าวต่อไปในไทย ด้วยการพิจารณานำเก๋งรุ่นอื่นๆ มาประกอบในไทย ซึ่งขณะนี้กำลังศึกษาอยู่น่าจะได้ข้อสรุปอีกไม่นานนี้ นากามิเน่กล่าวและว่า

ส่วนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มาสด้าให้ความสำคัญและต้องการบรรลุ ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม และการลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงให้ได้มากที่สุด ดังนั้นจึงได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อนำมาใช้ในรถยนต์มาสด้ารุ่นต่างๆ ที่ผลิตทั่วโลก ไม่ใช่แค่เรื่องของพัฒนารถไฮบริด หรือรถไฟฟ้าเท่านั้น แต่มาสด้าต้องการพัฒนารถยนต์เครื่องยนต์ปัจจุบันให้สามารถลดพลังงานได้สูงสุดเสียก่อน อย่างเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ(SKYACTIVE) ซึ่งจะเริ่มนำมาใส่ในรถยนต์มาสด้าตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป โดยจะช่วยลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงลง 30%
นากิมิเนกล่าวต่อว่า แน่นอนการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ โดยเฉพาะเพื่อการประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง สิ่งสำคัญของการผลิตรถยนต์มาสด้า ยังจะต้องให้ความรู้สึกขับสนุกเฉกเช่นเดิมด้วย ซึ่งเทคโนโลยีสกายแอคทีฟไม่ได้ลดสมรรถนะตรงนี้น้อยลงแต่อย่างใด
นอกจากเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดนี้แล้ว มาสด้าพร้อมที่จะผลิตรถยนต์สามารถใช้เชื้อเพลิงทดแทนอื่นๆ เช่นกัน แต่จะเป็นอะไรก็ขึ้นอยู่กับความเป็นไปได้ นโยบายและการสนับสนุนจากรัฐบาลประเทศต่างๆ ที่มาสด้าทำตลาด หรือตั้งโรงงานประกอบรถนั้นๆ
ทั้งนี้รายงานข่าวจากบริษัท มาสด้า มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น ระบุว่าจะนำเครื่องยนต์สกายภายใต้เทคโนโลยีกายแอคทีฟมาติดตั้งในรถยนต์ มาสด้า เดมิโอ (DEMIO) หรือชื่อ มาสด้า2 ที่ทำตลาดในไทยและทั่วโลก โดยจะเริ่มในตลาดประเทศญี่ปุ่นก่อน ในช่วงครึ่งแรกของปี 2554 ที่จะถึงนี้ จากนั้นจะทยอยเปิดตัวในตลาดอื่นๆ ทั่วโลก
มาสด้า เดมิโอ หรือมาสด้า2 จะเป็นรถยนต์รุ่นแรกที่นำเทคโนโลยีเครื่องยนต์สกายมาใช้ เพื่อทำตลาดในประเทศญี่ปุ่นช่วงครึ่งแรกของปี 2554 และหลังจากนั้นในปี 2555 เทคโนโลยีสกายจะถูกนำมาใช้ในรถยนต์นั่งมาสด้าทุกรุ่นทั่วโลก โดยมีเป้าหมายให้รถยนต์มาสด้าสามารถลดการใช้พลังงานลง30% แต่ยังคงรักษาราคาเดิม เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเป็นเจ้าของได้ง่าย

ทาคาชิ ยามานูชิ
เป็นคำกล่าวของ ทาคาชิ ยามานูชิ ประธานและซีโอโอ บริษัท มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น กล่าวในงาน MAZDA NEXT-GENERATION TECHNOLOGY FORUM กับผู้สื่อข่าวจากเอเชียแปซิฟิก, ตะวันออกกลาง และแอฟริกาใต้ ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเช่นกัน
ยามานูชิยังกล่าวว่า เทคโนโลยีสกายแอคทีฟเป็นการรวมสิ่งสำคัญของรถยนต์ไว้ด้วยกัน คือ เรื่องการรักษาสมรรนะการขับขี่ที่สนุกและเพลิดเพลิน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประหยัดพลังงาน และมีความปลอดภัย ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถเริ่มได้ก่อนจากการพัฒนารถยนต์ปัจจุบันให้เต็มที่เสียก่อน อย่างเรื่องของระบบ i-STOP และเทคโนโลยีสกายแอคทีฟที่จะช่วยลดการสิ้นเปลืองพลังงานได้ 30% เพราะเครื่องยนต์ปัจจุบันในโลกนี้ใช้พลังงานจริงๆ ไปเพียง 30% แต่สูญเสียไปในระบบต่างๆ ถึง 70%
หากพัฒนารถให้สามารถใช้พลังงานได้เต็มที่ แทบจะไม่แตกต่างจากรถพลังงานไฮบริดทั่วไป และนับจะเป็นเรื่องง่ายและดีมากกว่า ที่จะต่อยอดเป็นรถไฮบริด หรือพลังงานไฟฟ้าในอนาคตยามานูชิกล่าว
สำหรับเทคโนโลยีสกายแอคทีฟของมาสด้า จากรายงานของมาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ไม่ใช่เพียงแค่การพัฒนาเครื่องยนต์เบนซิน-ดีเซลใหม่ และระบบขับส่งกำลังเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการออกแบบพัฒนาแพลตฟอร์มตัวถังและช่วงล่างด้วย ซึ่งผลจากการนำเทคโนโลยีสกายแอคทีฟมาใช้ทั้งหมด จะทำให้รถยนต์มาสด้ามีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันดีขึ้น 30% จากปัจจุบัน (รายละเอียดของเทคโนโลยีสกายแอคทีฟ ASTV ผู้จัดการมอเตอริ่ง จะนำเสนอในครั้งต่อไป)
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมาสด้าจะนำเทคโนยีสกายแอคทีฟมาใช้ในตลาดโลก รวมถึงประเทศไทยในอีก 1-2 ปีข้างหน้า การแข่งขันในตลาดรถยนต์ก็รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ในไทยก็ไม่แตกต่างกันมากนัก ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฮบริด และอีโคคาร์ เพื่อให้มาสด้าสามารถแข่งขันในตลาดได้ จึงเริ่มพิจารณาที่จะนำพลังงานทดแทนอื่นๆ มาทำตลาดในไทย โดยทางออกที่น่าจะทันสถานการณ์ที่สุด เห็นจะเป็นรถยนต์ที่รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85

มาสด้า 2

มาสด้า 3 ใหม่

BT50ใหม่
ทั้งนี้มีรายงานข่าวจากบริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่ากำลังสนใจที่จะผลิตรถยนต์ที่สามารถรองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมากระทรวงอุตสาหกรรม ได้เชิญบริษัทรถยนต์ต่างๆ ในไทย ไปรับฟังข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการผลักดันและสนับสนุนรถยนต์ใช้น้ำมัน E85 รวมถึงข้อเรียกร้องต่างๆ ซึ่งมาสด้ายืนยันพร้อมที่จะผลิตรถใช้น้ำมัน E85 แต่ต้องการความชัดเจนเกี่ยวกับเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ที่จะสนับสนุนจากรัฐบาล
โดยตามรายงานข่าวบริษัทรถยนต์ต่างๆ ที่ไปพูดคุยกับกระทรวงอุตสาหกรรม ต้องการให้รัฐบาลเปิดกว้างเรื่องเกี่ยวกับเงื่อนไขกำหนดขนาดเครื่องยนต์ มากกว่าเดิมที่กำหนดต้องเครื่องยนต์ตั้งแต่ 1800 ซีซีขึ้นไป จึงจะได้รับการสนับสนุนลดภาษีน้ำเข้าชิ้นส่วนและภาษีสรรพสามิตจากเดิมลงอีก 3%
ในส่วนของมาสด้าต้องการจะนำรถยนต์มาสด้า2 มาพัฒนาเครื่องยนต์ให้รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 มากที่สุด เพราะเป็นตลาดใหญ่ที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะได้รับประโยชน์มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของราคารถและน้ำมันที่ลดลง หรือไม่ก็ต้องให้รถยนต์ขนาดคอมแพ็กต์ตั้งแต่ 1600 ซีซีขึ้นไป อยู่ในเงื่อนไขสนับสนุนโครงการสนับสนุนรถยนต์ใช้น้ำมัน E85 ของรัฐบาล
เรียกว่าทิศทางของอุตสาหกรรมรถยนต์ ไม่ว่าจะในตลาดโลก หรือประเทศไทย ต่างมุ่งสู่รถยนต์ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งจากความเคลื่อนไหวที่กล่าวมา นับว่ามาสด้าขยับตัวทุกระดับแล้ว หรือไม่ว่าจะเป็นยี่ห้อไหนที่ดำเนินการในเรื่องเหล่านี้ ประโยชน์ที่ตามมาย่อมส่งผลต่อผู้บริโภค และสังคมโลกทั้งนั้น
ที่มา. Motoring - Manager Online
