บทสรุปก็คือ
ปตท เป็นรัฐวิสาหกิจ มีบอร์ดบริหารโดยตรง รัฐมีหุ้นส่วนอยู่เกินกึ่งหนึ่ง ก็ไม่ได้หมายความว่าบริหารโดยรัฐบาลแต่ละชุด
นั่นหมายความว่ารัฐบาลทุกยุคทุกสมัย จะรู้ก็ได้หรือไม่รู้ก็ได้ ว่าแหล่งที่มาของน้ำมันนั้นมาจากที่ใด แล้วก็ปั๊มน้ำมันเล็กหรือใหญ่ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเข้า
หรือการได้มาของน้ำมันดิบ เพราะสิทธิ์ขาดในการจัดการน้ำมันทั้งหมดอยู่ที่ ปตท.
รัฐบาลมีหน้าที่กำหนดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน หรือ การเก็บเข้ากองทุนน้ำมันเพียงอย่างเดียว
โดยข้อมูลวันที่ 9 มีนาคม ปี 2553 ปตท.มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 15 อันดับแรก ดังนี้
1.กระทรวงการคลัง 51.494%
2.กองทุนรวมวายุภักษ์หนึ่ง โดย บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) 7.686%
3.กองทุนรวมวายุภักษ์หนึ่ง โดย บลจ.กรุงไทย จำกัด (มหาชน) 7.686%
4.บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 2.951%
5.CHASE NOMINEES LIMITED42 2.146%
6.STATE STREET BANK AND TRUST COMPANY 1.576%
7.HSBC (SINGAPORE) NOMINEES PTE LTD 1.439%
8.NORTRUST NOMINEES LTD 1.170%
9.สำนักงานประกันสังคม (2 กรณี) 0.954%
10.MELLON BANK,N.A. 0.643%
11.กองทุน GPF EQ-TH 0.485
12.HSBC BANK PLC-CLIENTS GENERAL A/C 0.425%
13.GOVERMENT OF SINGAPORE INVESTMENT CORPORATION 0.401%
14.THE BANK OF NEW YORK (NOMINEES) LIMITED 0.392%
15.NORBAX INC.,13 0.391%
ส่วนแหล่งน้ำมันมาจากหลายแหล่งขึ้นอยู่กับการสำรวจพบ และการสัญญาสัมปทาน ของแต่ละประเทศที่มีสัญญาต่อกัน
ซึ่งน้ำมันที่คนไทยตาดำ ๆ อย่างผมใช้ ในประเทศไทยปัจจุบันนั้นก็หารู้ไม่ว่าแหล่งที่มาที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ใด
สนามบินก็รู้ว่าอยู่ที่ไหน มีเครื่องบินลำนู้นลำนี้ก็รู้ว่ามาจากประเทศไหน
รถแต่ละสัญชาติก็รู้ว่ามาจากไหน
แต่ขาดตรงไม่รู้ที่มาของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ขับเคลื่อน
แล้วจะรู้ไปทำไม่ล่ะ ในเมื่อมีให้ใช้ก็ใช้ไปเถอะ!
เดี๋ยวน้ำมันขึ้นเมื่อไหร่บอกเอง อย่ารู้ไปมากกว่านี้เลย?
นี่คือประโยคที่คงต้องใช้ตอบลูกหลาน