อะเอานี่ลองไปอ่านเล่นๆ...
กลุ่มปตท.กำไรไตรมาส 3 เฉียด 8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 105% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน จากการฟื้นตัวของกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมีจากการรวบรวมผลประกอบการกลุ่มปตท.(PTT) 6 บริษัท ประกอบด้วย ปตท. บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ.(PTTEP) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTCG) บริษัท ไทยออยล์ (TOP) บริษัท ไออาร์พีซี (IRPC) และ
บริษัท บางจากปิโตรเลียม (BCP) พบว่าช่วง 9 เดือนปี2555 มีกำไรสุทธิรวม 1.61 แสนล้านบาท ลดลง 6,092 ล้านบาท หรือ 3.63% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกำไรทุกบริษัทปรับลดลง มีเพียงปตท.สผ.ที่มีกำไรเพิ่มขึ้น 47% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับงวดไตรมาส 3 กลุ่ทปตท.มีกำไรสุทธิรวม 7.97 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.1 หมื่นล้านบาท หรือ 105.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยทุกบริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัท ไทยออยล์ มีการเพิ่มขึ้นของกำไรสูงสุด คือ มีกำไร 1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 300% บริษัทไออาร์พีซี มีกำไร 2.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 231.4% ตามมาด้วย ปตท.ผส.กำไร 1.75 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 135.7% บริษัท พีทีทีโกลบอลฯมีกำไร 1.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 113% บางจากกำไร 1.07 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 77.3% และปตท.กำไร 3.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 67%
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT)กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ ปตท.และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขาย 6.86 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.8% มีกำไรสุทธิ 3.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 67% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าราคาเฉลี่ยของน้ามันดิบดูไบจะลดลงจาก 107.1 ดอลลาร์หรัฐต่อบาร์เรล เหลือ 106.3 ดอลลาร์ฯต่อบาร์เรล
ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากผลประกอบการที่ดีขึ้นของปตท.สผ. ประกอบกับบริษัทมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม 1.32 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 195.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจการกลั่นและปิโตรเคมีที่ดีขึ้น แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและวิกฤติหนี้ยุโรปยังคงยืดเยื้อ แต่อุปทานของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ตึงตัว และส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบ (สเปรด) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้บริษัท ยังมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 3.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 163.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 5.3 พันล้านบาท 5,362 ล้านบาท รวมทั้งจ่ายภาษีลดลง 13.9% หรือจ่ายที่ 8.93 พันล้านบาท
สำหรับแนวโน้มราคาน้ามันดิบดูไบเฉลี่ยในไตรมส 4 ปีนี้ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากเหตุการณ์ความตึงเครียดและความไม่สงบในตะวันออกกลางที่ยังไม่ยุติ ประกอบกับความต้องการน้ามันที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาว และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่คาดว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มดีขึ้น ในส่วนของราคาน้ำมันสำเร็จรูปเฉลี่ยในไตรมาสที่ 4 คาดว่าส่วนใหญ่จะเพิ่มขึ้นตามราคาน้ามันดิบยกเว้นเบนซิน 95 ที่ราคาจะลดลงเนื่องจากความต้องการที่ลดลงตามฤดูกาล
อย่างไรก็ตาม ค่าการกลั่นของโรงกลั่นประเภท Cracking อ้างอิงที่สิงคโปร์คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 8-9 ดอลลาร์ฯต่อบาร์เรล จากราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ปรับเพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยกว่าน้ามันดิบ ขณะที่ราคาผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ที่มีแนวโน้มปรับขึ้น ตามราคาน้ามันดิบและแนฟทาที่คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้น และความต้องการผลิตสินค้ารับปีใหม่
โดยราคาโพลีเอทิลีนความหนาแน่นสูงคาดว่าจะอยู่ที่ 1,397 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตันและราคาโพลีโพรพิลีนคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,471ดอลลาร์ สหรัฐฯต่อตัน เช่นเดียวกับราคาผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้น ตามราคาวัตถุดิบ โดยราคาเบนซีนคาดว่าจะอยู่ที่ 1,218 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน และราคาพาราไซลีนคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,516 ดอลลาร์ สหรัฐฯต่อตัน
Tags : ไพรินทร์ ชูโชติถาวร ปตท. ข้อมูลอ้าอิงจาก: หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุกิจ ส่วนการเงิน-การลงทุน วันที่16 พฤศจิกายน 2555อะเอาไปอีกข่าว... ข้อมูลอ้าอิงจาก: หนังสือพิมพ์ ผู้จัดการonline หน้าแรก หุ้น-การเงิน วันที่15 พฤศจิกายน 2555ปตท.โชว์กำไรสุทธิไตรมาสสาม 3.6 หมื่นล้าน จากผลดำเนินงานที่ดีขึ้นของ ปตท.สผ. ขณะที่งวด 9 เดือนกำไร 8.1 หมื่นล้าน ลดลงจากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไร 8.8 หมื่นล้านบาท จากกำไรการสต๊อกน้ำมัน และผลดำเนินงานในธุรกิจปิโตรเคมีลดลง บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) (PTT) รายงานผลดำเนินงานไตรมาส3 มีกำไรสุทธิ 36,054.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/54 ที่มีจำนวน 21,470.60 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 12.62 บาท เพิ่มขึ้นจาก 7.52 บาท ในไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะที่ผลดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 2555 ปตท. มีกำไรสุทธิ 81,953.59 ล้านบาท ขณะที่งวด 9 เดือนปี 2554 บริษัทมีกำไร 88,669.90 ล้านบาท
โดยภาพผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 ปี 2555 เปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 3 ปี 2554 ปตท. รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ใน Q3/2555 ปตท. และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายจำนวน 686,025 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก Q3/2554 ร้อยละ 5.8 แม้ว่าราคาเฉลี่ยของน้ำมันดิบดูไบลดลงจาก 107.1 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลใน Q3/2554 เหลือ 106.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลใน Q3/2555 ในขณะที่กำไรก่อนหักต้นทุนทางการเงิน ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่น และรายได้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน (EBITDA) เพิ่มขึ้นจานวน 3,423 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.5 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากผลประกอบการที่ดีขึ้นของบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท.สผ.)
นอกจากนี้ ใน Q3/2555 ปตท. และบริษัทย่อยมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม จำนวน 13,217 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 195.8 เมื่อเทียบกับ Q3/2554 จากผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจการกลั่น และกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีที่มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น แม้ว่าใน Q3/2555 ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และปัญหาวิกฤตหนี้ยุโรปยังคงยืดเยื้อ แต่อุปทานของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ตึงตัว จากการที่โรงกลั่นน้ำมันปิดดาเนินการทั้งตามแผนและฉุกเฉิน เช่น เหตุไฟไหม้ที่โรงกลั่น Richmond ของ Chevron ในสหรัฐฯ และโรงกลั่น Amuay ของ PDVSA ในเวเนซุเอลา ส่งผลให้ค่าการกลั่น (GRM) ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ Q3/2554 ในขณะที่กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีมีผลการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น จากส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์ และวัตถุดิบ (Spread Margin) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ Ethylene จากการหยุดการผลิตตามแผนและหยุดฉุกเฉิน รวมทั้งการลดกำลังการผลิตของ Naphtha Cracker ในเอเชีย ทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือลดลง รวมทั้ง Spread Margin ของ Benzene ปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากโรงโอเลฟินส์หลายแห่ง โดยเฉพาะในเอเชีย สหรัฐฯ และยุโรป ยังคงลดกาลังการผลิต เนื่องจากความต้องการสารโอเลฟินส์อยู่ในระดับต่ำส่งผลให้สารเบนซีนที่เป็นผลิตภัณฑ์พลอยได้ผลิตออกมาสู่ตลาดน้อยลง รวมทั้งมีการปิดซ่อมบำรุงตามแผนใน Q3/2555
ขณะเดียวกัน ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 3,408 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 163.6 จาก Q3/2554 ที่มีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 5,362 ล้านบาท รวมทั้ง ใน Q3/2555 ปตท. และบริษัทย่อยมีค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ จำนวน 8,935 ล้านบาท ลดลงจาก Q3/2554 จำนวน 1,443 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 13.9 ส่งผลให้ใน Q3/2555 ปตท. และบริษัทย่อยมี กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 14,583 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 67.9 จากกำไรสุทธิ 21,471 ล้านบาทใน Q3/2554 (หรือคิดเป็น 7.52 บาทต่อหุ้น) เป็นกำไรสุทธิ 36,054 ล้านบาทใน Q3/2555 (หรือคิดเป็น 12.62 บาทต่อหุ้น)
ส่วนในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 (9M/2555) ปตท. และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขาย จำนวน 2,060,947 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 9M/2554 ร้อยละ 12.5 เป็นผลมาจากราคาขายผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยราคาเฉลี่ยของน้ำมันดิบดูไบเพิ่มขึ้นจาก 106.1 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลใน 9M/2554 เป็น 109.6 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลใน 9M/2555 ส่งผลให้ EBITDA เพิ่มขึ้น จำนวน 14,755 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.2 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากผลประกอบการที่ดีขึ้นของ ปตท.สผ.และหน่วยธุรกิจน้ำมัน ใน 9M/2555 ปตท.
ขณะที่บริษัทย่อยมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม จำนวน 19,152 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 26.7 เมื่อเทียบกับ 9M/2554 จากผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจการกลั่นที่ลดลง แม้ว่าราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับ 9M/2554 แต่เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และปัญหาวิกฤตหนี้ยุโรปที่ยังคงยืดเยื้อ ส่งผลให้ตลาดน้ำมันมีความผันผวน ประกอบกับใน 9M/2554 เป็นช่วงอุปทานตึงตัวจากเหตุการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง ทำให้เมื่อเทียบกับ 9M/2554 แล้วงวด 9M/2555 มีกำไรจากสต๊อกน้ำมันลดลง
ส่วนผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีมีผลการดำเนินงานที่ลดลง จาก Spread Margin ที่ปรับตัวลงเกือบทุกผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะ LDPE ที่ราคาผลิตภัณฑ์ยังคงอ่อนตัวลงตามสภาพเศรษฐกิจของยุโรป ซึ่งเป็นตลาดที่สำคัญของผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ใน 9M/2554 ตลาดพาราไซลีนได้รับแรงหนุนจากภาวะอุปทานตึงตัว จากปัญหาการหยุดผลิตของโรงพาราไซลีนหลายแห่ง รวมทั้งอุปสงค์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากจากโรงพีทีเอแห่งใหม่ที่ประเทศจีนซึ่งเข้ามาในระบบอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ 9M/2555 ตลาดพาราไซลีนได้รับแรงกดดันจากโรงพีทีเอหลายแห่งที่ประสบภาวะขาดทุน จนต้องลดกาลังการผลิตลง ส่งผลให้ Spread Margin ของพาราไซลีนลดลง เมื่อเทียบกับ 9M/2554
นอกจากนี้ั 9M/2555 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 4,038 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 360.1 จาก 9M/2554 ที่มีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน จานวน 1,552 ล้านบาท และ 9M/2555 มีค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ จำนวน 34,061 ล้านบาท ลดลงจาก 9M/2554 จานวน 1,534 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 4.3 อย่างไรก็ตาม ใน 9M/2555 PTTI มีการรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าของเงินลงทุนใน EMG จำนวน 3,972 ล้านบาท รวมทั้ง ปตท.สผ. มีการรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์แหล่งมอนทารา จำนวน 3,455 ล้านบาท ส่งผลให้ใน 9M/2555 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิลดลง 6,716 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 7.6 จากกำไรสุทธิ 88,670 ล้านบาทใน 9M/2554 (หรือคิดเป็น 31.09 บาทต่อหุ้น) เป็นกำไรสุทธิ 81,954 ล้านบาทใน 9M/2555 (หรือคิดเป็น 28.69 บาทต่อหุ้น) ทั้งนี้ กำไรสุทธิดังกล่าวเป็นกำไรจากผลประกอบการของ ปตท. ประมาณร้อยละ 46 อีกร้อยละ 54 เป็นผลประกอบการของบริษัทในเครือตามสัดส่วนการลงทุน