หลักการธรรมดาๆเลยครับ
เชื้อเพลิงแก๊สเมื่อเผาไหม้ให้ความร้อนมากกว่าเชื้อเพลิงน้ำมัน
เมื่อเผาไหม้ให้ความร้อนสูงกว่า ความร้อนสะสมก็มากกว่า เป็นธรรมดาครับ
ไทยไดร์ฟเวอร์ เล่มที่ 97 สิงหาคม 2550 หน้า154
ใช้แก๊สแล้วเครื่องพัง เรื่องเก่าๆที่ยังลือกันอยู่
ทำความเข้าใจให้ถ่องแท้
ประเด็นหลักๆ ที่ร่ำลือว่าแก๊สทำร้ายเครื่อง ก็คือ บ่าวาล์ว
การทำความเข้าใจเรื่องนี้อย่างแท้จริง ผู้ที่ไม่ใช่ช่างยนต์ ต้องมีจิตนาการตามไปด้วย ถ้ามโนภาพได้ จะเข้าใจได้แน่ๆ
ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์คาบูฯหรือหัวฉีด(ไม่นับหัวฉีดตรงเข้าห้องเผาไหม้ GDi) การจ่ายเชื้อเพลิงเข้าสู่กระบอกสูบต้องทำก่อนวาล์วไอดีปิด
ในจังหวะที่ลูกสูบเลื่อนขึ้นในจังหวะอัด เตรียมเจอกับประกายไฟของหัวเทียนในจังหวะระเบิด รูปทรงของหัวลูกสูบและห้องเผาไหม้ของฝาสูบ รวมทั้งการเคลื่อนที่ของลูกสูบให้เกิดแรงดันสูง ย่อมเปิดความปั่นป่วนของเชื้อเพลิงและอากาศที่ผสมกันอยู่ ให้เกิดการคลุกเคล้าเป็น ไอดี
นั่นคือเป็นไอของอากาศที่ผสมเชื้อเพลิงอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่เป็นอากาศที่มีเม็ดเชื้อเพลิงผสมอยู่เป็นหยดๆ
ไม่ว่าจะใช้เชื้อเพลิงอะไรก็ตาม ในจังหวะอัด ผู้ผลิตเครื่องล้วนพยายามทำให้เป็นไอดี มีสถานะเป็นไอที่พร้อมจุดไฟติดจนลุกไหม้ได้รวดเร็ว
ดังนั้นแม้เชื้อเพลิงจะเป็นของเหลว อย่างเบนซิน เมื่อจ่ายเข้าไปในห้องเผาไหม้ ก็ต้องถูกคลุกเคล้าจนไป ไอดี เพื่อพร้อมจุดระเบิด
เครื่องยนต์และหัวเทียนไม่รู้สึกถึงความแตกต่างของสถานะเชื้อเพลิงในช่วงจ่ายเข้ามาเพราะยังไงก็ต้องคลุกให้เป็นไอ
วาล์วไอดีที่เชื้อเพลิงต้องไหลผ่าน มีความร้อนต่ำเพราะมีอากาศและเชื้อเพลิงไหลผ่านบ่อยๆ ทุกครั้งที่เป็นจังหวะดูดของเครื่อง การที่เชื้อเพลิงอะไรก็ตามไหลผ่านวาล์วไอดี ก็ไม่ได้มีความแตกต่างด้านการสึกหรอของบ่าวาล์วเลย
ประเด็นที่เข้าใจผิดว่าใช้แก๊สแล้วแห้ง ส่งผลให้บ่าวาล์วแห้งและสึกหรอเร็วขึ้นจึงไม่ใช่บ่าวาล์วไอดีที่ภาระน้อย
บ่าวาล์วไอเสีย เป็นชิ้นส่วนที่ถูกเพ่งเล็งว่า เมื่อใช้แก๊สแล้วบ่าวาล์วจะสึกเร็ว
ลองคิดดูว่า เมื่อเผาไหม้ไปแล้ว ไม่ว่าเชื้อเพลิงอะไรก็ต้องมีความร้อนสูงและกลายเป็นไอเสีย ไหลผ่านบ่าและวาล์วไอเสีย ซึ่งนั่นเป็นที่มาของภาระที่หนักกว่าบ่าและวาล์วไอดี หนีไม่พ้นที่จะมีความแห้งในตัวเอง ไม่ว่าจะใช้เชื้อเพลิงชนิดของเหลวหรือแก๊ส
ถ้าจะมีอะไรที่เปียกหรือมีสถานะทำตัวเป็นเบาะ นั่นคือ สารตะกั่วซึ่งในไทยนั้นน้ำมันเบนซินไม่มีสารตะกั่วมานานเกิน15ปีแล้ว
ส่วนพวกที่เข้าใจผิดใส่น้ำมันออโต้ลูปสำหรับเครื่องยนต์2จังหวะมาใส่ในเครื่องที่ใช้แก๊ส ก็เป็นความเข้าใจผิดและมีผลเสียล้วนๆ เพราะห้องเผาไหม้ หัวลูกสูบ และหัวเทียนจะเลอะเปียกไปหมด ในขณะที่ตัวน้ำมันออโต้ลูป ก็ไม่ได้ทำตัวเป็นเบาะรองบ่าวาล์วได้ดีนัก จึงไม่จำเป็นต้องใส่
ดังนั้นการที่บอกว่า ใช้แก๊สแล้วบ่าวาล์วสึกเพราะความแห้ง จึงไม่เป็นจริง
และที่เข้าใจผิดกันว่า ใช้แก๊สแล้วเครื่องร้อน เพราแก๊สร้อนกว่า....ก็ไม่จริง เพราถ้าแก๊สให้ความร้อนมากกว่าจริง การใช้แก๊สก็ต้องให้พลังงานแรงขึ้น มีแรงม้า-แรงบิด มากกว่าตอนใช้น้ำมันเบนซิน เพราะความร้อนก็คือพลังงานที่จะดันลูกสูบหลังการเผาไหม้ ถ้าไม่ได้ทำให้เครื่องยนต์แรงขึ้น ก็แสดงว่าแก๊สไม่ได้ร้อนกว่าน้ำมันเบนซิน
ต้องคำนึงถึงปัจจัยที่เป็นจริง
การใช้แก๊สมีโอกาสที่เครื่องยนต์จะร้อนกว่าใช้น้ำมันได้ใน 2 กรณี คือ1.มีการปรับจูนให้จ่ายแก๊สบาง โดนเน้นความประหยัด จนค่าไอเสียวัดได้สูงกว่าแลมป์ดา1.0ตามที่ควรจะเป็น 2.ค่าออกเทนของแก๊สมีค่ามากกว่าเบนซิน(LPGออกเทน 105-110 NGV ออกเทน120)
เมื่อนำมาใช้ โดยไม่มีการปรับไฟจุดระเบิดให้ แก่กว่าเดิม(จุดล่วงหน้า) ก็จะเป็นการทำงานด้วยไฟจุดระเบิดอ่อน (ล่าช้า) ทำให้การลามของไฟไม่ได้ถีบลูกสูบเต็มที่ แต่ลามไปสู่ช่วงวาล์วไอเสียเปิดในจังหวะคายด้วย ความร้อนที่ไม่ถูกใช้ถีบลูกสูบเต็มที่ ถ่ายทอดผ่านวาล์วไอเสีย ต่อไปยังบ่าวาล์วและฝาสูบอย่างต่อเนื่อง
ในกรณีจูนให้จ่ายแก๊สบางกว่าปกติ มีผลทำให้เครื่องยนต์ร้อนและแรงตก มากกว่าในกรณีที่แก๊สมีออกเทนสูงกว่าเบนซินแล้วต้องการไฟแก่ เพราะอย่างแอลพีจรก็มีออกเทนสูงกว่าเบนซิน95แค่ประมาณ10เท่านั้น ไปจุดระเบิดเดิมๆก็ยังพอรองรับได้
ถาม:ทำไมจึงพูดกันทั่วเมืองว่า เมื่อติดตั้งแก๊สแล้ว บางคนว่าการเผาไหม้ของแก๊สร้อนกว่า บางคนว่าเครื่องร้อนกว่า
อ.ศิริบูรณ์ ตอบ : อุณหภูมิเผาไหม้ของเบนซินที่ส่วนผสมแลมป์ดา1.0สูงกว่าเมื่อใช้แก๊ส LPG หรือ CNG แต่เจ้าของรถที่ติดแก๊ส เคี่ยวเข็ญให้อู่แก๊สจูนบาง 1.1-1.2 เพราะเขาต้องการความประหยัด เรื่องต่อมาคืออู่แก๊สไม่มีปัญญาจูนไฟจุดระเบิดให้เหมาะสมกับออกเทนสูงของแก๊สได้ เพราะเครื่องสมัยนี้ไม่มีจานจ่าย
ถาม : อาจารย์กำลังจะบอกไม่ว่าเชื้อเพลิงอะไรก็ตาม ถ้าไฟอ่อนก็จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้
ตอบ : ใช่ เครื่องร้อนและแรงม้าก็หายไปด้วย
ถาม : แล้วจะแก้ยังไงครับ
ตอบ : เรื่องแรก อย่าจูนแก๊สบางกว่าแลมป์ดา 1.0 เรื่องหลัง คือต้องใช้ ECU หรือ Piggy bag ที่สามารถจูนไฟจุดระเบิดได้ด้วย
ถาม : สมมุติว่าร้อนจนลามมาถึงที่วาล์วลัที่พอร์ต ไม่มีวิธีอื่นที่จะผ่อนหนักเป็นเบาหรือครับ เช่น บางแหล่งบอกว่าใช้น้ำมันเครื่องดีๆ
ตอบ : พวกสารเคมีในน้ำมันเครื่องไม่มีทางที่จะทำอะไรได้ ต้องแก้ไขที่กลไก เช่น เปลี่ยนวาล์วตัวละ 300 บาท ให้เป็นตัวละ 1500 บาท เปลี่ยนบ่าวาล์วจากตัวละ 50 บาท ให้เป็นตัวละ 300-400 บาท
ถาม : อีกประเด็นครับ ภายหลังการเผาไหม้เครื่องยนต์ที่ใช้แก๊สที่แห้งปราศจากไอน้ำมันปกคลุม
ตอบ : เผาไหม้เสร็จแล้ว อะไรๆก็แห้งสนิททั้งนั้น
ถาม : ตอนที่วิ่งอยู่ที่แลมป์ดา 1.0 อุณหภูมิเท่าไรครับ
ตอบ : เครื่องแก๊สโซลีน NA ประมาณ 750 องศาเซลเซียส ถ้าเป็นเครื่องเทอร์โบ ก็บวกเข้าไปอีก 100c มีกรณีที่ผมพบว่าน้ำมันเครื่องเป็นปัญหา คือ เฉพาะกรณีที่ใช้ CNG ที่มีกำมะถัน ปะปนมาค่อนข้างมาก เช่นแก๊สธรรมชาติที่มาจากแหล่งพม่า ควรระวังใช้น้ำมันเครื่องที่ไม่แพ้ภัยกำมะถันง่ายๆเหมือนน้ำมันปกติ
ความจริง CNG เข้าเครื่องเฉพาะช่วงบน คือ ห้องเผาไหม้เท่านั้น แต่ก็เล็ดรอดลงไปสู่อ่างน้ำมันเครื่องได้ถ้าหากแหวนลูกสูบสึกหรอจนมี CNG รั่วผ่านแหวนลงไป น้ำมันเครื่องจะเสื่อมสภาพรวดเร็วมาก แล้วคุณก็จะต้องรีบยกเครื่อง เพราแบริ่ง (ที่ชอบเรียกันว่า ช้าป)ละลายหมด
เรื่องนี้มักเกิดกับ เครื่องดีเซลขนาดใหญ่ จากรถบรรทุกหัวลากที่ถูกดัดแปลงไปใช้ Bio-gas (Methane ตระกูลเดียวกับ CNG เพียงแต่ไม่ได้อัดกระป๋องเท่านั้น ฟุ้งขึ้นมาจากบ่อหมักก็ดูดเข้าเป็นไอดีเลย)เครื่องพวกนี้มักมาจากเชียงกงยังไงก็ใช้งานต่อไป ไม่ได้ยกเครื่องให้เหมือนใหม่ แหวนหลวมมาแล้วทั้งนั้น ถ้าวิ่งปั่นไฟตลอด 24 ชั่วโมง ส่งขายการไฟฟ้า ทุก 5 วัน ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องใหม่ แต่ 5 วันก็ไม่น้อยกว่า 100 ชั่วโมง ถ้าอยู่ในรถที่วิ่งความเร็วเฉลี่ย 80 กม./ชม. ก็เทียบเป็นกิโลเมตรได้ตั้ง 8000 กิโล สรุปแล้วอายุน้ำมันเครื่องก็ไม่ได้สั้นลงมากนัก