AE. Racing Club
20 กันยายน 2024 21:48:49 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ไม่ได้โฆษณาให้ใคร แต่ดูแล้วซึ้ง และมีข้อคิดที่ดี เลยเอามาฝากน้าๆ ครับ  (อ่าน 1801 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
chaiyasita
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,937


7A-FE AUTO / แจ้งวัฒนะ-นครนายก


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 13 กันยายน 2013 21:43:18 »

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=7s22HX18wDY" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=7s22HX18wDY</a>
บันทึกการเข้า

สนใจบ้านสวย วิววัน พาราไดซ์:นครนายก  www.fb.com/paradise26000
สนใจที่ดินเปล่า วิวสวย บรรยากาศขุนเขา ใกล้เขาใหญ่:นครนายก  www.fb.com/teedintookth
สนใจนิพพาน : www.fb.com/buddhawajana.ny
Jay หมอศรี @ WZ Zone
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,819



ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 13 กันยายน 2013 22:44:51 »

โหย โฆษณานี้เจ๋งมากเลยครับ น้าสิท ดูแล้วซึ้งเลย ตอนแรกนึกว่า ขอทานเป็นคนๆเดียวกัน
บันทึกการเข้า
Sprintter@TZ
นักแข่งมืออาชีพอันดับหนึ่ง
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,307


ice


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 13 กันยายน 2013 23:37:16 »

 สุดยอด สุดยอด สุดยอด
 ได้โปรด.. ได้โปรด.. ได้โปรด..
บันทึกการเข้า

น้าเช
นักแข่งมืออาชีพอันดับสาม
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 531



ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 14 กันยายน 2013 10:13:48 »

น้ำตาจะไหลเลย
บันทึกการเข้า

doraemonarak
นักแข่งมืออาชีพอันดับหนึ่ง
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,087



ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 14 กันยายน 2013 10:43:48 »

นานมาแล้ว เคยอ่านครับ เป็นเรื่องสั้นๆและมีการแชร์ๆต่อเนื่องในโลกเฟสบุ๊ค ซึ้งที่สุด ให้ข้อคิดอย่างน้อยๆก็ 3 เรื่อง
คือเด็กทำเพื่อแม่   การมีน้ำใจและให้อภัย    ความกตัญญูแม้จะผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่ลืมพระคุณ
บันทึกการเข้า

หลงใหล AE
jacky31
นักแข่งมืออาชีพอันดับหนึ่ง
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,541


1,300 CC ครับ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 14 กันยายน 2013 11:15:25 »

  เศร้า ได้โปรด.. ได้โปรด..
บันทึกการเข้า

AE@west
นักแข่งมืออาชีพอันดับสาม
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 626



ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 14 กันยายน 2013 11:47:16 »

 ได้โปรด..
บันทึกการเข้า
ae 101
นักแข่งมืออาชีพอันดับหนึ่ง
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,485



ดูรายละเอียด
« ตอบ #7 เมื่อ: 14 กันยายน 2013 13:34:24 »

 สุดยอด
บันทึกการเข้า
EE-101 PRARAM9
มือเก่าหัดแข่ง
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 194


ดูรายละเอียด
« ตอบ #8 เมื่อ: 14 กันยายน 2013 19:06:12 »

 ได้โปรด..
บันทึกการเข้า
jedee
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,490


ได้หมดถ้าสดชื่น


ดูรายละเอียด
« ตอบ #9 เมื่อ: 15 กันยายน 2013 04:40:59 »

 ตรบมือ อินเลิฟ อ่านหนังสือผมไม่ทราบว่าได้แรงบันดาลใจจากเรื่องจริงหรือไม่นะ   แต่อาแปะที่ใจดีแล้วช่วยหมอไว้ตอนเป็นเด็กนั่น เขาได้สร้างเหตุปัจจัยให้ได้กลับไปพบกับเด็กเล็กๆที่ลักยาแล้วตนได้ช่วยเอาไว้ (อันนี้เป็นบุญใหญ่เน้อ ใหญ่กว่าเม็ดเงินค่ายาตามบิลอีกนะสิบอกไห่)  วันหนึ่งเมื่อแปะล้มลง รพ.มีเป็นร้อยเป็นพันในประเทศนี้ ทำไมถึงเจาะจงต้องไปเข้ารพ.ที่เด็กน้อยๆในอดีตเมื่อสามสิบปีที่แปะได้ช่วยไว้ล่ะ เขาเรียกว่าธรรมจัดสรรค์เน้อ อะไรที่บังเอิญไม่เคยมี ทุกอย่างล้วยกรรมส่งผลทั้งสิ้น เรามีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งที่อาศัย มีกรรมเป็นเครื่องนำพาชีวิต ใครที่เชื่อว่าเกิดมาแค่หนเดียว ชาติเดียว ก็ลองพิจารณาดูแล้วกัน แต่ไม่ต้องเชื่อ เช้านี้ฝากไว้แค่นี้ล่ะ พายุเข้าเมื่อวาน วันนี้ไม่รู้จะทำได้แค่ไหน  อ่านหนังสือ ตรบมือ สุดยอด
บันทึกการเข้า

Tonsuan
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,000



ดูรายละเอียด
« ตอบ #10 เมื่อ: 15 กันยายน 2013 13:39:44 »

เป็นเรื่องแต่งไว้เตือนสติ ซึ้งดีครับ เคยอ่านในฟอร์เวิดเมล์เมื่อหลายปีก่อนเนื้อเรื่องคล้ายๆกัน  สุดยอด

เป็นเรื่องราวดี ๆ ที่ถูกแชร์ ถูกส่งต่อกันอย่างมากมายในสังคมออนไลน์ เกี่ยวกับเรื่องราวของคุณหมอคนหนึ่ง ที่ผ่าตัดเนื้อร้ายให้กับหญิงคนหนึ่ง โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแม้แต่บาทเดียว... ซึ่งคุณหมอคนดังกล่าว มีชื่อว่า "นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร" แต่ถึงแม้ว่า จะไม่ทราบว่าผู้บอกเล่าเรื่องราวดังกล่าวเป็นใคร และเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ส่วนนายแพทย์เดชา ทองวิจิตร นั้น จะเป็นเพียงตัวละคร หรือเป็นนายแพทย์ที่มีตัวตนจริง ๆ แต่เรื่องราวดี ๆ เรื่องนี้ ก็ทำให้คนที่ได้อ่านรู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก แถมได้ข้อคิดหลายอย่างเลยทีเดียว...ลองไปอ่านเรื่องราวของ นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร กันเลย...

           
            เสียงผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนลั่น พร้อมกับมีเด็กคนหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งวิ่งผ่านฉันกับแม่ที่กำลังซื้อเนื้อหมูในตลาดไปอย่างรวดเร็ว ทั้งแม่และฉันหันไปดูทันเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นแค่แวบเดียว แม่ถามฉันว่า "อ้าว นั่นป้าร้านขายของไม่ใช่เหรอ"

            "ใช่จ้ะแม่ แกวิ่งไล่ใครกันล่ะ"

            ป้าคนนั้นชื่อว่า "ป้าหนอม" เป็นแม่ค้าขายของชำสารพัดอย่างในตัวตลาดในอำเภอที่ฉันอยู่ มีฐานะจัดว่าดีกว่าแม่ค้าคนอื่น ๆ ในละแวกเดียวกัน และเป็นที่รู้จักกันว่าแกเป็นคนที่ขี้เหนียวอย่างร้ายกาจ แถมปากจัดที่สุดในตลาดอีกด้วย ใครต่อราคาของมากเกินไป หรือถามราคาแล้วไม่ซื้อ ป้าแกจะโวยวายชนิดต้องรีบเผ่นออกจากร้านแทบไม่ทันทีเดียว

            เสียงเอะอะดังมากขึ้น ฉันหันไปมองป้าหนอมจับข้อมือเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 12-13 ขวบ ไล่เลี่ยกับฉัน ซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่ และป้าแกกำลังจะลงไม้ลงมือแม่จึงเดินเข้าไปถาม

            "พี่หนอม มีไรเหรอคะ"

            "ก็ไอ้เด็กเวรนี่นะสิ มันมาทำทีขอซื้อยาแก้ปวดกับยาธาตุ พอฉันหยิบส่งให้มันก็วิ่งหนีมาเลย เงินก็ไม่จ่าย" พูดจบป้าหนอมก็ตบหัวเด็กคนนั้นอย่างแรงหนึ่งที และคงจะมีตามมาอีกหลายทีแน่ ถ้าแม่ฉันไม่ห้ามไว้

            "ตายแล้วพี่หนอม อย่าถึงกับลงไม้ลงมือกันเลยนะ แล้วนี่จะทำไงต่อ" แม่รีบตัดบทเพราะเห็นว่าเรื่องราวชักจะไปกันใหญ่

            "เรียกตำรวจมาเอามันไปเข้าคุกนะสิ เสียนิสัย พ่อแม่ไม่สั่งสอนยังเด็กตัวแค่นี้ก็ริจะเป็นขโมยซะแล้ว ต่อไปก็คงต้องปล้นเขากินแหละ"

            ฉันสะกิดแม่ทันทีพร้อมกับมองพลางส่ายหัวน้อย ๆ ทำนองว่าอย่าไปยุ่งดีกว่า แม่มองฉันแล้วมองเด็กคนนั้น ซึ่งท่าทางเหมือนกำลังจะร้องไห้ แม่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปพูดกับป้าหนอมว่า "อย่าให้ถึงอย่างนั้นเลยนะพี่หนอม เด็กมันคงอยากซื้อยาแต่ไม่มีเงินน่ะ เอาเป็นว่าฉันจ่ายให้ละกันนะ กี่บาทกันล่ะ"

            ในที่สุดเรื่องก็จบลง โดยการที่แม่ยอมจ่ายเงินค่ายาแก้ปวดกับยาธาตุ แล้วแม่ก็จูงเด็กคนนั้นออกมาจากตลาด แต่ป้าหนอมยังไม่วายเตือนแม่ "ใจดีกับเด็กขี้ขโมยแบบนี้ ระวังจะเสียใจทีหลังนะเธอ"

            แม่ไม่ได้ตอบอะไร แต่พอเดินห่างจากร้านพอสมควรแล้วก็ถามว่า "ทำไมหนูขโมยของป้าเขาล่ะ" เด็กคนนั้นเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมองแม่ แล้วตอบสะอึกสะอื้นว่า

            "แม่ผมปวดท้องมากเลยครับ แล้วแม่ก็ไม่มีเงินไปหาหมอ ผมก็เลยต้อง..." แม่มองหน้าเด็กคนนั้นอยู่ครู่หนึ่งแล้วยื่นผลไม้ที่ซื้อมาให้เด็กคนนั้นถุงหนึ่ง แล้วบอกว่า "ทีหลังอย่าขโมยของใครนะ ถ้าไม่มีเงินมาขอเงินน้าไปซื้อก็ได้นะ น้าชื่อสมพร เปิดร้านเย็บผ้าอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง ถามคนแถวนี้ก็ได้ รู้จักน้าแทบทุกคนเลยแหละ เอ้า...เอา ส้มไปฝากคุณแม่ซิ คนป่วยต้องกินผลไม้มาก ๆ จะได้หายไว ๆ รู้ไหม" แม่เสริมพร้อมกับยิ้ม

            เด็กคนนั้นอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะรับส้มพร้อมกับพูดขอบคุณแม่แล้วเดินจากไป หลังจากนั้นพอกลับมาถึงบ้าน ฉันก็ถามแม่ทันที "ทำไมแม่ต้องช่วยเด็กคนนั้นด้วยล่ะ รู้จักกันเหรอจ้ะ" แม่ยิ้ม แล้วตอบฉันว่า "ไม่รู้จักหรอก แต่แม่เห็นเด็กคนนั้นรับจ้างหาบขนมขายอยู่แถวบ้านเราน่ะลูก แต่คงจำแม่ไม่ได้หรอก แม่ซื้อขนมแกอยู่ไม่กี่ครั้งเอง"

            "แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องช่วยเหลือเขาถ้าเขาเป็นขโมยนี่แม่" ฉันถามต่อ แม่มองหน้าฉันแล้วพูดว่า "แม่เชื่อว่าเด็กที่เคยหาเงินด้วยตัวเองมาก่อนตั้งแต่อายุเท่า ๆ กับลูกจะต้องเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบ รู้คุณค่าของเงินทุกบาททุกสตางค์ว่ากว่าจะได้มามันเหนื่อยยากขนาดไหน และคนที่มีความรับผิดชอบนะ จะไม่มีทางขโมยของใครนอกจากจะจำเป็นจริง ๆ เมื่อเขาไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้วเท่านั้น"

            ฉันฟังแล้วก็ถามแม่ต่อว่า "แล้วต่อไปถ้าเขามาขอเงินแม่ไปซื้อยาอีก แม่จะให้เขารึเปล่า"

            "ให้สิลูกถ้ามันไม่มากไม่มายอะไร"

            "แล้วแม่ไม่เสียดายเงินเหรอ บ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนบ้านป้าหนอมเขานะแม่"

            "ถึงแม่จะไม่มีเงินทองมากนัก แต่การที่ได้ช่วยเหลือคนที่กำลังลำบากน่ะ มันทำให้แม่มีความสุข แล้วยังได้บุญอีกด้วยนะ แค่นี้แม่ก็พอใจแล้วไม่อยากได้อะไรตอบแทนหรอก"

            แล้วแม่ก็พูดต่ออีกว่า "จำไว้นะลูก คนเรานะ ต้องรู้จักให้อภัยและให้โอกาสคนอื่นแก้ตัวเสมออย่างเด็กคนนั้น.. แม่มั่นใจว่าแกทำไปเพราะรักคุณแม่ของแกจริง ๆ แม่ถึงช่วยแกเอาไว้"

            แล้วแม่ก็พูดต่อว่า "ลูกอาจจะบอกว่าขโมยเป็นสิ่งที่ผิด ใช่...แม่ไม่เถียงแต่บางครั้งคนเราก็ต้องมองด้านอื่น ๆ บ้าง อย่าคิดแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทองตอนนี้ลูกอาจจะยังฟังไม่เข้าใจ แต่แม่เชื่อว่าสักวันลูกจะเข้าใจเองแหละ"

            หลังจากนั้น ฉันกับแม่ก็หันไปคุยเรื่องอื่น ๆ กันต่อ ฉันเองไม่เคยคิดเรื่องนี้อีกเลย จนเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นทำให้ฉันต้องย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้งทั้งน้ำตาว่าคำพูดของแม่ในครั้งนี้ถูกต้องที่สุดจริง ๆ

            หลังจากนั้นฉันเรียนจบระดับปริญญาตรีจากสถาบันราชภัฏแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด แล้วฉันก็ได้งานทำในโรงงานแห่งหนึ่งในตัวจังหวัดนั้นเอง เงินเดือนก็พอประมาณสามารถเลี้ยงดูแม่ได้โดยไม่ขัดสนนัก ฉันก็เลยขอร้องให้แม่หยุดรับจ้างเย็บผ้าเพราะอยากให้แม่พักผ่อนบ้างหลังจากทำงานหนักมาเกือบ 20 ปี เพื่อส่งฉันเรียนแม่ยอมปิดร้าน แต่ก็ยังรับงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเพื่อนบ้านมาทำบ้างโดยไม่คิดเงิน แม่บอกว่าถ้าไม่ได้ทำอะไรเลยจะรู้สึกเบื่อ ฉันก็เลยต้องยอมตามใจแม่

            ฉันทำงานอยู่ประมาณ 2-3 ปี แม่ก็เริ่มรู้สึกไม่สบาย เริ่มจากปวดหัวบ่อยขึ้นช่วงแรก ๆ ไม่กี่วันก็หาย หลังจากนั้นก็เริ่มเป็นนานขึ้นเรื่อย ๆ

            ฉันบอกให้แม่ไปหาหมอ แล้วฉันก็พาแม่ไปหาหมอในเมือง หมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก แค่ทำงานหนักมากเกินไป หมอให้ยามาชุดหนึ่งพร้อมกำชับให้พักผ่อนมาก ๆ จะได้หายเร็ว ๆ

            หลังจากกินยาตามที่หมอสั่ง อาการปวดหัวของแม่ก็หายไป ฉันเริ่มสบายใจขึ้นแต่หลังจากไปหาหมอได้ประมาณหนึ่งเดือน แม่ก็เริ่มกลับมาปวดหัวอีก คราวนี้เป็นหนักมากกว่าครั้งที่แล้ว ยาที่เคยกินแล้วได้ผลมาก่อนก็ไม่ได้ผลเลย ฉันกังวลใจมาก พอถามหมอ หมอก็บอกว่าต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ เพราะว่าเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมกว่าโรงพยาบาลต่างจังหวัด

            หลังจากนั้นฉันรีบพาแม่ไปกรุงเทพฯ ทันที ไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งหลังจากหมอตรวจแล้วบอกว่า มีเนื้องอกในสมองต้องผ่าตัดโดยด่วน หากปล่อยทิ้งไว้อาจไปทับเส้นประสาททำให้เป็นอัมพาตได้ หรือถ้าผ่าตัดไม่ทันก็อาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต ฉันตกใจมากขอให้หมอผ่าตัดให้ทันที แต่หมอบอกว่าโรงพยาบาลที่มีหมอผ่าตัดสมองที่มีความพร้อมที่จะผ่าตัดเนื้องอกในสมองเป็นอีกโรงพยาบาลหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่า ดังนั้นหมอจึงต้องส่งตัวคนไข้ไปยังโรงพยาบาลนั้นฉันก็ตกลง

            หลังจากถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลดังกล่าวแล้วแม่ก็ถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดทันที ขณะที่ฉันรออย่างกังวลใจอยู่ด้านนอกทั้งเรื่องอาการป่วยของแม่และจากคำพูดของหมอที่ทิ้งท้ายไว้ก่อนส่งตัวแม่มาที่โรงพยาบาลแห่งนี้หมอบอกให้ทำใจไว้บ้าง เพราะการผ่าตัดสมองเป็นการผ่าตัดที่เสี่ยงมากโอกาสที่คนไข้จะเสียชีวิตมีมาก แม้การผ่าตัดจะประสบความสำเร็จก็ตามอีกเรื่องก็คือค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดสมองค่อนข้างสูง เป็นหลักแสนบาทเมื่อรวมกับค่ายา ระหว่างพักฟื้น คิดแล้วน่าจะต้องใช้เงินราว ๆ ห้าแสนบาท

            ฉันได้ยินแล้วแทบลมจับ ฉันจะไปหาเงินห้าแสนบาทมาจากไหน ลำพังเงินเก็บของฉันกับแม่ยังมีไม่ถึงห้าหมื่นบาทเลย แต่ยังไงฉันก็ต้องรักษาแม่ให้หาย ส่วนเรื่องเงินไว้คิดทีหลัง

            หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้นลง เป็นโชคดีของแม่ที่การผ่าตัดประสบผลสำเร็จและไม่มีอาการแทรกซ้อนใด ๆ ทางโรงพยาบาลบอกให้พักฟื้นประมาณหนึ่งเดือนก็สามารถไปพักฟื้นที่บ้านได้ ทางโรงพยาบาลแจ้งรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาให้ฉัน ปรากฏว่าเป็นเงินจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันบาท เป็นค่าติดต่อประสานงานเท่านั้น

            ฉันแปลกใจมาก จึงสอบถามกับนางพยาบาล นางพยาบาลบอกว่าคุณหมอที่เป็นคนผ่าตัดและเป็นเจ้าของไข้บอกไม่ให้คิดเงินกับฉันและแม่ โดยที่ทางโรงพยาบาลก็ไม่ทราบสาเหตุ ฉันจึงขอพบคุณหมอคนนั้นเพื่อขอบคุณ นางพยาบาลบอกว่า หลังจากเสร็จคุณหมอก็ถูกส่งตัวไปต่างประเทศทันทีเพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการผ่าตัดสมองที่อเมริกา แต่คุณหมอได้ฝากจดหมายไว้ให้ฉันกับแม่โดยกำชับกับทางโรงพยาบาลให้ฝากให้ฉันพร้อมกับใบเสร็จค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ของทางโรงพยาบาลในวันที่แม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้

            เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันกับแม่ก็เปิดอ่านจดหมายของคุณหมอคนนั้น เมื่ออ่านจบทั้งฉันและแม่ก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกัน เนื้อความในจดหมายมีดังนี้

            ข้าพเจ้านายแพทย์เดชา ทองวิจิตร แพทย์ผู้ผ่าตัด นางสมพร ภู่จันทร์ ขอสรุปค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทั้งหมดดังนี้

            ค่าผ่าตัด 0 บาท
            ค่ายาทั้งหมด 0 บาท
            ค่าใช้จ่ายอื่นที่เหลือ 0 บาท
            รวมเป็นเงินทั้งหมด 0 บาท

            ป.ล. ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้รับแล้ว เมื่อยี่สิบปีก่อนด้วยยาแก้ปวด ยาธาตุ ส้มหนึ่งถุง

ขอให้สุขภาพแข็งแรงไปอีกนาน ๆ นะครับคุณน้า
นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร

http://hilight.kapook.com/view/84112
บันทึกการเข้า

sander
นักแข่งมือสมัครเล่น
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 265


ก้าว หนึ่ง ก้าว ก้าวสองสิบแปด


ดูรายละเอียด
« ตอบ #11 เมื่อ: 15 กันยายน 2013 21:10:07 »

 สุดยอด
ตรบมือ อินเลิฟ อ่านหนังสือผมไม่ทราบว่าได้แรงบันดาลใจจากเรื่องจริงหรือไม่นะ   แต่อาแปะที่ใจดีแล้วช่วยหมอไว้ตอนเป็นเด็กนั่น เขาได้สร้างเหตุปัจจัยให้ได้กลับไปพบกับเด็กเล็กๆที่ลักยาแล้วตนได้ช่วยเอาไว้ (อันนี้เป็นบุญใหญ่เน้อ ใหญ่กว่าเม็ดเงินค่ายาตามบิลอีกนะสิบอกไห่)  วันหนึ่งเมื่อแปะล้มลง รพ.มีเป็นร้อยเป็นพันในประเทศนี้ ทำไมถึงเจาะจงต้องไปเข้ารพ.ที่เด็กน้อยๆในอดีตเมื่อสามสิบปีที่แปะได้ช่วยไว้ล่ะ เขาเรียกว่าธรรมจัดสรรค์เน้อ อะไรที่บังเอิญไม่เคยมี ทุกอย่างล้วยกรรมส่งผลทั้งสิ้น เรามีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งที่อาศัย มีกรรมเป็นเครื่องนำพาชีวิต ใครที่เชื่อว่าเกิดมาแค่หนเดียว ชาติเดียว ก็ลองพิจารณาดูแล้วกัน แต่ไม่ต้องเชื่อ เช้านี้ฝากไว้แค่นี้ล่ะ พายุเข้าเมื่อวาน วันนี้ไม่รู้จะทำได้แค่ไหน  อ่านหนังสือ ตรบมือ สุดยอด
สุดยอด
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006-2008, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!