เคยเจอรถที่มาทำที่อู่เป็นอาการนี้อยู่เหมือนกัน เลยไม่ได้นำมาแจ้ง พิมพ์มะเก่ง พอดีอ่านข้อความนี้จากเมลล์
เลยนำมาฝากเพื่อนๆ และผมก็เป็นคนหนึ่งที่ใช้แก็ส แต่ขอไม่เติมแก็สโซฮอล์ หรือถ้าจำเป็นจริงๆก็ใช้ให้หมดถังซะ
เตือนผู้ที่ใช้น้ำมัน Gasohol ไม่ควรเติมน้ำมันแล้วทิ้งไว้นานไม่ใช้ *~๏
'ผมเป็นคนแรกๆที่ติด LPG ให้กับ Mazda3 2.0 Sport ของผมมาปีกว่า ใช้งานร่วมกับแก๊สโซฮอล์ตั้งแต่เริ่มออกรถ ใช้งานได้ดีมาตลอดไม่มีปัญหาให้กวนใจ จนกระทั้งมาช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา รู้สึกว่ารถสตารท์ติดยากกว่าปกติ มีกลิ่นน้ำมันออกมาตอนสตารท์ บางครั้งต้องสตาร์ทถึง 2 ครั้งถึงจะติด และก็ขับได้ตลอดไม่มีปัญหา
แต่เมื่อวานนี้ พอเลิกงานจะขับรถกลับบ้าน พอสตาร์ทรถเครื่องก็ติดปกติ แต่ยังไม่ทันออกรถ เครื่องยนต์ก็ค่อยๆหมดแรงและเครื่องก็ดับ สตาร์ทใหม่หลายครั้งก็ไม่ได้ ระบบไฟของรถไม่มีปัญหาใช้งานได้ปกติ เลยคิดว่าเป็นระบบจ่ายน้ำมันแน่ๆ เลยต้องจอดรถทิ้งไว้ พอตอนเช้าก็โทรเรียกรถลากลากไปศูนย์มาสด้าซิตี้ พระราม 4 ซ.แสนสบาย
ทางศูนย์ก็เลยเช็คพบว่า น้ำมันแก๊สโซฮอล์ในถังเน่า ข้นและดำ เหม็นมากๆ ทำให้ปั้มติ๊กน้ำมันเสียใช้งานไม่ได้ ต้องเปลี่ยนใหม่ โชคดีที่รถยังใช้ไม่ถึง 3 ปียังเหลือประกันอยู่จึงไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น ทางศูนย์จึงถอดถังน้ำมันออกมา เพื่อเอาปั้มติ๊กที่อยู่ที่ถังน้ำมันออกมาเปลี่ยนใหม่ กลิ่นน้ำมันคลุ้งไปทั้งศูนย์ พอเปลี่ยนปั้มติ๊กแล้วก็สตารท์ได้ปกติ
ส่วนสาเหตุที่ปั้มติ๊กเสียได้คุยกับเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์น่าจะมาจากสาเหตุเหล่านี้ อาจจะมาจากที่ผมเติมแก๊สโซฮอล์ โดยผมจะเติมน้ำมันให้เต็มถังตลอด พอน้ำมันเหลือครึ่งถังก็เติมเต็มเดือนละครั้ง และเนื่องจากผมใช้ LPG ด้วย จึงไม่ค่อยได้ใช้น้ำมัน ทำให้แกสโซฮอล์ค้างอยู่ในถังนานจนข้นและดำ ปั้มติ๊กจึงทำงานหนักและเสียในที่สุด
ทางศูนย์แนะนำว่า
1. ควรจะเปลี่ยนมาใช้เบนซิน 95 แทน เพราะอาการปั้มติ๊กเสียมาจากแกสโซฮอล์มีมาหลายคันแล้ว โดยส่วนใหญ่มักใช้แกสโซฮอล์แล้วจอดรถทิ้งไว้นานๆ ไม่ค่อยวิ่งทำให้แกสโซฮอล์ค้างอยู่ในถังนานเกินไป
2. ควรใช้น้ำมันให้หมดถังบ้าง และใช้ LPG บ้าง เพื่อให้น้ำมันมีการถ่ายเทออกไป อย่าใช้ LPG อย่างเดียว
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงมาแชร์ให้เพื่อนๆที่ใช้พลังงานทางเลือกกัน เพื่อจะได้ยืดอายุการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆได้นานขึ้น และที่ผมคิดว่าจะทำเพิ่มคือสิ้นปีนี้คงต้องทำโปรแกรมฉลาดรักษ์รถกับมาสด้าซะแล้ว ก่อนจะรถครบ 30 เดือน เพราะว่าอุปกรณ์และอะไหล่ราคาค่อนข้างสูง รู้สึกว่ารถยังใช้ไม่ถึง 3 ปีก็เริ่มต้องเปลี่ยนอะไหล์แล้ว'
E20 สาระที่ควรรู้
อาการรถมันจะเป็นเฉพาะตอนขับน้ำมัน แรกๆ คือสตาร์ทติดยาก ไม่ต่ำกว่าสองชึ่ง พอสตาร์ทติดแล้ว รอบเดินเบาสวิงๆ เร่งขึ้นจะบอดๆ ขับไม่ได้เลย ผมต้องถอดแอร์โฟลว์ช่วย แต่ก็ต้องสูญเสียในเรื่องอัตราเร่งที่อืดมากๆ กินแก๊สกินน้ำมันกว่าปกติด้วย อีกวันผมลองใส่เจ้าแอร์โฟลกลับไปเหมือนเดิมก็วิ่งได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงไม่รู้สาเหตุแน่ชัด ว่าเป็นที่อะไร พอดีจำได้ว่าล่าสุดเราเติมโซฮอล์ 95 ไว้ ก็เลยต้องวิ่งให้โซฮอล์หมดถัง จึงเปลี่ยนกลับเป็น 95 เพียวครับ ตอนนี้กำลัง monitor ว่าจะเป็นอีกหรือเปล่า กลัวอยู่ว่าจะต้องเปลี่ยนปั๊มติ๊กโดนเืกือบหมื่นแน่ๆ .....=='.....
เจอเหมือนกันครับ ตอนนี้เปลี่ยนปั้มติ๊กไปเรียบร้อยแล้ว(ดีที่เคลมได้ ... ) ตอนนี้เลยเติม 95 เท่านั้น
ระวังนะครับ สำหรับรถที่ใช้ น้ำมันโซฮอล์ร่วมกับ แก๊ส LPG/ CNG รถผมก็กำลังเจอเหตุการณ์คล้ายๆ หลายคน เกี่ยวกับเรื่องปั๊มติ๊กอุดตัน อ่านบทความนี??แล้วตรงเลย
ไปพบข่าวนี้ในหนังสือพิมพ์มติชน เลยลอกมาให้อ่านกันสำหรับความรู้ของเครื่องยนต์ E20 ที่จะเริ่มมีมาก
ขึ้นในอนาคตอันใกล้
E20 เจ๋งแน่ แต่ต้องระวัง... รู้ทัน ก่อนใช้จริงหลังปีใหม่
ช่วงปีที่ผ่านมา รัฐบาลมีความพยายามจะผลักดันให้ประชาชนหันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E10 ทดแทน
น้ำมันเบนซิน 95 จนเพิ่มขึ้นกว่า 30% ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงเดินหน้าขยายการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์มากขึ้น
โดยเริ่มให้มีการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ขึ้น ในต้นปี 2551 จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ประชาชนผู้ใช้
รถต้องรู้จักความแตกต่างของ E10 และ E20 รวมถึงคุณสมบัติต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อเครื่องยนต์
ผศ.ดร.จำนง สรพิพัฒน์ ประธานสายวิชาพลังงาน บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม
(JGSEE) แนะนำว่า ปัจจุบันประเทศไทยใช้เป็นแก๊สโซฮอล์ E10 ซึ่งมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 10%
ด้วยคุณสมบัติหลายประการที่ใกล้เคียงกับน้ำมันเบนซิน กระนั้น การเพิ่มสัดส่วนแอลกอฮอล์ในน้ำมันอีก
10% กลายเป็นแอลกอฮอล์ 20% (ที่เหลือเป็นน้ำมันเบนซิน 80%) ทำให้คุณสมบัติของเชื้อเพลิงในส่วนที่
เป็นองค์ประกอบของแอลกอฮอล์ ซึ่งแตกต่างจากน้ำมันปรากฏมากขึ้น จึงอาจมีปัญหากับเครื่องยนต์และ
รถบางรุ่น
'แอลกอฮอล์บริสุทธิ์ มีคุณสมบัติเด่นต่างจากเบนซิน เช่น จุดเดือดของแอลกอฮอล์ต่ำกว่าน้ำมัน ทำให้มี
แรงดันไอมากกว่า ซึ่งจะมีปัญหากับรถบางรุ่น โดยเฉพาะรถรุ่นเก่าที่ใช้คาบูเรเตอร์ที่มีถังน้ำมันติดตั้ง
ห่างจากตัวเครื่องยนต์มากเกินไป หรือรถยนต์ที่มีขนาดของท่อเชื้อเพลิงที่เล็กเกินไป อาจมีผลทำให้
แอลกอฮอล์ที่อยู่ในท่อเชื้อเพลิงเปลี่ยนสภาพจากของเหลวเป็นไอได้ง่าย เนื่องจากความฝืดของท่อมีมาก
เกินไป ทำให้มีลักษณะเป็นฟองอยู่ในท่อดูดเชื้อเพลิง ส่งผลให้การหมุนของเครื่องยนต์มีความเร็วรอบไม่
สม่ำเสมอ เครื่องจะกระตุกหรือดับในบางช่วง
ผศ.ดร.จำนง สรพิพัฒน์
'แอลกอฮอล์ยังมีคุณสมบัติการกัดกร่อนสูง ยิ่งสัดส่วนของแอลกอฮอล์ในน้ำมันมากขึ้น ยิ่งเพิ่มคุณสมบัติการ
กัดกร่อนเพิ่มมากด้วย จะกัดกร่อนยาง พลาสติคบางชนิด และโลหะประเภททองเหลือง ทองแดง ดังนั้น
รถยนต์ที่มีอะไหล่เป็นยาง หรือโลหะทองเหลือง ทองแดงที่ไม่ได้รับการออกแบบและผลิตออกมาให้ทนต่อ
การกัดกร่อนของแอลกอฮอล์เป็นพิเศษจะไม่สามารถทนต่อการกัดกร่อนได้ อาจส่งผลให้ท่อส่งน้ำมันไปจน
ถึงถังน้ำมันเกิดการผุกร่อนจนทะลุได้ภายในระยะเวลาประมาณครึ่งปี-1 ปี ด้วยเหตุนี้ รถยนต์ที่สามารถ
ใช้เชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ E20 ได้จึงต้องเป็นรถที่ผลิตด้วยยางหรือพลาสติคพิเศษที่ทนต่อการกัดกร่อนได้
รวมถึงต้องออกแบบองศาการจุดระเบิดให้เหมาะสมกับเชื้อเพลิงด้วย เพื่อให้เชื้อเพลิงสามารถเผาไหม้
ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด'
ปัจจุบันรถยนต์ที่ผลิตในประเทศจะออกแบบมาให้กับน้ำมันเบนซินล้วน เมื่อนำมาใช้กับแก๊สโซฮอล์ จึง
สามารถใช้ได้เฉพาะกับแก๊สโซฮอล์ที่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์ในระดับที่มีความเข้มข้นไม่สูงนักคือเพียง E10
เท่านั้น มีผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศไทยเพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้นที่ผลิตหรือประกาศว่าจะนำเข้ารถยนต์บาง
รุ่นที่สามารถรองรับการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 เช่น บริษัท ฟอร์ดและฮอนด้า ได้มีการรับรองรถบาง
รุ่นว่าสามารถใช้ E20 ได้อย่างปลอดภัย ซึ่งผู้ซื้อสามารถสังเกตได้ง่ายจากสัญลักษณ์มาตรฐาน E20 ที่
ข้างรถ ทั้งนี้ ผศ.ดร.จำนงให้ข้อคิดเห็นว่าการนำรถเก่าเพื่อไปปรับแต่งเครื่องยนต์ให้สามารถใช้ E20
ได้นั้น ยังไม่มีผู้ผลิตรถยนต์บริษัทใดที่ให้การรับรอง
อย่างไรก็ดี สำหรับประชาชนที่ยังมีปัญหากับแก๊สโซฮอล์ E10 ผศ.ดร.จำนงกล่าวว่า ผู้ที่ใช้ E10 แล้วมี
ปัญหาส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มผู้ใช้รถที่มักจะจอดรถทิ้งไว้นานๆ ไม่ได้ใช้รถเป็นประจำ ทำให้แอลกอฮอล์กับ
น้ำมันเกิดการแยกตัวออกจากกันเพราะไว้เป็นเวลานานเกินไป แอลกอฮอล์ซึ่งมีน้ำหนักเบากว่าจะลอย
อยู่ด้านบน ดังนั้น เมื่อมีการใช้รถ บางส่วนของเชื้อเพลิงที่ถูกสูบเข้าไปในห้องเครื่องจะไม่ใช่น้ำมันแก๊ส
โซฮอล์ แต่จะเป็นแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นสูงมากหรือเทียบได้กับการใช้แอลกอฮอล์ล้วนๆ เป็นเชื้อ
เพลิง ทำให้เกิดปัญหากับระบบเผาไหม้ของเครื่องยนต์ นอกจากนี้ หากรถยนต์ที่ใช้ E10 แล้วมีปัญหา
เรื่องน้ำมันระเหยเร็วผิดปกติ ควรตรวจเช็คปะเก็นยางของฝาปิดถังน้ำมัน เพราะอาจเสื่อมสภาพและ
เป็นเหตุให้แอลกอฮอล์ระเหยเล็ดลอดออกไปได้
Confidentiality Notice: This e-mail transmission may