Subject: FW: มี ลูก หลาน ภรรยา ญาติพี่น้องช่วยบอกต่อกันไปด้วย]
> มี ลูก หลาน ภรรยา ญาติพี่น้องช่วยบอกต่อกันไป
> ด้วย]
> From: Jeerawan Buranavalahok
> <
buranavalahok.unescap@un.org>
> Date: Thu, 20 Mar 2008 07:36:10 +0700
>
> Subject: Fwd: มี ลูก หลาน ภรรยา
> ญาติพี่น้องช่วยบอกต่อกันไปด้วย
>
> ผมมีตัวตนแต่ไม่ต้องการเปิดเผยชื่อ
> เรื่องต่อไปนี้จะเป็นตัวบอกว่าทำไมผมจึงบอกไม่ได้
>
> ประมาณสองสัปดาห์หลังปีใหม่
> ภรรยาผมลางานเพื่อไปติดต่องานราชการ
> เสร็จแล้วแวะ Central ลาดพร้าว
> เพื่อหาซื้อหนังสือแนวที่เธอชอบอ่านที่ B2S
>
> ระหว่างที่กำลังเลือกหาซื้อหนังสืออยู่นั้น
> ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณ
> สามสิบเข้ามาทักทาย
> บอกว่าชอบหนังสือแนวสืบสวนสอบสวนเช่นกันและ
> มีหนังสือที่น่าสนใจหลายเล่มที่น่าอ่านมาก
> การสนทนาก็เป็นไปอย่างมี
> มิตรไมตรีต่อกัน
> เพราะจากลักษณะท่าทางและการแต่งตัวดูเหมือนเป็น
> คนทำงานทั่วไป แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ให้นามบัตรภรรยาผมมา
> ส่วนภรรยาผม
> ก็ให้เบอร์มือถือเธอไปเพราะเห็นว่าเป็นผู้หญิงด้วยกัน
> การติดต่อพูดคุยก็
>
> มีขึ้นเป็นระยะๆ
>
และมีนัดเจอกันเพื่อให้หนังสือภรรยาผมมาอ่านแล้วก็บอกว่า
> จะรีบไปทำงาน
>
แต่หนังสือที่ให้มาเป็นหนังสือแนวสืบสวนธรรมดาที่ภรรยาผม
> เคยอ่านมาแล้ว
> จึงอยากจะคืนกลับไป
>
> การนัดเจอกันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
> แต่คราวนี้ผู้หญิงคนนั้นชวนทานข้าวเพราะเป็น
> ช่วงเกือบเที่ยงวันแล้ว
> และได้แนะนำให้รู้จักผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งรออยู่ที่
> Food Center
>
เธอบอกว่าเป็นเพื่อนที่ทำงานชอบอ่านหนังสือแนวนี้เช่นกัน
> ผู้ชายคนนั้น
> ถามภรรยาผมและผู้หญิงคนนั้นว่า จะทานอะไรจะไปซื้อมาให้
> ด้วยความเกรงใจ
> จึงทานเหมือนกันเป็นก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมู
> แต่ภรรยาผมก็พยายามจะขอตัวไปซื้อ
>
> น้ำมาให้แต่ทางผู้หญิงคนนั้น ชิงเดินไปซื้อมาให้ก่อน
> พอนั่งทานไปได้ประมาณ
> ครึ่งชามและดื่มน้ำไปหน่อย
> ภรรยาผมก็เกิดอาการมึนๆ และเริ่มง่วงนอน เพียงอีก
> ไม่กี่นาทีต่อมา
> เริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้
> ผู้หญิงคนนั้นก็เข้ามาประคองตัว๓รรยาผม
> แล้วพูดบอกผู้ชายว่า
> คงเป็นลมช่วยพาออกไปสูดอากาศข้างนอกหน่อย ตอนนั้น
> ภรรยาผมบอกว่าไม่สามารถพูดอะไรได้ ร่างกายยืนแทบไม่ไหว
> ระหว่างเดินผ่าน
>
ตัวห้างมาลานจอดรถเห็นผู้ชายโทรศัพท์เพียงไม่ถึงหนึ่งนาที
> รถตู้สีขาวก็มาจอด
> แล้วทั้งคู่ก็พาภรรยาผมขึ้นรถ
> วินาทีนั้นภรรยาผมบอกว่าเธอพยายามขัดขืนแต่
> ทั้งคู่ก็ใช้กำลังพาเธอขึ้นรถแล้วปิดประตูรถ
>
> บนรถมีผู้ชายสองคนนั่งมาในรถด้วย
> เมื่อรถวิ่งออกจากห้างภรรยาผมพยายาม
>
ร้องขอความช่วยเหลือแต่ก็ไม่มีเสียงและผู้ชายที่นั่งอยู่บนรถเอามือมาปิดปากเธอไว้
>
> พอรถวิ่งออกมาระยะหนึ่งผู้ชายที่เจอกันที่ Food Center
> เริ่มปลดเสื้อผ้าภรรยาผม
>
เธอพยายามร้องขอความช่วยเหลือและต่อสู้แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรง
> ผู้ชายอีกสองคนที่นั่ง
> รออยู่บนรถก็ช่วยกันถอด
> สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปคงไม่ต้องบรรยายกันอีก
> โดยมีผู้หญิงเป็น
> คนเก็บภาพเป็นระยะๆ เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่ทราบ
> รู้สึกตัวอีกที่ภรรยาผมถูกนำ
>
มาทิ้งที่ห้องน้ำหญิงของปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งแถวสุขาภิบาลสองย่านบางกะปิ
>
> ผมไปรับเธอแล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น
> เธอไม่พูดอะไรได้แต่ร้องไห้และไม่ไปทำงานอีกเลย
> นั่งซึมอยู่กับบ้าน
>
>
สามวันต่อมาคุณแม่ของภรรยาโทรมาบอกว่ามีจดหมายลงทะเบียนส่งมาที่
> บ้านให้ไปรับผมก็ไปรับ แล้วเปิดออกดู
> มีภาพถ่ายพร้อมขอเงินสดสี่แสนบาทเป็นค่าฟิล์มและ
> ภาพถ่ายทั้งหมด
> ผมพูดไม่ออก ทุกความรู้สึกวิ่งพุ่งเข้ามาในใจ สับสน
> เสียใจ
> แค้นใจ
> เจ็บใจ
>
ผมปรึกษาเรื่องนี้กับคุณพ่อและเพื่อนท่านที่เป็นนายตำรวจ
> มีความเห็นเหมือนกันว่าต้องแจ้ง
> ความกับตำรวจ
> เพราะเงินสี่แสนครอบครัวเราคงหามาให้ได้ยาก
> ผมกับภรรยาเป็นเพียงลูกจ้าง
>
> กินเงินเดือนเท่านั้น
>
ในวันส่งเงินตามนัดหมายตำรวจกองปราบวางแผนอย่างดีและสามารถจับ
> พวกเดนสังคมได้สองคนได้ฟิล์มและภาพจำนวนหนึ่ง
> และตำรวจกำลังตามจับพวกที่เหลืออีก
> สามคน
> แต่ก็ไม่แน่ใจว่าภาพถ่ายยังคงมีเหลืออยู่อีกหรือเปล่า
> ซึ่งหลังจากพวกมันถูกจับผมก็
> ได้รับโทรศัพท์ขู่ว่าจะภาพลง internet
> สองครั้ง
>
> ทุกวันนี้ภรรยาผมไม่ได้ทำงานอีกแล้ว
> อยู่บ้านด้วยอาการซึมเศร้าและไม่ต้องการ
> พบปะกับใครเลย
> ส่วนผมก็ไม่กล้าออกไปไหนเช่นกันทำงานเสร็จก็กลับบ้าน
> ชีวิตความเป็นอยู่
>
> มีแต่ความกลัว ระแวง คิดมาก เหมือนเป็นโรคประสาท
> ผมจึงอยากฝากบอกเรื่องราวของ
> ผมให้เป็นข้อมูลกับทุกคน
>
ทุกวันนี้การหากินบนความทุกข์ร้อนของคนอื่นเป็นเรื่องธรรมดา
> ไปแล้วครับ ขอบุญกุศลในการให้ข้อมูลนี้
> ทำให้ชีวิตครอบครัวผมดีขึ้นด้วยเถอะ
>
>
> อย่าลืมบอกต่อๆกันไปด้วยครับ
>
> พ. ศรีฯ