NOMERCY
บุคคลทั่วไป
|
|
« เมื่อ: 02 มกราคม 2009 22:24:46 » |
|
การเลือกและใช้ยาง ถ้าการเดินทางภาคพื้นดินฝากไว้กับรถยนต์และหากรถยนต์มีชีวิต ทั้งคนและรถยนต์ก็ต้องฝากชีวิตไว้กับยางทั้ง 4 เส้นการเลือกใช้ยางรถยนต์มิได้ง่ายเพียงแค่ขับรถยนต์เข้าไปแล้วเลือกยี่ห้อที่มั่นใจ พร้อมบอกว่าใช้ขนาดเดิมและตั้งศูนย์ถ่วงล้อให้ด้วยเท่านั้นเลือกไม่ยาก ใช้ไม่ยุ่ง ถ้าใส่ใจในรายละเอียด
เ ลื อ ก ข น า ด ไม่สามารถสรุปได้ในรถยนต์ทุกรุ่นว่ายางขนาดใดดีที่สุด เพราะรถยนต์บางรุ่นเลือกขนาดยางโดยเน้นการลดต้นทุนเป็นหลัก แต่ขนาดยางในรถยนต์บางรุ่นก็มีความเหมาะสมแล้ว ความเชื่อที่ว่าไม่สามารถเปลี่ยนขนาดยางจากมาตรฐานเดิมได้ เพราะช่วงล่างจะสึกหรอเร็วนั้นไม่จริงเสมอไป พิสูจน์ได้จากรถยนต์ตัวถังเดียวกันแต่ต่างรุ่น เช่น 1.5, 1.6 หรือ 1.8 ยังใช้ยางมาตรฐานต่างขนาดกัน ถ้าต้องการเปลี่ยนขนาดยางเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเกาะถนน ต้องดูถึงอาการของยางขนาดเดิมในการใช้งานที่ผ่านมาว่าลงตัวไหม รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจในช่วงความเร็วสูงหรือในทางโค้งหรือไม่ ถ้าอยากเพิ่มประสิทธิภาพการเกาะถนนโดยเพิ่มขนาดยาง ต้องเลือกอย่างมีหลักการและยอมรับผลกระทบด้านอื่นที่ตามมาด้วย โดยต้องเน้นเรื่องเส้นรอบวงของยางที่เปลี่ยนใหม่ให้ใกล้เคียงกับยางขนาดเดิมมากที่สุด
เ ส้ น ร อ บ ว ง ข อ ง ย า ง ส ำ คั ญ เส้นรอบวงของยางเกี่ยวข้องกับอัตราเร่ง, อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง, ความเพี้ยนของการแสดงผลของมาตรวัดความเร็ว, ช่องว่างระหว่างยางกับขอบบังโคลน ความสูงของรถยนต์ และความเร็วสูงสุด เพราะผู้ผลิตรถยนต์กำหนดเส้นรอบวงของยางไว้ให้เหมาะสมกับอัตราทดเกียร์, เฟืองท้าย และรอบเครื่องยนต์ เช่น ยางเดิมมีเส้นรอบวง 1,900 มิลลิเมตร ที่เกียร์ 5 เครื่องยนต์หมุน 3,000 รอบ/นาที อัตราทดเกียร์ 1:1 เฟืองท้าย 4.0:1 ล้อจะหมุน 750 รอบ/นาที ได้ระยะทาง 1,900 X 750 = 1,425,000 มิลลิเมตร หรือ 1,425 เมตร (จาก 1,000 มิลลิเมตร = 1 เมตร) คิดเป็นเมตร/ชั่วโมง ก็คูณ 60 นาทีเข้าไปได้ 1,425 X 60 = 85,500 = 85.5 กิโลเมตร/ชั่วโมง (คิดจาก 1,000 เมตร = 1 กิโลเมตร) มาตรวัดความเร็ว อัตราเร่ง และความสิ้นเปลืองก็จะเป็นไปตามการออกแบบ
ล ด เ ส้ น ร อ บ ว ง การเปลี่ยนยางใหม่ที่มีขนาดเส้นรอบวงลดลงโดยไม่เปลี่ยนองค์ประกอบอื่น เช่น ตัวรถยนต์, เครื่องยนต์, เกียร์ และเฟืองท้าย จะมีผลกระทบ เพราะไม่เกี่ยวข้องเลยว่ายางถูกเปลี่ยนเป็นเส้นรอบวงเท่าไร ถ้าเครื่องยนต์หมุน 3,000 รอบ/นาที ที่เกียร์ 4 แล้ว ล้อก็ยังหมุน 750 รอบ/นาที แต่ได้ระยะทางสั้นลงจากระยะ/1 รอบการหมุนของยาง มาตรวัดความเร็วขึ้น 85.5 กิโลเมตร/ชั่วโมงเท่าเดิม แต่น้อยกว่าความเร็วจริง (ไมล์อ่อน) และสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น เพราะเครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้นในทุกช่วงความเร็ว อัตราเร่งตีนต้นดีขึ้นบ้าง เพราะล้อหมุนลากน้ำหนักตัวถังได้ง่ายขึ้น ต้องเปลี่ยนเกียร์ขึ้นสูงเร็วขึ้นในระยะทางสั้นลง เช่น เกียร์ 1 ที่ 6,000 รอบ/นาที เคยได้ระยะทาง 80 เมตร เมื่อเส้นรอบวงยางลดลง เมื่อใช้รอบเครื่องยนต์เท่าเดิม จะได้ระยะทางสั้นลง เช่น 70 เมตร ก็ต้องเปลี่ยนขึ้นสู่เกียร์สูงขึ้นความเร็วปลายที่แท้จริงลดลง เช่น เกียร์ 5 ที่ 5,000 รอบ/นาที ล้อหมุน 1,500 ครั้ง/นาที เคยได้ระยะทางยาวและความเร็ว 150 กิโลเมตร/ชั่วโมง เมื่อเส้นรอบวงยางลดลง เมื่อใช้รอบเครื่องยนต์เท่าเดิม จะได้ระยะทางและความเร็วจริงลดลง แต่มาตรวัดความเร็วชี้ 150 กิโลเมตร/ชั่วโมงเท่าเดิม
เ พิ่ ม เ ส้ น ร อ บ ว ง การเปลี่ยนยางใหม่ที่มีขนาดเส้นรอบวงเพิ่มขึ้นโดยไม่เปลี่ยนองค์ประกอบอื่น ในการคำนวณอาจเสมือนว่าจะทำให้รถยนต์มีความเร็วเพิ่มขึ้น เพราะเครื่องยนต์, เกียร์ และเฟืองท้าย ทำงานที่รอบเครื่องยนต์เท่าเดิม แต่ได้ระยะทางจากการหมุนของยางต่อรอบมากขึ้นในความจริงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะการเพิ่มเส้นรอบวงของยางเป็นการเพิ่มภาระให้กับเครื่องยนต์ เนื่องจากส่งกำลังให้ยางหมุนครบรอบได้ยากขึ้น เช่น ออฟโรดเปลี่ยนไปใส่ยางบิ๊กฟุต-ล้อโต จะทำให้อัตราเร่งแย่ลง, สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น, บั่นทอนอายุการใช้งานของช่วงล่าง, มาตรวัดความเร็วแสดงผลน้อยกว่าความเร็วจริง (ไมล์แข็ง) และไต่ขึ้นสู่ความเร็วสูงยาก ยกเว้นการปรับแต่งเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์หรือเปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์พลังแรง การเปลี่ยนยางที่มีเส้นรอบวงมากขึ้น จะช่วยให้อัตราเร่งตีนต้นไม่จัดเกินไป และความเร็วปลายเพิ่มขึ้น แต่ควรลดอัตราทดเฟืองท้ายจะดีกว่า
ห น้ า ก ว้ า ง เ ท่ า เ ดิ ม & ห น้ า แ ค บ ตัวอย่างรหัสบนแก้มยาง 185/70/R13 ตัวเลขชุดแรก 185 คือ ความกว้างของหน้ายางจากซ้ายสุดถึงขวาสุด หน่วยเป็นมิลลิเมตร แม้ระบุค่าเท่ากัน แต่หน้าสัมผัสที่แท้จริงในยางต่างรุ่นต่างยี่ห้ออาจไม่เท่ากันเป๊ะ แต่ใกล้เคียงกันมาก ผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่มิได้เลือกความกว้างของหน้ายางที่จะให้สมรรถนะในการเกาะถนนของรถยนต์รุ่นนั้นสูงสุดเสมอไป เพราะมีหลายตัวแปรเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ถ้าเลือกยางหน้ากว้างพอประมาณ จะได้ประสิทธิภาพการเกาะถนนช่วงความเร็วปานกลาง-สูง และในโค้งหนักๆ ดีมาก แต่ส่งผลให้พวงมาลัยหนักขึ้น, ช่วงล่างเสียเร็วขึ้น, อัตราเร่งลดลง, สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นจากน้ำหนักและแรงต้านการหมุน และที่สำคัญคือต้นทุนสูงขึ้น ขณะที่ส่วนใหญ่เป็นการใช้งานทั่วไปที่ใช้ความเร็วไม่จัดจ้านนัก ด้วยเหตุผลข้างต้น ยางขนาดมาตรฐานของรถยนต์ทั่วไป จึงอาจมีหน้ากว้างน้อยกว่าที่จะให้ประสิทธิภาพสูงสุดในช่วงความเร็วสูงอยู่ประมาณ 10-20 มิลลิเมตร เพื่อให้การใช้งานปกติ พวงมาลัยไม่หนัก, ช่วงล่างทนทาน, อัตราเร่งดี และประหยัดเชื้อเพลิง เพราะมีน้ำหนักและแรงต้านการหมุนน้อย รวมทั้งลดต้นทุนการผลิต โดยยอมสูญเสียประสิทธิภาพการเกาะถนนในช่วงความเร็วสูงที่ไม่ค่อยได้ใช้งานลงไป ถ้าใช้รถยนต์ในเมืองหรือไม่ได้ใช้งานด้วยความเร็วสูงจัดจ้าน หน้ายางขนาดมาตรฐานมีความเหมาะสมอยู่แล้ว แต่ถ้าต้องการเพิ่มความมั่นใจในช่วงความเร็วปานกลาง-สูง โดยยอมสูญเสียคุณสมบัติที่ดีในช่วงความเร็วต่ำ-ปานกลางไปบ้าง สามารถเลือกยางหน้ากว้างขึ้นสัก 10 มิลลิเมตร (หรือเพิ่มเต็มที่ 20 มิลลิเมตร) ใส่กับกระทะล้อเดิมได้ โดยผลเสียที่เพิ่มขึ้นมีน้อยมากและไม่ต้องกังวล แต่ต้องเกี่ยวข้องกับซีรีส์ของแก้มยางที่ต้องเปลี่ยนแปลง การเพิ่มขนาดหน้ายางขึ้น 10 มิลลิเมตรกับกระทะล้อเดิม ควรลดความสูงของแก้มยางลง 5 ซีรีส์ เพื่อรักษาความสูงของแก้มยางและเส้นรอบวงของยางเช่น ยางเดิมขนาด 185/70/R13 แก้มยางมีความสูงเท่ากับ 185 X 0.70 = 129.5 มิลลิเมตร เปลี่ยนเป็นยางหน้ากว้างขึ้น 10 มิลลิเมตร โดยลดแก้มยางลง 5 ซีรีส์ จาก 70 เป็น 65 ซีรีส์ เป็นขนาด 195/65/R13 แก้มยางมีความสูงเท่ากับ 195 X 0.65 = 126.75 มิลลิเมตร ต่างจากแก้มยางเดิมเพียง 129.5 - 126.75 = 2.75 มิลลิเมตร แทบไม่แตกต่าง รักษาความนุ่มนวลและเส้นรอบวงของยางไว้ ทำให้คงอัตราเร่ง การแสดงผลของมาตรวัดความเร็ว และความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงไว้ได้ ถ้าเพิ่มขนาดหน้ายางขึ้น 10 มิลลิเมตรกับขนาดกระทะล้อเดิม แต่ไม่ลดความสูงของแก้มยางลง แก้มยางจะสูงขึ้นเล็กน้อย แต่เป็นค่ามากกว่าการลดความสูงของแก้มยางลง 5 ซีรีส์ คือ เปลี่ยนยางเป็นขนาด 195/70/R13 70 ซีรีส์เท่าเดิม แก้มยางมีความสูงเท่ากับ 195 X 0.70 = 136.5 มิลลิเมตร แก้มยางสูงกว่าเดิมมากถึง 136.5 - 129.5 = 7 มิลลิเมตร ต่างจากการลดความสูงของแก้มยางลง 5 ซีรีส์ ที่เตี้ยลงเพียง 2.75 มิลลิเมตร แก้มยางที่สูงขึ้นมากในกระทะล้อขนาดเท่าเดิมมีผลให้อัตราเร่งต่ำลง มาตรวัดความเร็วชี้น้อยกว่าความเป็นจริง (ไมล์แข็ง) และอาจสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น การลดหน้ายางให้แคบกว่ามาตรฐานเดิม ไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง แม้ในหลักการแล้วจะช่วยลดความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงลงบ้าง จากน้ำหนักและแรงต้านการหมุนที่ลดลง แต่จะสูญเสียประสิทธิภาพการเกาะถนนลงเกือบตลอดการใช้งาน
แ ก้ ม ย า ง เ ตี้ ย & สู ง ไ ด้ อ ย่ า ง เ สี ย อ ย่ า ง ตัวอย่างรหัสบนแก้มยาง 185/70/R13 เลขตัวกลาง 70 คือ ความสูงของแก้มยางเป็นเปอร์เซ็นต์จากความกว้างของหน้ายาง ต้องผ่านการคำนวณก่อนจึงจะทราบความสูงของแก้มยางที่แท้จริง กรณีนี้ คือ 185 X 0.70 = แก้มยางสูง 129.5 มิลลิเมตร ผู้ผลิตรถยนต์ทั่วไปที่ไม่ใช่รถสปอร์ตสมรรถนะสูง มักเลือกใช้ยางแก้มสูงเพื่อช่วยซึมซับแรงสั่นสะเทือนจากพื้น ให้ความนุ่มนวลโดยรวม ป้องกันกระทะล้อคดหรือแตก และลดต้นทุนได้ทั้งยางและกระทะล้อ อันเป็นการเลือกที่ลงตัวดีสำหรับการใช้งานปกติช่วงความเร็วปานกลาง-ถึงสูงแบบไม่จัดจ้านนัก แต่ก็ยังมีความต้องการของผู้ใช้ ที่อยากเปลี่ยนขนาดยางและลดซีรีส์ความสูงของแก้มยางลงอีก ด้วยหลายเหตุผล เช่น อยากเพิ่มความสวย หรือลดการบิดตัวของแก้มยางขณะเปลี่ยนเลนหรือใช้ความเร็วสูง ซึ่งต้องยอมรับผลเสีย คือ ความกระด้างจากแก้มยางที่เตี้ย ทำให้ซึมซับแรงสั่นสะเทือนจากพื้นได้น้อยลง และล้อแม็กคด-แตกง่ายขึ้น อยากสวย อยากเกาะ ต้องยอมกระด้าง
ส รุ ป สั้ น ๆ แ ล ะ ชั ด เ จ น ว่ า ยางแก้มสูง นุ่มนวล ราคาไม่แพง แต่บิดตัวมากในการเลี้ยวหรือเปลี่ยนเลนอย่างรวดเร็ว และไม่สวยยางแก้มเตี้ย กระด้าง เพราะมีช่วงการซึมซับแรงสั่นสะเทือนน้อย แต่ให้ความฉับไวและแม่นยำในการควบคุมบนทางโค้งหนักๆ -เปลี่ยนเลน สวย และราคาแพง ถ้าไม่เปลี่ยนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของกระทะล้อ หรือไม่เพิ่มความกว้างของหน้ายาง จะไม่สามารถลดความสูงของแก้มยางได้เลย เช่น ถ้าใช้ยางหน้ากว้าง 175 มิลลิเมตรกับกระทะล้อ 13 นิ้วเท่าเดิม หากเพิ่มจากแก้มยาง 70 ซีรีส์ เป็น 80 ซีรีส์ เพราะต้องการเพิ่มความนุ่มนวลหรืออะไรก็แล้วแต่ แก้มยางจะสูงขึ้น 175 X 0.10 (คิดจาก 10 เปอร์เซ็นต์ที่สูงขึ้น) = 17.5 มิลลิเมตร เกือบ 2 เซนติเมตร ในทางกลับกัน อยากให้รถยนต์ดูเตี้ยโดยไม่ลดความสูงด้วยการเปลี่ยนช่วงล่าง ลดแก้มยางลง 10 ซีรีส์ แก้มยางก็เตี้ยลง 17.5 มิลลิเมตร เส้นรอบวงของยางจะเปลี่ยนไปมาก ในทั้งกรณีลดและเพิ่มซีรีส์โดยไม่เปลี่ยนขนาดอื่นของยาง หากต้องการลดความสูงของแก้มยางเพื่อความสวยงามหรือลดการบิดตัว ต้องเปลี่ยนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของกระทะล้อชดเชยกัน และต้องคำนวณอย่างละเอียด เพื่อรักษาเส้นรอบวงของยางไว้ โดยการประมาณคร่าวๆ หากอยากลดความสูงของแก้มยางลง 10 ซีรีส์ ต้องเปลี่ยนขนาดกระทะล้อเพิ่มขึ้น +1 นิ้ว หรือ 20 ซีรีส์ก็ +2 นิ้ว ถ้าจะให้แน่นอนต้องคำนวณ หรือนำยางขนาดใหม่มาตั้งเปรียบเทียบความสูงกับยางเส้นเดิมขนาดมาตรฐาน และอย่าลืมเผื่อระยะที่ดอกของยางเส้นเดิมสึกหรอลงไปแล้วด้วย
เ ส้ น ผ่ า ศู น ย์ ก ล า ง ก ร ะ ท ะ ล้ อ แ ล ะ ย า ง เ ป ลี่ ย น ไ ด้ แ ต่ ต้ อ ง ย อ ม รั บ ตัวอย่าง รหัสบนแก้มยาง 185/70/R13 เลขตัวสุดท้าย 13 คือเส้นผ่าศูนย์กลางกระทะล้อ มีหน่วยเป็นนิ้ว สำหรับใส่ยางเส้นนั้น ปัจจุบันนิยมขนาด 13-18 นิ้วเป็นหลัก ในการใช้งานปกติไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนขนาด แต่ก็มีความต้องการเปลี่ยนในทางใหญ่ขึ้น คือ เปลี่ยนกระทะล้อเพื่อความสวยงาม หรืออยากใช้ยางแก้มเตี้ยลงเพื่อความสวยและลดการบิดตัว ซึ่งมีราคาแพงขึ้น แต่คงเส้นรอบวงไว้ได้ ล้อแม็กวงโตกับยางแก้มเตี้ย มีความสวยมากขึ้น เพราะล้อแม็กที่วาววับจะสร้างความสะดุดตา ส่วนสีดำของแก้มยางที่ลดลงก็ลดความหนาทึบในการมอง คล้ายล้อและยางตามสไตล์รถแข่งทางเรียบ เมื่อเปลี่ยนล้อแม็กขนาดใหญ่ขึ้น ต้องลดซีรีส์ความสูงของแก้มยางลงให้เหมาะสม เพื่อรักษาขนาดเส้นรอบวงของยางไว้ กระทะล้อหรือล้อแม็กในมาตรฐานเดียวกัน ยิ่งมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่ย่อมมีราคาแพง คด-แตกง่าย เป็นภาระกับระบบช่วงล่าง ทำให้อายุการใช้งานสั้นลง และสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นบ้างจากน้ำหนักและแรงต้านการหมุนที่เพิ่มขึ้น แต่สวยและสามารถเปลี่ยนขนาดดิสก์เบรกให้ใหญ่ขึ้นได้สำหรับรถยนต์โมดิฟาย
|