ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522
"รถที่ใช้ในทางเดินรถ ผู้ขับขี่ต้องจัดให้มีเครื่องยนต์ เครื่องอุปกรณ์และหรือส่วนควบที่ครบถ้วนตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ กฎหมายว่าด้วยการขนส่ง กฎหมายว่าด้วยล้อเลื่อน กฎหมายว่าด้วยรถลาก หรือกฎหมายว่าด้วยรถจ้าง และใช้การได้ดี สภาพของรถที่อาจทำให้เสื่อมเสียสุขภาพอนามัยตามวรรคหนึ่งและวิธีการ ทดสอบ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง..."
ตาม พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522
"รถใดที่จดทะเบียนแล้ว ห้ามมิให้ผู้ใดเปลี่ยนแปลงตัวรถหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของรถให้ผิดไปจากรายการที่จดทะเบียนไว้และใช้รถนั้น เว้นแต่เจ้าของรถนำรถไปให้นายทะเบียนตรวจสภาพก่อน.."
ผมเห็นว่า ตาม พ.ร.บ.รถยนต์ฯ บัญญัติไว้ชัดเจนอยู่แล้วว่า "ห้ามมิให้ผู้ใดเปลี่ยนแปลงตัวรถหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของรถให้ผิดไปจากรายการที่จดทะเบียนไว้และใช้รถนั้น เว้นแต่เจ้าของรถนำรถไปให้นายทะเบียนตรวจสภาพก่อน"
เรื่องการดัดแปลงสภาพมันต้องมีการจดทะเบียนไว้ในเล่มคู่มือว่า สภาพของรถเป็นอย่างไร ถึงจะมีความผิดว่าดัดแปลงอย่างไร (อันนี้เป็นข้อกฎหมายนะครับเพราะความผิดอาญาต้องชัดเจน) หากตีความตามตัวบทแล้วเรื่องการดัดแปลงสภาพนั้นผมมีความเห็นว่าต้องพิจารณาว่าดัดแปลงอย่างไรด้วย กล่าวคือดัดแปลงจากที่จดทะเบียนไว้อย่างไร เช่น ในเล่มบอกว่า 1600 ซีซี คุณเปลี่ยนเครื่องยนต์ให้ความจุกระบอกสูบเยอะขึ้นเป็น 2000 ซีซี อันนี้จึงเรียกว่าดัดแปลงสภาพ หากไม่มีการแจ้งเปลี่ยนลงในเล่มก็ผิดเรื่องดัดแปลง อันนี้เรากลับมาว่าถึงเรื่องท่อไอเสียกัน ซึ่งในเล่มไม่ได้แจ้งไว้ว่าท่อขนาดเท่าไหร่ ลักษณะอย่างไร ไม่มีการแนบสเป็ก ไว้ในเล่ม ดังนั้นเมื่อไม่ได้แจ้งไว้ในเล่มแล้วจะมีการดัดแปลงได้อย่างไร บางคนอาจเถียงว่า ก็มันไม่ใช่ของเดิม อ้าวแล้วของเดิมมันเป็นแบบไหน ในเล่มมีบอกไว้ไหม ซึ่งตรงนี้ความคิดเห็นผมในเรื่องดัดแปลงสภาพมันต้องระบุในเล่มทะเบียนว่าส่วนนั้น ๆ มันมีอย่างไร ยกอีกตัวอย่างหนึ่งเช่น เล่มระบุว่า 4 ล้อ แต่คุณไปเพิ่มอีก 2 ล้อกลายเป็น 6 ล้อ ซึ่งในเล่มบอกว่า 4 ล้อ คุณดัดแปลงเป็น 6 ล้อ ซึ่งจะผิดเรื่องดัดแปลงสภาพเพราะในเล่มบอกว่า 4 ล้อเป็นต้น
เรื่องเสียงดัง
ค่ามาตรฐาน* วิธีเร่งเครื่องยนต์
ไม่เกิน 95 เดซิเบลเอ ที่ระยะ 0.5 เมตร
* ระดับเสียงขณะที่เดินเครื่องยนต์อยู่กับที่ โดยไม่รวมเสียงแตรสัญญาณ
เร่งเครื่องยนต์ที่ 3/4 ของความเร็วรอบที่เครื่องยนต์ให้กำลังสูงสุด ถ้าความเร็วรอบที่เครื่องยนต์ให้กำลังสูงสุดไม่เกิน 5,000 รอบต่อนาที
หรือ เร่งเครื่องยนต์ที่ 1/2 ของความเร็วรอบที่เครื่องยนต์ให้กำลังสูงสุดเกิน 5,000 รอบต่อนาที
หมายเหตุ : สถานที่ตรวจวัด เป็นพื้นราบทำด้วยคอนกรีตหรือแอสฟัลต์หรือวัสดุที่มีคุณสมบัติในการสะท้อนเสียงได้ดี และเป็นที่โล่ง
ซึ่งมีระยะห่างจากรถจักรยานยนต์ที่จะตรวจวัด 3 เมตร ขึ้นไป ให้ตรวจสอบค่าระดับเสียง 2 ครั้ง และให้ถือเอาค่าระดับเสียงสูงสุดที่วัดได้ เป็นค่าระดับเสียงของรถจักรยานยนต์
ถ้าแตกต่างกันเกินกว่า 2 เดซิเบลเอ ให้ตรวจสอบใหม่
ดังนั้นในส่วนของเสียงดัง ต้องมีการใช้เครื่องวัด ไอ้ขวดจะบอกว่าหูทิพย์ขึ้นเป็นตัวเลขว่าเกินค่าที่กฎหมายกำหนดโดยไม่ใช้เครื่องวัด อันนี้ก็ไม่ต้องกลัว ถ้าเจอข้อหานี้ก็ท้าวัดระดับเสียงไปเลยครับ
ปล.ลองเอาไว้ไปใช้ดูนะครับเวลาโดนจับเพราะอย่างน้อยก็ยังมีข้อมูลให้เถียงกับไอ้ขวด หากโวยวายไม่มีหลักการมันจะเล่นหนักแต่หากเถียงแบบ"กูรู้นะว่ากฎหมายมันว่าอย่างไร" บางทีไอ้ขวดอาจปล่อยไปก็ได้
แล้วท่านสมาชิกก็ถามมาอีกดังนี้
แล้วผมต้องไปเดินเรื่องยังไงต่อครับ ผมจนปันยาจิงๆ ขอวิธีการดำเนินเรื่องหน่อยครับ เหอะๆผมหงะ งง เลยไปปรึกษาตำรวจอรกสน.นึงได้คำตอบมาว่าผิดเหมือนกันเปลี่ยนไรที่ออกมาจากโรงงานผิดหมดมันบอก ผมก็เลยถามว่าแล้วล้อแม็กหละ มันก็ตอบมาอย่างด้านๆว่า ผิด ผมเถียงมันไปก็เท่านั้นอะครับขนส่งก็บอกไม่ผิด เห้อ
ขอวิธีการดำเนินเรื่องนี้หน่อยครับ
ต้องไปที่ไหน???
ไครจะช่วยผมได้???แต่คงไม่ไช่ตำรวจแน่นอน
ขอบคุณพี่มากๆนะครับ
มีทางเลือกคือ
1.เสียตังค่าปรับที่ตำรวจ (มีใบเสร็จ) เพราะเจ้าพนักงานมีอำนาจเปรียบเทียบปรับได้
2.ไม่ต้องทำอะไรบอกพี่ตำรวจว่า"ขอให้การในชั้นศาล"เพราะผมคิดว่าผมไม่ผิดข้อหาที่พี่แจ้ง (ดูเหมือนขำขำแต่ต้องบอกแบบนั้นจริง ๆ) แล้วไปต่อสู้ในชั้นศาลเอาครับ ในชั้นศาลเต็มที่ก็เสียค่าปรับตามคำสั่งศาลซึ่งผมคิดว่าไม่มากครับ
3.ในชั้นศาลไม่ต้องใช้ทนายความ โดยในชั้นศาลจะมีหมายเรียกให้ไปให้การ(หากอัยการฟ้องตามสำนวนที่ตำรวจทำส่งให้แล้ว)
ปล.ความผิดอาญาทุกกรณีหากไม่จบในชั้นพนักงานสอบสวน(เปรียบเทียบปรับ)ต้องดำเนินการทางศาลเท่านั้น ซึ่งความยุติธรรมยังคงหาได้ครับแม้จะหายากก็ตาม