|
|
บอลลูน 0303 !RZ!
|
|
« ตอบ #2 เมื่อ: 11 กันยายน 2009 17:05:08 » |
|
ดีเหมือนกันนะ นายหัว มีกระทู้เเบบมีสาระจริงจัง เดียวมีอะไรดีๆจะเอามาลงบ้างครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
nut hulahula
|
|
« ตอบ #3 เมื่อ: 11 กันยายน 2009 17:06:14 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
kong_AE101
|
|
« ตอบ #5 เมื่อ: 12 กันยายน 2009 00:17:25 » |
|
โทรศัพท์กับอาการปวดหลัง
หลายคนอาจคิดว่าไม่เกี่ยวกัน แต่ผลการศึกษาของนักวิจัยในมหาวิทยาลัยควีนสแลนด์, ออสเตรเลีย พบว่าหากคุยโทรศัพท์ขณะที่กำลังเดิน จะทำให้คนเราเกิดอาการปวดหลังขึ้นมาได้ ทั้งนี้เนื่องจากวิธีหายใจที่เปลี่ยนแปลงไป
เพราะร่างกายมนุษย์ถูกออกแบบมาให้หายใจออกเวลาที่เท้าแตะพื้น เพื่อช่วยป้องกันการกระแทกของกระดูกสันหลัง ดังนั้นการพูดและการเดินไปพร้อมๆ กันจะทำให้รูปแบบการหายใจตามธรรมชาติเสียไป จนส่งผลต่อกระดูกสันหลังของเราได้
คณะนักวิจัยได้ทำการวัดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อลำตัวซึ่งเป็นส่วนที่ช่วยปกป้องกระดูกสันหลังในอาสาสมัครแต่ละคน
พบว่ากล้ามเนื้อดังกล่าวทำงานได้เหมาะสมในคนที่เดินเฉยๆ ส่วนคนที่เดินไปพูดไป การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวจะน้อยกว่าปกติ ซึ่งเป็นอันตรายต่อกระดูกสันหลังได้
นักวิจัยที่ทำการศึกษาเรื่องนี้ไปบรรยายในการประชุมสมาคมประสาทวิทยา ในนิวออลีนส์, สหรัฐอเมริกา สรุปเนื้อหาสำคัญได้ว่า
ปัญหาดังกล่าวเกิดจากวิธีสั่งงานของสมอง เพราะกล้ามเนื้อจะมีหน้าที่หลายอย่างในเวลาเดียวกันและถูกสั่งการ
โดยสมองตามลำดับความสำคัญ ดังนั้นขณะที่คุยโทรศัพท์และเดินไปพร้อมๆ กัน สมองจะให้ความสำคัญกับการคุยโทรศัพท์มากกว่า จึงสั่งการไปที่ปากมากกว่ากล้ามเนื้อลำตัว ทำให้เสี่ยงต่อการปวดหลังได้มากขึ้น
พวกเขายังพบอีกว่า นอกจากคุยโทรศัพท์ คนที่เดินคุยกับคนอื่นก็เสี่ยงต่อการปวดหลังเช่นกัน แต่คนที่คุยโทรศัพท์มีโอกาสเสี่ยงมากกว่า เพราะมักใช้เวลาเดินคุยนานกว่า
ดังนั้น นอกจากแนะนำให้คนที่ปวดหลังสังเกตวิธีก้มหยิบของหรือบอกว่าไม่ควรนั่งนานเกินไป ตอนนี้ต้องให้เขาสังเกตเพิ่มอีกอย่างว่าชอบเดินไปด้วยคุยไปด้วยหรือไม่ ทั้งคุยโทรศัพท์และคุยกับเพื่อนที่เดินไปด้วยกัน เพราะนั่นคือสาเหตุของอาการปวดหลังที่เพิ่งค้นพบ
นอกจากเดินโทรศัพท์นานๆ ทำให้ปวดหลัง นักวิจัยยังพบอีกว่า การถือโทรศัพท์แนบหูนานๆ ก็ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ เพราะมันจะเพิ่มอาการแน่นตึงบริเวณไหล่และทำให้เกิดความเจ็บปวดขึ้นมาได้
รู้อย่างนี้แล้ว ควรใส่ใจและเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น เพราะเชื่อว่าทุกคนต้องข้องเกี่ยวกับโทรศัพท์อยู่เป็นประจำ ขนาดเด็กอนุบาลหรือแม่ค้าขายกล้วยปิ้ง เดี๋ยวนี้ยังมีมือถือ สำมะหาอะไรกับคนทั่วไปในสังคม
ที่มา:http://sex.sanook.com/sex/safetysex/safety_43861.php
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kong_AE101
|
|
« ตอบ #6 เมื่อ: 12 กันยายน 2009 00:20:08 » |
|
ลดต้นขาด้วยวิธีง่าย ๆ
โอ๊ย!!! เจ็บใจนัก โดนเพื่อน ๆ ประนามขาเราเป็นแหนม เป็นขาหมูบ้างล่ะ แล้วจะทำอย่างไรดี
วันนี้เรามีวิธีการลดต้นขามาฝากกัน
ประการแรก : ใจแข็งเข้าไว้ อย่าปล่อยให้ตัวเองเคลิบเคลิ้มไปกับอาหารอันโอชะ ที่เต็มไปด้วยไขมัน จำไว้ว่า เด็กๆอ้วนน่ะน่ารัก แต่ผู้ใหญ่อ้วนน่ะน่าเกลียด
ประการที่สอง : หลังจากที่ควบคุมอาหารได้แล้ว ก็อย่าลืมที่จะออกกำลังกายบ้าง ซึ่งเราก็มีตัวอย่างท่ากายบริหารมาฝากกัน
ท่าแรก ยกเวทด้วยขา โดยใช้เวทที่มีน้ำหนักขนาด 1 กิโลกำลังดี โดยให้คุณนั่งเก้าอี้ จากนั้นวางเวทไว้บนขาแล้วยก หรือ จะให้ดีควรนอนราบกับพื้น ผูกเวทติดไว้กับขาแล้วยกให้สูงจากพื้น 45 องศา จากนั้นยกค้างไว้ เมื่อร่างกายของคุณปรับสภาพให้เข้ากับน้ำหนักของเวทได้แล้ว ก็เริ่มยกขึ้น-ลงให้เร็วขึ้นโดยทำทีละข้างๆละเท่าๆกัน หากคุณมีเวท 2 อันก็อาจยกขึ้นลงสลับกันก็ได้ เมื่อชำนาญแล้วอาจยกให้สูงขึ้นกว่าเดิมอีก เน้นให้ต้นขาได้ขยับเขยื้อน ทำเช่นนี้ 3 เซ็ทๆละ 10 ครั้ง โดยทำอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง
ท่าต่อมา เป็นการลดต้นขาด้านใน โดยการนอนราบลงบนพื้น จากนั้นไขว้ข้อเท้าไว้ด้วยกัน แล้วขอเข่าเข้ามาให้ชิดร่าง กาย แล้วยืดออก จากนั้นให้คลายเท้าทั้งสองออกจากกันกลับมาสู่ท่าเดิม แล้วเริ่มทำใหม่ 16- 24 ครั้งต่อวัน ต้นขาด้านในของคุณจะดูเล็กลง
สุดท้าย ถ้าขี้เกียจซื้ออุปกรณ์ ก็ให้คุณว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยานอยู่กับที่ (วิธีปั่นจักรยาน มีเคล็ดลับอยู่อย่างว่า ต้องไปปั่นอย่างเร็ว เพราะถ้าปั่นช้า อาจจะทำให้ขาหมูของคุณกลายเป็นขาช้าง หรือขาวัวไปเลยก็ได้นะ)
ส่วนการเต้นแอโรบิคนั้น ก็ช่วยได้เหมือนกัน แต่การเต้นแอโรบิค ไม่ได้ทำให้คุณผอมลงนะ แต่จะทำให้กล้ามเนื้อกระชับขึ้น ต้นขาอาจจะดูเล็กลงเพราะความกระชับของกล้ามเนื้อ แต่น่องจะใหญ่ขึ้น
ลองนำวิธีเหล่านี้ไปใช้ดู รับรองว่าต่อไปก็ไม่มีใครกล้ามาเรียกคุณว่า "ขาหมู" แล้วล่ะ.
ที่มา :http://campus.sanook.com/teen_zone/senior_01831.php
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kong_AE101
|
|
« ตอบ #7 เมื่อ: 12 กันยายน 2009 00:23:02 » |
|
ถั่วพู บำรุงกระดูก และฟัน
ถั่วพู เป็นพืชตระกูลถั่วชนิดหนึ่งที่มีรูปร่างแปลกไม่เหมือนใคร ลักษณะเป็นพืชล้มลุกที่มีลำต้นเลื้อยได้ ส่วนที่เรานิยมนำมากินก็คือฝัก ที่มีความยาวประมาณ ๕-๖ นิ้ว และมี ๔ พู เป็นที่มาของชื่อถั่วพู
รสชาติของถั่วพูนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะนำไปประกอบอาหารอะไรก็อร่อยไปหมด ไม่ว่าจะเป็นยำถั่วพู ทอดมัน หรือจะกินสดๆ จิ้มน้ำพริกก็อร่อยได้ และประโยชน์ในการกินนอกจากจะทำให้อิ่มท้องอิ่มใจแล้ว ก็ยังเต็มไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างวิตามิน เอ ซี และ อี และยังเป็นผักที่มีโปรตีนที่ช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันบางชนิดขึ้น รวมทั้งมีแร่ธาตุฟอสฟอรัส ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของกระดูกและฟัน รวมทั้งแก้อาการอ่อนเพลียได้ด้วย
นอกจากนั้นการกินถั่วพูก็ยังมีกากใยอาหารมาก ทำให้ระบบขับถ่ายของเราเป็นไปอย่างปกติ ท้องไม่ผูก นอกจากนั้นแล้ว หัวของถั่วพูก็สามารถนำไปตากแห้งแล้วคั่วไฟให้เหลือง นำมาชงเป็นน้ำดื่มชูกำลังสำหรับคนป่วยหรืออ่อนเพลียง่ายได้อีกด้วย
ทั้งอร่อยทั้งมีประโยชน์มากเลยทีเดียว
ที่มา : Pantown.com
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kong_AE101
|
|
« ตอบ #8 เมื่อ: 12 กันยายน 2009 00:24:14 » |
|
พอแระไว้วันอื่นบ้าง ใครปวดหลัง ขาใหญ่ ฟันผุ เข้ามาอ่านกัน จะได้ปรับการใช้ชีวิตซะใหม่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Nu MaI <RZ>
|
|
« ตอบ #9 เมื่อ: 12 กันยายน 2009 07:13:34 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
NosDriVe
|
|
« ตอบ #11 เมื่อ: 12 กันยายน 2009 15:45:45 » |
|
เพื่อนๆคิดว่าสุดยอดของการเป็นหมออยู่ที่ไหนครับ ในพฤติกรรมที่ผมว่าคนไทยส่วนใหญ่ทำผิดมากที่สุดคือ เรื่องของการดื่มน้ำนี่แหละครับ ลองทำแบบทดสอบกันสักนิดก่อนอ่านต่อดีไหมครับ 1. คุณมีความเชื่อที่ว่าน้ำยิ่งดื่มเยอะยิ่งดีหรือไม่ 2. คุณดื่มน้ำวันละกี่แก้ว 3. น้ำที่ดื่มเป็นน้ำเย็น, น้ำธรรมดา หรือว่าน้ำอุ่น 4. ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนเป็นพิเศษไหม เช่น ดื่มตอนเช้า ดื่มระหว่างทานข้าว ดื่มก่อนนอน เป็นต้น 5. ปกติดื่มอะไร เช่น น้ำเปล่า น้ำอัดลม ชา กาแฟ เป็นต้น เราเฉลยกันไปทีละข้อๆพร้อมอธิบายละกันครับ พร้อมที่จะรู้ความผิดของ ตัวเองหรือยังครับ
ข้อหนึ่งนั้น เป็นความเชื่อที่ผิดครับ ทุกอย่างต่างมีทั้งคุณและโทษ ต้องหาจุดสมดุลของมันครับ น้ำดื่มมากเกินไปกลับไม่ดีเสียอีกครับ เดี๋ยวผมจะมีสูตรให้คำนวณว่าวันหนึ่งเพื่อนๆควรดื่มน้ำแค่ไหน
ข้อสอง คิดว่าทุกคนคงเคยเรียนกันมาอยู่แล้วว่าคนเราวันหนึ่งควรทานน้ำวันละ 8-10 แก้ว ว่าแต่ ทำได้อย่างที่เรียนมาหรือเปล่าครับ ผมจะอธิบายให้ฟังว่า น้ำในร่างกายของเรามีที่มาที่ไปอย่างไรก่อน น้ำที่เข้าสู่ร่างกายเรามาจากน้ำและอาหารที่ทานเข้าไปเป็นหลัก ส่วนน้ำจะออกจากร่างกายทางปัสสาวะ อุจจาระ เหงื่อ และทางลมหายใจ แต่ปัสสาวะเป็นเส้นทางหลักครับ คนเราจำเป็นต้องปัสสาวะออกจากร่างกายอย่างน้อย 500 มิลลิลิตรต่อวัน ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้หมด นอกจากนี้อีกสามทางที่เหลือโดยเฉลี่ยก็จำเป็นต้องใช้น้ำอีกราว 1000 มิลลิลิตร หรือ 1 ลิตร ต่อวัน เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว คนเราจึงต้องดื่มน้ำเพื่อชดเชยส่วนที่ออกจากร่างกายทุกวันราว 1500 มล. หรือ 7-8 แก้ว (แก้วละ 200 มล.) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลขนี้ก็ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคนครับ ผมเลยมีสูตรมาให้คิดกันคร่าวๆว่าวันหนึ่งเราต้องทานน้ำปริมาณเท่าไรจึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย สูตรคือ (น้ำหนักตัว(กก.) x 2.2 x 30) / 2 หน่วยที่ได้ออกมาเป็นมิลลิลิตรครับ เช่น หนัก 60 กก. เอาเข้าแทนค่าก็จะได้ ควรดื่มน้ำ (60 x 2.2 x 30) / 2 = 1980 มล. หรือประมาณ 10 แก้วต่อวันครับ ถ้าเราดื่มน้ำน้อยกว่านี้ เลือดซึ่ง 90% ทำมาจากน้ำก็จะไหลเวียนไม่สะดวก ร่างกายก็จะขับของเสียได้ยาก ขณะเดียวกัน สารอาหารในเลือดก็ส่งไปถึงร่างกายช้า ทางแพทย์จีนถ้าเกิดเลือดลมเดินไม่สะดวกนี่เป็นบ่อเกิดสารพัดโรคเลย บางคนบอกว่าประจำเดือนมาน้อยหรือไม่มา มาเป็นลิ่มเลือด สีเข้ม หนืด ปวดประจำเดือนก็แหงละครับ น้ำไม่กินจะเอาที่ไหนไปสร้างเลือดละครับ แต่ถ้าทานน้ำมากกว่านี้ก็เป็นผลเสียต่อร่างกายอีกเหมือนกัน ทำอะไรก็ต้องพอดีๆครับ
ข้อสาม อย่างที่เคยบอกไปตั้งแต่อาการขี้หนาวนะครับว่าน้ำเย็นเป็นของต้องห้ามสำหรับร่างกาย กระเพาะเมื่อเจอของเย็นเข้าไปการทำงานจะด้อยลงทันที เกิดเป็นอาหารไม่ย่อย อาหารบูดเน่า หมักหมมอยู่ในกระเพาะ และลำไส้ลำไส้ก็ดูดซึมของเสียจากกากอาหารพวกนี้กลับเข้าสู่เส้นเลือดต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะถ่ายอุจจาระออกจากร่างกายของเรา เพราะฉะนั้นเราไม่ควรจะทานของเย็นๆครับ ทานน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นก็ได้ แต่ก่อนผมไม่รู้จุดนี้ก็ทานกันไป โดยเฉพาะไทยเป็นเมืองร้อน ทุกที่ต้องเสริฟน้ำเย็น เสริฟน้ำแข็งกันเป็นกระติกๆ กินกัน จนเป็นเรื่องธรรมชาติ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ก็เฉยๆ แต่พอตอนนี้ เห็นแล้วกลัวไปเลยครับ บ้านผมตอนนี้ไม่ทานน้ำแข็งกันแล้ว
ข้อสี่ ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนกัน ที่บอกให้ดื่มวันละ 8-10 แก้วเนี่ยจะแบ่งกินช่วงไหนระหว่างวันบ้างละ ใครที่ชอบทานข้าวไป จิบน้ำไปประมาณว่ากินข้าวเสร็จหมดน้ำไปสองแก้ว ข้อนี้ผมจัดเป็นหายนะอย่างใหญ่หลวงที่สุดเลยครับ เป็นการกินน้ำที่ผิดที่สุดครับ คนเรามักทำอะไรเพลินเสียจนลืมทานน้ำ พอถึงเวลาว่างซึ่งมักจะเป็นเวลาทานข้าว เขาบอกว่าให้ทานน้ำเยอะก็ทานรวดเดียวไปเลย ผิด ผิด ผิด ผิดแบบไม่น่าให้อภัยเลยครับ เพราะช่วงเวลาที่ทานข้าวนั้น ร่างกายจำเป็นต้องอาศัยน้ำย่อยในการย่อยอาหาร เมื่อคุณกินน้ำเข้าไปเยอะๆแล้ว น้ำย่อยก็จะเจือจาง ก็เข้าสู่ระบบเดียวกับการกินของเย็นคืออาหารไม่ย่อย หมักหมม พิษถูกดูด เข้าเส้นเลือด เพราะฉะนั้นที่คุณควรทำคือ ตอนเช้าตื่นมาดื่มน้ำก่อนเลยครับ 2-5 แก้ว เพื่อขับพิษออกจากร่างกายทางอุจจาระ ปัสสาวะ ที่ให้ดื่มทันทีเพื่อให้มีระยะเวลาห่างจากอาหารเช้าพอสมควร ก่อนอาหาร 15 นาที ระหว่างทานอาหาร และหลังอาหาร 40 นาที ทานน้ำได้ไม่เกินครึ่งแก้วครับ ในที่นี้หมายรวมถึงซุป น้ำแกง และของเหลวทุกประเภทนะครับ และอย่าดื่มน้ำครั้งละมากๆ ให้จิบครั้งละ 2-3 อึก แต่จิบถี่ๆ หาขวดน้ำแก้วน้ำมาวางไว้ข้างตัว จิบไปทั้งวันครับ ถ้ากินน้ำครั้งละมากๆผลก็คือ ร่างกายยังไม่ทันได้ดูดซึมก็ไหลรวดเดียวปัสสาวะออกไปหมดแล้ว อย่างนี้ดื่มน้ำมากแค่ไหนก็ยังหิวน้ำครับ เหมือนน้ำป่ามาครั้งเดียว ทะลักล้นเขื่อนออกไปหมด แล้วจะเอาอะไร กักเก็บไว้ในเขื่อนละครับ เหมือนทำยาก แต่จริงๆแล้วพอเริ่มทำมันก็ไม่ยากอะไรครับ ผมแต่ก่อนทานน้ำ 2-3 แก้วพร้อมทานข้าว ด้วยเหตุผลสารพัดที่เข้าใจผิด เช่น ควรกินข้าวพออิ่มและทานน้ำ เพื่อให้อิ่มจริง หรือกินล้างปากสักหน่อย (กินกันเป็นแก้วล้างปากเนี่ยนะ) หรือต้องสั่งชอคโกแลตปั่นใส่วิปครีมมากิน กินแล้วหวานมันเย็นอร่อยแต่ส่งผลเสียต่อกระเพาะโดยไม่รู้ตัว เบียร์ก็อีกตัวครับ สังสรรค์กันทีกินเข้าไปสิกี่ขวดว่ากันไป ทุกวันนี้เลิกครับ ได้ข้อดีอีกอย่างคือไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหนไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะมันควรกินแกล้มอาหาร เลยได้เลิกเหล้า เลิกเบียร์กันไป แต่ก่อนหลังทานข้าวเสร็จผมจะเรอตลอด ท้องอืดมาก ก็งง หรือว่าเรากินเยอะไป แต่บางทีกินไม่เยอะก็เรอตลอด เสียบุคลิกมาก พอมารู้ตรงนี้ถึงได้ถึงบางอ้อ กินน้ำเยอะอย่างนี้แล้วอาหารจะย่อยยังไงมันก็เลยเกิดลมเกิดแก๊สซิ พอเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำใหม่ อาการเหล่านี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆครับ
นอกจากนี้หลังอาหารยังไม่ควรทานผลไม้ล้างปากทันทีอีกด้วยครับ โดยเฉพาะผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็นทั้งหลาย เช่น ส้ม แก้วมังกร สาลี่ แตงโม เป็นต้น มีสองเหตุผลครับ หนึ่ง เพราะว่าผลไม้จะย่อยเร็วกว่าอาหาร อาหารยังย่อยไม่เสร็จ ผลไม้ก็ค้างเติ่งอยู่ในกระเพาะ ร่างกายก็ดูดซึม สารอาหารจากผลไม้เหล่านี้ไม่ได้ พอไปถึงลำไส้ถึงคิวที่มันจะได้ดูดซึมมันก็เน่าเสียไปหมดแล้วครับ เพราะฉะนั้นถ้าจะทานผลไม้ควรทานก่อนหรือหลังอาหารสัก 1-2 ชม. ขณะท้องว่างเพื่อให้ร่างกายได้ดูดซึมวิตามิน สารอาหารและไม่รบกวนระบบการย่อย?าหารด้วย เหตุผลที่สอง คือ น้ำย่อยในกระเพาะถือว่าเป็นธาตุไฟครับ ถ้าทานผลไม้ฤทธิ์เย็นเข้าไปก็จะส่งผลให้อาหารย่อยไม่ดี เกิดวงจรอุบาทว์ดังเช่นข้างบนอีกเหมือนกัน
มาถึงข้อสุดท้ายแล้ว เป็นไงบ้างครับ คอตกรับผิดกันเป็นแถวเชียว ยังครับมารับรู้ความผิดของตัวเองกันในข้อนี้ต่อ ทานน้ำอะไรกันครับ บางคนชอบทานน้ำอัดลมมาก ดื่มทุกวัน ไตก็ต้องทำงานกรองน้ำให้สะอาดหนักกว่าเดิม เครื่องกรองน้ำยี่ห้อแอมเวย์สามารถกรองโค้กให้กลายเป็นน้ำเปล่าได้อายุการใช้งานไม่ถึงปีก็ต้องเปลี่ยนหัวกรอง ทว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนไตได้ครับ ถ้ายังอยากให้ไตอยู่คู่กับเรานานๆแล้ว คุณคงรู้ว่าต้องทำอย่างไร อีกอย่างน้ำอัดลมเป็นน้ำที่ผ่านกรรมวิธีทางเคมี ใส่น้ำตาลจำนวนมาก กินเข้าไปมีแต่ผลเสียครับ ยิ่งอัดแก๊สอีก กินเข้าไปท้องก็อืด การย่อยอาหารก็ไม่ดี เสียเงินไปทำร้ายร่างกายตัวเองเปล่าๆ พวกชาพร้อมดื่มบรรจุขวดก็เหมือนกันไม่มีอะไรนอกจากน้ำตาลและคาเฟอีนปริมาณมากผสมน้ำนำมาขาย แต่ถ้าเป็นชาจีนร้อนๆชงจากกาก็ควรจะเว้นระยะหลังอาหารสักครึ่ง ชม.ครับ เพราะชามีฤทธิ์เย็น ทำให้อาหารไม่ย่อย รวมทั้งยังส่งผลต่อร่างกายในการดูดซึมธาตุเหล็กและโปรตีนอีกด้วย กาแฟก็ไม่ควรทานอย่างที่เคยพูดไว้ บางคนเถียงข้างๆคูๆ "กาแฟหอมนะหมอ"หอมครับผมไม่เถียง แต่มันไม่ดีครับ เดี๋ยวไอเดียบรรเจิดไม่เป็นหมอแล้ว ผลิตยาดมรสกาแฟดีกว่า ท่าจะรุ่ง
อีกอย่างขอแถมนิดนึง คนไทยชอบกินก๋วยเตี๋ยวเติมเครื่องเยอะๆ อร่อยลิ้นแต่ไตทำงานหนักนะครับ
ครบห้าข้อแล้ว โอย เหนื่อย เอนทรี่นี้ยาวเป็นบ้า แต่ก็จำเป็นต้องเขียน เพื่อประโยชน์สุขของมวลชน555 ว่าไปนั่น ที่เขียนมาให้อ่านนี้เพราะหวังดีจริงๆครับ อยากให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างถูกต้องเพื่อจะได้ห่างจากโรคภัยไข้เจ็บอย่างที่บอกครับ หมอไม่อยากรักษาคนไข้หรอกครับ และหมอที่ดีที่สุดคือตัวคนไข้เอง เพราะพวกผมไม่มีทางอยู่กับคุณได้ตลอด ความสำเร็จไม่ใช่ได้มาเพียงชั่ว ข้ามคืน แต่ต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน สุขภาพที่ดีไม่ใช่ว่าป่วยแล้วไปหาหมอ ได้ยามาทานแล้วหาย แต่เป็นหน้าที่ของตัวคุณเองที่ต้องดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง ขอให้พวกเราชนะโดยไม่จำเป็นต้องออกกระบวนท่าครับ
ปล. If you trust me ก็นำไปปฏิบัติตามนะครับ อีกอย่างความรู้ควรแบ่งปันครับ คนไม่รู้เรื่องนี้ยังมีอีกมาก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ถ้าไม่ทนเหนื่อย ทนลำบากมาด้วยกัน ก็ไม่รู้หรอกว่าแต่ละคนให้ใจกันแค่ไหน ใช่มั้ย พิเรณทีม
|
|
|
B☆NK
|
|
« ตอบ #12 เมื่อ: 12 กันยายน 2009 19:30:38 » |
|
เป็นข้างขวาอยู่คับ วุ้นในลูกตาเสื่อม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Nu MaI <RZ>
|
|
« ตอบ #13 เมื่อ: 12 กันยายน 2009 19:57:47 » |
|
ช่วยหนู่หน่อยสิ แบบว่า เบนหวัดง่าย แค่โดนฝนซักนิด เช้ามาเริ่มเลยอะ ฮือๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
aragon < RZ >
|
|
« ตอบ #14 เมื่อ: 14 กันยายน 2009 09:54:21 » |
|
ออกกำลังกายสิครับใหม่ ช่วยได้เยอะครับ แถมสุขภาพสดชื่นอีกด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
soda
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #15 เมื่อ: 14 กันยายน 2009 09:57:26 » |
|
ปวดหลัง ปวดเอว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kong_AE101
|
|
« ตอบ #16 เมื่อ: 14 กันยายน 2009 12:06:40 » |
|
ปวดหลัง ปวดเอว ต้องไปร้านอาบอบนาบ (เอ้ย นวด) ครับพี่ บอย อิอิอิ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kong_AE101
|
|
« ตอบ #17 เมื่อ: 14 กันยายน 2009 12:09:57 » |
|
รักษาสิวด้วยน้ำมะนาว
ทราบหรือไม่ว่า น้ำมะนาวก็สามารถช่วยรักษาสิวได้ วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเรื่องนี้มาฝาก...
วิธีทำ เริ่มจากล้างหน้าให้สะอาด จากนั้นบีบน้ำมะนาว 1 ช้อนชา ใช้สำลีจุ่มน้ำมะนาวพอเปียก แล้วนำมาป้ายลงบนสิว ทิ้งไว้ทั้งคืน แล้วล้างออกในตอนเช้า หากรู้สึกว่าน้ำมะนาวแรงเกินไป อาจจะผสมน้ำให้เจือจางก็ได้ วิธีนี้ต้องใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์เป็นอย่างต่ำจึงจะเห็นผล
เพียงเท่านี้ปัญหาเรื่องสิวก็จะหายไป.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
soda
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #19 เมื่อ: 14 กันยายน 2009 13:37:14 » |
|
ปวดหลัง ปวดเอว ต้องไปร้านอาบอบนาบ (เอ้ย นวด) ครับพี่ บอย อิอิอิ อืม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|