|
aragon < RZ >
|
|
« ตอบ #41 เมื่อ: 18 กันยายน 2009 17:14:32 » |
|
ปวดหัว - ให้กินปลามากฯ ทั้งปลาทะเล และ น้ำจืด เพราะน้ำมันจากตัวปลา มีสรรพคุณ ป้องกันการปวดหัว กินพร้อมฯ กับขิง จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวลงได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
-- James _ Za --
|
|
« ตอบ #42 เมื่อ: 18 กันยายน 2009 17:42:46 » |
|
เป็นวุ่นในตาเสื่อมอยู่ แต่ก่อนติดเกม เล่นทั้งวัน แต่เป็นแค่จุดเดียวเล็กๆนะ จะเห็นเป็นจุด ดำๆ จางๆ ลอยอยู่ข้างหน้า ทีแรกนึกว่าอะไรมาติดที่ตา ถ้ามองไปหากำแพงสีขาวจะเห็นชัด ในกรณีที่มองวัตถุที่อยู่ใกล้กว่ากำแพง แต่ถ้ามองอะไรทั่วไป หรือเพ่งไปที่กำแพงจะไม่เห็น บางทีก็ลืมว่าตัวเองเป็นอยู่ อย่าเล่นคอมแล้วปิดไฟ แล้วก็พยายามพักสายตาบ่อยๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
aragon < RZ >
|
|
« ตอบ #43 เมื่อ: 18 กันยายน 2009 17:45:05 » |
|
เป็นวุ่นในตาเสื่อมอยู่ แต่ก่อนติดเกม เล่นทั้งวัน แต่เป็นแค่จุดเดียวเล็กๆนะ จะเห็นเป็นจุด ดำๆ จางๆ ลอยอยู่ข้างหน้า ทีแรกนึกว่าอะไรมาติดที่ตา ถ้ามองไปหากำแพงสีขาวจะเห็นชัด ในกรณีที่มองวัตถุที่อยู่ใกล้กว่ากำแพง แต่ถ้ามองอะไรทั่วไป หรือเพ่งไปที่กำแพงจะไม่เห็น บางทีก็ลืมว่าตัวเองเป็นอยู่ อย่าเล่นคอมแล้วปิดไฟ แล้วก็พยายามพักสายตาบ่อยๆ คอมนี่ น่ากัวเหมือนกันนะเนี่ยย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
TON VIP < RZ >
|
|
« ตอบ #44 เมื่อ: 21 กันยายน 2009 09:32:26 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NosDriVe
|
|
« ตอบ #45 เมื่อ: 22 กันยายน 2009 06:47:16 » |
|
ข้อมูลอ้างอิง
ต้มจืดฟัก >>>> หน่วยทหารมักต้มให้ทหารเกณฑ์กิน เนื่องจากว่า ทหารเกณฑ์มาฝึก ห่างไกลสาว ๆ .... นกเขาโดดเดี่ยว น้ำมะตูม >>>> จะเห็นว่า หลวงพี่ หลวงพ่อ ชอบฉัน...ซดเช้า กลางวัน เย็น... จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน ต้นลั่นทม >>>> ปลูกมากในวัด กลิ่นมันจะช่วยทำให้ใจสงบ นกเขาหลับสนิท...อิอิ
ลั่นทมนี่ ลีลาวดี ช่ายปะป้า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ถ้าไม่ทนเหนื่อย ทนลำบากมาด้วยกัน ก็ไม่รู้หรอกว่าแต่ละคนให้ใจกันแค่ไหน ใช่มั้ย พิเรณทีม
|
|
|
NosDriVe
|
|
« ตอบ #46 เมื่อ: 23 กันยายน 2009 18:17:53 » |
|
ข้าวโพดต้มสุก ต้านมะเร็ง
ข้าวโพดสุก ต้านมะเร็ง การแทะข้าวโพดหวานต้านโรคมะเร็งมีสารตัวล้างพิษมากกว่าผักผลไม้
นักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐฯ รายงานในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริกาว่า
ข้าวโพดหวานที่ปรุงสุกแล้วจะออกฤทธิ์ล้างพิษในร่างกายสูงขึ้นได้อย่างเด่นชัด
เขาเผยว่าผิดกับที่เคยเชื่อกันมาก่อน ว่าผักและผลไม้หากต้มปรุงสุกแล้วจะเสียคุณค่าทางอาหารลงไป
สู้กินดิบๆ ไม่ได้ แต่ข้าวโพดหวานยังคงสามารถเก็บพลังเป็นตัวล้างพิษคงไว้ได้ แม้ว่าจะเสียวิตามินซีไป
เขาได้พบในการต้มข้าวโพดหวานด้วยอุณหภูมิสูง 115 องศาเซลเซียส ในเวลานานต่างกัน 10, 25 และ 50 นาที
พบว่ายิ่งต้มนานจะทำให้มันมีสารอันเป็นตัวล้างพิษเพิ่มขึ้นเป็น 22, 44 และ 53 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารที่ออกฤทธิ์เป็นตัวล้างพิษช่วยดับพิษของพวกอนุมูลอิสระ
ซึ่งเป็นอันตรายกับเซลล์ของอวัยวะต่างๆ ทั้งยังมีส่วนเกี่ยวพันกับโรคอันเนื่องมาจากความแก่ชราต่างๆ
อย่างเช่นต้อกระจก และโรคสมองเสื่อมอีกด้วย
คณะนักวิจัยแจ้งว่าข้าวโพดหวานที่ต้มหรือปิ้งจะปล่อยสารประกอบที่เรียกว่า กรดเฟรุลิก
อันเป็นคุณกับร่างกายยิ่งมากขึ้นเมื่อถูกความร้อนสูงขึ้นหรือเวลานานขึ้นกรดเฟรุลิกเป็นพวกพฤกษเคมี
ซึ่งในผักและผลไม้มีอยู่ไม่มากนัก แต่กลับพบมีอยู่อย่างอุดมในข้าวโพดผสมปนเปรวมอยู่กับอย่างอื่น
การทำให้มันสุกจึงช่วยทำให้มันปล่อยกรดเฟรุลิกออกมาได้มากขึ้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ถ้าไม่ทนเหนื่อย ทนลำบากมาด้วยกัน ก็ไม่รู้หรอกว่าแต่ละคนให้ใจกันแค่ไหน ใช่มั้ย พิเรณทีม
|
|
|
|
aragon < RZ >
|
|
« ตอบ #48 เมื่อ: 24 กันยายน 2009 09:12:40 » |
|
ข้าวโพดต้มสุก ต้านมะเร็ง
ข้าวโพดสุก ต้านมะเร็ง การแทะข้าวโพดหวานต้านโรคมะเร็งมีสารตัวล้างพิษมากกว่าผักผลไม้
นักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐฯ รายงานในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริกาว่า
ข้าวโพดหวานที่ปรุงสุกแล้วจะออกฤทธิ์ล้างพิษในร่างกายสูงขึ้นได้อย่างเด่นชัด
เขาเผยว่าผิดกับที่เคยเชื่อกันมาก่อน ว่าผักและผลไม้หากต้มปรุงสุกแล้วจะเสียคุณค่าทางอาหารลงไป
สู้กินดิบๆ ไม่ได้ แต่ข้าวโพดหวานยังคงสามารถเก็บพลังเป็นตัวล้างพิษคงไว้ได้ แม้ว่าจะเสียวิตามินซีไป
เขาได้พบในการต้มข้าวโพดหวานด้วยอุณหภูมิสูง 115 องศาเซลเซียส ในเวลานานต่างกัน 10, 25 และ 50 นาที
พบว่ายิ่งต้มนานจะทำให้มันมีสารอันเป็นตัวล้างพิษเพิ่มขึ้นเป็น 22, 44 และ 53 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารที่ออกฤทธิ์เป็นตัวล้างพิษช่วยดับพิษของพวกอนุมูลอิสระ
ซึ่งเป็นอันตรายกับเซลล์ของอวัยวะต่างๆ ทั้งยังมีส่วนเกี่ยวพันกับโรคอันเนื่องมาจากความแก่ชราต่างๆ
อย่างเช่นต้อกระจก และโรคสมองเสื่อมอีกด้วย
คณะนักวิจัยแจ้งว่าข้าวโพดหวานที่ต้มหรือปิ้งจะปล่อยสารประกอบที่เรียกว่า กรดเฟรุลิก
อันเป็นคุณกับร่างกายยิ่งมากขึ้นเมื่อถูกความร้อนสูงขึ้นหรือเวลานานขึ้นกรดเฟรุลิกเป็นพวกพฤกษเคมี
ซึ่งในผักและผลไม้มีอยู่ไม่มากนัก แต่กลับพบมีอยู่อย่างอุดมในข้าวโพดผสมปนเปรวมอยู่กับอย่างอื่น
การทำให้มันสุกจึงช่วยทำให้มันปล่อยกรดเฟรุลิกออกมาได้มากขึ้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
TON VIP < RZ >
|
|
« ตอบ #49 เมื่อ: 24 กันยายน 2009 13:27:20 » |
|
โรคแผลในกะเพาะอาหาร - ให้กินกะหล่ำปลี เพราะมีสารเคมีช่วยทำให้แผลเรื้อรังในกะเพาะอาหาร และลำไส้หายขาดได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NosDriVe
|
|
« ตอบ #50 เมื่อ: 26 กันยายน 2009 12:29:48 » |
|
เวลาได้กินน้ำเย็นๆ ซักแก้ว หลังอาหาร รู้สึกมันชื่นใจดีใช่มั้ยครับ
แต่ว่า น้ำเย็นจะทำให้ไขมันที่คุณเพิ่งกินเข้าไปเมื่อกี๊จับตัวเป็นไขขึ้นมา
ซึ่งจะส่งผลให้การย่อยอาหารช้าลง
ถ้าคราบไขมันเหล่านี้ไปทำปฏิกิริยากับกรด มันจะแตกตัวแล้วจะถูกดูดซึมไปที่ลำไส้
ไขมันที่แตกตัวนี้จะดูดซึมได้เร็วกว่าอาหารทั่วไป แล้วก็จะเริ่มเคลือบลำไส้ของเราไว้ (ด้านใน)
ในไม่ช้า มันก็จะแปรสภาพเป็นไขมันก้อนๆ และเป็นบ่อเกิดของมะเร็งในที่สุด
ดังนั้น ควรดื่มน้ำอุ่นหลังอาหารดีกว่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ถ้าไม่ทนเหนื่อย ทนลำบากมาด้วยกัน ก็ไม่รู้หรอกว่าแต่ละคนให้ใจกันแค่ไหน ใช่มั้ย พิเรณทีม
|
|
|
NosDriVe
|
|
« ตอบ #51 เมื่อ: 26 กันยายน 2009 12:30:45 » |
|
ขอเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาการของโรคหัวใจ
เวลาที่เกิดอาการ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเจ็บที่แขนซ้ายเสมอไป
ถ้าคุณมีอาการปวดกรามหรือขากรรไกรก็อาจจะเป็นสัญญาณของโรคหัวใจได้
แม้ว่าคุณจะเป็นโรคหัวใจ แต่คุณก็ไม่จำเป็นต้อง มีอาการเจ็บหน้าอก
อาการเหงื่อออก คลื่นไส้ ก็เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้กับโรคทั่วๆไป
60% ของคนที่โรคหัวใจกำเริบขณะหลับมันจะไม่ตื่น (อีกเลยรึเปล่าก็ไม่รู้)
แต่อาการปวดกราม อาจจะทำให้คุณตื่นขึ้นมากลางดึกได้
ก็ให้ระวังดูและตัวเอง ถ้ามีอาการเหล่านี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ถ้าไม่ทนเหนื่อย ทนลำบากมาด้วยกัน ก็ไม่รู้หรอกว่าแต่ละคนให้ใจกันแค่ไหน ใช่มั้ย พิเรณทีม
|
|
|
cliff
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #52 เมื่อ: 26 กันยายน 2009 12:34:25 » |
|
ข้อมูลอ้างอิง
ต้มจืดฟัก >>>> หน่วยทหารมักต้มให้ทหารเกณฑ์กิน เนื่องจากว่า ทหารเกณฑ์มาฝึก ห่างไกลสาว ๆ .... นกเขาโดดเดี่ยว น้ำมะตูม >>>> จะเห็นว่า หลวงพี่ หลวงพ่อ ชอบฉัน...ซดเช้า กลางวัน เย็น... จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน ต้นลั่นทม >>>> ปลูกมากในวัด กลิ่นมันจะช่วยทำให้ใจสงบ นกเขาหลับสนิท...อิอิ
ลั่นทมนี่ ลีลาวดี ช่ายปะป้า มิน่า...เจ๊ เล่นปลูกที่หน้าบ้านเลย 3 ต้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
aragon < RZ >
|
|
« ตอบ #53 เมื่อ: 26 กันยายน 2009 13:30:51 » |
|
เวลาได้กินน้ำเย็นๆ ซักแก้ว หลังอาหาร รู้สึกมันชื่นใจดีใช่มั้ยครับ
แต่ว่า น้ำเย็นจะทำให้ไขมันที่คุณเพิ่งกินเข้าไปเมื่อกี๊จับตัวเป็นไขขึ้นมา
ซึ่งจะส่งผลให้การย่อยอาหารช้าลง
ถ้าคราบไขมันเหล่านี้ไปทำปฏิกิริยากับกรด มันจะแตกตัวแล้วจะถูกดูดซึมไปที่ลำไส้
ไขมันที่แตกตัวนี้จะดูดซึมได้เร็วกว่าอาหารทั่วไป แล้วก็จะเริ่มเคลือบลำไส้ของเราไว้ (ด้านใน)
ในไม่ช้า มันก็จะแปรสภาพเป็นไขมันก้อนๆ และเป็นบ่อเกิดของมะเร็งในที่สุด
ดังนั้น ควรดื่มน้ำอุ่นหลังอาหารดีกว่า
ผมอดไม่ได้หรอก ถ้าน้ำอุ่นอะ (แต่ถ้าอาบอะไม่แน่) อิอิ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kong_AE101
|
|
« ตอบ #54 เมื่อ: 27 กันยายน 2009 13:16:46 » |
|
ที่กำลังมีความรัก วันนี้มีวิธีสังเกตว่าความรักที่มีอยู่นั้น เป็นรักแท้หรือเปล่ามาให้อ่านกัน...
1. ต้องมีความรู้สึกได้สัมผัส กับความสุขร่วมกับคน ๆ นั้น เมื่ออยู่ด้วยกันก็จะมีความสุขมาก ไม่เคยเบื่อที่มีเขาอยู่ใกล้ ๆ และเมื่อยามที่เขาห่างไกลไม่ได้เห็นหน้า ก็จะรู้สึกเหงา ๆ และคิดถึง ไม่ใช่พอเขาหันหลังให้ ก็กระโดดโลดเต้นดีใจ 2. ต้องให้ความเคารพนับถือคน ๆนั้น ถ้าจะรักใครสักคน แล้วตั้งหน้าดูถูกไม่เคยให้ความเคารพ ในความเป็นเขา แล้วคนอื่น ๆ จะเคารพคน ๆ นั้น ของเราได้อย่างไรและเราจะภูมิใจหรือ กับการที่ได้รักใคร่กับคนที่ใคร ๆ เขาดูถูก
3. ต้องรู้สึกว่าคน ๆ นั้นเป็นที่พึ่งได้ เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ขึ้นในชีวิต ก็มั่นใจว่าเขาจะอยู่เคียงข้างเพื่อคอยช่วยเหลือ 4. ต้องเชื่อมั่นว่าถ้ามีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้นไม่ว่าจะรุนแรงแค่ไหน สัมพันธภาพก็ยังคงดำเนินต่อไป เพราะคนเราย่อมผิดพลาดกันได้ ถ้ารู้จักอภัยกันมันก็อยู่กันทน
5. ต้องเข้าถึงความต้องการอารมณ์ และความรู้สึกของคน ๆ นั้นอย่างถ้ารู้ว่าชอบจะอยู่คนเดียวตามลำพังบ้าง ก็ควรเปิดโอกาสได้อยู่กับตัวเอง ด้วยความเต็มใจ
6. ต้องมีความรู้สึกต้องตาต้องใจในสรีระของคน ๆ นั้น ไม่ว่าจะต้องเสน่ห์ในความเป็นหญิงกำยำ หรือในความล้านจนขึ้นเงาวับบนหัวเขา มันก็มีส่วนในความรักเหมือนกัน
7. ต้องรู้สึกว่าเรา สามารถจะพูดคุยกับคน ๆ นั้นได้ทุกเรื่องอย่างเปิดอก สามารถที่จะขุดความรู้สึกส่วนลึกในหัวใจ ขึ้นมาพูดได้ ไม่ใช่ต้องปิดบังความรู้สึกส่วนนั้นไว้ เพราะกลัวว่าถ้าพูดออกมาแล้ว เราจะอับอายหรือไม่ก็กลัวว่าเขาได้ยิน แล้วจะเดินหายไปจากชีวิต
8. ต้องรู้สึกว่าคน ๆ นั้นเป็นของมีค่าในมือ ถ้าไม่มีเขาสักคน ชีวิตของเราก็สูญของมีค่าไป 9. ต้องรู้สึกเต็มใจที่มีส่วนร่วมกับคนๆ นั้นในหลาย ๆ ด้าน เป็นต้นว่าความคิดอารมณ์ และเวลาแต่ไม่ใช่ร่วมกับเขาไปหมด จนเขาไม่เหลือความเป็นตัวของตัวเอง
10. ต้องรู้สึกอยากมีส่วนร่วมอยากรับฟังทุกอย่าง ไม่ว่าสิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่ดี หรือเป็นสิ่งที่ทุกข์ ที่เรียกว่าร่วมทุกข์ร่วมสุข เพราะคนที่ต้องการแต่จะร่วมสุข นั่นหมายถึงว่าคุณไม่ได้มีรักแท้กับคนๆนั้น
ลองนำไปสังเกตความรักของคุณดูได้ ว่าเป็นรักแท้แบบไหน.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
EviL tO LauGh
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #55 เมื่อ: 28 กันยายน 2009 09:34:53 » |
|
ข้อมูลอ้างอิง
ต้มจืดฟัก >>>> หน่วยทหารมักต้มให้ทหารเกณฑ์กิน เนื่องจากว่า ทหารเกณฑ์มาฝึก ห่างไกลสาว ๆ .... นกเขาโดดเดี่ยว น้ำมะตูม >>>> จะเห็นว่า หลวงพี่ หลวงพ่อ ชอบฉัน...ซดเช้า กลางวัน เย็น... จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน ต้นลั่นทม >>>> ปลูกมากในวัด กลิ่นมันจะช่วยทำให้ใจสงบ นกเขาหลับสนิท...อิอิ
ลั่นทมนี่ ลีลาวดี ช่ายปะป้า มิน่า...เจ๊ เล่นปลูกที่หน้าบ้านเลย 3 ต้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
4a71
|
|
« ตอบ #56 เมื่อ: 28 กันยายน 2009 17:32:46 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kong_AE101
|
|
« ตอบ #57 เมื่อ: 28 ตุลาคม 2009 09:25:03 » |
|
วิธีลดความมันที่ใบหน้า
คุณๆ ที่มีปัญหาเรื่องอาการหน้ามันทุก 5 นาที อาการสาวๆ หน้ามันเนี่ยมันทำให้หนุ่มที่เดินข้างๆ รู้สึกเสียอารมณ์สุดๆ ช่วยโบ๊ะหน่อยก็ดี แต่บางคนยิ่งโบ๊ะก็ยิ่งเยิ้ม ไปกันใหญ่เลยค่ะคุณ เอาเป็นว่าเรามาแก้ปัญหาที่ต้นเหตุกันดีกว่า ด้วยวิธีแสนจะง่ายและปราศจากผลข้างเคียงแน่นอนค่ะ
1. นำสตอเบอร์รี่ 2 ลูกล้างให้สะอาด แตงกวา 1 ลูกล้างให้สะอาด
2. นำมาใส่เครื่องปั่นผสมกันให้ละเอียด
3. แล้วนำมาพอกหน้า เว้นบริเวณรอบดวงตาและรอบปาก ประมาณ 20 นาที
4. เสร็จแล้วก็ล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ
แค่นี้ก็ช่วยได้แล้วจ้า เพราะจะช่วยกระชับรูขุขนให้ระเอียดขึ้นด้วย และอาจจะใช้สัปปะรดฝานบางๆ แช่เย็นไว้ แล้วนำมาวางบนหน้า ซัก 10 นาทีต่อ ก็จะช่วยเรื่องหน้ามันได้อีกด้วยค่ะ ขอแนะนำว่าอาทิตย์นึงทำซักครั้งก็พอนะคะ รับรองว่าผิวหน้าคุณๆ ก็จะสดใส เนียนนุ่ม และไม่มันได้แน่นอนค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
aragon < RZ >
|
|
« ตอบ #58 เมื่อ: 28 ตุลาคม 2009 09:29:05 » |
|
วิธีลดความมันที่ใบหน้า
คุณๆ ที่มีปัญหาเรื่องอาการหน้ามันทุก 5 นาที อาการสาวๆ หน้ามันเนี่ยมันทำให้หนุ่มที่เดินข้างๆ รู้สึกเสียอารมณ์สุดๆ ช่วยโบ๊ะหน่อยก็ดี แต่บางคนยิ่งโบ๊ะก็ยิ่งเยิ้ม ไปกันใหญ่เลยค่ะคุณ เอาเป็นว่าเรามาแก้ปัญหาที่ต้นเหตุกันดีกว่า ด้วยวิธีแสนจะง่ายและปราศจากผลข้างเคียงแน่นอนค่ะ
1. นำสตอเบอร์รี่ 2 ลูกล้างให้สะอาด แตงกวา 1 ลูกล้างให้สะอาด
2. นำมาใส่เครื่องปั่นผสมกันให้ละเอียด
3. แล้วนำมาพอกหน้า เว้นบริเวณรอบดวงตาและรอบปาก ประมาณ 20 นาที
4. เสร็จแล้วก็ล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ
แค่นี้ก็ช่วยได้แล้วจ้า เพราะจะช่วยกระชับรูขุขนให้ระเอียดขึ้นด้วย และอาจจะใช้สัปปะรดฝานบางๆ แช่เย็นไว้ แล้วนำมาวางบนหน้า ซัก 10 นาทีต่อ ก็จะช่วยเรื่องหน้ามันได้อีกด้วยค่ะ ขอแนะนำว่าอาทิตย์นึงทำซักครั้งก็พอนะคะ รับรองว่าผิวหน้าคุณๆ ก็จะสดใส เนียนนุ่ม และไม่มันได้แน่นอนค่ะ
แต่ตอนนี้ สตอบอรี่หายาก อะ อยากทำเหมือนกัน เค้าคนหน้ามัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NosDriVe
|
|
« ตอบ #59 เมื่อ: 28 ตุลาคม 2009 09:40:53 » |
|
นกเขาก็ต้องการออกกำลังกายนะ
พูดถึงกันมาหลายเรื่องแล้วสำหรับการออกกำลังเสิรมกล้ามเนื้อ หรือเพื่อความแข็งแรงของส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย แล้วส่วนสำคัญอย่างน้องชายคุณจะไม่พูดถึงได้ไง คุณอาจมองข้ามกันไปว่า น้องชายเราจะแข็งแรงได้เองโดยไม่ต้องไปทำอะไรราวกับเป็นพรจากสรรค์… ผมอยากขอให้คิดกันใหม่นะครับ เพราะจริง ๆ การออกกำลังกายน้องชายเนี่ยเป็นเรื่องจำเป็นเลยล่ะ มาดูกันดีกว่าต้องทำยังไงกันบ้าง หรือใครที่ทำอยู่แล้ว นั่นทำถูกวิธีหรือเปล่า
การแข็งบ่อย อวัยวะเพศก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ร่างกายจะแข็งแรงต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน อวัยวะเพศก็เช่นกัน ต้องให้มีการแข็งตัวของอวัยวะเพศบ่อยๆ เพราะขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัวจะมีเลือดไปเลี้ยงมากที่สุด ละเป็นเลือดที่มีออกซิเจนมากที่สุด ทำให้มีการสร้างเนื้อเยื่อเพิ่ม
การแข็งตัวของอวัยวะเพศจะทำให้มีการสร้าง Prostaglandin E1 สารตัวนี้จะมีหน้าที่สองประการคือ ทำให้หลอดเลือดแดงไม่แข็งตัวเลือดแดงไปเลี้ยงอวัยวะเพศเพิ่มขึ้น ประการที่สองคือสารนี้จะลดการสร้าง collagen ซึ่งทำให้เกิดพังผืดในอวัยวะเพศ ทำให้การแข็งตัวไม่ดี ร่างกายของคนเรามีระบบให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะเพศโดยมีการแข็งตัวของอวัยวะ เพศในตอนนอนเพื่อให้อวัยวะเพศสร้างสาร Prostaglandin E1(เป็น ฮอร์โมนที่มีบทบาทช่วยให้ร่างกายเกิดความสบาย ตลอดจนป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ อาทิ ช่วยลดการอักเสบ ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด ความดันดลหิตสูง บรรเทาอาการแทรกซ้อนจากโรค เบาหวาน และที่สำคัญที่สุด ยังมีประโยชน์กับผู้หญิงด้วยนั่นคือ รักษาอาการผิดปกติก่อนมีประจำเดือน)
ในเด็กวัยรุนจะมีการแข็งตัวของอวัยวะเพศ 3-5 ครั้งต่อคืน แต่ละครั้งใช้เวลา 20-30 นาที ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องบริหาร แต่สำหรับคนที่อายุ 30 ปีขึ้นไป ระดับฮอร์โมนเริ่มลดลง การแข็งตัวในตอนกลางคืนลดลง และไม่นาน จึงมีความจำเป็นต้องบริหารให้อวัยวะเพศมีการแข็งตัวบ่อยเพื่อให้มีเลือดไป เลี้ยงอวัยวะเพศเพิ่ม และมีการสร้าง Prostaglandin E1
การบริหารอวัยวะเพศจะต้องทำให้อวัยวะเพศมีการแข็งตัว 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ และแข็งแต่ละครั้งนาน 20-30 นาทีเพื่อให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะเพศ และป้องกันเส้นเลือดแข็ง
การหลั่งบ่อย ต่อมลูกหมากจะมีการสร้างน้ำเพื่อหล่อเลี้ยงเชื้ออยู่ตลอดเวลา การหลั่งบ่อยจะเป็นการลดอาการบวมของต่อมลูกหมาก ซึ่งจะทำให้สุขภาพของต่อมลูกหมากดีขึ้น มีการผลิตน้ำหล่อเลี้ยงเพิ่มขึ้น กล้ามเนื้อในต่อมลูกหมากทำงานดีขึ้น ทำให้มีปริมาณน้ำเชื้อเพิ่มขึ้น และการฉีดของน้ำเชื้อเพิ่มขึ้น
ส่วนเรื่อง การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ซึ่ง จะเป็นการเพิ่มความแข็งแรง ป้องกันการหลั่งเร็วและใช้รักษาโรคกามตายด้าน นั้นผมจะได้หยิบเอามาเล่าให้ฟังอีกทีต่อไปนะครับ ^_^
ที่มา menblog.co.cc
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ถ้าไม่ทนเหนื่อย ทนลำบากมาด้วยกัน ก็ไม่รู้หรอกว่าแต่ละคนให้ใจกันแค่ไหน ใช่มั้ย พิเรณทีม
|
|
|
|