ต่อเนื่องจากกระทู้นี้ครับ
http://www.aeracingclub.net/forums/index.php?topic=46553.0ผมได้ไปยื่นร้องเรียนที่ คปภ. แล้ว และก็ได้ยื่นฟ้องประกันเป็นจำเลยที่ 1 และอู่ เป็นจำเลยที่ 2 ให้ส่งมอบรถคืน และชดใช้ค่่าขาดประโยชน์ในการใช้รถ
เป็นเงินประมาณ 4 หมื่นกว่าบาท ซึ่งศาลนัดเบิกความวันที่ 1 ตุลาคม 2552 นี้ ก็เดี๋ยวได้รู้กันว่าถ้าเกิดเหตุในลักษณะนี้ เราจะทำอย่างไรได้บ้าง
จะได้เป็นกรณีศึกษาให้เพื่อนๆ ได้ใช้เป็นหลักในการปฎิบัติกรณีเกิดเหตุอย่างผม ยังไงก็เป็นกำลังใจให้ด้วยครับ ขอบคุณทุกท่านครับ....
ปล. คปภ. เนี่ยสุดท้ายก็เป็นแค่เ สือกระดาษจริงๆ พอเกิดเหตุที่เป็นเรื่องใหญ่ๆ ก็ทำอะไรไม่ได้ จริงๆ น่าจะมีมาตรการลงโทษบริษัทประกันให้หนักกว่านี้
เช่นถอนใบอนุญาตไปเลย แต่สุดท้าย...ก็ต้องให้เจ้าของรถมาฟ้องแพ่งกันเอง...เซ็ง...
1 ตุลาคม 2552ผมได้ไปขึ้นศาลตามนัด เวลา 9.00 น. กว่าศาลจะนั่งบัลลังก็ 10 โมง แต่ก็ได้เจอกับทนายฝ่ายประกันก่อน ก็เลยตกลงกันเบื้องต้น เขาก็เสนอเงินค่าเสียหายให้ส่วนนึง แต่ปัญหาก็คือยังไม่สามารถกำหนดวันรับรถได้ ได้แต่บอกว่าจะพยายามเอาออกให้เร็วที่สุด ผมก็เลยยื่นข้อเสนอไปให้มอบรถวันจันทร์ (5 ต.ค.) พร้อมเงินจำนวนหนึ่ง แต่ถ้าไม่ได้ก็ภายในวันศุกร์ต้องจ่ายเงินค่าขาดประโยชน์เพิ่มอีกจำนวนนึง แต่ถ้าไม่ได้ก็ดำเนินการตามกฎหมายไป ไอ้ทนายที่มามันเป็นทนายนอก (จ้างมา)
มันก็โทรเข้าไปถามที่บริษัทประกันมันก็ไม่ยอม ก็เลยเข้าขั้นตอนการฟ้องไป ส่วนอู่มาทีหลัง เจ้าของอู่มาเอง แกมาแปลกๆ ไม่จ้างทนายมายื่นคำให้การ มาถึงก็พูดเสียงดังว่าแกไม่เกี่ยว ไม่มีใครจ่ายเงินค่าซ่อมแก ก็คงให้่รถออกไม่ได้ และแกก็ไม่ใช่คู่สัญญากับประกัน อู่แกเป็นอู่กลางกรมการประกันภัย คู่สัญญาก็คือกรมการประกันภัยต่างหาก จริงๆผมก็เห็นใจเพราะซ่อมแล้วไม่ได้เงินเป็นใครก็ไม่อยากปล่อย แต่การทำธุรกิจมันก็ต้องเสี่ยงเป็นธรรมดา พฤติกรรมของอู่กับประกันเป็นตัวการตัวแทนกันมันคงอ้างไม่ได้ แต่...ที่น่าขำ แกบอกว่าจริงๆเราไปฟ้องเนี่ยเพราะเราได้รับความเสียหาย แต่อู่แกก็เสียหายด้วย เพราะรถเสร็จแล้วไม่ยอมมาจ่ายเงินเอารถออกทำให้อู่เปลืองที่จอดรถ แกจะฟ้องผู้เกี่ยวข้องเรียกค่าจอดรถ....เอากะแกซิ....ผมว่าแกติ๊งต๊องอ่ะ....ประกันติดหนี้แกอยู่ประมาณ 4-5 แสน (แกบอกอย่างนั้น)
แต่แกไม่ยักฟ้องประกันให้ใช้หนี้ กลับจะมาฟ้องเอาค่าจอดรถวันละร้อยบาท...บ้ารึเปล่า.....แต่ผมก็ไม่พูดอะไรเพราะขี้เกียจทะเลาะกับแก
พอศาลนั่งบัลลังก็สืบจากเอกสารปรากฎว่าเอกสารไม่ครบ พยานเอกสารที่เราขอไป (ใบเคลม) ประกันมันไม่ส่งมา แถมทนายมันไม่ได้เตรียมคำให้การมามันก็เลยขอเลื่อน ดูแล้วเป็นแผนของทางประกันที่มันจะซื้อเวลาให้ได้มากที่สุด แต่เบื้องต้นทนายประกันมันจะขอไกล่เกลี่ยก่อน โดยจะเข้าไปปรึกษากับทางบริษัทอีกที
โดยนัดไกล่เกลี่ยในวันที่ 12 ตุลา นี้ ผมก็เลยบอกว่า ถ้าเลยวันศุกร์ยอดเงินจะเป็นยอดใหม่แล้วไม่ใช่ยอดเดิมที่ผมเสนอไป ให้ลองไปคุยกับบริษัทดู
แถมศาลก็ดุมันไปหลายคำว่า เรายื่นฟ้องตั้งนานแล้วทำไมไม่เตรียมเอกสารให้เรียบร้อย แถมยังขู่ไปว่าให้ไปคุยกับบริษัทให้มาเคลียร์ให้เรียบร้อยเพราะเราเสียหายที่ไม่มีรถใช้ ไม่งั้นศาลจะสั่งให้คิดค่าขาดประโยชน์เต็มๆ ฟังดูแล้วเราน่าจะไม่มีปัญหาอะไร ถ้าไม่ได้ตามที่เราขอก็ให้ศาลสั่งไป อาจจะต้องใช้เวลาอีกสักพัก แต่...ตอนี้ผมเย็นลงเยอะครับ ไม่ซีเรียสอะไรมากมาย ไหนๆ จะรอแล้วก็ให้มันสุดๆ ไปเลย เดี๋ยวผลเป็นยังไงจะรายงานให้ทุกท่านทราบอีกครั้งนะครับ ขอบคุณทุกท่านที่เป็นกำลังใจให้ครับ....12 ตุลาคม 2552 นัดไกล่เกลี่ยเวลา 13.30 น.
ผมไปถึงศาลก่อน ตามด้วยทนายประกัน และอู่ตามลำดับ คราวนี้แตกต่างจากครั้งที่แล้วโดยสิ้นเชิง ครั้งที่แล้วเรายังรู้สึกทีดี เหมือนศาลท่านเห็นใจและเข้าข้างเรา
แต่คราวนี้ผู้ไกล่เกลี่ยกลับเหมือนกับต้องการให้มันจบที่ชั้นไกล่เกลี่ยโดยที่ไม่มองถึงความเดือดร้อนของเราและความเสียหายที่เกิดขึ้น เริ่มแรกจะแก้ปัญหาให้เราเพื่อให้เราได้ใช้รถโดยการเคลียร์กับอู่โดยให้เราจ่ายค่าซ่อมครึ่งนึงก่อน (ประมาณ 20,000-) ผมก็บอกว่าผมไม่มีเงินหรอกถ้าจะต้องจ่ายผมก็ต้องไปกู้มาต้องเสียดอกเบี้ยเอง และก็ยังไม่รู้ว่าผมจะได้เงินคืนจากประกันเมื่อไร เพราะประกันก็ส่งทนายที่ไม่มีอำนาจตัดสินใจมา เราเสนออะไรก็ต้องโทรถามตลอด แุถมเรื่องสำคัญๆ อาจต้องเข้าที่ประชุมบริษัทฯ ยิ่งไปกว่านั้นยังกดดันผมให้ไม่ต้องเรียกค่าขาดประโยชน์ประกันจะได้ส่งมอบรถให้เราได้เร็วๆ ผมก็บอกว่าถ้าไม่เรียกอะไรเลยคงไม่ได้ เพราะเงินที่ผมเรียกไปไม่ใช่เงินส่วนที่ผมได้กำไร แต่เป็นส่วนที่ผมต้องได้เพราะผมได้รับความเสียหายจากการไม่ได้ใช้รถ ทีแรกผมกะจะปล่อยให้ส่งเรื่องคืนศาลเพื่อดำเนินคดีต่อ
แกก็ขู่ไปซะว่าศาลตัดสินแล้วเขายังอุทรณ์ หรือฎีกาได้ต้องใช้เวลาเป็น 2-3 ปี ความรู้สึกของผมเหมือนแกไม่ใช่ผู้พิพากษาของศาล ซึ่งน้องผมก็บอกว่าอาจจะเป็นไปได้ที่ศาลจะแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิมาเป้นผู้ไกล่เกลี่ยซึ่งไม่ใช่ผู้พิพากษา อาจเป็นบุคคลภายนอกที่มีประสพการณ์ก็ได้ บอกได้เลยว่าผมเสียความรู้สึกมาก
อ้อแกยังพูดอีกว่าให้เรามองว่าเป็นเรื่องของการลงทุนมันก็ต้องมีขาดทุนกันบ้าง ผมบอกว่ามันก็น่าจะเป็นอย่างนั้นถ้าผมเป็นอู่หรือประกัน แต่ผมเป็นผู้ซื้อประกัน เป็นผู้บริโภค ไม่ได้ทำธุรกิจ น่าจะได้รับความคุ้มครอง แกก็ถามผมว่าเป็นข้าราชการหรือเปล่า ผมบอกใช่ แกยกตัวอย่างว่าดูอย่างตำรวจอยากเป็นใหญ่เป็นโตยังต้องลงทุน
ซื้อตำแหน่งกันเลย ผมก็จี๊ดขึ้นเลยดีที่แกคิดได้เลยพูดว่าแต่ผมเป็นคนดีไม่ทำเรื่องอย่างนั้นอยู่แล้วที่พูดก็อยากให้เราได้รถไปใช้โดยเร็วแต่ก็อยู่ที่การตัดสินใจของเรา
สุดท้ายก็เลยต้องนัดอีก 1 รอบ โดยยื่นข้อเสนอให้ประกันให้จ่ายเงินให้อู่เพื่อเราจะได้รถคืนและเรียกค่าขาดประโยชน์ไปอีก 2 หมื่น ถ้าไม่ได้ผมก็จะให้ส่งเรื่องคืนศาลเข้าขั้นตอนของศาลต่อไป ก็ครั้งหน้านัดวันที่ 9 พ.ย. ครับ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม เดี๋ยวผลเป็นอย่างไรจะรายงานให้ทราบกันอีกรอบครับ
ู่