ตำนานพระกินเณร ตำนานลับ ที่ยังต้องรอการพิสูจน์ที่อำเภอ วิเศษชัยชาญจะมีถนนสายสุพรรณบุรี - อ่างทอง ตัดผ่าน และตรงบริเวณฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน้อย จะมีถนนสายวิเศษฯ-ผักไห่ ตัดผ่านกันตรงสี่แยกไฟแดงนั้นเอง
ถ้าท่าน มองไปทางโรงพยาบาลวิเศษชัยชาญ จะเห็นอุโบสถวัดสุนทราราม เด่นตระหง่านปะทะสายตาอยู่นั้น และถ้าท่านก้าวย่างเข้าไปในบริเวณวัด เดินผ่านอุโบสถหลังใหม่จะพบอุโบสถหลังเก่าที่มีรูปร่างแปลกประหลาดอยู่
ตัวพระอุโบสถเป็นรูปทรงโค้งสำเภา หน้าต่างโค้งมน หลังคาเป็นกระเบื้องกามู!
ที่แปลกกว่านั้นคือ หลังคาไม่มีช่อฟ้า ใบระกา แต่กลับมีรูปคนประนมมือ ส่วนพระประธานนั้นหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันตก
ใครๆ ที่พบเห็นต่างวิพากษ์วิจารณ์กันว่าเป็นเพราะฝีมือพม่าสร้าง และตรงนี้เองเป็นที่ก่อเหตุการณ์เขย่าขวัญชาวบ้านร้านช่องถึง 2 เหตุการณ์ด้วยกัน
กล่าวคือ ภายในมีพระทรมานกายรูปปั้นอยู่ บรรยากาศมืดสลัว ดูอึมครึม ทั้งน่าอึดอัดและน่าสะพรึงกล้ว น่าสยดสยองอย่างบอกไม่ถูก เชื่อได้ว่า ถ้าท่านเดินเข้าไปคนเดียวแล้วเห็นเข้าจังๆ มีหวังต้องถอยหลังมาตั้งหลักใหม่เป็นแน่แท้ หลายๆ คนบอกว่าพอก้าวเข้าไปก็ขนลุกซู่ซ่าทันที
....และ ยิ่งเมื่อได้รับฟังเรื่องราว "พระกินเณร" มาก่อนด้วยแล้ว ท่านอาจจะต้องถอยหลังหลายก้าวทีเดียวเชียว!
มีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาดังนี้...
เมื่อประมาณ 50 กว่าปีมาแล้ว มีสามเณรผู้หนึ่งชื่อ "เสมือน" ผู้มีอุปนิสัยซุกซนหาตัวจับยาก หลังจากฉันเพลแล้ว มีผู้พบเห็นว่า ได้แอบออกจากกุฏิเข้าไปในดงกระถินข้างวัดแต่ไม่มีใครทราบชัดเจนว่าเข้าไปทำ อะไรแน่...
จนกระทั่งบ่ายก็แล้ว เย็นค่ำก็แล้ว ยังไม่กลับกุฏิเสียที ...พระภิกษุทุกรูปต่างใช้วิจารณญาณตัดสินว่า ถ้าโดยนิสัยของสามเณรเสมือนแล้ว น่ากลัวจะแอบสึก แล้วแล่นหนีไปไหนต่อไหนเป็นแน่นอน เพราะรูปการณ์มันเข้ากับอุปนิสัยมาก จึงได้พร้อมใจกับฟันธงเช่นนั้น
จากวัน นั้นเป็นต้นมา ไม่มีผู้ใดทราบข่าวคราวอีกเลยว่าสามเณรเสมือนหายสาบสูญไปไหนกันแน่?
ต่อมา ท่านสมภารให้พระภิกษุและลูกศิษย์วัด ไปช่วยกันถากถางกระถินและพงไม้ที่รกเรื้อต่างๆ ให้เตียน เพื่อสะดวกแก่นัยน์ตาญาติโยมที่จะไป-มา ผ่านแถวนั้น...และแล้วก็เกิดเอะอะโวยวายกันขึ้น
เรื่องของเรื่องก็เพราะลูกศิษย์วัดคนหนึ่ง ได้พบเศษจีวรฉีกขาดตกอยู่ในดงกระถินจึงเรียกเพื่อนๆ ดู พระเณรที่อยู่ใกล้ๆ ก็เลยมามุงดูพร้อมกัน...ทุกคนต่างหันเหตีความว่า คงจะเป็นจีวรของสามเณรเสมือนแน่นอน!
ต่างก็ เอะอะระความว่า....แล้วร่างกายหายไปไหนเสียเล่า?
เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงได้มีการแยกย้ายกันตรวจตราบริเวณรอบๆ พื้นที่ เด็กวัดกลุ่มหนึ่งได้ชักชวนกันเข้าไปในโบสถ์ (หลังเก่า) และเปิดประตูหน้าต่างดูว่าจะมีร่องรอยของสามเณรเสมือนเข้ามาหรือหาไม่...
พระกลุ่มหนึ่งก็เดินตามเข้าไปสมทบด้วย!
เมื่อแสงสว่างสาดส่องเข้าไป มองเห็นสภาพภายในโบสถ์ได้ถนัด เด็กวัดกลุ่มนั้นก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริดในบัดดล...
นั่นคือ...มีรอยเลือดแห้งกรังติดอยู่ กับพื้นบ้าง กับกองไม้ใกล้ๆ นั้นบ้าง...รอยเลือดหยดเป็นทาง ตรงดิ่งไปยังฐานพระในรูปทรงทรมานกายน่าสยอง
ครั้นเกาะกลุ่มกันเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบว่า...ที่ปากของพระทรมานกายมีเลือดสีแดงติดอยู่ เล่นเอาทั้งพระทั้งศิษย์วัดตกอกตกใจจนผงะหน้าไปตามๆ ต่างก็คิดเห็นเป็นอย่างเดียวกันว่า
"พระ ทรมานกายกินสามเณรเสมือนไปแล้ว!!"
จากปาก สู่ปาก จากชุมชนสู่ชุมชน ข่าวลือแพร่หลาย...กระจายเป็นไฟลามทุ่ง ไม่ช้าก็มีผู้คนแห่แหนมาดูรอยเลือดที่ปากพระทรมานกาย แล้วก็เล่าลือกันตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน
เรื่องราวน่าสยองพลันกระหน่ำซ้ำเติม ทำให้ชาวบ้านล้วนหวาดกลัวจนขนหัวลุกไปตามๆ กัน
นั่นคือ...ไม่ทราบว่ามีมือดีที่ไหน หรือใครกันแน่ที่อุตริดอดเข้าไปในโบสถ์ คงจะมีเจตนาต้องการล้างอาถรรพณ์พระกินเณร จึงเอาตะปูตัวใหญ่ไปตอกปิดปากพระทรมานกาย...ปรากฏหลักฐานเห็นชัดมาจนทุก วันนี้!
ปัจจุบันก็ยังไม่มีใครเฉลยได้ ว่า สามเณรเสมือนหายไปไหน เพราะสาบสูญโดยไร้ร่องรอยราวกับจากโลกนี้ไปโดยสิ้นเชิง
...และก็ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่า พระทรมานกายกินสามเณรจริงๆ แหละหรือว่าเป็นแต่เพียงคำร่ำลือเท่านั้นเอง...แม้ว่าจะเป็นคำร่ำลืออันน่า หวาดสยอง และชวนให้ขนหัวลุกก็ตามที!
เครดิต :
http://board.postjung.com/558989.html