วารสาร
วันนี้วันพระ
วารสารมหากุศล แจกฟรีทุกวันพระ
โดยคณะศิษย์หลวงปู่ก้าน วัดเขาต้นเกษ
ฉบับที่ ๒
นิทานธรรมจากหลวงปู่
นิทาน แปลว่า
เหตุเป็นเครื่องมอบให้ซึ่งผล, มูลเค้า, เรื่องเดิม, สมุฏฐาน
ผู้ที่อ่านนิทานธรรมะ จึงควรอ่านอย่างพิจารณา และนำหลักธรรมที่ได้ไปใช้เป็นคุณประโยชน์ แก่ตนเองและผู้อื่น
ส่วนความเพลิดเพลินจากนิทานธรรมะนั้น
ถือว่าเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น
จึงจะนับว่าได้รับ ประโยชน์จากนิทานธรรมะ
ที่ได้แสดงไว้ให้แล้ว อย่างแท้จริง
ดังเรื่องที่หลวงปู่ก้านได้เคยแสดงไว้ให้กับพระลูกศิษย์ที่เข้ามาลาสึกในวันหนึ่ง
ก่อนเข้าพรรษาได้ไม่กี่วัน พระหนุ่มรูปหนึ่งเข้าไปกราบลาหลวงปู่ เพื่อขอลาสึก ด้วยตั้งใจว่าจะไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัย และได้พูดถึงอนาคตไว้ต่างๆนานา อย่างสวยหรู ว่าจบออกมา
แล้ว อยากจะทำนั่นทำนี่อยากประกอบอาชีพนั้นอาชีพนี้ ไม่ก็อยากเรียนต่อให้สูงยิ่งขึ้นไปอีก จนดูเหมือนจะอยากทำอยากเป็นไปเสียทุกอย่าง
หลวงปู่นิ่งเงียบ นั่งฟังจนพระรูปนั้นร่ายยาวจนจบ แล้วจึงเริ่มเล่าขึ้นว่า
มีสุนัขอยู่ตัวหนึ่ง มันเบื่อการเป็นสุนัขเหลือเกิน และมักคิดว่าการเป็นสุนัขนี่มันต้อยต่ำ มันเดินเหงาหงอยไปเรื่อยๆ จนถึงเที่ยงวัน พระอาทิตย์สาดส่องลงมา ประกายเจิดจ้า มันเงยหน้ามองพระอาทิตย์อย่างชื่นชม และคิดในใจว่า เป็นพระอาทิตย์นี่ช่างสง่างามดีเหลือเกิน มีแสงเจิดจ้าและมีอานุภาพมากสามารถทำให้สว่างไปได้ทุกที่ จะแผดเผาอะไรด้วยความร้อนก็ได้ จึงเห่าออกมาดังๆว่า ข้าจะเป็นพระอาทิตย์นี่แหละ ไม่เป็นสุนัขมันแล้ว ว่าแล้วก็เงยหน้าชื่นชมพระอาทิตย์ อยู่ตรงนั้นเอง
ซักพักมีเมฆลอยมาบดบังพระอาทิตย์เสียมิด ทำให้แสงสว่างจ้านั้นหายไป เจ้าสุนัขตัวเดิมก็ทำท่าเป็นหมาสงสัย พร้อมคิดในใจว่า เมฆนี่ดูท่าจะมีอานุภาพกว่าดวงอาทิตย์นะ เพราะมันสามารถบดบังดวงอาทิตย์ไม่ให้ส่องแสงได้ ดังนั้นเมฆจะต้องยิ่งใหญ่กว่าดวงอาทิตย์แน่นอน
ว่าแล้วก็เห่าออกมา ดังๆอีกว่า ข้าไม่เป็นแล้วพระอาทิตย์อะไรนั่นน่ะ ข้าจะเป็นเมฆนี่แหละ ยิ่งใหญ่กว่าดวงอาทิตย์เสียอีก แล้วก็นั่งชื่นชมอยู่ได้เป็นนาน
อากาศเริ่มแปรเปลี่ยนไป มีลมพัดมาวูบใหญ่ หอบเอาเจ้าเมฆกลุ่มนั้น ลอยตามลมไป เจ้าสุนัขตื่นตะลึงตกใจและออกวิ่งตามลม ลมพัดไปทางไหน ต้นไม้ใบหญ้าก็โอนลู่หลีกแหวกไปเป็นทาง เจ้าสุนัขตัวนั้นวิ่งไปพลางคิดในใจว่า ลมนี่ช่างมีกำลังแรงนัก ขนาดเมฆที่มีอานุภาพบดบังดวงอาทิตย์ มันยังหอบเอามาได้แล้วพัดไปทางไหน ใครๆก็ต้องหลบหลีกให้หมด
จึงเห่าไปในขณะที่ยังวิ่งตามลมอยู่นั่นแหละ ว่า ลมจ๋า รอด้วย ข้าอยากเป็นลมเหมือนอย่างท่าน ช่วยสอนวิชาให้ข้าด้วยเถิด มันวิ่งเห่าไปอย่างนี้ตลอดทางโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
จนไปสังเกตุเห็นลมกระแทกเข้ากับจอมปลวกใหญ่มหึมาตั้งขวาง ทางแยกอยู่ในป่าใหญ่ ลมพัดแรงเท่าไหร่ จอมปลวกนั้นก็ไม่สะทกสะท้าน เจ้าสุนัขหยุดมองอย่างตะลึงงัน
พลางคิดว่า แม้แต่ลมที่มีอานุภาพมาก สามารถจัดการเมฆที่บดบังพระอาทิตย์ได้ ต้นไม้ใหญ่แค่ไหนก้ต้องหลบหลีกเป็นพัลวัน แต่จอมปลวกนี่ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก ลมนั้นไม่สามารถทำอะไรมันได้เลย
จึงตัดสินใจเห่าขึ้นดังๆว่า เอาล่ะข้าไม่ปงไม่เป็นแล้วลม จะเป็นจอมปลวกนี่แหละ ช่างใหญ่โตแข็งแรงบึกบึนเสียนี่กะไร"
ยังไม่ทันที่เจ้าสุนัขจะเข้าไปฝากเนื้อฝากตัวเป็นศิษย์ กับจอมปลวก ก็มีควายตัวหนึ่งหลุดจากหลักวิ่งมาจากไหนก็ไม่ทราบ ว่าแล้วก็มาหยุดเอาสีข้างถูไถเข้ากับจอมปลวกด้วยความคันคะเยอ แรงเสียดทานทำให้จอมปลวกพังทลายลงอย่างไม่เป็นท่า
เจ้าสุนัขเห่าอย่าง สะใจเหมือนได้ดูมวยคู่เอกอย่างไรอย่างนั้น พร้อมป่าวประกาศว่า ข้าจะเป็นควายนี่แหละ แม้แต่จอมปลวกที่เอาชนะลมที่มีอานุภาพร้ายแรงมาได้ ก็ยังพ่ายแพ้แก่เจ้า
เจ้าควายยังคงยืนเอาสีข้างถูไถต่อไปและหันหน้ามา มองเจ้าสุนัขอย่างงงๆ สักพักเจ้าของควายวิ่งเอาเชือกมาคล้องจมูก พร้อมลากจูงไป เจ้าสุนัขมองดูเชือกเส้นบางๆ พร้อมคิดในใจว่า แม้แต่ควายยังต้องยอมให้เจ้าเชือกเส้นนี้ แสดงว่า เชือกนี้ต้องศักดิ์สิทธิ์และอิทธิฤทธิ์มากมายเป็นแน่แท้
แต่ยังไม่ทันจะเห่าร้องป่าวประกาศใดออกมา เจ้าควายก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อนว่า เจ้าหมาน้อยช่วยกัดเชือกให้ข้าที
เจ้าสุนัขตัวนั้นไม่เห่าพล่ามทำเพลง กระโดดเข้ากัดเชือกจนขาดวิ่น ปล่อยควายให้เป็นอิสระวิ่งหนีหายไป
แล้วจึงคิดขึ้นได้ ว่าแม้แต่เชือกที่ล่ามควายได้ยังแพ้เรา แม้แต่ควายที่เอาชนะจอมปลวกได้ ยังต้องให้เราช่วย....
ถ้าอย่างนั้นเราเป็นสุนัขอย่างนี้ ก็ดีอยู่แล้ว จะไปเป็นนั่นเป็นนี่ทำไมอีก ว่าแล้วก็เดินจากไป
.............................................................................................
หลวงปู่ก้าน ก็ทิ้งท้ายไว้ให้พระรูปนั้นคิดเอง
ในตอนท้าย ว่านิทานเรื่องนี้ ตกลงสอนว่าอะไร
.??!