http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1297916514&grpid=&catid=08&subcatid=ขอบคุณประชาชาติธุรกิจครับ
"เอซี ออโต้แก๊ส" ลั่นปีนี้ยอดขายโต 50% ขอโกยเงินอีก
"เอซี ออโต้แก๊ส" ลั่นปีนี้ยอดขายโต 50% ขอโกยเงินอีก 600 ล้านบาท เชื่อราคาน้ำมันแพงน่าจะทำให้คนหันมาติดแก๊สแอลพีจีเพิ่มขึ้น ชี้ได้เปรียบทั้งราคา จำนวนปั๊ม พร้อมวอนรัฐลดภาษีอุปกรณ์เป็น 0% เช่นเดียวกับเอ็นจีวี
นายภัทรวุฒิ เยี่ยมสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีโอ จำกัด ผู้แทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์เอซี ออโต้แก๊ส (AC AUTOGAZ) อย่างเป็นทางการในประเทศไทย และผู้ให้บริการและให้คำปรึกษาระบบแก๊สสำหรับรถยนต์ครบวงจร กล่าวกับ"ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตสูงถึง 60% คิดเป็นรายได้ 400 ล้านบาท ส่วนปีนี้บริษัทตั้งเป้าจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 50% มียอดขายคิดเป็น 50,000 ชุด หรือคิดเป็นรายได้อยู่ที่ 600 ล้านบาท
สำหรับสัดส่วนการติดตั้งระหว่าง แอลพีจีคิดเป็น 90% ของจำนวนการติดตั้ง และอีก 10% จะเป็นชุดติดตั้งสำหรับเอ็นจีวี สาเหตุที่บริษัทให้น้ำหนักการติดตั้งไปที่แอลพีจีนั้น เนื่องจากปัจจุบันนั้นปริมาณรถยนต์ที่ติดตั้งแอลพีจียังคงได้รับความนิยมจากลูกค้าอยู่ค่อนข้างมาก เห็นได้จากยอดจดทะเบียนรวมรถยนต์ที่ใช้ก๊าซในปีที่ผ่านมาจำนวน 200,000 คัน โดย 180,000 คันจะเป็นรถแอลพีจี ขณะที่อีก 20,000 คันเป็นรถเอ็นจีวี ทำให้บริษัทเชื่อว่าความต้องการใช้รถยนต์ประเภทนี้จะยังคงมีอยู่มาก
ประกอบกับสถานการณ์ราคาน้ำมัน ที่มีแนวโน้มจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งความได้เปรียบเรื่องจำนวนสถานีบริการที่มีมากกว่า และประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ที่แอลพีจีทำได้ดีกว่า เนื่องจากประสิทธิภาพของเครื่องยนต์จะลดลงไปเพียง 5% ขณะที่เอ็นจีวีลดลงไป 15-20% น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่คนหันมานิยมแอลพีจีเพิ่มขึ้น
"เราเชื่อว่ารถยนต์แอลพีจีจะยังคงได้รับความนิยมจากผู้ใช้รถยนต์อย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องราคา ปั๊มบริการ
ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดวันนี้ ปตท.เองก็ยังมีแผนจะเปิดปั๊มแอลพีจีถึง 37 ปั๊ม เพราะ ปตท.น่าจะมองเห็นกำไรตรงนี้ที่มีมากกว่าจะต้องแบกรับต้นทุนของเอ็นจีวี" นายภัทรวุฒิ
ทั้งนี้ บริษัทอยากจะให้ภาครัฐเข้ามาให้การสนับสนุนในส่วนของแอลพีจีเช่นเดียวกับเอ็นซีจี ที่ให้การยกเว้นภาษีอุปกรณ์เป็น 0% เพราะขณะนี้แอลพีจีเสียอยู่ในอัตราที่ 10% เพื่อความเท่าเทียมกัน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันการใช้แอลพีจีอยู่ในภาคอุตสาหกรรม 50% ในภาคครัวเรือน 10% และในรถยนต์อีก 30% ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่านโยบายการลดใช้แอลพีจีในรถยนต์ของภาครัฐนั้น ยังต้องใช้เวลาอีกระยะเวลาหนึ่งเลยทีเดีย