AE. Racing Club
19 พฤศจิกายน 2024 14:46:42 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ข้อคิดดี ๆ ครับ "บัวลอย ธรรมะแนวใหม่เร้าใจเด็กสยาม"  (อ่าน 2882 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ajmoo
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: 01 เมษายน 2011 11:44:13 »


 แสงแดดยามบ่ายร้อนผ่าว เสียงเครื่องยนต์จากการจราจรที่คับคั่งช่างจอแจ ในบริเวณซึ่งเป็นที่ตั้งของสยามสแควร์ สยามพารากอน และห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ มีผู้คนเลือกซื้อของกันขวักไขว่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัยรุ่น ที่ยึดพื้นที่เหล่านั้นเป็นแหล่งนัดพบมาทุกยุคทุกสมัย

         ‘วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร’ เป็นพื้นที่เดียวในบริเวณนั้นที่พอจะทำให้เราเย็นกายเย็นใจท่ามกลางบรรยากาศแห่งความวุ่นวาย และในวัดปทุมฯ แห่งนี้เองนอกจากจะเป็นที่วัดที่สืบทอดงานด้านพระพุทธศาสนาแล้ว ยังมีบทบาทใหม่ในฐานะเป็นที่ตั้งของกองบรรณาธิการผลิตนิตยสารธรรมะสีสันฉูดฉาดขนาด 12 x 12 นิ้ว ที่ภายในเล่มเต็มไปด้วยงานกราฟฟิกร่วมสมัย บวกกับงานภาพถ่ายแรงๆ ในชื่อ ‘บัวลอย’ ซึ่งได้ฉีกภาพจำของนิตยสารธรรมะที่เรียบง่ายจนเข้าข่ายเชยที่เคยเห็น

         แม้ ‘บัวลอย’ จะดูขัดแย้ง ระหว่างการเลือกเดินทางโลกกับทางธรรมแต่ ‘พระปกรณ์วินณ์ ฐิตวํโส’ พระหนุ่ม 3 พรรษาอดีตครีเอทีฟรายการโทรทัศน์สุดฮิตของวัยรุ่นอย่าง ‘OIC’ เลือกที่จะหาส่วนผสมที่ลงตัวของความขัดแย้งระหว่างความนิ่งสงบกับสีสันที่เร้าอารมณ์ โดยมีเป้าหมายให้วัยรุ่นที่เดินเที่ยวสยามสแควร์และห้างสรรพสินค้าใหญ่ที่อยู่รายรอบวัดปทุมฯ หันมาสนใจเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมะมากขึ้น

         ใต้ความร่มเย็นของวัดปทุมฯ mars นิมนต์หลวงพี่ ‘วินณ์’ ปุจฉา-วิสัชนาเรื่องการจัดการความขัดแย้งของนิตยสารธรรมะเล่มนี้ และยิ่งกว่านั้นคือการจัดการความขัดแย้งในใจ ที่เปลี่ยนจากเส้นทางในสายบันเทิงเข้าสู่ทางธรรม


นมัสการถามขอรับ ชีวิตก่อนบวชของท่านเป็นอย่างไร

         ตอนเด็กเป็นคนขี้โรค ไม่มีแรง ไปเล่นกับใครก็สู้เขาไม่ได้ เลยต้องอยู่กับคุณยาย เพราะคุณยายใจดีชอบอ่านวรรณคดีให้ฟัง และช่วยเวลามีใครมาแกล้ง

         ด้วยความที่ยายเป็นชาววัง ยายก็จะชอบประดิดประดอย และชอบการอ่านหนังสือ ดังนั้นอาตมาจึงอ่านรามเกียรติ์ตั้งแต่เด็ก และโรงเรียนที่เรียนมีเล่นโขนทุกปี ตอนนั้นเล่นเป็นพระรามเพราะอาตมาตัวเล็กๆ ไม่แข็งแรง (ยิ้ม) อิทธิพลจากรามเกียรติ์ทำให้ชอบอะไรที่วิจิตรอลังการ ชอบความสมบูรณ์แบบ และชอบความค่อยเป็นค่อยไปของมัน เวลาเล่นโขนแต่ละฉากกว่าจะรำได้นานมาก และชุดของโขน ทั้งฉากที่เล่น การแสดง

         ทั้งหมด เหมือนคำกลอนที่บรรยายได้กลายเป็นจริง มันอลังการมากอาตมาจบม.กรุงเทพ นิเทศศาสตร์ จบก็มาทำงานที่แกรมมี่เป็นครีเอทีฟรายการโทรทัศน์ ที่นี่เป็นที่ที่เริ่มฝึกความอดทน เขาเคี่ยวมากเพราะครีเอทีฟต่อไปจะเป็นโปรดิวเซอร์ ทั้งรายการเราแบกไว้คนเดียวต้องทดสอบว่าอดทนได้ไหม รับได้ไหม ดูแลคนอื่นได้ไหม ต้องฝ่าฟันมากตอนนั้นทำรายการ 5 live, OIC เป็นรายการชื่อดังของแกรมมี่ แม้สังคมทั่วไปมองวงการบันเทิงว่าเป็นความฝัน ใครๆ ก็อยากเข้ามาก แต่ที่จริงมีการแข่งขันกันสูงมาก ต่างจากความฝันมาก

         ยกตัวอย่างนะ วันแรกที่ไปสัมภาษณ์ เขานัด 5 ทุ่มโดยที่โทรมาบอกตอน 4 ทุ่ม มีเวลาให้ตัดสินใจแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้นว่าจะทำหรือไม่ เมื่อไปถึงก็รอ กว่าจะได้สัมภาษณ์เกือบตี 2 คนที่สัมภาษณ์ด้วยนั้นเก่งๆ กันทุกคน บางคนเตรียมพรีเซ้นต์อย่างดี บางคนร้องแร็ปแนะนำตัว แต่ที่เขารับเราเพราะว่าเรารอถึงตี 2 โดยไม่บ่น ไม่หนี และควบคุมอารมณ์ได้


เริ่มศึกษาศาสนาได้อย่างไร

         อิทธิพลอีกส่วนคงมาจากการอ่านรามเกียรติ์สมัยเด็กด้วย ทำให้อาตมาอยากเรียนรู้เรื่องฮินดู จากนั้นเริ่มเรียนโยคะทำสมาธิหลังจากที่ทำงานที่แกรมมี่สักพัก เมื่อเราเริ่มมีสมาธิมากขึ้น ค่อยๆ เห็นว่าตัวเองขัดแย้งกับวงการบันเทิง สุดท้ายเลยออกมาจากแกรมมี่เพื่อไปศึกษาศาสนาฮินดูที่เทวาลัยอยู่ 1 ปี

         พอไปอ่านหนังสือมา เจอคำว่า ‘ศาสนาพุทธ สอนให้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน’ จึงเบนเข็มการศึกษาศาสนาจากฮินดูเป็นพุทธ วันหนึ่งไปนั่งสมาธิหน้ารูปปั้นหลวงปู่มั่นที่วัดธรรมมงคลอยู่ชั่วโมง ก่อนนั่งสมาธิอธิษฐานว่า “ถ้าท่านมีอยู่จริง ช่วยบอกผมว่าผมต้องการอะไรในชีวิต” เมื่อเริ่มมีสมาธิขณะนั้นรู้สึกเย็นๆ สักพักเหมือนเราได้ยินคนมากระซิบว่า “เธอกำลังทำอะไรอยู่” คำนี้ดังในหัวย้ำๆ หลายครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงเริ่มเข้าใจว่าสิ่งที่ทำทั้งหมดของชีวิตไม่ใช่สารัตถะที่เราตามหา พอลืมตาขึ้นมาอาตมาน้ำตาไหลพรากเลยนะ หยุดไม่อยู่เลย อาตมารู้อย่างเดียวว่าตัวเองต้องบวชอาตมาเดินไปขอบวชโดยที่เราไม่รู้เรื่องใดๆ เกี่ยวกับการบวชทั้งสิ้นช่วงนั้นใกล้เข้าพรรษา ที่วัดธรรมมงคลมีคนขอบวชเต็มหมดแล้วท่านก็แนะนำวัดปทุมฯ ซึ่งก็จับพลัดจับผลูได้เข้ามาบวช จากประโยคที่ถามตัวเองว่า “เธอกำลังทำอะไรอยู่” ขณะนั้นอะไรก็หยุดไม่อยู่ จะบวชให้ได้ ทั้งหมดเกิดขึ้นรวดเร็วมาก พ่อแม่ที่บ้านก็ตกใจเตรียมข้าวของกันไม่ทัน

 

บวชช่วงแรกเป็นอย่างไรบ้าง

         พรรษาแรกได้อยู่กับท่านเจ้าคุณพระเทพญาณวิศิษฏ์ ซึ่งเป็นผู้ดูแลเรา เป็นอาจารย์ เป็นเหมือนพ่ออีกคนหนึ่ง ได้รับใช้ท่าน ตอนบ่ายเดินจงกรมเหมือนพระทั่วไป อยู่กับตัวเอง แข่งกับตัวเอง พอใจ นี่เป็นความ

         สุขเย็นๆ เป็นเย็นคนละแบบกับตอนได้เงินเดือนเยอะแล้วเอาไปให้พ่อแม่ เป็นความสุขคนละแบบกับตอนที่เงินเดือนขึ้นแผนแรกตั้งใจไว้ว่าจะบวช 3 เดือน จากนั้นจะสึกไปเรียนต่อที่ออสเตรเลียด้านศิลปะ พอบวชได้สักพักหลวงพ่อท่านให้ทำงาน เรียกว่างานสลากภัต เป็นการเอาของอะไรก็ได้มาถวายแก่พระภิกษุ โดยภิกษุจะได้รับของโดยการจับฉลาก แก่นคล้ายๆ การทำสังฆทาน คือขจัดความโลภ และบริจาคทานให้พระสงฆ์โดยไม่เฉพาะเจาะจง ดังนั้นโยมไม่สามารถเจาะจงว่าจะให้พระรูปใด ส่วนพระก็ไม่สามารถเลือกของที่ตนชอบได้ เมื่อถึงวันงานจริงๆ มีคนเยอะมาก วุ่นวายเรื่องงาน (เน้นเสียง) ขณะนั้นอาตมาอยากจะเอาของไปให้จับสลากด้วยแต่วุ่นวายมากจนไม่มีเวลาเอาไปให้ เมื่อรู้ว่าไม่ทันเวลา อาตมาจึงอธิษฐาน ขอยกร่างกาย ขอยกเหงื่อทุกหยดที่ไหล ขอยกทุกอย่างที่อาตมาทุ่มเท อาตมามอบความดีทั้งหมดเพื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วินาทีนั้นเองอาตมาพลันเกิดความปีติสุข ในตอนนั้นเย็นวูบ ขนลุก น้ำตาไหล เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต และอาตมารู้สึกอย่างนี้อยู่ 7 วันอธิบายด้วยคำพูดไม่ได้นะ แต่ขณะนั้นอาตมารู้สึกมีอิสรภาพกับทุกสิ่งจริงๆ


ทำไมถึงคิดที่จะทำนิตยสารบัวลอย

         ตอนนั้นทำกลุ่มจิตอาสาของวัดปทุมฯ อยู่ อาตมามองว่ามีกลุ่มโยมที่เข้าวัดเป็นลูกหลานเยอะ โดยกลุ่มจิตอาสานี้แรกก็มาช่วยงานวัด แต่ว่างานใหญ่แต่ละปีมีแค่ 3 ครั้งเท่านั้น เลยคิดว่าน่าจะมีอะไรที่ทำให้เด็กๆได้ร่วมงานกันบ่อยขึ้น สุดท้ายก็ลงความเห็นว่าน่าจะเป็นฟรีแมกกาซีนเริ่มต้นตอนเดือนเมษา 2553 แรงบันดาลใจมาจากเหตุบ้านการเมืองขณะนั้นมีเหตุการณ์ความเคลื่อนไหวร้อนระอุ อาตมาเห็นไฟ 2 ข้างไหม้ลุกโชน ฝูงชนจลาจล เห็นคนทำลายข้าวของและเอาออกมาขาย 10 บาท 20 บาท เสียงปืน คนตาย และอีกหลายๆ อย่างเต็มไปหมดเลย สงสัยว่าเกิดอะไรกันในบ้านเมืองเรา เวลานั้นเศร้ามากนะ

         แล้วอาตมามีความผูกพันกับบริเวณสยามตั้งแต่เด็ก เพราะว่าต้องมาเรียนพิเศษที่นี่ สมัยทำงานก็มาที่นี่บ่อย กินข้าว หาข้อมูล อาหารมื้อสุดท้ายก่อนบวชก็กินที่พารากอน ดังนั้นจึงผูกพันกับบริเวณนี้มาก วันนั้นทำให้อาตมารู้สึกว่าเราต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว ที่สร้างความฝันในอุดมคติเราได้ อาตมาจึงเริ่มคิดที่จะทำบัวลอยตั้งแต่นาทีนั้น


ได้ชื่อ ‘บัวลอย’ มาอย่างไร

         ได้ยินประโยคว่า ‘โลกนี้ไม่สมประกอบ เพราะบางคนชอบเอาแต่ประโยชน์ส่วนตน’ จากเพลง ‘บัวลอย’ ของวงดนตรีคาราบาวในช่วงชุมนุมอาตมาจึงหาเนื้อเพลงมาอ่าน พบว่าเป็นเรื่องของคนที่มีความสุขจากการทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทน อาตมาอยากให้โลกใบนี้มีคนอย่างบัวลอยเยอะๆ คำว่า ‘ปทุม’ ก็แปลว่าดอกบัว และในแง่พุทธศาสนาก็เชื่อมกับเรื่องบัว 4 เหล่า บัวลอยหมายถึงบัวพ้นน้ำ เป็นบัวเหล่าสุดท้ายที่พร้อมพร้อมรับแสงแห่งธรรม แต่น้อยคนมากที่จะฉุกคิดว่าแรงบันดาลใจจากการแต่งเพลงนั้นมาจากพระพุทธศาสนา โยมแอ๊ด (ยืนยง โอภากุล/นักร้องนำและหัวหน้าวงคาราบาว) เคยให้สัมภาษณ์ว่าทุกคนมัวแต่ฟังดนตรีจนลืมเนื้อหาไป แต่ถ้ามีใครสักคนใส่ใจเนื้อหาและเป็นแรงบันดาลใจให้ทำตัวอย่างบัวลอยก็ภูมิใจ (ยิ้ม)

บัวลอยเล่มแรกผลตอบรับเป็นอย่างไร

         ในแง่ของปริมาณถือว่าดี เป็นหนังสือแจกฟรีที่ใครก็อยากได้ อาตมาลองเช็กกับโยมที่รู้จัก เขาชื่นชมกับความกล้าหาญของเด็กยุคนี้ที่กล้าแต่สำหรับนักอ่านหนังสือ เห็นว่านิตยสารเล่มนี้ยังดูเป็นเด็กเกินไป ทั้งนี้อาตมาไม่อยากให้ทุกคนเอาไปเปรียบเทียบกับนิตยสารมืออาชีพนะเพราะอยากให้มองว่าน้องๆ ที่ทำบัวลอยเป็นเด็กกลุ่มหนึ่งที่มีเรื่องที่อยากทำ นี่ตอบในแง่ปริมาณนะ

         สำหรับแง่คุณภาพ มีเด็กหลายคนที่ไม่เคยทำหนังสือมาก่อน พอมาลองทำก็สนใจในงานหนังสือมากขึ้น ทั้งจากวิศวะ วิทยาศาสตร์ คุรุศาสตร์และอีกหลายๆ คณะซึ่งไม่เคยเรียนรู้กระบวนการการเกิดหนังสือหนึ่งเล่มมาก่อน ได้มาเรียนรู้การทำหนังสือ รวมถึงการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ได้เพื่อนใหม่ๆ บางคนก็ลดอัตตาลง บางคนก็พัฒนาตัวเองขึ้น เริ่มเข้าใจว่าสิ่งที่ทุ่มเทไปมันมีค่าขนาดไหน ผลตอบรับหลวงพี่ถือว่าอยู่ในขั้นดีในแง่คุณภาพ


เกินตัวไหม

         เกินตัว (ตอบทันที) อยากให้สมบูรณ์แบบ ทุ่มเทมาก เกินตัวมาก แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาในแง่ความสุขกายสุขใจ เวลาจะทำความดี คนจำนวนมากทำความดีแบบเซฟตัวเอง ดูพระพุทธเจ้าท่านสิ ท่านเคยบำเพ็ญทุกรกิริยาที่ยากเกินกว่าที่มนุษย์ทั่วไปจะทำได้ แต่ผู้คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ทำมากแบบท่าน พระพุทธองค์ท่านพบว่าตึงแล้วหย่อนให้พอดีมันทำให้ความสามารถหลายๆ อย่างสูงขึ้น ดังนั้นก่อนจะเลือกสายกลาง ก็ควรทำทุกอย่างให้สุดความสามารถก่อน จากนั้นถึงจะเข้าใจคำว่าทางสายกลางได้ดี ทำดีน่ะ ยิ่งเยอะ ยิ่งทำยาก ยิ่งข่มกิเลส


ต้นทุนต่อเล่มเท่าไร และหารายได้อย่างไร

         120 บาท ได้การสนับสนุนจากสปอนเซอร์บ้าง แต่เพราะ ‘บัวลอย’เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งไม่เอื้อทางต่อภาพลักษณ์องค์กรมากนัก เพราะน้อยบริษัทนักที่จะช่วยเหลือสังคมด้านธรรมะ และยังต้องอธิบายให้หลายๆ องค์กรเข้าใจว่าธรรมะไม่จำเป็นต้องนุ่งผ้าซิ่นทอมือ แต่งตัวเรียบร้อย และทำตัวจนๆ เท่านั้น ในยุคพุทธกาล พระเจ้าสุทโธทนะ (พระราชบิดาของเจ้าชายสิทธัตถะ) ก็ต้องอยู่ในตำแหน่งกษัตริย์แม้สวมเสื้อผ้าที่สวยงามกว่าสมณะ แต่ก็เป็นพระอนาคามีซึ่งกำลังเข้าสู่ทางพระอรหันต์เพราะท่านไม่ได้ไปเบียดเบียนคนอื่น ไม่ไปยึดติดกับลาภยศ ดังนั้นเรื่องธรรมะสำคัญนั้นอยู่ที่จิตใจมากกว่า

         อาตมาอยากจะทำยังไงก็ได้ให้เข้าถึงวัยรุ่น ให้เขาแค่อยากหยิบรูปดูเฉยๆ ก็ยังดี เมื่อรวบรวมความคิดทั้งหมด ต้นทุนของหนังสือที่วาดภาพไว้เลยแพง แต่เพราะทุกคนคิดกันแต่รูปแบบเดิม ก็เลยไม่มีสิ่งที่จะดึงคนรุ่นใหม่ให้มาสนใจธรรมะได้

         เด็กกลุ่มบัวลอยก็ถูกปรามาสว่า ‘ทำไม่จริงจังหรอก’ และ ‘เด็ก พอถึงวันหนึ่งไม่มีอารมณ์ก็เลิกทำ’ ทุกคนดูถูกเด็กมาก (เน้นเสียง) คนเหล่านี้กลับคาดหวังจะให้เด็กดูแลประเทศชาติ แต่กลับไม่ให้โอกาสเด็กทำสิ่งที่ควรทำเลย อาตมาให้กำลังใจกับเด็กทุกคนว่า “แม้จะไม่มีใครให้เงินก็จะทำ และจะให้ดีด้วย”


มารไม่มี บารมีไม่เกิด

         (ยิ้มและพยักหน้า) อาตมาไม่อยากให้เด็กเติบโตโดยคิดว่าทำไมถึงไม่ได้รับโอกาสในการทำอะไรดีๆ บ้าง และถ้าถึงวันหนึ่งไม่มีทุนจริงๆอาตมาจะเย็บมือ ถ่ายเอกสาร และถ้ายังมีปัญญา ถ่ายเอกสารก็สวยได้บัวลอยเอากราฟฟิกมารับใช้กับธรรมะ คิดว่ามันจะเสียแก่นไหมสีทุกสีพร้อมจะระบายเป็นสภาวะแห่งสัจธรรมได้หมด ไม่ว่าจะเป็นสีกรักของพระ หรือสีของวัดที่ฉูดฉาด ช่อฟ้าใบระกาแดงเขียวขลับปิดกระจกด้วยเงามันเลื่อม ก็ทำให้คนเข้าถึงธรรมได้ หนังสือบัวลอยก็ไม่ต่างกัน ถ้ามีสมาธิก็ได้ความสงบไม่ต่างกัน


ท่านไม่กลัวคนจะหลงสีสัน หลงเปลือก มากกว่าได้อ่านหนังสือจริงๆ หรือ

         เธอต้องแยกนะ (ตอบรวดเร็ว) เพราะกลุ่มเป้าหมายเป็นวัยรุ่น และต้องสัมผัสกับรสนิยมให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย อาตมานำเสนอแบบที่วาดภาพไว้ก่อน

         ปกติเด็กถูกดึงดูดด้วยภาพมากกว่าตัวหนังสือ ดังนั้นบัวลอยเล่มแรกจึงยากมาก ลองผิดลองถูกเยอะ อาตมาพยายามทำเล่มแรกให้เข้าถึงกลุ่มที่เขาจับเรื่องรสนิยมตรงนี้ก่อน พยายามจะดึงให้เขามาอ่าน ถ้าเธอเลือกของขวัญชิ้นหนึ่งที่คิดว่าคนรับน่าจะชอบ พอถึงมือผู้รับ ผู้รับอาจจะชอบหรือไม่ชอบก็เป็นเรื่องของคนรับฉะนั้นเธอแค่รับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองให้ดีก่อนจริงไหม


ทำไมท่านถึงพยายามทำให้เด็กๆ มีจิตอาสา

         อาตมาพบว่ายิ่งบำเพ็ญประโยชน์ร่วมกับผู้อื่นมากขึ้นเท่าไรจะยิ่งเข้าใจในสัจธรรมได้เร็วขึ้นเท่านั้น ดังนั้นคนที่ทำจิตอาสาบ่อยๆ มันจะสลายอุปทาน มีเมตตาที่สูงขึ้น และช่วยผู้อื่นอย่างมีปัญญา ถ้าเริ่มทำจะค่อยๆ เกิดสันติสุขในใจ เป็นการฝึกพื้นฐานธรรมะ จะได้เข้าใจแก่นแท้ของการให้ อย่านิ่งดูดายกับปัญหาที่มีอยู่ แม้เราจะแก้โลกไม่ได้ แต่เราแก้ที่ตัวเองได้ เหมาะกับจุดไหนก็ไปช่วยเหลือที่จุดนั้นและทำให้เต็มที่


เริ่มเห็นบัวลอยพ้นน้ำขึ้นมาหรือยัง

         เห็น (ตอบรวดเร็ว) บัวแต่ละแบบก็มีรูปแบบของตัวเอง บางคนเมตตาสูงขึ้น บางคนจิตอาสามากขึ้น น้องคนหนึ่งเข้าใจพระไตรปิฎก แต่ไม่เข้าใจคนหมู่มาก พอมาทำงานกับคนทั่วไปก็เป็นทุกข์ เพราะพูดอะไรเป็นภาษาธรรมะ เพื่อนๆ ก็ไม่เข้าใจ เขาใช้เวลาในการเรียนรู้การลดอัตตาตัวเองลงมา เริ่มฟังคนอื่น ปรับวิธีพูดของตัวเองให้คนอื่นเข้าใจ

         บางคนก็ให้คนอื่นมากจนเป็นทุกข์ เพราะเป็น Mr.Yes มากรับปากทุกอย่างที่คนขอโดยไม่ประเมินศักยภาพของตัวเอง จึงรับผิดชอบที่รับไม่ได้ทั้งหมด ก็เรียนรู้และปรับปรุงกัน ดังนั้นแต่ละคนลอยขึ้นมาคนละรูปแบบ แต่ถ้ากระตุ้นดีๆ บัวจะค่อยๆลอยและผลิดอกออกผลจนวันหนึ่งเจอชีวิตเจอธรรมะที่แท้จริงดังนั้นที่นี่จึงมีบัวที่ค่อยๆ ลอยสูงขึ้น


ตัวท่านได้เรียนรู้อะไรจากการทำบัวลอยบ้าง

         ปัจจุบันขณะที่เมตตาและมีปัญญาประกอบ อยู่กับปัจจุบันได้ เริ่มเข้าใจทุกอย่างไม่เที่ยง อนาคตหายไป อดีตสูญหายไปตามกาลเวลา เห็นตัวเองชัดขึ้นว่าวันนี้ปรุงแต่งน้อยลงกว่า 3 ปีก่อน ตอนนั้นความเห็นมันล้น คิดนั่นคิดนี่ตลอดเวลา และอยากเอาชนะ ตอนนี้สามารถปิดสวิตช์ความคิดความเห็นได้มากขึ้นเข้าใจไตรลักษณ์ขึ้น แต่ยังต้องพัฒนาตัวเองอยู่อีกเยอะ (ยิ้ม)


ที่มา : http://thaiday.sbox.co.th/s1000_obj/front_page/page/1690.html?content_id=5044
บันทึกการเข้า
ajmoo
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: 01 เมษายน 2011 11:44:39 »

อ่านให้จบนะครับ ได้แง่คิดดี ๆ เยอะเลย
บันทึกการเข้า
panaejorn
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,309


_~=*_ พ เ น จ ร_*=~_


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 01 เมษายน 2011 11:54:26 »

ชอบวัดนี้ครับ

อยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย

แต่แฝงไว้ด้วยความสงบ

ชอบไปไหว้ พระบรมครับ
บันทึกการเข้า

AE Racing Club
Panaejorn @ AE Racing Club.Net
No More Game-Friend Indeed
All Zone
ปากขมก็อมยา ปากหมาก็อมตีน
tonyyama
มือใหม่หัดซิ่ง
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 85



ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 03 เมษายน 2011 11:38:13 »

อืม สาธุ
บันทึกการเข้า
PUISHiCooL
นักแข่งมืออาชีพอันดับสาม
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 708


ฝาลาย สายหมอบ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 04 เมษายน 2011 10:35:54 »

สุด
บันทึกการเข้า

แรงม้าน้อยนิด แต่แรงTeeN มหาศาล 
 4AGE 92 GTi เก่าๆ
RinSa YoYoLive
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 2,365


....ยิ้มเข้าไว้ ใจยังสู้ ....


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 04 เมษายน 2011 10:53:12 »

 คำนับ คำนับ
บันทึกการเข้า

Chanjaoka
นักแข่งมืออาชีพอันดับสาม
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 572



ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 04 เมษายน 2011 10:56:46 »

 สุดยอด
บันทึกการเข้า


Thanks: ฝากรูป

"ไอ้น้อง ระยะทางเท่ากัน เครื่องยนต์แรงพอๆกัน แพ้ชนะมันวัดกันที่ใจ
    เป็นคำพูดที่หมูบินมักพูดอย
NosDriVe
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 11,178


พิเรณทีม = มิตรภาพ + ความจริงใจ


ดูรายละเอียด
« ตอบ #7 เมื่อ: 04 เมษายน 2011 15:51:00 »

wow
บันทึกการเข้า


ถ้าไม่ทนเหนื่อย ทนลำบากมาด้วยกัน ก็ไม่รู้หรอกว่าแต่ละคนให้ใจกันแค่ไหน ใช่มั้ย พิเรณทีม
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006-2008, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!