AE. Racing Club
07 ตุลาคม 2024 00:27:34 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [«10] [«5]  «  1 ... 10 11 [12] 13 14 15  »    ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: !!==CHONBURI HORROR ZONE==!!  (อ่าน 66879 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 7 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #220 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2009 00:47:38 »

อยากฟังเรื่องผีผ้าห่มคับพี่ปูม ร้องเพลง

บ้านไหนสาวสวย(แฟนหรือกิ๊ก) เยอะผีผ้าห่มส่วนใหญ่จะเป็นองค์(ผู้ชาย ส่วนองค์ = อง....)มาให้เห็นแบบจะจะ
นิยมส่องแสงสว่างๆสำหรับสาวสวยหุ่นดี นิยมมามืดๆเมื่อสาวๆหุ่นดี
แต่หน้าตาไม่สวย โดยที่ผีนั้นจะไม่สนใจว่า สาวๆนั้นจะมีคู่ครองหรือไม่
นิยมอย่างยิ่งในการอุ้มไปนอกพื้นที่ (รร.= โรงแ ....ม) บางครั้งนิยมที่บ้าน
มักจะมีเสียงน่ากลัวๆ เล็ดลอดออกมาจากผ้าห่มยามผีเข้า และมักจะมีเสียงแห่งความพึงพอใจเมื่อผีออก
โดยมากจะขอร้องเรียกผีกลับมาสิงสู่อีกครั้ง ด้วยความหวาดกลัว
.......
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
YaSeN
Moderator
นักแข่งมืออาชีพอันดับหนึ่ง
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,716



ดูรายละเอียด
« ตอบ #221 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2009 23:44:32 »

ดันๆๆ
บันทึกการเข้า
Louis Todo Juku <RZ>
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 7,419


PANDA 101 อดีตเพื่อนรักของผม..


ดูรายละเอียด
« ตอบ #222 เมื่อ: 15 กรกฎาคม 2009 00:48:24 »

คลายเครียดดีคร๊าบบบบพี่ปูม คำนับ
บันทึกการเข้า

GE-DA-ke ช่างติ สนามบินน้ำ
มือจูนระดับเทพ by พี่อุบ วายริ่ง
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #223 เมื่อ: 15 กรกฎาคม 2009 20:20:37 »

คลายเครียดดีคร๊าบบบบพี่ปูม คำนับ
อ่านตอนกลางคืนระวังเครียด น้า อิอิ
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
Ohmmy
นักแข่งมืออาชีพอันดับสาม
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 523


พวกนักซิ่งถ้าลองได้ซิ่งแล้ว-ก็ต้องซิ่งจนวันตาย...


ดูรายละเอียด
« ตอบ #224 เมื่อ: 16 กรกฎาคม 2009 15:39:47 »

มีอาถรรพ์ อีกที่คับ  ชั้น2 แกแลคซี่  ขึ้นไปนี่ลุก(สู้)เยย แหะๆ
บันทึกการเข้า

"ก็แค่นักแข่งข้างถนน   เกิดเป็นพวกนักซิ่ง"  _นี่แหละมันส์_
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #225 เมื่อ: 16 กรกฎาคม 2009 20:08:16 »

มีอาถรรพ์ อีกที่คับ  ชั้น2 แกแลคซี่  ขึ้นไปนี่ลุก(สู้)เยย แหะๆ

ลุก สู้ เลย ใช่มะ หุหุหุ
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #226 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2009 22:39:04 »

เรื่องเล่าสยองขวัญ ผีเช่าบ้าน

 

    เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดกับตัวผมเอง เมื่อประมาณปี 2533 ผมได้เดินทางไปปฏิบัติงาน ณ อ.บึงกาฬ จ.หนองคาย ซึ่งเป็นการเดินทางออกจากบ้านครั้งแรก ก่อนไปผมได้ให้พนักงานที่นั้นหาบ้านเช่าให้ เมื่อผมเดินทางไปถึงเจ้าของบ้านบอกว่าบ้านยังไม่ได้ทำความสะอาด ต้องทำเอง พวกผม 3 คนก็ตกลงกันว่ารับผิดชอบคนละห้อง เมื่อผมเลือกห้องที่ต้องการได้แล้ว ก็เปิดประตูเข้าไปทำความสะอาด ภาพที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้า ธูปที่ปักอยู่เต็มห้อง คราบน้ำตาเทียน รวมไปถึงร่องรอยที่ปรากฎอยูในห้องทำให้ผมขนลุกซู่เลยทีเดียว แต่ด้วยความที่เราจำเป็นต้องอยู่ทำให้ผมไม่ได้คิดอะไร ทำความสะอาด ปัดกวาด ก่อนนอนผมก็กราบพระเป็นประจำทุกวันไม่มีอะไรเกิดขึ้น ด้วยความคะนอกทำให้ผมไม่รู้สึกอะไร แล้วเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นกับผมจนได้ ครึ่งหลับครึ่งตื่นเหมือนมีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ ผิวเนื้อดำแดง เปิดประตูห้องผมเข้ามาทั้ง ๆ ที่ผมล๊อคประตูเรียบร้อยก่อนนอน แล้วพูดด้วยเสียงดังกังวาลว่า ฝากดูแลบ้านด้วยต้นไม้ที่อยู่หน้าบ้านน้ำแห้งขอดแล้ว เติมน้ำด้วย ผมสะดุ้งตื่นแน่นอนผมรีบออกไปดูต้นไม้ ผมแทบเป็นลม ต้นไม้นั้นน้ำแห้งขอดจริงอย่างที่บอก ผมเล่าให้พี่ข้างห้องฟัง ก็ต้องแปลกใจอีกครั้งหนึ่งเมื่อพี่เขาบอกว่าเมื่อคืนได้ยินเสียงเหมือนคนเดินลากโซ่หรืออะไรหนัก ๆ เสียงดังครืด ๆ ๆ แล้วก็มาหยุดที่หน้าห้องผม แล้วเสียงก็หายไป สักพักได้ยินเหมือนเสียงเดินออกจากห้องผมไปด้านหลังบ้านที่เป็นห้องเก็บของ ผมสอบถามจากชาวบ้านข้างเคียงได้ความว่า บ้านหลังนี้เดิมเจ้าของเป็นตำรวจเมื่อท่านเสียชีวิต ได้นำศพฝังหรือเผาไม่ทราบได้ในบริเวณสวนข้าง ๆ บ้าน ซึ่งห้องที่ท่านอยู่คือห้องผมและสวนก็อยู่ด้านข้างกับห้องพักของผม ผมรีบตื่นเช้าไปทำบุญที่วัดเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ท่าน เรื่องนี้อยากบอกว่าก่อนที่เราจะเข้าไปอยู่ในห้องพัก ควรสืบประวัติของห้องให้ดีก่อนที่คุณจะเจอกับสิ่งที่ผมได้เจอ

เรื่องนี้น่ากลัวดีครับ ที่มา : ghost2you.com
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #227 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2009 22:40:29 »

ตำนานเจ้าแม่เขาสามมุข
?เขาสามมุก? เป็นเนินเขาเตี้ยๆ อยู่กึ่งกลางระหว่างบ้านอ่างศิลาและหาดบางแสน ขับรถไปตามถนนเลียบริมหาดจากอ่างศิลาเป็นทางลาดขึ้นไปนั่นก็คือบริเวณที่เรียกกันว่าเขาสามมุก และเขาสามมุกเป็นที่อยู่อาศัยของฝูงลิงจำนวนมาก ส่วนศาลเจ้าแม่สามมุกตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา และ ที่มุมหนึ่งของศาลฯ มีผู้เขียนถึงตำนานความรักของท่านไว้ดังนี้

?เมื่อปลายรัชสมัยกรุงศรีอยุธยาบริเวณบางแสนและเขาสามมุข ยังไม่มีบ้านเรือนและผู้คนหนาแน่นเหมือนปัจจุบันนี้ ชื่อบางแสนและเขาสามมุขก็ยังไม่ปรากฏ จะมีก็แต่ตำบลอ่างหิน ในปัจจุบันก็คือตำบลอ่างศิลาอันเป็นชุมชนของชาวประมงริมทะเล?

?ณ ตำบลอ่างหินนี่เอง (อ่างศิลา) มีเจ้าของชื่อโป๊ะ หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันในนามว่า ?กำนันบ่าย? มีลูกชายชื่อว่า ?แสน? ห่างจากตำบลอ่างหินออกไปพอประมาณมียายหลานอาศัยกันอยู่คู่หนึ่ง ยายมีชื่อเสียงเรียงนามใดไม่ได้ปรากฏไว้ ส่วนหลานสาวนั้นมีชื่อว่า ?สามมุข? อาศัยอยู่ในเมืองปลาสร้อย (จังหวัดชลบุรีในปัจจุบัน) เมื่อบิดามารดาเสียชีวิตลง ก็ได้มาอาศัยอยู่กับยายจนกระทั่งโต ?สามมุข? มักจะชอบมานั่งเล่นดูหนุ่มสาวรวมทั้งเด็กที่มาเล่นว่าวในหน้าลมว่าวอยู่ริมเชิงเขาเป็นประจำ และมีเพื่อนที่คอยหยอกล้อเล่นเป็นประจำก็คือลิงป่าที่ลงมาจากเขา?

?อยู่มาวันหนึ่งขณะที่ ?สามมุข? กำลังนั่งเล่นอยู่ ก็ได้มีว่าวตัวหนึ่งขาดลอยลงมาตกอยู่ที่หน้าของสามมุข เธอจึงเก็บว่าวตัวนั้นไว้และมีเด็กหนุ่มชื่อแสนวิ่งตามว่าวที่ขาดลอยมาจึงได้พบกับสามมุข เขาทั้งสองได้รู้จักกันและแสนก็ได้มอบว่าวตัวนั้นไว้เป็นที่ระลึก หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้พบปะกันเรื่อยมาจนเกิดเป็นความรัก และได้สาบานต่อหน้าขุนเขาแห่งนี้ว่า? ?ทั้งสองจะครองรักกันชั่วนิรันดร หากใครผิดคำสาบานนี้จะกระโดดหน้าผาแห่งนี้ตายตามกัน? และแสนได้มอบแหวนวงหนึ่งให้แก่สามมุขไว้เพื่อเป็นพยาน?






น้ำสังข์ลดลงมาพร้อมกับแหวนวงหนึ่งตกลงมาด้วย ?เมื่อกำนันบ่ายซึ่งเป็นพ่อของแสนได้ทราบเรื่องเข้าก็เกิดความไม่พอใจ แสนได้พยายามขอร้องผู้เป็นพ่อให้ไปสู่ขอสามมุข แต่กำนันบ่ายก็กีดกันและกักบริเวณแสนไว้ จึงทำให้ทั้งสองไม่ได้พบหน้ากัน หลังจากนั้นกำนันบ่ายก็ได้ไปสู่ขอลูกสาวคนทำโป๊ะให้กับแสนและกำหนดพิธีการแต่งงานขึ้น ข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วอ่างหิน (อ่างศิลา) จนสามมุขเองก็ได้รับรู้ถึงข่าวนี้ด้วย ในวันแต่งงานของแสนได้มีการจัดงานกันอย่างใหญ่โตสมเกียรติกับที่เป็นงานของกำนันบ่าย?

?ตลอดระยะเวลาที่แขกได้ทยอยเข้ามารดน้ำสังข์อวยพรให้คู่บ่าวสาวทั้งสอง แสนได้แต่ก้มหน้านิ่งเสียใจอยู่กับตัวเองที่ไม่สามารถทำอะไรได้ จนกระทั่งแสนรู้สึกว่ามีน้ำสังข์ลดลงมาพร้อมกับแหวนวงหนึ่งตกลงมาด้วย แสนจำได้ดีว่าแหวนวงนี้เขาเป็นคนมอบให้สามมุขแต่พอเงยหน้าขึ้นสามมุขก็ได้วิ่งจากออกไปแล้ว แสนได้หวนคิดถึงคำสาบานที่ได้ให้กับสามมุขไว้ จึงรีบวิ่งไปที่เชิงเขาแต่ก็สายไปเสียแล้ว สามมุขได้ขึ้นไปที่หน้าผานั้นแล้วทิ้งร่างที่ไร้หัวใจลงดิ่งสู่ก้นผาสิ้นชีพอยู่ริมทะเล แสนผู้ที่ให้คำสาบานไว้กับสามมุขเขาจึงกระโดดลงหน้าผาตามสามมุขหญิงสาวสุดที่รักไป?






รูปปั่น อนุสรณ์ ในถ่ำเขาสามมุข ?เขาสามมุข??หาดบางแสน? เป็นอนุสรณ์รักแด่คนทั้งสองจนถึงปัจจุบัน
?จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ชาวบ้านที่ทราบข่าวพากันเศร้าสลดใจเป็นอย่างมาก จึงพากันสาปแช่งกำนันบ่าย ต่อมากำนันบ่ายได้นำถ้วยชามสิ่งของต่างๆ มาไว้ในถ้ำตรงหน้าผาแห่งนั้นและตั้งชื่อภูเขาลูกนี้ว่า ?เขาสามมุข? และชายหาดที่ติดกันว่า ?หาดบางแสน? เพื่อเป็นอนุสรณ์รักแด่คนทั้งสองจนถึงปัจจุบัน?

ต่อมาชาวบ้านในแถบนั้นเล่าว่า ?เมื่อตกดึกได้พบเห็นร่างของหญิงสาวมายืนอยู่ตรงหน้าผานั้นเป็นประจำทุกคืน? ชาวบ้านจึงได้ช่วยกันสร้างศาลนี้ขึ้น เพื่อเป็นที่สิงสถิตและเป็นที่เคารพสักการะแก่ชาวบ้านและชาวประมงเมื่อเวลาที่จะออกเรือไปหาปลามักจะมีการมาจุดประทัดบนบานขอให้ได้ปลากลับมาเต็มลำเรือ อย่าต้องเผชิญกับลมพายุบางครั้งเจอลมพายุกลางทะเลก็จุดธูปบนเจ้าแม่สามมุขให้รอดปลอดภัยจากอันตรายก็สัมฤทธิ์ผลเรื่อยมา

จากนั้นเมื่อเรื่องราวความรักอันยิ่งใหญ่ของเจ้าแม่สามมุขนั้นแพร่กระจายออกไป ก็มักมีคู่รักชายหญิง มาอธิษฐานขอให้ความรักของตนสมหวัง โดยเขียนชื่อตนกับคนรักไว้บนว่าว แล้วแขวนไว้บริเวณศาลโดยเชื่อกันว่าเจ้าแม่สามมุกจะดลบันดาลให้ทุกคู่รักสมหวัง และไม่พลัดพรากจากกันเหมือนดังในตำนาน
 คำนับ คำนับ คำนับ

บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #228 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2009 22:47:02 »

.....ตำนาน "หนองมน"......

จังหวัดชลบุรี มีชื่อเสียง เพราะมีเมืองพัทยาเป็นเมืองชายทะเลที่โดดเด่น แต่ชลบุรียังมี
สถานที่สำคัญ ๆ อีกมากมาย เช่น อ่างศิลา บางแสน บ่อน้ำร้อน ซากเมืองโบราณ คือเมืองสีพะโล
และเมืองพระรถที่เก่าแก่ สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยขอมเรืองอำนาจในดินแดนสุวรรณภูมิ
แต่เดิม ชาวบ้านเรียกจังหวัดชลบุรีว่าเมืองบางปลาสร้อย สำหรับ หมองมน นั้น แต่เดิม
เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีตำนานเล่าสืบทอดกันมาว่า.........
ในสมัยโบราณ ได้เคยมีพระธุดงค์ รูปหนึ่ง ธุดงค์ผ่านมาพักปักกลดยังหมู่บ้านหนองมน
ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้น บังเอิญล้มป่วยเจ็บไข้กันเป็นจำนวนมาก บางคนสิ้นใจ
ตายไป ไม่ว่าจะใช้หมอ แล หยูกยามากมายสักเพียงใด
ชาวบ้านจึงชักชวนกันไปขอให้พระธุดงค์ช่วยรักษาอาการเจ็บไข้ดังกล่าว
พระธุดงค์รูปนั้นจึงปลุกเสกน้ำมนต์ขึ้น เพื่อแจกจ่ายให้ดื่มกิน และอาบ หรือลูบไล้บริเวณ
ที่เจ็บป่วย เป็นโรค หรือบาดแผล
ครั้นเมื่อชาวบ้านได้แจกจ่ายแบ่งกันดื่ม กิน และ อาบ ก็ให้บังเกิดเป็นที่อัศจรรย์นัก เพราะ
บรรดาโรคภัย ไข้เจ็บต่าง ๆ หายมลายสิ้นไปอย่างไม่น่าเชื่อ
ความศักดิ์สิทธิ์ของพระธุดงค์ รูปนั้นจึงเป็นที่ร่ำลือ ชาวบ้านอำเภออื่น ๆ แห่แหนกันมาเพื่อ
ขอน้ำมนต์วิเศษกันแทบตลอดทั้งวันและคืน
พระธุดงค์ท่านย่อมบังเกิดความลำบากในการทำน้ำมนต์ และเสกเป่า จึงได้กล่าวแก่ชาว
บ้านว่า
" เอาละ ขอให้พวกโยมจงช่วยกันขุดดินตรงนี้ ให้เป็นหนองน้ำเข้าหนองหนึ่งเถิด "
ด้วยความร่วมแรง ร่วมใจกันขุดดินบริเวณใกล้ ๆ กับที่ท่านปักกลดอยู่นั้น ไม่นานนักหนอง
น้ำเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ก็ ปรากฏขึ้น
พระธุดงค์ จึงได้ปลุกเสกภาวนา คาถาอาคมต่าง ๆ แล้วจุดเทียนจำนวนหนึ่ง หยดลงไปใน
น้ำเพื่อทำน้ำมนต์ จนในที่สุดหนองน้ำนั้นก็ได้กลายเป็นหนองน้ำมนต์โดยสมบูรณ์
ชาวบ้านได้ใช้น้ำในหนองนั้นอาบ กิน เพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ....ความศักดิ์สิทธิ์และ
ความวิเศษของพระธุดงค์รูปนี้ ได้แพร่กระจายไปทั่วในหลายบ้าน หลายตำบล ต่อมาพระธุดงค์ ได้อำลา
บรรดาชาวบ้านเพื่อเดินทางมุ่งหน้าต่อไป
ชาวบ้านจึงพากันเรียก หนองน้ำแห่งนั้นว่า " หนองน้ำมนต์ " ซึ่งกลายเป็น " หนองมน " มาจน
ถึงปัจจุบันนี้
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #229 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2009 22:53:10 »

เมื่อกรมหลวงชุมพรทรงประลองอาคมกับจอมสลัดแห่งสัตหีบ



ในพระประวัติหลายแห่ง ไม่ค่อยพบเรื่องราวความผูกพันทางไสยเวทระหว่างเสด็จเตี่ยกับหลวงพ่ออี๋ ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อใกล้ชิดกับพระองค์มากกว่าพระเกจิอาจารย์รูปอื่น นายกัน ก็ได้รับการยกย่องว่า เป็นจอมอาคม หลวงพ่ออี๋ ก็เป็นเกจิจอมอาคม ทั้งพระองค์ก็สนพระทัยอาคม มีการฝึก และแลกเปลี่ยน ถ่ายทอดอาคมต่อกัน ตามแบบคนเล่นของในยุคนั้น

กล่าวถึงนายกัน สลัดทะเลโหด สักหน่อย นายกันผู้นี้โด่งดังจนถึงกับตั้งเป็นชื่ออ่าวบริเวณสัตหีบว่า "อ่าวตากัน" อายุแก่กว่าหลวงพ่ออี๋ เคยบวชเรียน แต่ร้อนวิชา ลาสิกขา ปลูกกระต๊อบอยู่บนหน้าผาแห่งหนึ่ง (อ่าวตากัน) ร้อนวิชา จนสร้างความเดือดร้อนแก่นักเดินเรือทั่วไป

นายกัน หรือ ตากัน จะใช้วิชาอาคม "สะกดเรือ" ใหญ่ทุกลำที่แล่นเข้ามาในรัศมีด้วยพลังจิต ไม่ให้เรือแล่นต่อไป เครื่องหยุดเดิน แล้วตากันจะใช้ลูกศิษย์ นำเรือเทียบขอค่าผ่านทาง ผู้ใดไม่ให้ ก็จะแสดงปาฏิหาริย์ไม่ให้เรือแล่นต่อไป ถ้าผู้ใดให้ ก็จะทำให้เครื่องติด เดินทางไปได้อย่างอัศจรรย์ ชาวเรือหวาดกลัวกันมาก และแล้วตากันก็สำแดงเดชผิดที่ เพราะไปสะกดเอาเรือกองทัพเรือเข้า เรื่องจึงถึงเสด็จเตี่ย เกิดเป็น "ศึกอาคม ระหว่าง เสด็จเตี่ย กับ ตากัน"

เรื่องราวความกำแหง โหด ป่าเถื่อน ของตากัน เข้าถึงพระกรรณเสด็จเตี่ย ทรงกริ้วอย่างมาก ถึงกับเสด็จมาด้วยพระองค์เอง การปะทะกันด้วยอาคมจึงเกิดขึ้น วันนั้น ตากันนั่งอยู่ในกระท่อม พลันปรากฏมีฝูงผึ้งใหญ่ บินเข้าจะต่อยตีตากัน แต่ตากันก็เอาผ้าขาวม้าโบกพัด จนผึ้งตกลงมา กลายเป็นใบไม้ ตากันก็รู้ทันทีว่า เจอคนดีเข้าแล้ว

ตากันปล่อยเสืออาคมเข้าใส่ เสด็จเตี่ยปล่อยควายธนูออกมา ต่างสู้กันฝุ่นตลบไม่แพ้ชนะ ผลสุดท้าย ตากันโยนผ้าขาวม้าสงบศึก เป็นพันธมิตร และกลายเป็นพระสหายต่างวัยกัน

ครั้งหนึ่งตากันเคยคุยโอ้อวดว่า ตนเคยลงไปเดินในทะเลเป็นครึ่งข่อนวัน เสด็จเตี่ยโปรดคนจริง จึงมีรับสั่งให้มัดตากันไว้ในกระสอบแล้วถ่วงในทะเลเป็นเวลา ๑ วัน เมื่อครบก็ดึงตากันขึ้นมาปรากฏว่าตากันนั่งอยู่ในท่าสมาธิ หัวเราะร่า แถมยังไม่เปียกเลยสักนิด เสด็จในกรมจึงตั้งชื่อให้อ่าวแห่งนั้นว่า "อ่าวตากัน" หรือ "อ่าวดงตาล" ในปัจจุบัน

ภายหลังเมื่อเสด็จต้องการสำรวจพื้นที่ สร้างกองทัพ ตากันได้มีส่วนร่วมรับใช้พระองค์ และย้ายมาอยู่บริเวณหลังตลาดสัตหีบ นี่คือที่มาของความผูกพันระหว่างเสด็จเตี่ย หลวงพ่ออี๋ และตากัน จอมอาคม





ข้อมูลจาก http://www.palungjit.com/ 
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #230 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2009 22:54:38 »

คุณไสยกับหลวงพ่อปานวัดบางนมโค


 


ตอนออกพรรษา หลวงพ่อสุ่นก็เรียกมาอบรมในการธุดงค์ บอกว่าถ้าจะให้ดีละก็ต้องออกธุดงค์กัน หลวงพ่อสุ่นสั่งหลวงพ่อปานว่า ให้เข้าป่าลึกเลยนะ แต่เวลาออกธุดงค์ท่านปล่อยเดี๋ยวเลย ท่านบอกว่าไม่ต้องกลัวหลงหรอก ถ้ากลัวหลงละให้นึกถึงฉัน บางครั้งท่านไม่รู้สึกว่าท่านจะไปทางไหน ท่านก็ทำใจให้สบาย ๆ นึกถึงหลวงพ่อสุ่น พอนึกเท่านั้นแหละ ท่านบอกเห็นหลวงพ่อสุ่นเดินนำหน้าไปเลย ถ้าถึงทางแยกหลวงพ่อสุ่นจะชี้ทางบอกแยกว่าไปทางโน้นทางนี้ เมื่อไปตามนั้นก็ได้ตามผลตามความประสงค์ นี่เล่าอย่างย่อ ๆ นะ

แต่ว่าวิธีการธุดงค์ของสมัยนั้นมันก็แปลก มีคนประเภทหนึ่งเขาชอบลองพระธุดงค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านตะวันออกทางด้านนครนายก ปราจีนนี่น่ะสำคัญมาก แถวนั้นเขาเรียกว่ามีต้นมหาโพธิ์สำหรับพระไปไหว้ ไปตั้งใจกำหนดเอาพระพุทธเจ้าท่านทรงบรรลุที่ต้นมหาโพธิ์ต้นนี้ ถือเป็นเรื่องนึกกันขึ้นมา ไม่จริงจังหรอก แต่การนึกนี่เป็นการนึกดี นึกถึงพระพุทธเจ้า คิดว่าท่านบรรลุอภิเภกสัมมาสัมโพธิ์ญาณตรงนี้ ก็เป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน ทีนี้บรรดาพระทั้งหลายก็นิยมกันว่าต้องไปที่ปราจีนบุรี ไปใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ ดินแดนตะวันออกแดนหนึ่ง ของทางภาคอิสาน มีหมอไสยศาสตร์ ชอบลองพระ ใช้ยาเบื่อ ยาสั่ง ลองพระบ้าง ทำคุณไสยด้วยอำนาจจิตบ้าง เอาของเข้าท้อง อันนี้หลวงพ่อปานก็เคยโดนมา

ท่านบอกว่าวันหนึ่งมีผู้ชาย ๒ คน แต่งตัวเรียบร้อย เอาต้มยำมีหัวกะพุงปลา เอามาถวายตอนเข้า ทำ ต้มยำและข้าวมาถวาย ๑ โถ ข้าวขาวจ๋อง คนอื่นก็เอามาถวายเหมือนกัน เพราะผ่านบ้านนี่ก็ต้องปักกลด ใกล้บ้าน แต่ไม่ใกล้กว่า ๑ กิโล แต่ข้าวไม่สวยอย่างนั้น กับข้าวก็ไม่สวยอย่างนั้น เมื่อท่านเห็นท่านรู้ตัวอยู่แล้ว หลวงพ่อสุ่นสั่งไว้ว่าออกธุดงค์ทุกครั้งจะกินข้าวต้องทำน้ำมนต์เสียก่อน อาหารดีไม่ดีมันจะไปโดนอย่างอื่นเข้า พอท่านเอาน้ำมนต์พรมปรากฏว่าเป็นหนามยาว ๆ ผูกไขว้กัน พอทำได้ขนาดนั้น ท่านเจ้าของตกใจทำหน้าซีดเลย

แล้วเขาก็แก้ว่าความจริงผมไม่ต้องการให้ท่านฉัน ผมพิสูจน์ดูว่าท่านจะมีดีไหม หากว่าท่านจะฉันผมก็จะบอกว่าไม่ให้ฉัน ท่านก็ไม่ว่าอะไร ท่านก็รู้ว่าเขาเกล้ง แล้วต่อมาเขานิมนต์ให้พักอยู่ ๓ วัน ท่านก็พัก ท่านบอกว่าอยากจะดูซิว่ามันจะทำยังไงต่อไปอีก

ตอนกลางคืนมันก็ทำมาทำเป็นนกมาจับอยู่ที่ยอดกลดบ้าง ท่านก็หาไม้แหลมถือไม้เล็ก ๆ แทงขึ้นไป เสกไม้แทงไป นกตัวนั้นมันก็กลายเป็นหนังควายผืนใหญ่ เรียกว่าคืนนั้นทั้งคืนโดนกันแบบนี้แหละ เสียงปุปะปุปะไม่ได้หลับตลอดคืน เป็นอันว่าถูกพิสูจน์ตลอดคืน ต่อมาเมื่อถึงตอนเช้า ท่านก็เลยเอาไอ้หนังแผ่นนั้น หนังควายที่เขาทำนกนั่นแหละรองนั่ง มันอยากส่งมาให้นี่ ท่านว่าอย่างนั้น ฉันก็เลยเอารองนั่งเสียเลย แล้วเวลาฉันข้าว เจ้า ๒ คนนั่นก็มาอีกแหละ เอาของมาถวายอีก ตานี้ฉันเอาน้ำมนต์พรมไม่มีอะไร เป็นข้าวธรรมดาเป็นกับธรรมดา

แต่ว่าเวลาฉันข้าว หนังที่นั่งทับน่ะมันค่อย ๆ เล็กลงไปทีละหน่อย ๆ เล็กเข้ามา ๆ หนังควายทั้งตัวมันใหญ่ เล็กเข้ามาจนกระทั้งแค่เข่าฉัน พอดีกับตัว ฉันสังเกตไว้ พอมันพอดีกับที่นั่งคล้าย ๆ กับผ้ารองนั่ง ฉันก็เอาน้ำมนต์พรม เอาน้ำในขันน่ะนึกอธิษฐานพรม ว่าไอ้สิ่งนี้มันมีสภาพเป็นยังไงก็ขอให้สภาพเป็นไปตามเดิม อธิษฐานจิตแค่นี้คาถาอาคมทั้งหลายเหล่าใดก็ตามที่เขาทำมาขอใหสลายตัว แล้วก็เอาน้ำมนต์พรม พอพรมลงไปหนังมันก็ขึงไปใหญ่ตามเดิม อีตา ๒ คนหน้าเสีย เป็นอันว่าจบพิธีการกัน เรื่องธุดงค์ของท่านน่ะฉันเล่าให้ฟังเท่านี้แหละ เพราะนอกจากนั้นเรื่องธุดงค์ของท่านก็ผ่านมามากแล้ว

โดยเฉพาะ อย่างยิ่งทางด้านปราจีนบุรีนี่ตัวเองฉันเองก็โดนมาสมัยออกธุดงค์ มีวันหนึ่งฉันเดินผ่านไปใกล้บ้าน ๓ คนกะเพื่อน เพื่อนกันน่ะที่เข้าป่า มันอยากน้ำเต็มทีนี่ก็แวะเข้าไปและเข้าไปในบ้านเขา ก็ปรากฏว่าพ่อแม่อยู่ข้างล่าง ลูกสาวเขาอยู่ข้างบน ฉันเดินผ่านไปใกล้บ้าน ๓ คนกะเพื่อน เพื่อนกันน่ะที่เข้าป่า มันอยากน้ำเต็มทีนี่ก็แวะเข้าไปและเข้าไปในบ้านเขา ก็ปรากฏว่าพ่อแม่อยู่ข้างล่าง ลูกสาวเขาอยู่ข้างบน ฉันขอน้ำเขากิน ร้องขอน้ำกิน เขาก็นิมนต์ขึ้นไปบนบ้าน แต่พ่อแม่ของเขาไม่ขึ้น อยู่แต่ลูกสาวอายุ ๑๕ - ๑๖ ประมาณนั้นนะ คนเดียว แม่ลูกสาวไปตักน้ำมา เอาขันน้ำวางลงไปในถาด

น้ำใสแจ๋วเป็นน้ำบ่อ แล้วก็มีจอกลอยจอกเล็ก ๆ วางมาในถาด พอมาถึงเขาก็วางถาดน้ำลงข้างหน้า แล้วเขาก็จับจอกลอยลูกนั้นตักน้ำแล้วก็ดื่มกิน แล้วเอาจอกลอยวางลงในขัน เขาบอกว่าที่นี่มียาเบื่อยาเมามากนัก ต้องกินให้ดูก่อน ประเดี๋ยวจะหาว่าแกล้งฆ่าพระ เดี๋ยวท่านจะสงสัยไม่กล้าดื่มน้ำ แต่ความจริงฉันไม่รู้เรื่อง พอเขาดื่มให้ดูแล้วเขาก็เอาขันวางลงไปในน้ำ ฉันกำลังอยากนี่ ฉันก็หยิบซี ไม่ได้ดูอะไรละ ญาณเยิน ต่าง ๆ น่ะไม่ได้ใช้ โธ๋ คนที่ใช้ได้ไม่เผลอน่ะมีแต่พระพุทธเจ้าองค์เดี๋ยวนา ขนาดพระอรหันต์ ขั้นปฏิสัมภิทาญาณอย่างพระมหากัสสปก็เผลอ ไม่มีใครรู้แจ่มใส ไม่มีใครไม่เผลออะไรหรอกเผลอทั้งนั้น มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวที่จะรู้อะไรได้ทุกขณะจิต พระอรหันต์น่ะไม่ไหวหรอกก็เผลอ ถ้าไม่ใช้ก็ไม่รู้อะไรกัน ยิ่งอย่างฉันด้วยยิ่งไปกันใหญ่ ฉันไม่ได้เป็นกังหันกับเขานี่มันก็ยิ่งเผลอมากกว่าเขา

ฉันหยิบขันน้ำลูกนั้นตักจะดื่ม แม่หนูน้อยตบมือฉาด ขันน้ำกระเด็น ฉันแปลกใจถามว่าตบทำไมจ๊ะ เขาก็บอกว่า ท่านไม่ใช่พระบ้านนี้ใช่ไหม ใช่ฉันธุดงค์มาจากอยุธยา เธอว่ามิน่าเล่าถึงได้กินน้ำแบบนี้ ถามว่าทำไม แกเลยบอกว่าแถวนี้มียาเบื่อยาเมามาก วิธีการแบบนี้เป็นการฆ่าคนนะ นี่เขาเอายาพิษทาใต้ก้นขันแล้วเอาขันวางไว้ข้างนอก เวลาตักน้ำจ้วงลงไปยาพิษยังไม่ลงไปในน้ำ น้ำในขันที่เขาดื่มน่ะมันยังไม่มีพิษ เวลาเอาจอกลอยวางลงไปในขัน ลงไปในน้ำ ยาพิษจะละลายตัว ถ้าท่านฉันจะตายทันที บอกว่าถ้าเป็นยาพิษก็ต้องตายที่นี่ ถ้ายาสั่งจะก็ต้องไปตายที่อื่น เขาสั่งให้กินอะไรตายก็ตายตามนั้น ฉันไม่รู้เรื่องเลย แล้วเธอก็ไปตักน้ำมาใหม่ ๑ ขัน บอกว่าคราวนี้ฉันได้ก็เป็นอันว่าบุญตัวของฉันนะ นี่ได้ครูบาอาจารย์ใหม่ เด็กคนนี้ฉันถือว่าเป็นครูฉัน เป็นผู้มีคุณกะฉันมาก ไม่ยังงั้นฉันก็เอวังกิ่มไปนานแล้ว นี่ว่ากันตามความของความเป็นจริงนะเรื่องการกระทำของพระที่ไปธุดงค์น่ะมันเป็นยังงี้




ข้อมูลจาก http://www.palungjit.com/ 
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #231 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2009 22:55:00 »

หาดนางรำ
 
คือเมื่อปี 243 ช่วงเดือน พฤษภาคม เรากับพวกเพื่อน ๆ ไปเที่ยวที่จังหวัด
ชลบุรี ที่หาดจอมเทียนเราก็ไปกันในช่วงกลางคืนและพวกเราก็ได้ดื่มเหล้ากัน
และพูดเรื่องลามกกัน พอตอนเช้าเราก็ไปเที่ยวกันต่อที่หาดนางรำ
ใกล้ ๆ กับท่าเรืออู่ตะเภา เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า แฟนเราเนี้ยเขากินเหล้า
และก็พูดเหมือนหลบหลู่สิ่งที่มองไม่เห็น แต่ยังไม่ได้ลงเล่นน้ำ
พอดีที่หาดนั้นมีเกาะเล็ก ๆ ห่างจากหาดประมาณ 1กิโลเมตร
ลืมบอกไปหาดนี้เป็นเขตของทหาร เราจำได้ว่าเมื่อเดือนกุมภาพันธ์
ปีเดียวกันที่เรามาเที่ยวที่นี้ น้ำยังไม่ลงถึงขนาดข้ามไปที่เกาะนั้นได้เลย
แต่พอมาคราวนี้สามารถข้ามไปได้ พอประมาณ บ่าย 3 โมงเย็น แฟนเรา
กับเราก็ชวนพวกเพื่อน ๆ ไปดูว่าบนเกาะนั้นมีอะไร แต่เพื่อน ๆ
บอกให้เรากับแฟนไปก่อน เราก็เลยบอกให้แฟนไปก่อนขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน
แล้วแฟนเราก็ออกไปก่อน เราก็ตามแฟนเราไป หากกันประมาณ 500 เมตร
เราตะโกนเรียกแฟนเราเมื่อเขาใกล้ถึงป่าบนเกาะแฟนเราก็หันมามองเรา
แล้วแฟนเราก็วิ่งหายไปในป่านั้น แต่แล้วเรื่องไม่น่าจะเกิดก็เกิดขึ้น

เราไปถึงจุดที่แฟนเราเดินหายเข้าไป เราเห็นแฟนเราวิ่งปี๋ออกมา
เราก็ถามว่าจะรีบออกมาทำไมกำลังจะตามไป แฟนเราบอกว่าออกไปเร็ว ๆ
เราถามว่าทำไม เขาก็ไม่พูด เขาจูงมือเราวิ่งในน้ำ แล้วบอกว่า
พอถึงหาดให้เตรียมธูปให้ด้วย 9 ดอก เรารู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
ต่างคนต่างพากันวิ่งไปให้เร็วที่สุด และก็มีพวกที่เห็นเราข้ามไปที่เกาะนั้น
เริ่มเดินตามเราเข้าไป แต่พวกทหารก็เรียกให้กลับ

พวกนั้นเห็นเรากับแฟนกลับก็เลยกลับกันหมด แต่พวกเขายังไปไม่ถึงไหนกันเลย
พอเรากับแฟนมาถึงหาด แฟนเราก็บอกกับเรากับเพื่อน ๆ ว่า อย่าเข้าไปนะที่นั้นมีของ
แล้วแฟนเราก็หลับไป

เราตัดสินใจไปถามทหารที่เรียกให้กลับมาที่ฝั่ง แต่พวกเขาไม่บอกได้แต่ยิ้ม ๆ
เราก็เลยบอกว่าบอกมาเถอะพี่เราเจอมาแล้ว เขาก็เลยยอมบอกว่า
ที่นั้นมีคนตายทุกปี ก็พวกที่ข้ามไปนี้แหละ เมื่อช่วงประมาณก่อนสิ้นปี 42
ก็เป็นผู้หญิง 4 คน ตายหมด เนื่องจากเกาะนั้นมีถ้ำ เวลาน้ำขึ้นจะขึ้นเร็วมาก
และจะเป็นวังน้ำวน ออกมาไม่ได้

เขาก็บอกว่าเมื่อก่อนที่นี้เป็นท่าเรือพวกประมง
เวลาใครออกเรือแล้วไม่ไหว้ก่อนจะเห็นว่ามีนางรำอยู่ที่เกาะนั้น
(เป็นที่มาของชื่อหาดนางรำ)
แล้วเรือประมงที่ออกทะเลไปก็จะล่มและตายกันบ่อยมาก
เราจึงตัดสินใจกับเพื่อน ๆ พาแฟนมานอนที่รถ
แล้วเราก็เอาพระของเพื่อนเรามาวางบนอกแฟนเรา

แฟนตะโกนออกมาอย่างดังเลยว่า ร้อน ๆ เอาออกไป
เราจึงชวนเพื่อนเราคนหนึ่งไปกราบขอขมาเรื่องที่หลบหลู่
กับศาลเจ้าแม่นางรำที่ตีนเขาอีกด้านหนึ่ง
พอถึงศาลลักษณะของทางขึ้นจะเป็น 3 ระดับ
เพื่อนเราบอกว่าจะรออยู่ข้างล่างไม่ขึ้นไปด้วย
พอเราก้าวเท้าขึ้นไประดับที่ 2
ด้วยระดับสายตาเราจะมองเห็นระดับที่ 3
แล้วเราก็ได้รู้วันนี้เองว่า ขนหัวลุกมันเป็นอย่างไร

สายตามองเห็นก็คือชุดนางรำวางอยู่
และมีหุ่นนางรำใส่ชุดนางรำยืนอยู่
เรารีบจุดธุปขอขมาแล้วรีบวิ่งลงมาด้วยความรวดเร็วที่สุด
เท่าที่ทำได้ บอกได้คำเดียว ช็อคสุด ๆ พอมาถึงรถ
เราก็รีบกลับกรุงเทพกันทันที ซึ่งแฟนเรายังหลับไม่รู้เรื่องอะไร
พอมาถึงปั้มน้ำมันก่อนถึงตลาดหนองมน
พวกเราก็แวะเข้าห้องน้ำกัน
อยู่ๆ แฟนเราก็ลืมตาโพลงขึ้นมาแล้วลุกขึ้นแรง ๆ
แล้วบอกว่าอ้าวกลับกันแล้วหรือ ยังไปไม่ถึงเกาะเลย
แล้วเราก็บอกกับแฟนเราว่า เกิดอะไรขึ้นรู้หรือเปล่า

แฟนเรานั่งนึกสักครู่ก็บอกกับเราค่อย ๆ
ว่าเดี๋ยวเล่าให้ฟัง พอมาถึงตลาดหนองมน
ก็จอดรถเพื่อกินข้าว แฟนเราก็เริ่มเราเรื่องให้ฟังว่า
เขาได้ยินที่เราเรียกแล้ว
แต่พอดีเขาเห็นว่ามีคนแบกไม้เข้าไปในป่าเลยวิ่งตามเขาไป
(ประมาณ 4-5 คน) แล้วแฟนเราก็ถามว่า พี่ ๆ จะเอาไม้ไปไหน

พวกนั้นก็ไม่ตอบ แฟนเราก็ยังวิ่งตามเขาไปเรื่อย ๆ
แต่พอมาถึงปากถ้ำที่มีคนตายเยอะ ๆ พวกนั้น ก็หายไปต่อหน้าต่อตา
บอกตรง ๆ ว่าแฟนเราเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องนี้เลย ดังนั้นพอเห็นว่า
พวกที่แบกไม้หายไปต่อหน้าต่อตา ก็รีบวิ่งออกมาด้วยความกลัว
พอวิ่งออกมาก็มานั่งพักเหนื่อย นั่งเกือบก้มหน้า
แล้วแฟนเราก็เห็นและได้ยินเสียงผู้หญิงที่ใส่ชุดนางรำ
ยืนอยู่ตรงหน้าบอกว่า

อย่าเข้าไปนะลูกที่นั้นเขามีเจ้าของ
พอแฟนเราจะเงยมองหน้าเท่านั้นแหละ ไม่พบอะไรเลย
เลยรีบวิ่งออกมา แล้วก็มาเจอเรานั้นแหละ
โดนผีหลอกกลางวันแสก ๆ ประมาณ บ่าย 4 โมงเย็น
กลัวมากพอกลับถึงกรุงเทพ เล่นเอานอนไม่หลับเลย
ตั้งแต่นั้นมาเพื่อน ๆ คนอื่นๆ ที่ไม่ได้ไปด้วยคราวนั้นก็
ชวนเราไปอีก สาบานได้เลยว่าไม่ไปเหยียบอีกเป็นอันขาด
สยองจริง ๆ ค่ะ





ข้อมูจาก http://www.shockfmonline.com/

 
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #232 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2009 22:55:12 »

หลวงปู่จันทาใช้พระไตรสรณาคมน์สู้ผีโป่ง
 
ผีโป่งที่ผาอีเมย
เมื่อพักภาวนาอยู่ที่ดงผาลาด พอสมควรแล้ว ได้ข่าวว่าที่ผาอีเมย บ้านดงนาซอน อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร มีผีโป่งดุร้ายมาก เขาว่าถ้าไปที่นั่นแล้ว ระวังให้ดีนะ มันจะหักคอกิน
นั่นแหละ ก็เลยออกเดินทาง ไปถึงที่นั่น ก็เป็นเวลาเย็นแล้ว ทำที่พักไม่ทัน ก็เลยอาศัยอยู่ใต้ร่มไม้ ค่ำนั้นก็ไม่เดินจงกรม เพราะเดินทางไกลมาแล้ว
พอ ๖ โมงเย็นกว่า ๆ ก็มีเสียเหาะขึ้นทางโคนโป่งโน้น ขึ้นไปบนฟ้า แล้วก็พุ่งลงทางหัวทุ่งทางโน้น เสียงดัง ตึ้ง... ราวกับว่าทุ่งมันจะพังทลาย ไม่นานก็กลายเป็นไฟไหม้ป่าแดงจ้าร่าเข้ามา ไฟป่าก็ลุกรุ่งโรจน์ใกล้เข้ามา มันจะทำให้ตกใจกลัวจนเป็นบ้า วิ่งหนีเข้าป่าไป
โอ๋...นี่หรือที่เขาว่า ผีโป่งผาอีเมยมันร้าย ถ้าใช่จริง ๆ ก็มาหากันวันนี้ เรามาก็เพื่อว่าจะเจริญสมณธรรมหรอก มิได้มารบกวน หวังยึดเอาสถานที่ของใครทั้งนั้น เอานะ มาลองดูกันว่า คาถาอาคมของใครจะเก่งกว่ากัน เราจะได้รู้กันว่า อาคมของศาสนาจะดีเพียงใด จะปราบผีร้ายได้ไหม พอไฟใกล้เข้ามาในระยะประมาณ ๑ เส้น (๒๐ วา) เท่านั้น ก็อ่านคาถาว่า
อิติปิโสวิเสเส อิอิเสเส พุทธนาเม อิอิเมนา พุทธะตังโส อิอิโสตังพุทธะปิติอิ ตะโจพระพุทธเจ้า ขอจงมาเป็นหนัง มังสังพระธัมมเจ้า ขอจงมาเป็นเนื้อ อัฏฐิพระสังฆเจ้า ขอจงมาเป็นกระดูก ตะริเพ็ชรคงคง อิสวาหะ สวาสุ สวาอิ พุทธะปิติอิ นะมะอะอุมิ นะมะพะทะ นะโมพุทธายะ พุทโธกั้ง (กั้น) ธัมโมบัง สังโฆปิด
จบแล้วก็เป่าพึบ !...ไฟนั้นก็แตกกระจายไป สีแดง ๆ หายไป กลายเป็นสีเขียววิ่งเข้าโคนโป่งไปเลย
คืนนั้น ๓ ทุ่มกว่า มีโยมบ้านดงนาซอนเขามาหา (บ้านดงนาซอน เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ มีประมาณ ๑๒ หลังคาเรือน ตั้งอยู่กลางดงผาลาด) เมื่อซักไซ้ไต่ถามได้ความกันแล้ว ก็ให้เขารับพระไตรสรณคมน์และศีล ๕ จากนั้น ก็อธิบายธรรมให้เขาฟังบ้างเล็กน้อย เสร็จแล้วก็ถามเขาว่า
"โยม...เมื่อเย็นนี้ ราว ๖ โมง มีเสียงเหาะขึ้นไปบนฟ้า แล้วตกลงมากลางทุ่งทางโน้น เสียงดังสนั่นราวกับทุ่งมันจะถล่มทลาย และไม่นานก็มีนิมิตเป็นไฟป่ามา อันนั้นเป็นเสียงอะไร ?"
"อ๋อ...ผีโป่งมันมาหาท่าน มันร้ายกาจมากนะท่าน นายพรานในเขตนี้มาล่าสัตว์ ยิงเก้งกวางแล้วมันวิ่งหนีเข้าไปในพุ่มไม้นั้น พอวิ่งตามเข้าไปดู ก็เห็นผีตัวใหญ่ หัวล้านเพ่อเว่อ นั่งสูบยามวนใหญ่เท่าแขนโป้ อยู่บนจอมปลวกโคนโป่งนั่น นายพรานในเขตนี้เขากลัวกันมาก ไม่กล้าไปอีกเลยนะท่าน"
นั่นแหละ พอรุ่งเช้าได้ข่าวว่า ผีโป่งมันเข้าไปสิงชาวบ้าน แล้วมันพูดว่า
"แหม...เราเป็นเจ้าของโป่ง อยู่ที่นี่มาตั้งแต่สมัยศาสนาของพระพุทธเจ้ากัสสโป โน่น เคยเป็นนายพรานใหญ่มาล่าสัตว์ที่นี่ แล้วขึ้นไปนั่งบนโคนโป่งใหญ่ มีเสือตัวใหญ่ยาว ๑๒ ศอก ผ่านมา ก็เลยยิงออกไป แต่ว่าเสือนั้นไม่ตาย มันจึงกระโดดเข้ามากัดเราตาย เราหึงหวงห่วงอาลัยในสถานที่นี้ เมื่อตายก็เลยกลายเป็นผีมาเฝ้าโป่งอยู่ที่นี่ นั่นแหละ พอเห็นพระกรรมฐานจีวรคล้ำ ๆ ร่มใหญ่ ๆ บาตรโต ๆ เดินผ่านมามีรัศมีด้วยนะ เราก็รู้ว่าพระจำพวกนี้มีธรรมจืดนะ ไปอยู่ที่ไหนก็จืดหมดทั้งนั้น ไม่มีใครสู้ได้ แต่เราก็สู้ด้วยฤทธิ์ด้วยคาถา คาถาของเราก็เป็นหนึ่ง ฤทธิ์ของเราก็เป็นเลิศประเสริฐ ไม่กลัวใครทั้งนั้น แต่เราสู้ไม่ได้ เพราะคาถาของพระกรรมฐานนั้นเก่งกว่าเรา"
นั่นแหละ ก็ไปได้ชัยชนะกับผีโป่งที่นั่น ฉะนั้น เรื่องผีสางคางแดงดำอะไรจึงไม่กลัวทั้งนั้น ธรรมพระไตรสรณคมน์เป็นของดีเลิศประเสริฐแท้ ผีเจ้าเข้าสิง ใช้ทำน้ำมนต์ กำจัดปัดเป่าหายไปได้ทั้งนั้น อันนี้ข้อสำคัญมั่นหมาย ฉะนั้นขอให้เอาไปภาวนาเช้าเย็นอย่าได้ขาด ไปไหนมาไหนก็ภาวนาอย่างนั้น ตายแล้วอบายไม่ได้ไป ไฟนรกไม่ได้ไหม้ จะได้ไปสวรรค์โดยเร็วพลัน นี่เรียกว่า คาถาธรรมพระไตรสรณคมน์ เอาไปบริกรรม อย่าได้ขาด อย่าได้ประมาท อันนี้เป็นของดีเลิศประเสริฐแท้





ที่มา หนังสือธรรมมะพเนจร

 
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #233 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2009 22:56:32 »

หลวงปู่จันทาธุดงค์พบผีกินผี
 
ผีกินผี

สมัยหนึ่ง (ปี ๒๔๙๖) ไปวิเวกอยู่ที่ถ้ำเป็ด ภูเหล็ก อ.สว่างแดนดิน (ปัจจุบันเป็น อ.ส่องดาว จ.สกลนคร) กับหลวงพ่อไค ๆ เป็นคนภูไท อายุมากแล้ว (๖๐ - ๗๐ ปี) จึงบอกว่า
"หลวงพ่อไค ที่นี่ผีมันร้ายนะ คนไม่กล้ามาทำไร่ ทำสวน เพราะผีมันกวน ฉะนั้น เวลาจะถ่ายปัสสาวะให้นั่งถ่ายใส่รางให้เป็นที่เป็นทางนะ อย่าไปถ่ายเรี่ยราดทั่วไป ไม่ดี เดี๋ยวผีมันจะดึงหำเอา" (หำ คือ อัณฑะ)
หลวงพ่อไคก็ว่า "ผมมันแก่แล้ว เวลาปวดปัสสาวะแล้วมันก็ไหลเลย"
วันหนึ่งได้ยินเสียงหลวงพ่อไคร้อง "โอ๊ย ! ..."
จึงถามไปว่า "เป็นอะไร ?"
หลวงพ่อไคก็ว่า "ผีมันดึงหำ"
"นั่นแหละ บอกแล้วไม่ฟังก็เป็นอย่างนั้น ลูกหลานเขาหยอกคนแก่หรอก นี่แหละ โทษฐานที่ถ่ายปัสสาวะไม่เป็นที่ ไม่เป็นทาง"

จากนั้น อยู่มาวันหนึ่ง นั่งภาวนาอยู่ในป่าจนถึง ๖ ทุ่ม ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องว่า
"พี่น้อง...มาช่วยฉันเถอะว้า ผีปอบมากินลูกฉัน ฉันคลอดลูกใหม่ ๆ ผีปอบมากินเลย"
อ้าว ! ... มันอะไรกัน มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ตอนกลางวัน ไม่เห็นมีอะไร โอ๋...ดอนป่าไม้นี้ มีผีอยู่ที่นั่นกลุ่มหนึ่ง ร้องเรียกบักทิดบักจารย์ มาช่วยกันขับไล่ผีปอบ ผีเหล่านั้นก็ออกมาจากพุ่มไม้ กอไม้ ต้นไม้ต่ำ ๆ เป็นปราสาทที่อยู่ มาแล้วก็ขับไล่กันทุกอย่าง ก็ไม่ออก
เมื่อไม่ออกแล้วทำอย่างไร หมดคาถาแล้ว คาถาของเรานี้ แต่ก่อนก็คมกล้าดี แต่มาระยะนี้ มาอยู่กับผู้หญิง อาถรรพ์ของผู้หญิงนั้นกล้า คาถาดีเท่าไหร่ก็เสื่อมหมด ฉะนั้นจงไปขอน้ำมนต์จากพระที่ท่านมาเจริญธรรมที่ถ้ำนะ เพราะศีลของท่านดี ท่านไม่ได้อยู่กับผู้หญิง ไม่ได้กินเหล้าสุรานารีอะไร
ยายคนนั้น คนแก่ ๆ ดำ ๆ สูง ๆ ก็เลยเอาขันน้ำมาหา แล้วว่า
"หลวงพ่อ ขอจงเมตตาช่วยเหลือข้าพเจ้าเถอะว้า ผีปอบกินลูกของอิฉันนะ คลอดบุตรใหม่ ๆ ผีมากินแล้ว"
ก็เลยทำน้ำมนต์ให้ ใช้คาถาธรรมพระไตรสรณคมน์นั่นแหละ ให้เอาไปกิน พอกินแล้วก็อาเจียนออกมาเลย นั่นแหละ ผีมันออกแล้ว
จากนั้น พวกนี้ก็กลับไปอยู่ตามถ้ำแคบ ๆ เล็ก ๆ ตามกอไม้กอหญ้าต่ำ ๆ จึงถามว่า
"ทำไมไม่ไปอยู่ในถ้ำใหญ่ ๆ ?"
เขาตอบว่า "ไปอยู่ไม่ได้นะท่าน เข้าไปแล้วมันร้อนเหมือนไฟ เพราะสมัยที่มีภพชาติเป็นมนุษย์โน้น พ่อแม่พี่น้อง ปู่ย่าตายายพากันนับถือผี เมื่อถึงฤดูกาลก็บวงสรวง เซ่นไหว้ผีหมอ ผีฟ้า ผีต่าง ๆ ทุกอย่าง น้อมเอาผีมาเป็นที่พึ่งทั้งนั้น แม้ว่านักปราชญ์จะป่าวร้องเชิญชวนให้เข้าวัดฟังธรรม จำศีล เจริญภาวนา สร้างถนนหนทาง สร้างน้ำบ่อก่อศาลาก็ไม่ยินดี ถือว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมีพอแล้ว ไม่อดไม่อยาก ไม่ยากไม่จน ใครยังไม่พอก็ทำไปเถอะ"
"นั่นแหละ ฆ่าวัว ฆ่าควาย กินเหล้ากินยา สุรานารี ไม่ถือผัวถือเมีย เสพกามกันไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่ว่าลูกเขาเมียใคร ไม่ถือกันทั้งนั้น ดังนั้น เมื่อตายแล้วพวกข้าพเจ้าจึงมาเกิดเป็นผีอยู่ที่นี่ ไปไหนมาไหนไม่ได้ ร้องไห้บ่นเพ้อละเมอใจ เป็นทุกข์ทรมาน หนอนเจาะของลับ น้ำเน่าไหล อาศัยอยู่ในถ้ำแคบ ๆ แสนทุกข์ยากลำบาก ครั้นเดือน ๔ เดือน ๕ ก็มีไฟไหม้ป่ามา ต้องขนข้าวของหนี ฉิบหายทุกปีแหละท่าน"
นั่นแหละ เคยเห็นแต่ผีปอบกินคน แต่นี่ ทำไมหนอ ผีจึงมากินผี จึงกำหนดถามพระธรรม ๆ ก็พูดขึ้นมาที่ใจว่า
"เจ้าอุ้มลุ่ม เจ้าผู้ตุ้มผ้าดำ แสนจะหนีไปลี้ภูเขา ถ้ำใหญ่ก็ดีถ่อน กรรมเวร เวรกรรม หากสินำซอกใช้ กินไส้บ่หร๋อเจ้าเอย"
(คนใจบาปหยาบช้า ถึงจะหลบหนีไปอยู่ที่ใด บาปกรรมก็จะตามไปสังหารให้เดือดร้อนอาทรใจเสมอ)

นั่นแหละ ไปเห็นมาอย่างนั้นแล้วก็สิ้นสงสัย คนที่มีนิสัยเคยถือผีถือสางคางแดงมาแต่ครั้งเมื่อเป็นมนุษย์ เมื่อตายไปก็ไปเกิดเป็นผีตกทุกข์ได้ยาก ถึงจะช่วยเหลือให้พ้นทุกข์ มันก็ไม่สนใจหรอก ควรที่จะมาขอรับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕ ก็ไม่มา นิสัยเคยถือผีสางอย่างนั้น ถึงจะพ้นทุกข์ได้ก็ไม่อัศจรรย์อะไรหรอก นี่แหละ โทษของการนับถือผีก็เป็นอย่างนั้น

นั่นแหละ ไปเห็นอย่างนั้นก็ได้ธรรมะ คือ คนที่นับถือผี เมื่อตายไปแล้ว ก็ไปเกิดเป็นผีอย่างนั้นแน่นอน จะไปมนุษย์หรือสวรรค์ไม่ได้ เพราะไม่มีศีลธรรมอันดีงาม มีแต่กรรมชั่วช้าลามก คือ โลภะ โทสะ โมหะฉาบทาจิตใจ ตายแล้วไปเกิดเป็นผีอย่างนั้น นั่นแหละ ก็ได้ความสังเวชสลดใจ ได้วิชาปัญญาความรู้


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19 กรกฎาคม 2009 23:45:24 โดย ~POOMZA~ » บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #234 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2009 22:56:53 »

เมื่อหลวงพ่อฤาษีลิงดำไปธุดงค์เจอคนลองของ
 
ก็ขอเลี้ยวไปจุดหนึ่ง เอาแค่เป็นจุด ๆ ก็แล้วกันนะ ตอนนั้นเข้าใจว่าเป็นจังหวัดขอนแก่นหรือจังหวัดสุรินทร์ อาจจะเป็นจังหวัดสุรินทร์ขอโทษด้วยนะ เพราะว่ามีต้นลานมาก ขณะที่ไปถึงดงลาน ก็ถามท่านอินทกะว่า ที่นี่จะปักกลดได้ไหม ท่านบอกว่า ที่ไหนก็ปักได้ ในเมื่อพวกกระผมคอยคุ้มครองท่านอันตรายย่อมไม่มี ก็ถามว่า ในเขตนี้จวนจะหมดเขตประเทศไทยหรือยัง ท่านก็บอกว่า ยัง ถ้าหมดเขตประเทศไทยต้องเดินไปอีกนานหน่อย

แต่ใกล้จะถึงแม่น้ำโขงอยู่แล้ว ก็เป็นอันว่า ปักกลดที่นั่น เมื่อปักกลดตอนกลางคืน ตอนนี้ไปเดี่ยว หลวงพ่อปานไม่ได้ไปด้วย ความจริงหลวงพ่อปานท่านพาไปด้านเชียงตุง อาตมาขอเลี้ยวไปด้านนี้ก่อน ในปีต่อมานะ

ก่อนที่จะปักกลด ก็ชุมนุมเทวดาบวงสรวงตามที่เคยปฏิบัติ แล้วก็อาบน้ำอาบท่ากันตามสบาย สิ่งที่พวกเราชอบใจมากก็คือ ช้าง ในเขตนั้นรู้สึกว่ามีช้างมาก ขณะที่กำลังปักกลดอยู่ ก็มีช้างโขลงหนึ่งประมาณ ๖๐ ตัว มายืนมองอยู่ ไกลประมาณสัก ๒๐๐ เมตร ไม่ห่างนัก แต่พวกเราก็มัวมุ่งอยู่กับการปักกลด ไม่ได้ไปสนใจช้าง ไม่รู้ว่าช้างมา พอหันหน้าไปเห็นเข้าช้างหัวหน้าโขลง ซึ่งเป็นช้างสีดอมีงาสั้นตัวใหญ่มาก คุกเขาลงยกวงขึ้นชูแสดงว่าทำความเคารพ ช้างทั้งโขลงก็ปฏิบัติตนเหมือนกันหมด ก็รวมความว่า เบาใจ

เมื่อปักกลดเสร็จก็ถามว่า พ่อปู่ คือ ย่าเคยบอกว่า ช้างนี่เขาชอบให้เรียกว่าพ่อปู่ ถ้าเรียกพ่อปู่ จะเป็นที่พอใจของเขามาก ถามว่าพ่อปู่ น้ำมีที่ไหนบ้าง ท่านสีดอท่านลุกขึ้น ท่านก็หันหน้าไปเดิน ๒-๓ ก้าว แล้วหันหน้ากลับมาใหม่ พวกเราก็เดินตามไป ท่านเดินนำไปข้างหน้าประเดี๋ยวหนึ่งก็ถึงหนองน้ำใหญ่ น้ำใสสะอาดมาก ท่านก็เอางวงชี้ว่า ที่นี่มีน้ำ ในเมื่อพวกเราเห็นน้ำแล้ว ก็อาบน้ำสรงน้ำกันแบบสบาย ๆ บรรดาช้างทั้งหลายก็มายื่นล้อมบ่อหันหน้าออกทั้งหมด แสดงว่าที่นั่นยังมีอันตรายมาก เพราะเป็นป่าทึบอาบน้ำเสร็จก็ขอบใจท่าน ท่านก็เดินทางกลับ พวกเราก็เข้ากลด

ตอนเข้ากลดนี่บรรดาท่านพุทธบริษัทก็นั่งกรรมฐานกันตามธรรมดา ๆ อย่าลืมว่าพวกเราไม่ใช่พระอริยเจ้า จะเป็นพระอะไรนั่นไม่สำคัญ เป็นพระธุดงค์ก็แล้วกัน ความกลัวถามว่า มีไหม ก็ต้องตอบว่า ทุกคนถ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์ ต้องกลัว ถ้าไม่มีความกลัว ก็ต้องเป็นพระอรหันต์ ก็ไม่ต้องไปธุดงค์ การไปธุดงค์ก็เป็นการฝึกเพื่อทำลายกิเลสแต่ว่าจะทำลายได้ขนาดไหนก็เป็นเรื่องของจิตใจ

เมื่อปักกลดไปแล้ว กลางคืนนั่งกรรมฐาน ปรากฏว่าเวลาประมาณตี ๒ มีนกใหญ่ตัวหนึ่งบินมาเกาะที่ยอดกลด ก็รู้สึกแปลกใจว่า ตามธรรมดานกอะไรจะมาตอนเวลาตี ๒ จะว่าเป็นนกแร้งก็ไม่ใช่จะว่าเป็นนกกระเรียนก็ไม่ใช่ จะเป็นเหยี่ยวก็ไม่ใช่แน่ เพราะโตกว่าเหยี่ยวมาก ก็มีความเข้าใจว่า ที่นี่มีไสยศาสตร์มาก จึงถามท่านอินทกะว่า นกนั่นคืออะไร

ท่านก็บอกว่า หนังควาย เขาทำมาเพื่อให้เข้าตัวพวกท่าน แต่ผมกันไว้ ถ้าท่านอยากรู้ ก็เอาไม้แหลม มันมีไม้แหลมเล็ก ๆ อยู่ ๒-๓ อัน สำหรับไว้แคะเล็บบ้าง อะไรบ้าง เพราะมีมีดไปไม่ได้ก็แทงทะลุกลดขึ้นไปถูกนก นกก็กลายเป็นหนังควายผืนใหญ่ หล่นลงมา เป็นอันว่าอีก ๒ กลดก็เหมือนกัน เขาก็ถูกนกจับเหมือนกัน พร้อม ๆ กัน เขาก็ทำแบบเดียวกัน เขาก็ถามท่านอินทกะเหมือนกัน

พอตอนเช้า ก็ไม่ทราบว่าที่นั่นใกล้บ้าน เพราะเป็นป่าทึบ บังเอิญเป็นเขตใกล้บ้าน กำลังจะออกบิณฑบาตกับต้นไม้ ท่านอินทกะก็บอกว่าไม่ต้องบิณฑบาตกับต้นไม้ เพราะว่าที่นี่ประเดี๋ยวคนจะมาทำบุญ ก็ถามท่านว่า คนเขารู้ได้อย่างไรว่า คณะของเรามา ท่านบอกว่าไม่เป็นไร พวกผมบอกเขาเอง เขาอยู่ใกล้ ๆ แถบนี้ ให้รับบุญรับกุศลกับเขาหน่อยหนึ่ง แล้วท่านจะรู้ว่า เมื่อคืนนี้ที่นกบินมา นั่นคือใคร ใครเป็นคนทำให้นกบินมา แต่ความจริงไม่ได้ตั้งใจจะบิน ตั้งใจจะเข้าตัว ถ้าเข้าตัวก็หมายถึงตายทันที เพราะหนังควายผืนใหญ่

ก็นั่งรอคนไม่ไปบิณฑบาต คนเขาก็นำอาหารมา พวกเราทั้ง ๓ คน ก็เอาหนังควายที่ได้เมื่อคืนนี้ มารองนั่งเป็นพรมรองนั่ง แต่ว่าคนที่มาก่อนคณะอื่นทั้งหมด ก็มีคนแต่งตัวดี ๒ คน นุ่งขาว ห่มขาว ท่าทางเรียบร้อย มีข้าวสุกสีขาวมาก และมีต้มยำพุงกับไข่ปลา ไม่เป็นอาหารของภาคอีสาน เป็นอาหารของภาคกลาง แต่คนอื่นทั้งหมดแต่งตัวรุงรังมากกว่า แต่ใช้อาหารของภาคอีสาน มีข้าวเหนียว แล้วก็มีปลาร้า ปลาจ่อม และมีส้มตำ เป็นต้น เอามาถวายคณะที่นั่งฉันข้าว ท่านเจ้าของข้าวก็บอกว่า ท่านเป็นพระภาคกลาง นิมนต์ฉันข้าวเจ้าครับ ผมนำมาถวายข้าวสวยมาก นิมนต์ฉันต้มยำ

ทั้ง ๓ องค์ ก็มองดูหน้ากัน สงสัยว่าคน ๒ คนแต่งตัวเรียบร้อยมาก ลีลาดีกว่าคนอื่นทั้งหมดก็ถามท่านอินทกะ อินทกะท่านบอกว่า ไอ้เจ้า ๒ คนนี่แหละ ที่มันทำให้นกมาจับบนหลังคากลด พุงปลากับไข่ปลาก็ฉันไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นหนาม หนามผูกไขว้กันไว้ ถ้าฉันเข้าไปลำไส้จะทะลุ เอาวางไว้เฉย ๆ ก่อน แล้วก็ฉันอาหารของคนอื่น เมื่อฉันอาหารของคนอื่นเสร็จ ท่านอินทกะก็บอกว่า ให้ตั้งนะโม ฯ ๓ จบ ว่า อิติปิโสฯ ๑ จบ นึกถึงคุณพระพุทธเจ้า

ขอย้อนหลังไปนิดหนึ่ง ขณะที่นั่ง ๆ อยู่ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ไอ้หนังที่รองนั่งมันค่อย ๆ เล็กมาทีละน้อย ๆ จนกระทั่งถึงเข่า ท่านอินทกะก็เตือนบอกว่า นี่มันเริ่มทำแล้วนะ จะให้หนังเข้าตัว เอาน้ำสำหรับจะฉันมาพรมซิ ก็พรมน้ำลงไป ปรากฏว่าหนังยืดไปตามเดิม เมื่อฉันอิ่มเสร็จ ท่านอินทกะก็บอกว่า เอาน้ำที่ฉันนี่ไปพรหมข้าว พอพรมข้าว รู้สึกว่าข้าวเป็นทรายทั้งหมด พอพรมต้มยำ ต้มยำก็เป็นน้ำธรรมดา มีหนามผูกไขว้ คนทั้งหลายพอเห็นเข้าอย่างนั้น ก็เข้าใจว่า คน ๒ คน ที่ทำมาเพื่อจะฆ่าพระธุดงค์ เขาถือว่า ถ้าพระธุดงค์ได้เป็นความดีมาก เป็นคนเก่ง ชาวบ้านต่างคนก็ต่างโกรธจะทำร้ายร่างกายสองคนนั่น อาตมาก็เลยขอร้องบอกว่า อย่าทำร้ายเขาเลยเป็นเรื่องของกฎของกรรม ตามธรรมดา พระธุดงค์ต้องมีของป้องกันตัวเป็นของธรรมดา

เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายโดยทั่วหน้า เสียงก็แห้งเต็มที วันนี้เวลาหมดเสียแล้ว ขอยุติแต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธ ศาสนิกชนผู้รับฟัง และผู้อ่านทุกท่าน สวัสดี





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19 กรกฎาคม 2009 23:45:36 โดย ~POOMZA~ » บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #235 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2009 22:58:24 »

นัยน์ตาอาถรรพณ์
 
"นรินทร์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากพรพิเศษของตัวเอง

หลายๆ คนเชื่อว่าตัวเองมีสัมผัสพิเศษ หรือเป็นพรสวรรค์เหนือกว่าเพื่อนมนุษย์ทั่วๆ ไป เช่น รู้ล่วงหน้าว่าใครจะมาหา หรือคิดว่าจะมีโชค-มีเคราะห์ แล้วสิ่งนั้นก็เกิดขึ้นจริงๆ บางคนแค่ได้แตะเนื้อต้องตัวใครก็รู้แล้วว่าคนๆ นั้นกำลังคิดอะไรอยู่ ยิ่งกว่านั้นก็คือได้ล่วงรู้เบื้องหลังเขาจนหมดสิ้น ว่ามีความลับอะไรบ้างที่ปกปิดซ่อนเร้นอยู่

คนเราย่อมมีความลับทุกคนน่ะแหละครับ บางคนก็มากกว่าหนึ่งอย่าง!

เพื่อนผมคนหนึ่งแปลกประหลาดกว่าใครๆ ตรงที่...ถ้าเขาคิดถึงญาติมิตรคนไหนที่ไม่ได้พบปะหรือติดต่อกันนานๆ แล้วเกิดโทรศัพท์ไปหา...แค่ไม่เกิน 3 วัน 7 วัน คนที่เขาโทรศัพท์ไปคุยด้วยนั้นจะล้มตายไปดื้อๆ

ตายด้วยอุบัติเหตุก็มี เจ็บไข้ได้ป่วยจนเสียชีวิตกะทันหันก็มี

ผมเองก็มีพรพิเศษที่น่าสยองเหมือนกันครับ!

ถ้าผมได้พบเห็นคนที่รู้จักโดยบังเอิญ โดยเฉพาะญาติมิตรที่ห่างหายไม่ได้พบปะกันนานๆ เพราะแยกย้ายกันไปบ้าง อยู่ห่างไกลกันบ้าง ทั้งๆ ที่อาจจะติดต่อกันได้ง่ายๆ ทางโทรศัพท์ แต่ต่างคนก็ต่างวุ่นด้วยกิจธุระของตัวจนไม่ได้พบหน้า หรือแม้แต่พูดคุยกันทางโทรศัพท์...ไม่ช้าจะได้ข่าวว่าเขาตายแล้ว

เย็นหนึ่ง ผมกำลังเดินจากแผงขายหนังสือจะเข้าซอยบ้าน ก็เหลือบไปเห็นรุ่นพี่คนหนึ่งชื่อวิชิต เคยทำงานอยู่ด้วยกันแถวถนนราชดำเนิน เมื่อราว 5-6 ปีก่อนเขาโดนย้ายไปอยู่เพชรบุรี...และตั้งแต่นั้นเราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย

ผมเห็นพี่วิชิตขับรถผ่านไปช้าๆ มีสาวสวยนั่งเคียงข้าง...ไม่มีพี่วลัย-ภรรยาเขาแน่ๆ ผมร้องเรียกชื่อพี่วิชิตดังๆ จนมีคนหันมามอง แต่รถที่ติดแอร์ปิดกระจกมิดชิดทำให้เขาไม่ได้ยิน ผมวิ่งเหยาะๆ เข้าไปด้วยอารามดีใจ...จังหวะเดียวกับที่มีสัญญาณไฟเขียว พี่วิชิตเร่งรถแล่นปราดออกไปทันที

คิดว่าผมคงเห็นเขาข้างเดียว แต่เขาไม่เห็นผมแน่ๆ

วันรุ่งขึ้นก็เห็นข่าวในทีวีว่าพี่วิชิตเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำแถวมหาชัย เสียชีวิตคาที่พร้อมกับเพื่อนสาวที่นั่งเคียงข้างอยู่ด้วย!

อ๋อ! ผมไม่ได้เห็นผีหรอกครับ เพราะดูตามเวลาที่ผมพบพี่วิชิตน่ะ เขายังไม่ตาย

ลุงไสว-คนในซอยบ้านผมนี่เอง ระยะหลังๆ ไม่ได้พบปะกันปีเศษ วันดีคืนดีผมเห็นแกเดินในห้างสรรพสินค้าแถวลาดพร้าว ผู้คนคึ่กๆ โดยเฉพาะหนุ่มสาวค่อนข้างหนาตา ผมเห็นลุงไหวยืนอยู่หน้าบูธขายมือถือ มีสาวสวยเป็นพรีเซ็นเตอร์ หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ชอบไปมุงดู ส่วนมากจะซักถามแบบเจ๊าะแจ๊ะกับเด็กสาวๆ หน้าตาสะสวยมากกว่าจะคิดซื้อของ ลุงไหวเองก็เพิ่งจะ 50 เศษ หน้าตายังมีเค้าหล่อเหลาแบบหนุ่มใหญ่

คราวนี้ผมไม่ได้เรียก แต่เดินแหวกคนเข้าไปหา...เชื่อมั้ยครับ? เมื่อตะกี้ยังเห็นลุงไหวยืนจีบเด็กอยู่แท้ๆ แต่ตอนนี้แกหายไปไหนก็ไม่รู้?

เด็กสาวคนนั้นกำลังยิ้มแย้มกับคุณลุงอายุใกล้ 60 อีกคน ผมชักงง ได้แต่เหลียวแลไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นลุงไหว...นอกจากด้านหลังไวๆ ที่เดินห่างออกไป เกือบจะวิ่งตามไปเรียกแกอยู่แล้ว...แต่เพื่ออะไรล่ะครับ?

ผมเลิกสนใจ...จนอีก 2-3 วันต่อมาก็ได้ข่าวว่าลุงไหวหัวใจวายไปแล้ว!

บอกตรงๆ ว่าผมชักสยอง...จนกระทั่งวันหนึ่งผมไปซื้อของที่อ.ต.ก. ตอนบ่ายๆ ขากลับออกมายืนรอแท็กซี่ พอดีเห็นครูสมศรีนั่งรถเมล์ผ่านไปช้าๆ เหมือนภาพสโลว์โมชั่น...

เธอเคยสอนลูกชายผมตอนเรียนอนุบาลเมื่อ 3 ปีก่อน เราสนิทสนมกันพอสมควร ครูสมศรีเป็นคนหน้าตาดี ผิวขาว รูปร่างสมส่วน เท่าที่รู้ก็คือเธอยังโสด แต่เห็นมีหนุ่มๆ มารอรับหน้าโรงเรียน บางวันมีหนุ่มขับรถเก๋งมารับตัดหน้าไปก่อนก็มี

ครูสมศรีนั่งริมหน้าต่าง ดูเหมือนเธอจะหันมาทางผมแว่บหนึ่ง...แล้วรถเมล์ก็แล่นห่างออกไป...

อาทิตย์นั้นเองก็มีข่าวครูสาวถูกแทงตาย หมกศพไว้ในห้องพักแถวลาดพร้าว! ตำรวจสันนิษฐานว่าฆาตกรคงจะเป็นคนที่ผู้ตายสนิทสนม อาจจะเป็นคนรักที่เกิดความหึงหวงจนมีปากมีเสียงกัน แล้วฝ่ายชายก็ใช้อาวุธมีดแทงครูสมศรีจนเสียชีวิต ก่อนจะเก็บทรัพย์สินไปเพื่ออำพรางคดี

ผมนึกทบทวนเรื่องเก่าๆ แล้วขนหัวลุกเกรียวกราว...

นี่แปลว่าผมมีสัมผัสพิเศษ...พรสวรรค์หรือครับ? ความจริงน่าจะเรียกว่าพรนรกมากกว่า!

จนกระทั่งค่ำหนึ่ง ผมลงรถเมล์ที่หน้าแผงขายหนังสือพิมพ์ ลมพัดอู้ๆ เหมือนจะมีฝนกระหน่ำลงมา เศษกระดาษปลิวว่อน ผู้คนจ้ำอ้าวจนแทบจะชนกัน ผมเองก็รีบร้อนมุ่งหน้าไปทางปากซอย...ขณะนั้นเองผมก็เห็นวันชัยเข้าพอดี...

ญาติห่างๆ อายุใกล้ 40 ทำงานไม่เป็นหลักเป็นแหล่ง สนใจกับเรื่องเที่ยวเตร่และสุรานารีมากกว่า เราไม่ได้ติดต่อกันมาหลายปีแล้ว วันชัยย้ายไปอยู่ที่เชียงรายกับครอบครัวที่มีอาชีพค้าขายเมื่อราว 4-5 ปีก่อน...ว่าแต่เขามาทำธุระอะไรที่กรุงเทพฯ โดยไม่บอกกล่าว?

หันไปมองก็เห็นหลังไวๆ ก่อนจะลับไปในแสงไฟ ลมพัดแรงทำให้ผมรีบเลี้ยวเข้าซอยบ้าน...นึกสังหรณ์ว่าจะเป็นลางร้ายอีกหรือเปล่า?

พริบตานั้นเอง! ซอยแคบๆ ที่สว่างไสวก็พลันดำมืด ความหนาวเย็นจู่โจมเข้าจับต้นคอ ก่อนจะแล่นซ่านไปตามไขสันหลัง ปากคอแห้งผาก แข้งขาอ่อนเปลี้ยจนแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงก้าวต่อไป เมื่อนึกได้ว่า...ปีกลายนี้เองมีข่าวว่าวันชัยเป็นมะเร็งตับตายเสียแล้ว...

ผมติดงานจนไม่ได้ไปงานศพเขา แต่วันชัยก็โผล่มาหาจนได้...ขนหัวลุกนะซีครับ!







ข้อมูลจาก :ข่าวสด
 
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #236 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2009 22:58:46 »

ข้างเมรุลอย
 
"แสนคม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากที่ราบสูง

คนกรุงเทพฯ ส่วนมากชอบกล่าวหาว่า คนบ้านนอกโง่เง่า เปิ่น เชย อย่างที่เคยมีสำนวนสมัยก่อนว่า "เปิ่นเทิ่นมันเทศ" อันหมายถึง "บ้านนอกขอกตื้อสะดือจุ่น" ไม่เฉลียวฉลาดหรือคล่องแคล่วปราดเปรียวเหมือนคนกรุงเทพฯ

หนักกว่านั้น ก็คือหาว่าคนบ้านนอกงมงาย นับถือบูชาสิ่งไร้สาระ เช่น ทุ่งนาป่าเขา ต้นไม้ แม่น้ำ กับเชื่อมั่นในเรื่องภูตผีปีศาจว่ามีอยู่จริงๆ แถบบันดาลโชคเคราะห์ต่างๆ ให้ได้อีกต่างหาก

เรื่องตลกที่หัวเราะไม่ออกก็คือ...คนกรุงเทพฯ ที่ว่าน่ะส่วนหนึ่งมีพื้นฐานดั้งเดิมอยู่ที่ต่างจังหวัดแท้ๆ

ผมเป็นคนบ้านนอกที่มาอยู่ในกรุงเทพฯ เพื่อเรียนหนังสือ จบแล้วก็ทำงานอยู่ที่นี่แหละ แต่ไม่ลืมบ้านเกิดเหมือนพี่น้องหมู่เฮาคนอื่นๆ ตรุษทีสงกรานต์ทีได้พักยาวก็แห่กันกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ พี่น้อง ได้เห็นหน้ากันก็ดีอกดีใจ สนุกสนานกันในหมู่ญาติมิตร...จนกว่าจะหมดเวลา ต้องกลับมาทำงานในกรุงเทพฯ ต่อไป

พวกผมเชื่อเรื่องผีๆ สางๆ ครับ!

ภาคอีสานหน้าหนาวน่ะมันหนาวจริงๆ ใครไม่เคยอยู่ตามหมู่บ้านชนบทอย่างผมน่ะไม่รู้หรอก ยิ่งตอนกลางคืนลมหนาวมันกรูเกรียวมาจากป่าเขา ซอกซอนเข้ามาตามร่องเล็กรูน้อยของฝาบ้าน เหมือนจะล่อนกระดูกออกมานอกเนื้อ หลายๆ บ้านต้องลงมาก่อไฟกันที่ลานหน้าบ้านตั้งแต่ตกเย็นก็มี

ไม่มีหนังมีละคร ไม่มีบาร์คาราโอเกะ อย่างดีก็วิทยุหรือทีวีเก่าๆ พอแก้เซ็ง แต่ถ้าหนาวนักก็ทิ้งมันลงมาหากองไฟดีกว่า

หนาวจนแข็งตายก็มีนะครับ อย่าทำล้อเล่นกับความทุกข์ของคนไกลกรุงไปเชียว

พวกคนแก่กับเด็กๆ มักจะตกเป็นเหยื่อ เพราะร่างกายอ่อนแอ...อ้าว? ใครถามถึงผ้าห่มกันหนาวขึ้นมา แถมบ่นว่าทำไมต้องแจกกันทุกปี หนาวทีแจกที! ที่แจกเมื่อปีกลายปีก่อนหายไปไหนหมด? กินผ้าห่มต่างข้าวรึไง?

บาปปาก! อย่าลืมว่าเมื่อหนาวมากกว่าภาคกลาง ก็ต้องอาศัยผ้าห่มแก้หนาว บางบ้านน่ะทั้งพ่อแม่กับลูกๆ ต้องเข้าไปขดงอก่ออยู่ในผ้าห่มผืนเดียวกัน คนนั้นดึงทีคนนี้ดึงที จะไม่ให้ผ้าห่มเปื่อยขาดเร็วกว่าพวกท่านๆ ที่นอนหลับอุตุอยู่ในห้องแอร์เย็นฉ่ำได้ยังไง?

ได้รับแจกบ้านละผืนมาห่มได้ทั้งปีก็บุญกุศลเหลือหลายแล้วละครับ

เพราะอากาศหนาวมาก กับผ้าห่มมีน้อยนี่เอง ที่ทำให้ผมต้องประสบกับเรื่องขนหัวลุกเข้าเต็มเปา!

เมื่อต้นปี 2550 นี้เอง ลมหนาวโหมกระหน่ำหนักกว่าตอนเดือนธันวาคมด้วยซ้ำ ผมกลับไปเยี่ยมบ้านเทศกาลปีใหม่ กะว่าจะกลับอยู่แล้วเชียว พอดีได้ข่าวว่าเจ้าขาบ-ลูกชายป้าคำหนาวตายอยู่ข้างๆ กองไฟหน้าบ้านนั่นเอง

ป้าคำอายุต้น 40 แต่หน้าตาเหมือนคนใกล้จะ 60 ปี ผัวแกไปรับจ้างทำงานที่โคราชแล้วพลัดตกจากรถกระบะขนสินค้าลงมาตาย...ถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือ "ตายในหน้าที่" แต่บ้านเมืองเราไม่ค่อยสนใจไยดีเรื่องพวกนี้หรอกครับ ยิ่งไม่ได้เป็นลูกจ้างประจำ ไม่มีประกันสังคม ก็อย่างที่เขาพูดๆ กันน่ะแหละ

"คนจนตายไปคนก็เหมือนตายไปตัวหนึ่ง ใครเขาจะสนใจล่ะ?"

เถ้าแก่ใจดีมาก เพราะมอบเงินทำศพให้ป้าคำมาตั้งหนึ่งหมื่นบาท ผู้คนสรรเสริญเยินยอกันทั้งนั้น...แถมออกเงินค่าขนศพกลับไปเผาที่บ้านเกิดอีกต่างหาก ป้าคำก็ได้อาศัยเงินก้อนนั้นใช้หนี้เขากับเลี้ยงดูเจ้าขาบ-ลูกชายคนเดียววัย 4-5 ขวบมาได้เกือบปี

เงินทองใกล้จะหมด ป้าคำเที่ยวหารับจ้างใครก็ไม่ค่อยได้ เพื่อนบ้านส่วนมากก็ชักหน้าไม่ถึงหลังกันทั้งนั้น...ทั้งบ้านมีผ้าห่มผืนเดียว สองแม่ลูกสู้ลมหนาวไม่ไหว ต้องลงมาก่อไฟผิงกันหน้ากระต๊อบ

คืนเกิดเหตุ พวกเราที่มาจากกรุงเทพฯ เอาอาหารกับขนมไปให้สองแม่ลูก บางคนก็ควักให้คนละร้อยครึ่งร้อย บ้านไหนมีเสื้อผ้าเก่าๆ ก็แบ่งปันกันไป เจ้าขาบได้เสื้อยืดสีแดงปกปิดหน้าอกผอมกงโก้...แต่ตกกลางคืนก็สู้หนาวไม่ไหว ต้องลงมาผิงไฟกันตามเคย

รุ่งเช้า ป้าคำพบว่าลูกชายนอนตัวแข็งทื่อที่อยู่ในอ้อมอกแกเสียแล้ว!

แกคงร้องไห้มาตั้งแต่ผัวตายจนหมดแรง ได้แต่กอดศพลูกน้ำตาไหลรินเงียบๆ จนหลายคนเบือนหน้าหนี แว่วเสียงเครือพร่าปนสะอื้น...อยู่กับแม่นะขาบเอ๊ย! มาหาแม่มา...ฟังแล้วเล่นเอาขนหัวลุกไปตามๆ กัน

กระทั่งเพื่อนบ้านช่วยกันหาโลงมาใส่ศพป้องกันอุจาด กับนิมนต์พระมาสวดศพให้เจ้าขาบไปสู่สุคติ...แล้วออกไปที่ลานโล่งหลังโบสถ์ใกล้ป่าละเมาะ ช่วยกันขนฟืนมาก่อเมรุลอยเพื่อเผาศพเด็กน้อยตามมีตามเกิด

เปลวไฟโชติช่วงร้อนแรง ควันสีเทาลอยโขมงก่อนโดนสายลมแรงจนหมุนวน...กระจัดกระจายไปในท้องฟ้ามัวครึ้ม เช่นเดียวกับชาวบ้านก็ทยอยกันกลับ แม่ผมไปฉุดป้าคำที่นั่งเหม่ออยู่กับพื้นดิน แกก็ลุกขึ้นมาอย่างงุนงง มีญาติ 2-3 คนช่วยประคองออกเดินเลาะข้างโบสถ์เพื่อกลับบ้าน

ทันใดนั้นเอง ป้าคำก็หันขวับ...พวกเราหันตามเพราะรู้ดีว่าแกยังอาลัยอาวรณ์ลูกชายที่กำลังจะกลายเป็นเถ้าถ่าน เห็นป้าคำเบิกตา ยิ้มแป้นเป็นครั้งแรกตั้งแต่เจ้าขาบตาย!

"มาหาแม่มา...ขาบเอ๊ย! กลับบ้านกันเถอะลูก...โธ่! แม่นึกว่าเอ็งจะปล่อยให้แม่กลับบ้านคนเดียวซะแล้วซี"

เสียงพูด เสียงหัวเราะเริงร่าของป้าคำดังบาดลึกไปถึงหัวใจของทุกคนที่ได้ยิน...แถมขนลุกเกรียวกราวไปทั้งตัว!








ข้อมูลจาก : ข่าวสด
 
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #237 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2009 23:00:38 »

คืนหนึ่งที่อยุธยา!
 
"ครูเล็ก" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อพาเด็กไปทัศนศึกษา

ดิฉันเป็นครูของเด็กนักเรียนระดับประถม โรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ นี่ล่ะค่ะ เหตุการณ์ขนหัวลุกที่จะเล่านี้ เกิดขึ้นเมื่อดิฉันต้องดูแลเด็กๆ ไปเข้าค่ายที่อยุธยา

โรงเรียนดังกล่าวนี้เป็นโรงเรียนแบบสองภาษา ค่าเล่าเรียนค่อนข้างสูง แถมยังมีการสอนพิเศษอื่นๆ เพื่อเพิ่มทักษะให้กับนักเรียนให้ดีที่สุด เช่น ว่ายน้ำ, คอมพิวเตอร์, บัลเลต์ แต่ละคอร์สนั้นมีค่าใช้จ่ายคนละหลายพัน เช่นเดียวกับการออกไปทัศนศึกษานอกสถานที่ ซึ่งแต่ละครั้งผู้ปกครองต้องจ่ายไม่ต่ำกว่าห้าพันบาท

ที่บอกมานี้ไม่ได้อวด หรือทำให้ท่านผู้อ่านขนหัวลุกกับค่าใช้จ่ายนะคะ!

สมัยนี้ก็แบบนี้ล่ะค่ะ ดิฉันเพียงแต่จะให้เห็นภาพว่าสิ่งแวดล้อมโดยรวมของโรงเรียนและลูกศิษย์ตัวน้อยนั้น ทุกอย่างต้องชั้นหนึ่งเสมอ

การพาเด็กไปเข้าค่ายทุกครั้ง เราก็ไม่ได้พาเด็กไปนอนกลางดินกินกลางทรายตามค่ายพักแรมทั่วๆ ไปนะคะ แต่เราไปเหมาชั้นของโรงแรมระดับสี่ดาวขึ้นไป ผู้ปกครองจะตามไปดูก็ได้ค่ะ และทุกท่านพอใจมากในการที่เห็นลูกๆ ได้อยู่สบายและปลอดภัยที่สุด...ลูกศิษย์ดิฉันนอนห้องแอร์ ตื่นเช้าก็กินเบรกฟัสต์อย่างดี และขึ้นรถทัวร์ไปทัศนศึกษา

การพาเด็กไปเข้าค่ายคราวนี้ เราไปถึงสุโขทัยแน่ะค่ะ เด็กๆ สนุกมาก ขากลับเข้ากรุงเทพฯ เราก็ค้างที่อยุธยากัน 2 คืน

โรงแรมหรูที่อยุธยานี่สะดวกสบายมากค่ะ เราให้เด็กนอนห้องละ 3-4 คน โดยแยกเด็กหญิงกับเด็กชาย รวมเด็กทั้งหมดร้อยคนเศษ เป็นเด็ก ป.4 กำลังน่ารักทั้งนั้น

คืนแรกที่ไปถึง เด็กๆ ตื่นเต้นสนุกสนาน แม้จะเดินทางไกลกลับมาจากสุโขทัยก็ตาม พวกเขามีพลังเหลือเฟือจริงๆ พวกครูๆ สิคะชักจะเหนื่อยแล้วล่ะ แต่พอเห็นสีหน้าท่าทางของเด็กๆ แล้วเราก็ชื่นใจหายเหนื่อย

ราว 4 ทุ่ม ดูแลความเรียบร้อย พาลูกศิษย์เข้านอนครบทุกคน น่าสังเกตว่าเด็กๆ ส่วนใหญ่นอนหัวค่ำ ราว 3-4 ทุ่มแกก็ง่วงกันแล้วค่ะ ทำให้งานของครูๆ เบาลงเยอะเชียว

ดิฉันอยู่ในบรรยากาศที่น่าสบายใจมาก หลังจากไปเซย์ กู๊ดไนต์กับเด็กทุกห้องแล้ว ดิฉันก็กลับมานอนกับลูกศิษย์ 3 คน ในห้องพัก ที่อยู่ในช่วงกลางของห้องทั้งหมดในฟลอร์นั้น

ห้องนี้ก็อยู่หน้าลิฟต์พอดีเป๊ะ!

เมื่อเด็กๆ หลับกันหมดแล้ว ดิฉันก็เขียนรายงานประจำวันอีก 2-3 หน้าจากนั้นก็อาบน้ำแล้วปิดไฟนอน

กลางดึกสงัด และเสียงเบาๆ ของเครื่องปรับอากาศ ดิฉันลืมตาขึ้นในความมืด หูแว่วเสียงเด็กจำนวนมากมาเล่นกันอยู่ที่หน้าห้อง...มันเป็นเสียงเจี๊ยวจ๊าวราวกับพวกแกกำลังสนุกสนานกันสุดขีด สงสัยว่าจะวิ่งเล่นไล่จับกันมั้ง นั่นน่ะ?

ดิฉันนอนนิ่ง ลืมตาโพลง ท่านผู้อ่านคงจะเห็นใจดิฉันนะคะ ว่าคนเพิ่งตื่นใหม่ๆ 2-3 วินาทีแรกมันมึนงงน่าดูเลย จับต้นชนปลายไม่ถูกทีเดียว...หลังจากนั้น สติก็เริ่มมา...

ดิฉันขนลุกซ่า...มันอะไรกันนี่? เป็นไปไม่ได้แน่!

ขณะผุดลุกขึ้นนั่ง เสียงหัวเราะเฮฮาของเด็กๆ หน้าห้องก็ยังได้ยินอยู่อย่างชัดเจน...เป็นเด็กธรรมดาๆ นี่ล่ะค่ะ ลองนึกภาพตามมานะคะ...เสียงนั้นไม่ผิดอะไรกับเด็กสักสิบคนมาวิ่งเล่นกันจริงๆ แต่ดิฉันก็ตระหนักดีว่ามันเป็นไปไม่ได้...ยิ่งเมื่อหยิบนาฬิกาขึ้นมาดูและพบว่าเป็นเวลาตี 2 ดิฉันก็ยิ่งขนลุก แต่เสียงที่เหมือนมนุษย์ธรรมดาๆ ทำให้ดิฉันชักลังเล

เอ...รึว่าลูกศิษย์แสนซนจะนอนไม่หลับเลยลุกมาวิ่งเล่นกัน แต่...มันเป็นไปไม่ได้!

ไม่รู้อะไรมาดลใจ ดิฉันลุกขึ้นอย่างไม่ค่อยรู้ตัวนัก แล้วเดินไปที่ประตู...หลังจากชะงักอยู่อึดใจ ดิฉันก็ปลดโซ่ ปลดล็อก เปิดประตูออกดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นข้างนอกนั่น?

คุณพระช่วย! ดิฉันเย็นวาบไปทั้งร่าง คิดว่าจะเจอแต่ความว่างเปล่า...แต่ไม่ใช่ค่ะ! มีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งอยู่ที่หน้าห้อง เธอนุ่งผ้าถุงสีแดง ใส่เสื้อคอกระเช้าสีขาวสะอาด ผมสั้นแค่หูเหมือนเด็กนักเรียน...

เธอกำลังกระโดดเชือกเล่นอยู่คนเดียว และหันหลังให้ดิฉันด้วย

ไม่ต้องเดาหรอกค่ะ เห็นแค่นั้น...ดิฉันก็รู้ว่าผี!!

ทันใดที่ดิฉันนึกถึงคำว่า "ผี" เด็กน้อยก็หยุดกึก ยืนนิ่ง มือทั้งสองที่แต่ละข้างถือปลายเชือกห้อยอยู่ข้างตัว และแล้ว...เธอก็ค่อยๆ หันมา...หันมาแต่ ส่วนไหล่และช่วงลำตัวยังนิ่งสนิท เธอหันเหมือน ลินดา แบลร์ ใน "เอ็กโซซิสต์" ยังไงยังงั้น

ใบหน้าเธอสะสวยน่ารัก และเธอยิ้มให้อย่างแจ่มใสที่สุด แต่ดิฉันหน้ามืด วูบไปเลยค่ะ

เป็นอันรู้กันว่าดิฉันเหนื่อยจนลมจับกลางดึก ขณะจะมาตรวจความเรียบร้อยของเด็กๆ อีกรอบ มีเพื่อนครูของดิฉันไม่กี่คนที่รู้ความจริง...ความจริงที่น่าขนหัวลุกที่สุดค่ะ!

 
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #238 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2009 23:00:56 »

จระเข้ผีสิง
 
ครูประสงค์ ลี้สุวรรณ เล่าประสบการณ์สยองจากจระเข้กินคน

เหตุการณ์น่าขนหัวลุกเรื่องนี้เกิดขึ้นที่ตำบลหลักแก้ว อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง นานมาแล้ว แต่ชาวบ้านยังจดจำเรื่องราวน่าสยดสยองที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี

"ตุ้ม! ตู้ม! ตู้มมมม...." เสียงพลองดังระรัวไปทั่วหมู่บ้านคลองพูล ชาวบ้านชะงักมือจากงานนิดหน่อยเมื่อได้ยินสัญญาณอันคุ้นหู ก่อนจะเร่งมือในการงานมากขึ้นกว่าเดิม

ขณะนั้น ผู้คนทั้งชายและหญิงยังอยู่ในท้องทุ่ง ใต้ผืนฟ้าสีครามโล่งกว้าง หาผักหาปลาตามประสาบ้านทุ่ง ก่อนจะผละงานกลับสู่บ้านเพื่อกินข้าวกินปลาให้อิ่มหนำ ไม่ช้าก็จะต้องกลับไปคร่ำเคร่งกับงานหนักให้สำเร็จ

ปีนั้นน้ำท่วม อยู่ในระดับค่อนข้างสูงเกือบถึงรอดเสาเรือนเลยทีเดียว เรือเล็ก เรือใหญ่ไม่สามารถจอดใต้ถุนบ้านได้ มองไปทั่วทุ่งท่าแล้วดูเวิ้งว้างเหมือนกลายเป็นท้องทะเลอันน่ากลัว แต่ชาวบ้านย่านนี้ก็เคยชินกับภัยธรรมชาติเช่นนี้เสียแล้ว จึงไม่สู้จะรู้สึกเดือดร้อนเท่าไรนัก

หลังจากพระฉันเพลเสร็จแล้ว เด็กวัดต่างยกสำรับกับข้าวไปกินกันเป็นกลุ่มๆ ตามสมัครพรรคพวกของแต่ละกลุ่มที่ถูกคอกันจริงๆ

"เฮ้ย! กรุ่น...เดี๋ยวพอกินข้าวเสร็จแล้ว ไปเล่นน้ำหน้าวัดกันไหมวะ?"

เจ้าโผนถามเจ้ากรุ่นเพื่อนรัก นัยน์ตาเป็นประกายนึกสนุกตามประสาเด็ก เสียงคนอื่นๆ ร้องเฮขึ้นพร้อมกัน...เป็นอันว่าทุกคนในวงกินข้าวต่างเห็นพ้องต้องกันว่าสนุกๆ งานนี้

เดือนตุลาคมตอนบ่ายร้อนอบอ้าว แสงแดดจัดจ้าเต้นเป็นตัว ฉะนั้นการเล่นน้ำดำผุดดำว่ายกันย่อมจะช่วยบรรเทาความร้อนเป็นอย่างดี เสียงหัวเราะเฮฮาก็ดังก้องอยู่ที่คุ้งน้ำหน้าวัดเหมือนจะไม่มีวันจบสิ้น...

ขณะนั้น ไอ้แก่นผู้ได้ชื่อว่าจอมแก่นแสนซนสมชื่อ ได้ชักชวนเพื่อนฝูงเปลี่ยนวิธีเล่นใหม่ จากการว่ายแข่งกันบ้าง ดำน้ำอึดที่สุดบ้าง...มาเป็นการเล่น "โป้งแปะ" ในน้ำ โดยย้ายจากท่าน้ำหน้าศาลา เข้าไปเล่นที่ใต้ถุนศาลาการเปรียญ ซึ่งบรรยากาศมืดครึ้ม เหมาะที่จะแอบกันและร้อง "เอ้า! หนึ่ง สอง สาม สี่...." น่าสนุกสนานนักหนา

การเล่นโป้งแปะเปิดฉากขึ้นแล้ว!

พวกเด็กวัดต่างสนุกสนานเต็มที่ จนเวลาผ่านเลยไป ไอ้แก่นผู้เป็น "ผู้โป้ง" คนหนึ่งก็หันซ้ายหันขวา ก่อนจะร้องถามขึ้นดังๆ

"เฮ้ย! ข้าโป้งพวกเอ็งได้หมดแล้ว ขาดไอ้กรุ่นคนเดียว มันแอบได้เก่งจังวะ!"

ทันใดนั้นเอง เสียงร้องตะโกนของเจ้ากรุ่นก็ดังลั่นขึ้น

"ช่วยด้วย! จระเข้กัดกู...โว้ยๆๆ"

นอกจากเด็กวัดจะตกตะลึงไปตามๆ กัน พวกผู้ใหญ่ที่อยู่ในเรือใกล้ๆ นั้นต่างหันขวับ มองเห็นภาพน่าขนหัวลุก...นั่นคือเจ้ากรุ่นกำลังตะเกียกตะกายขึ้นต้นกุ่มน้ำ เลือดไหลย้อยโซมตัว เห็นหัวจระเข้ขนาดใหญ่พุ่งเข้างับท่อนขา เฉียดไปมาหวุดหวิด ขณะที่เจ้ากรุ่นก็ร้องตะเบ็งไม่ขาดเสียง สรรพสิ่งเหมือนภาพในคืนฝันร้ายไม่มีผิด!

น้าหาญคว้าฉมวกจากท้องเรือติดมือมา แล้วเกร็งข้อพุ่งเข้าใส่ลูกหลานชาละวัน...แม่นยำเหมือนผีจับยัด...ฉมวกพุ่งเข้าก้านคอจระเข้ยักษ์จนมันสะบัดหัวมหึมา ก่อนผละจากโคนต้นกุ่ม...พุ่งหนีลงสู่คลองใหญ่ในพริบตา! พรายน้ำเดือดพล่าน ตามความเร็วรี่ที่จระเข้หนีเอาตัวรอด...เมื่อถึงน้ำลึก พรายน้ำก็หายไปในที่สุด

ต่อจากนั้น เรือทุกลำต่างพุ่งจนน้ำบานมายังต้นกุ่มน้ำที่เจ้ากรุ่นยังกอดแน่นที่ยอดไม้ ไหนจะเสียเลือดจากบาดแผลเพราะฟันจระเข้ ไหนจะหวาดกลัวสุดขีดแทบจะช็อกคาที่ ทำให้เจ้ากรุ่นอ่อนแรงจนไม่อาจจะลงจากต้นไม้ได้ นอกจากจะกอดต้นกุ่มอยู่อย่างนั้นเอง

ร้อนถึงพวกผู้ใหญ่ต้องรีบปีนต้นกุ่มขึ้นไปรับตัวลงมาอย่างทุลักทุเล...นำมารักษาตัวที่กุฏิหลวงตาย้อย ใช้น้ำมันมนต์ทาแผลทันที!

บาดแผลอันเกิดจากจระเข้กัดหรือคาบนั้น เชื่อกันมาตั้งแต่โบราณแล้วว่าห้ามให้จิ้งจกเข้ามาเลียแผลเด็ดขาด เนื่องจากมันสัตว์ตระกูลเดียวกัน น้ำลายจากจิ้งจกจะกลายเป็นพิษร้ายให้คนเจ็บถึงแก่ชีวิตได้อย่างง่ายดาย

เจ้ากรุ่นทุเลาจากอาการขวัญหนีดีฝ่อก็เล่าให้ฟังว่า...

ขณะที่ดำน้ำเพื่อจะรีบไปแอบนั้น ไม่รู้ว่าอะไรมันดำมืดพุ่งใส่...เจ็บแปลบที่ลำตัว แล้วมันพาแหวกน้ำและวิ่งบนดิน ก่อนจะพุ่งตัวเอาร่างเด็กไปขัดไว้ที่โคนต้นกุ่มใต้น้ำ...พอมันผละออกไปก็เริ่มหายใจไม่ออก จึงดิ้นจนหลุดจากโคนต้นไม้...โผล่พ้นน้ำก็รีบปีนขึ้นต้นกุ่มทันที

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง เพราะข้าพเจ้าไปพบนายกรุ่น พึ่งแก้ว มาแล้ว ได้ขอดูบาดแผลที่ถูกจระเข้คาบลำตัว ยังมีแผลเป็นเป็นริ้วฟันจระเข้เห็นได้ชัดเจน...เนื่องจากสมัยก่อนยังไม่มีหมอที่จะเย็บบาดแผลให้ จึงรักษาตามแผนโบราณเท่าที่มีอยู่ในท้องถิ่น

ขณะนี้ นายกรุ่น พึ่งแก้ว ได้ย้ายไปอยู่ทางแก่งเสือเต้น ลพบุรีแล้ว จึงไม่เคยพบกันอีก จะเหลือก็แต่เพียงความทรงจำในเหตุการณ์ที่ขนหัวลุกเท่านั้นเอง

 
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
~POOMZA~
นักแข่งมืออาชีพอาวุโส
********
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,164


ปูม 081-7045833


ดูรายละเอียด
« ตอบ #239 เมื่อ: 19 กรกฎาคม 2009 23:01:11 »

บ้านสุดสยอง
 
"ใบไผ่" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ้านผีสิง

เมื่อราวสิบปีเศษมาแล้ว ดิฉันได้พบกับเหตุการณ์สยดสยองสุดๆ อย่างเต็มหูเต็มตา ขณะนั้น ดิฉันอายุ 25 ปีบริบูรณ์ มีการงานทำเป็นหลักเป็นที่บริษัทการเงินแห่งหนึ่งที่ถนนรัชดาภิเษก ไม่ไกลจากบ้านย่านอโศก-ดินแดงเท่าไรนัก สุขภาพแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้าจะเชื่อตามโชคลางก็คือ "วัยเบญจเพส" นั่นเอง!

สาเหตุที่ทำให้ขนหัวลุก สติแตกไปชั่วครู่ก็เพราะไปบ้านเพื่อนค่ะ

ดิฉันมีเพื่อนสนิทชื่อเอ้ เราคบกันตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย บ้านเอ้อยู่ถึงหมู่บ้าน แถวคลองประปา ประชาชื่นโน่นแน่ะ เป็นบ้านจัดสรร เป็นบ้านตึกสองชั้นปลูกคล้ายๆ กัน แถมทาสีขาวๆ นวลๆ มองไกลๆ สวยเหมือนบ้านตุ๊กตาไม่มีผิด

เรายังอยู่กับพ่อแม่เหมือนกัน แถมมีน้องชายน้องสาวอย่างละคนเหมือนกันอีกด้วย

ครอบครัวเราก็พลอยสนิทสนม ไปมาหาสู่กันตลอด บางทีก็ไปต่างจังหวัดด้วยกัน เอ้เคยมาค้างกับดิฉัน ส่วนดิฉันก็เคยไปค้างบ้านเอ้ มีของกินดีๆ ก็ฝากไปถึงบ้านของกันและกัน

สาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องขนหัวลุก มาจากครอบครัวเราไปเที่ยวมหาชัยกันในตอนเช้าวันเสาร์ ดิฉันโทร.ไปชวนเอ้แล้ว แต่ปรากฏว่าแม่เธอไม่ค่อยสบาย ตอนนี้น้าจุ๋มแม่บ้านกำลังขี่จักรยานไปซื้อยาที่คลินิกปากซอย

"ขากลับซื้อของทะเลมาฝากด้วยละกัน" เอ้บอก

ระยะทางใกล้ๆ ที่มีแต่สวนผลไม้ นาเกลือ และแม่น้ำท่าจีนที่อุดมสมบูรณ์ด้วยอาหารทะเลสารพัดชนิด อากาศปลอดโปร่งกว่ากรุงเทพฯ หลายเท่า...พวกเราสนุกกันมากค่ะ ไปเที่ยวมหาชัยนี่ไปเช้ากลับเย็นได้สบายๆ

รถขาเข้ายังบางตา ดิฉันขับรถถึงบ้านราวห้าโมงเย็น นึกยังไงก็ไม่ทราบ ส่งพ่อแม่กับน้องๆ เข้าบ้านแล้วบึ่งต่อไปบ้านเอ้...ฟ้ามืดครึ้มมาตั้งแต่เลี้ยวเข้าประชาชื่นแล้วค่ะ ครู่เดียวฝนก็เทกระหน่ำ รถที่เคยแล่นลิ่วก็ต้องคลานช้าๆ คอยเพ่งมองสะพานข้ามคลองประปาที่มีป้าย หมู่บ้าน โชคดีที่เลี้ยวเข้าไปหน่อยเดียวฝนก็ซาลง แต่ฟ้ายังหนักอึ้งเหมือนเดิม

ครู่ใหญ่ๆ ก็มากดแตรหน้าบ้าน...น้าจุ๋มกางร่มวิ่งมาเปิดประตูรั้วให้ ดิฉันไปจอดรถใต้ถุนห้องนอนเพื่อน ด้านขวามือเป็นห้องรับแขก ของฝากวางอยู่บนเบาะหน้าแล้ว ทำให้คว้าติดมือลงไปได้ทันที

ก้าวเข้าไปก็ชะงักกึกเมื่อได้กลิ่นเหม็นอับ สาบสางโชยมาเข้าจมูก ดิฉันเหลียวซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นเอ้ สงสัยจะยังอยู่ชั้นบน หรือไม่ก็เพิ่งแต่งตัวเพราะไม่รู้ว่าเพื่อนจะมาเยี่ยม

น้าจุ๋มวิ่งผ่านรถหายเข้าไปในห้องพักของแกแล้ว...แสงไฟน้อยแรงเทียนจากเพดาน ส่องให้เห็นร่างที่นอนห่มผ้าอยู่บนเตียงเตี้ยๆ ชิดฝา กลิ่นเหม็นกวนประสาทอ้อยอิ่งอยู่รอบๆ ตัว...ทำไมเอ้ถึงปล่อยให้แม่ลงมานอนคนเดียวนะ? พ่อกับน้องๆ หายไปไหนหมด?

"โอยยย..." เสียงนั้นทำให้ดิฉันเกือบสะดุ้ง หันขวับไปมองก็เห็นแม่เอ้พลิกหน้าไปมาช้าๆ "ขอน้ำ...หิวน้ำเหลือเกิน..."

"ได้ค่ะ" ดิฉันรับปากโดยอัตโนมัติ ได้ยินเสียงบันไดลั่นเอี๊ยดๆ เอ้คงจะลงมาแล้วแต่ก็ไม่เห็นวี่แวว...อากาศหลังฝนเยือกเย็นลงทุกทีจนแทบหนาวสะท้าน ดิฉันเหลือบไปเห็นแก้วน้ำบนโต๊ะเตี้ยๆ หัวเตียง รีบก้าวไปหยิบแก้วน้ำมาให้แม่เอ้ ตั้งใจว่าจะป้อนให้ท่าน...

"คุณพระช่วย!" ดิฉันหลุดอุทาน เมื่อเห็นใบหน้าดำเกรียมจนแทบจำไม่ได้ ผมสีเทากระจายอยู่เต็มหมอน...นัยน์ตาขาวๆ เหลือกไปมา แถมแลบลิ้นเข้าๆ ออกๆ สีแดงสดเหมือนลิ้นตุ๊กแก จนแก้วน้ำหวิดร่วงจากมือ

เอ๊ะ! นั่นไม่ใช่คุณป้าอรทัย-แม่ของเอ้นี่นา! สำนึกนั้นทำให้ดิฉันถอยกรูดๆ แข้งขาสั่น ใจสั่น หัวหมุนติ้วแทบระเบิด...เกิดอะไรขึ้น? ทำไมดิฉันต้องมาพบภาพสยองขวัญนี้ด้วย? ขณะนั้นเองเสียงบันไดก็ลั่นเอี๊ยดๆ อีกครั้ง ขายาวๆ ของใครคนหนึ่งกำลังก้าวลงมาช้าๆ

"เอ้! เอ้เหรอ..." ดิฉันถามเสียงสั่นๆ แต่ไม่มีคำตอบ นัยน์ตาเบิกค้างจ้องมอง หญิงชราร่างร้ายที่นอนอยู่ตรงหน้า ทันใดนั้น...เหมือนนรกบันดาลให้เป็นไปในพริบตา

ร่างร้ายนั้นมีอาการคล้ายหุ่นกระบอกที่นอนแน่นิ่ง แต่มีผู้ชักให้ผลุนผลันลุกขึ้น...จากท่านอนพรวดพราดเป็นท่ายืนทันที ศีรษะก้มต่ำ ผมยาวปรกหน้า สองแขนลีบเล็กแกว่งไกวไปมาจนดิฉันผงะหน้า กรีดร้องออกมาสุดเสียง

"ช่วยด้วย...!!" ม่านตาพร่าพราย สรรพสิ่งหมุนเคว้งคว้าง...ดิฉันวิ่งเตลิดเหมือนคนบ้าออกจากบ้านนรกจกเปรตนั้น...ชนกับเอ้ที่หน้าประตูก่อนจะสิ้นสติไป

เมื่อมารู้ตัวอีกทีก็พบตัวเองนอนบนโซฟาในห้องรับแขกบ้านเอ้ พ่อแม่กับน้องๆ จ้องมองด้วยความห่วงใย...เอ้เล่าว่าได้ยินเสียงกรีดร้องก็วิ่งออกไปดู เห็นรถยนต์ดิฉันจอดอยู่ที่นั่นกับดิฉันวิ่งกระเจิงออกมา...จากบ้านร้างผีสิงนั่นแหละค่ะ

เพราะฝนฟ้าและบ้านที่คล้ายๆ กันทำให้ดิฉันเข้าบ้านผิด...ไม่ช็อกตายคาที่ก็ถือว่าเป็นบุญแล้วค่ะ!

 
บันทึกการเข้า

...ใต้ฟ้าสีคราม...
หน้า: [«10] [«5]  «  1 ... 10 11 [12] 13 14 15  »    ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006-2008, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!