AFM นั้น จะคำนวนการไหลผ่านของอากาศได้เป็นปริมาตรที่ชัดเจน
แบบบานพับจะทราบจากความเร็วอากาศ คำนวนกับพื้นที่หน้าตัด ก็จะได้ ปริมาตรอากาศต่อหน่วยนาทีหรือวินาทีได้แม่นยำ เพราะการเปลี่ยนแปลงจะรวดเร็วมาก แบบนี้เป็นแบบที่ Toyota ก็ใช้
แบบขดลวด แบบนี้จะวัดความเร็วของอากาศ ด้วยการวัดค่าความต้านทานที่เกิดขึ้นจากการถ่ายเทความร้อน
ทำให้การคำนวนแม่นยำเช่นกัน แบบนี้ Nissan ใช้กัน
เอาคร่าวๆ ที่เราเห็นกันบ่อยละกัน เพราะถ้าเป็นรถยุโรปจะมีมากกว่านี้อีก
http://en.wikipedia.org/wiki/Mass_flow_sensorทีนี้ มันจะอยู่ก่อนหรือหลังลิ้นเร่งก็แล้วแต่ผู้ผลิตเครื่องยนต์เลือกใช้ ความแตกต่างมีไม่มากพอมาบอกว่าอันไหนดีกว่าแย่กว่า
แต่ที่มันทำให้แบบ MAP ได้รับความนิยมมากขึ้นคือเรื่องของ fail ครับ เพราะ AFM จะมี fail ได้ตามแบบกลไกลที่ใช้
เช่นแบบบานพับ ถ้าสปริงมันยืดหรือเปลี่ยนแปลง ค่าก็ไม่เหมือนเดิม ยิ่งค้างก็แย่ไปเลย แบบ hot wire/cool wire ถ้ามีน้ำเข้ามามันก็เพี้ยน ถ้าซวยถึงกับขาด ก็เสียอีก... แบบ MAP ก็เลยทนทานแต่อย่างกระนั้นเลย ถ้าท่อของ sensor
สกปรก มันก็เพี้ยนหรือทำงานไม่ถูกต้องอีกเหมือนกันนั่นแหล่ะ แต่ว่า มันก็ยังทำงานได้อยู่ แต่ MAP นั้นใช้การประเมิณ
จากแรงดัน ซึ่งเป็นการวัดแบบ imply ทำให้ไม่ได้ค่าที่แท้จริง แต่อนุมานเอาว่า "น่าจะ" รถแรงมากๆ จริงๆ เรื่องความละเอียดไม่ค่อยสนใจกันอยู่แล้ว เพราะมันข้ามไปเร็วมาก เลยถือว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ สำหรับรถ NA ความละเอียด
พวกนี้ ทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้ smooth กว่ามากและความละเอียดทำให้เกิดการประหยัดเชื้อเพลิงได้ดีกว่าด้วย
ต้นทุน AFM แพงกว่า และ MAP ถูกกว่า นี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่รถแรงๆ หลายตัวใช้ MAP กัน